ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #225 : Tokyo Meltdown: Side B

    • อัปเดตล่าสุด 28 ธ.ค. 64


    Tokyo Meltdown
    Playlist: Saint Pepsi – Private Caller / REBECCA – MOON












    .

    แท็กซี่ส่วนบุคคลแล่นฉิวพ้นเขตพลุกพล่านไปบนถนนไฮเวย์ ซึ่งทอดมองเห็นตึกสูงในเขตตัวเมืองลิบๆ ประดาไปด้วยแสงจากดวงไฟสังเคราะห์ที่เธอพิศวงเป็นนักหนา รับกับท้องฟ้าสีดำสนิทในคืนปลายฤดูใบไม้ร่วงที่ไร้จันทร์ นอกจากเพลงคลาสสิกจากสถานีวิทยุที่โชเฟอร์เปิดคลอไม่ให้เงียบเหงาแล้ว ก็ไม่มีสุ้มเสียงอื่นใดรบกวนห้วงคำนึงของเธอที่กำลังนั่งเท้าศอกพลางมองเหม่อออกไปอีก แม่ของเธอเคยชอบฟังดนตรีประเภทนี้ หากสำหรับลูกสาว อย่างไรก็ต้องเป็นดนตรีสมัยนิยมจำพวกไอดอลสาวแห่งศตวรรษอย่างไม่ต้องสงสัย เธอมักจะรู้สึกถึงความหม่นหมองเวลาที่ได้ยิน แปลกดีที่มันดูจะเข้ากับบรรยากาศเคว้งคว้างของเธอในตอนนี้เสียเหลือเกิน สิ่งที่ปรากฏในแววตาผ่านเงาสะท้อนของบานกระจกใสหาใช่แสงสี แต่เป็นร่างที่กำลังนอนหลับใหลอยู่เคียงข้างเธอต่างหาก

    พรูลมหายใจบางเบา ก่อนผินเสี้ยวหน้ากลับเข้ามาจดจ้องตัวตนจริงแท้ซึ่งสัมผัสได้ของชายผู้นั้นด้วยแววตาครุ่นคิด เขายังคงจมสู่ห้วงภวังค์ลึกซึ่งคงจะไม่ลืมตาตื่นง่ายๆ ในเวลาอันใกล้ อาจจะกำลังเดินทางไปยังดินแดนอันไกลโพ้นด้วยหัวสมองโปร่งโล่ง ขณะที่หัวสมองของเธอกลับยุ่งเหยิงจากหลายสิ่งซึ่งพากันประดังประเดเข้ามาไม่ปะติดปะต่อ ทั้งเรื่องของตัวเอง เรื่องของคนอื่น เรื่องในอดีต หรือเรื่องของเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านพ้น หากมีเพียงคำถามเดียวเท่านั้นที่แล่นวนซ้ำๆ คือ มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?

    ฮินาคาวะ มาริยะโยนความผิดทุกอย่างไปให้แก่น้องชายต่างแม่ที่เพิ่งจะกลับมาจากอเมริกาที่ไปใช้เกือบครึ่งชีวิตอยู่ที่โน่นตั้งแต่เมื่อสองสัปดาห์ก่อนแบบไม่มีข้อแม้ ทั้งสายตาและคำพูดช่างถอดท่าทางหยิ่งยโสราวกับอยู่สูงเสียดฟ้าแบบเดียวกับมารดาไม่มีผิด พวกเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าจงเกลียดจงชังนังผู้หญิงที่มีตราประทับแปะหราอยู่บนหน้าว่าเป็นลูกชู้ แถมยังได้สิทธิ์ครอบครองอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งของบิดาซึ่งควรจะเป็นของลูกชายบนชั้นสูงสุดของคอนโดราคาสูงละลิ่วในย่านกินซ่า หลังจากแม่ของเธอเสียไปเมื่อปีที่แล้ว เธอไม่แปลกใจเลยที่ได้เห็นสส.พรรคร่วมรัฐบาลเดินทางมาที่บ้านอย่างลับๆ และก้มหัวแสดงความเสียใจต่อเธอ...และต่อหน้ารูปถ่ายของแม่พร้อมน้ำตาจากใจจริง แม่ไม่เคยเอ่ยปาก แต่เธอก็รู้มาตลอดว่าความจริงนั้นเป็นเช่นไร เป็นสองแม่ลูกนั้นต่างหากที่ไม่รับรู้ หรือก็ไม่ยอมรับว่าแม่ของเธอมิใช่หรอกหรือที่มาก่อน แค่เพราะงานในสแนคบาร์ที่คงจะด้อยค่ามากเมื่อเทียบกับทายาทตระกูลการเมืองเช่นหล่อน หลายครั้งที่มาริยะนึกอยากจะตอกหน้าพวกเขากลับไปให้ได้สำเหนียกดูเหมือนกัน แต่คิดถึงสีหน้าของพ่อที่อ่อนล้าทีไรก็เป็นอันต้องเก็บกลืนมันลงไปทุกที แค่ค่าใช้จ่ายและที่พักอาศัยมูลค่านับไม่ถ้วนราวกับจะแทนทดทุกช่วงเวลาที่เสียไปก็เป็นบุญคุณสำหรับเธอมากโขจนชดใช้กันไม่หมด ส่วนเรื่องการเปิดเผยสถานะ ได้เชิดหน้าชูตาเทียบเคียงกับลูกชายของภริยาในใบทะเบียนที่ถูกต้อง หรือความรักความอบอุ่นจากครอบครัวอะไรจำพวกนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้น ระหว่างเธอกับสมาชิกตระกูลลูอิสจึงเป็นเหมือนดาวที่โคจรกันอยู่คนละฟากฝั่ง กระทั่งแรงดึงดูดที่ชื่อว่าเจสซี่ ลูอิสได้ปรากฏตัวขึ้น เขาจงใจมาหาเธอที่คอนโดบ้าง มหาวิทยาลัยบ้าง ไม่ใช่แค่เพื่อมาดูน้ำหน้า แต่บีบบังคับให้เธอรับฟังบทสนทนาโอ้อวดเรื่องของตนและเหยียบย่ำพี่สาวต่างมารดาโดยไม่ใส่ใจว่ามีใครต้องการรับฟังหรือไม่ ตอนหัวค่ำ เธอที่อุตส่าห์หลบลี้หนีหน้ามาถึงสถานที่ที่ไม่คิดว่าเขาจะมา กลับเจอะเข้าให้กับร่างสูงซึ่งกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่อย่างกับรู้ล่วง เธอไม่รอให้สบตาด้วยซ้ำในตอนที่ก้าวเร็วๆ จนเกือบจะเป็นวิ่งออกไป ก่อนใบหน้าขาวจะตื่นตระหนกทันทีที่ถูกดึงรั้งข้อแขนภายใต้สเว็ตเตอร์แขนยาวสีขาวจนร่างแทบจะปลิวหวือ แล้วแปรเปลี่ยนไปเป็นความโล่งอก ซึ่งก็เพียงแค่ครู่ขณะเดียวเท่านั้น เมื่อหางตาใต้อายแชโดว์สีชมพูจะหันไปเห็นร่างของผู้ชายคนที่เธอวิ่งหนีมากำลังสอดส่ายสายตามองหาใครสักคนอยู่แต่ไกลๆ ไม่ต้องให้ใครมาบอกก็รู้ ว่าใครสักคนที่เขากำลังตามหาอยู่นั้นก็คือเธอ

    เธอร้อนใจกับสถานการณ์ของชายผู้นั้นมากกว่าชายผู้นี้ที่จับข้อแขนเธอเอาไว้เสียอีก มาริยะไม่เข้าใจในทีแรกเมื่อถูกกระชากปลิวเข้าหาตัวเขาอีกครั้ง ชายในเสื้อโค้ตสีน้ำตาลเข้มผู้นี้สูงพอที่จะเบียดบังร่างของเธอให้พ้นจุดสายตาของเจสซี่ ที่เธอได้มองเห็นเค้าความหงุดหงิดใจ ทว่าไม่มากไปกว่านั้นเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกดที่ท้ายทอยผ่านเส้นผมสีชมพูระต้นคอของเธอก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาชิด แม้จะยังลืมนัยน์ตาอ้าค้าง มันก็เบียดบังภาพทุกอย่างรอบด้านไปหมดสิ้นอยู่ดี

    เป็นเวลาแค่ไม่กี่อึดใจที่ราวกับยาวนานไม่รู้จบ ตั้งแต่เกิดมาหรือคบหากับผู้ชายคนใดในชีวิต มาริยะไม่เคยรู้สึกถึงอะไรแบบนี้มาก่อน เป็นจูบที่ไม่ได้อ่อนโยนแต่ก็ไม่ได้ล้ำลึก หากความรู้สึกที่เบาหวิวจนเหมือนกำลังโบยบินไปบนห้วงอวกาศ พร้อมกับผีเสื้อนับพันๆ ตัวในท้องนี้คืออะไรกัน? กระทั่งเขาจะถอนริมฝีปากออกไป ความรู้สึกนั้นก็ยังไม่คลาย

    เขายืดตัวขึ้นมองผู้คนที่ขวักไขว่ไปมาบนท้องถนน จากนั้นก็หันกลับมายิ้มด้วยดวงตาที่หรี่ลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

    “ฉันช่วยเธอเอาไว้แล้ว ตอนนี้ก็ช่วยตอบแทนอะไรฉันหน่อยนะ”

    ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าผงกหัวแทนคำตอบต่อคำขอของเขาที่เดินผละออกไปจับแท็กซี่ ที่มีเพลงคลาสสิกขับกล่อมเขาให้นอนหลับไหลไปอย่างง่ายดายเมื่อไหร่ น่าอับอายที่เธอเผลอคิดอะไรเกินเลยไปเองตั้งมากมาย

    คงต้องใช้เวลาอีกครู่ใหญ่ๆ กว่าจะไปถึงบ้านหลังเก่าของเธอในแถบชานเมือง นานๆ ครั้ง เธอจะแวะกลับไปค้างไม่ก็ไปพบปะเพื่อนบ้านเคยสนิทสักทีหนึ่ง ที่จริงถ้าจุดหมายเป็นคอนโดในย่านกินซ่าก็คงจะไปถึงตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนแล้ว แต่เธอไม่ยอมเสี่ยงต้องเผชิญหน้ากับเจสซี่ที่คงจะไปรอเธออยู่ที่นั่นแน่ เขาเป็นคนเดียวที่เข้าไปในห้องพักในคอนโดหรูซึ่งมีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาได้ เธอต้องยอมรับเลยว่าเขาเป็นโปรแกรมเมอร์สมองเพชรสมคำโอ้อวดจริงๆ และนั่นทำให้มาริยะไม่คิดว่ามันเป็นนิวาสพักพิงอันแสนสงบสุขของเธออีกต่อไป ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอยังต้องเล่าเรียนอยู่ ก็คงยอมเผ่นแผล็วกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังเดิมในย่านชานเมือง ซึ่งมีแต่ผู้เป็นพ่อเท่านั้นที่รู้จักมันไปแล้ว

    นี่กระมัง สิ่งตอบแทนของการมีชีวิตรุ่มรวยโดยไม่ต้องพยายาม

    เธอยังคงเขม้นมองเขาไม่ลดละ ความรู้สึกที่พุ่งสูงขึ้นแบบนั้น เธอคิดว่าอยากจะรู้สึกถึงมันอีกสักครั้ง

    มาริยะตัดสินใจขยับตัวเข้าไปใกล้ผู้โดยสารคนข้างๆ กระจกใสมองได้ด้านเดียวที่กั้นกลางระหว่างพื้นที่ของโชเฟอร์กับผู้โดยสารไม่ทำให้เขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหรือได้ยินเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา เว้นจะเปิดอินเตอร์โฟนสนทนา ภาพที่โชเฟอร์มองเห็นคือท้องถนนเบื้องหลังที่แทบไม่มีรถราแล่นผ่าน คราวนี้ เป็นเธอซึ่งเป็นฝ่ายกดประทับริมฝีปากสีเชอร์รี่ของตนเองลงไปอย่างแผ่วผิว หัวใจของเธอเต้นรัวในช่วงเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น  มันรู้สึกดีมากจริงๆ จนน่ากลัวว่าเธออาจจะขาดใจตายไปเสียก่อนได้ หากเมื่อทำท่าว่าจะถอยกลับมานั่งควบคุมอัตราการเต้นให้เป็นปกติ เปลือกตาของเขาก็เปิดขึ้น ท่ามกลางเครื่องปรับอากาศที่เย็นเฉียบ มาริยะกลับรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิความร้อนเมื่อมือหนาของเขาลากไล้ผ่าน โลกของมาริยะกับชายแปลกหน้าผู้นี้คือโลกที่มีเพียงแค่พวกเขาสองคน ท่ามกลางจักรวาลสุกสกาวที่เธอเพิ่งได้เคยลอยละล่องออกไปเป็นครั้งแรก




    ขณะทิ้งตัวพิงพาบไปกับพนักยาวของเบาะโซฟาหนานุ่ม และแหงนคอจดจ้องมองไปยังภายนอกบานกระจกใส ซึ่งสะท้อนภาพของดวงไฟแอลอีดีวงแหวนสีฟ้าซ้อนขาวของโต๊ะตัวที่ว่างเปล่าในอาณาสลัวแสง เนื่องจากแก้วเครื่องดื่มซึ่งน้ำแข็งก้นแก้วกำลังส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งอยู่ในมือข้างหนึ่งของเขา สดับเสียงคร่ำครวญจากศิลปินหญิงในยุคแปดศูนย์จากลำโพงที่ฝังตัวในผนังรอบทิศทางดังก้องอยู่ทั่วทุกพื้นที่บาร์อีเดน ซึ่งลูกค้าบางตาในคืนกลางสัปดาห์เช่นนี้ ก็ช่วยให้เขาบดปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งเพื่อผ่อนคลายลงได้

    วันนี้...ก็เป็นอีกวันที่เขารู้สึกเหนื่อยหน่ายเหลือเกิน

    ถึงจะดูเหมือนว่าลูกชายของรองนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันจะต้องมีชีวิตแสนสุขี ทั้งฐานะที่ร่ำรวย สถานะทางสังคมที่น่าภาคภูมิ หรือสถาบันการศึกษาชั้นนำที่ไม่ให้ต้องน้อยหน้าใคร แต่เคียวโมโตะ ไทกะกลับไม่เคยคิดว่าสิ่งเหล่านั้นคือของขวัญล้ำค่าอะไรเลย ตั้งแต่จำความได้ ไม่ว่าสิ่งใดในชีวิตเป็นต้องสมบูรณ์แบบและเหนือกว่าคนธรรมดารายรอบด้าน ครั้งใดที่เขากลับมาบ้านพร้อมกับผลการเรียนอันดับสองหรือต่ำกว่า แผ่นหลังขาวๆ ก็จะเป็นลายเฆี่ยนตีอาบเลือดสีแดงเถือกจากเข็มขัดหนัง และท้องของเด็กชายก็จะต้องกิ่วจนแทบขาดใจตลอดทั้งคืน จากนั้นเมื่อถึงรุ่งเช้า แอนดรอยด์รับใช้ก็จะเป็นคนไขลูกบิดช่องกลมของคุกมืดมิดทรงลูกบาศก์สี่เหลี่ยมที่ถูกล็อกขังพร้อมกับนำอาหารเช้ามาให้ ความทรงจำแต่วัยเด็กปลูกฝังเขาให้กลายเป็นคนหวาดกลัวที่แคบมาจนกระทั่งบัดนี้ การลงโทษไม่ได้มีแค่เรื่องผลการเรียน หากลุกลามไปถึงเรื่องอื่นๆ ในชีวิต จนสามพี่น้องไม่อาจจะกระดิกตัวหลุดจากกรอบที่พ่อแม่วางไว้ให้ไปไหนพ้น เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมากที่สุดต่อพี่สาวคนโตที่ชื่อว่าเซย์โกะ หล่อนเป็นผู้หญิงสวยและใจดีเป็นอันดับหนึ่งในสายตาของไทกะ แต่น่าเสียดายที่มันสมองกลับไม่เป็นไปในทางเดียวกัน ถึงจะมุอ่านหนังสือและทำการบ้านทั้งคืนอย่างหนักหน่วงแล้วก็ตาม พ่อกับแม่จะด่าทอหล่อนอยู่เสมอว่าคือความอัปยศของครอบครัว กระทั่งความอัปยศอดทนกับชีวิตเยี่ยงนรกในสรวงสวรรค์ลวงตานี้อีกต่อไปไม่ไหว หล่อนเผ่นหนีออกจากบ้านไปใช้ชีวิตข้างถนนกับบุปผาชนเมื่อหกปีที่สงครามเริ่มถือกำเนิดขึ้น สร้างความอับอายเป็นอย่างมากให้แก่ครอบครัวของรองนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้ออกเสียงอนุมัติให้เกิดสงครามเอเชียบูรพาในครั้งนั้น พ่อกับแม่ลากตัวพี่สาวที่พวกท่านว่าหล่อนนั้นโสมมทั้งภายในและภายนอกไป แล้วกลับมาลงโทษด้วยเข็มขัดหนังที่บ้าน ลูกบาศก์กลวงเปล่ากลายเป็นที่สถานที่พักพิงของร่างบอบช้ำอันน่าสังเวช ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับลูปที่วนกลับไปกลับมาไม่รู้จบต่อสมาชิกครอบครัวเคียวโมโตะ หล่อนที่ใจแข็งเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ให้กำเนิดกลับร้องขอความเมตตาจากน้องชายคนเดียว ขอจงช่วยให้หลุดพ้นจากขุมนรกใบนี้ ทูตสวรรค์โอบกอดร่างผอมเกร็งของหล่อนไว้ นำทางหล่อนไปสู่ห้วงสุขนิรันดร์

    กระทั่งแพทย์มือดีก็วินิจฉัยร่องรอยการเสียชีวิตที่แท้จริงไม่พบนอกจากกล่าวว่าหัวใจล้มเหลวไปเอง รอยเข็มเล็กจิ๋วจะไม่หลงเหลือหลักฐานมัดตัวอย่างแน่นอน เซย์โกะเป็นคนสอนวิธีนี้ให้เขาเอง เขายอมรับว่ารู้สึกสาแก่ใจลึกๆ ต่อการถูกสัมภาษณ์อย่างหนักหน่วงในช่วงนั้นของพ่อกับแม่เสมอ

    และด้วยเหตุนั้น อิสระของเขาจึงได้เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อพวกท่านส่งลูกที่เหลืออยู่ทั้งสองคนไปอยู่ที่อเมริกาเพื่อให้พ้นจากการถูกจ่อไมค์ใส่หน้าเกี่ยวกับสกู๊ปของพี่สาวผู้ล่วงลับไม่เว้นแต่ละวัน นี่อาจเป็นความช่วยเหลือสุดท้ายของเซย์โกะก็ได้ เขากลายเป็นผู้ปกครองดูแลน้องสาวคนเล็กอยู่ที่นั่น จุนโกะเปิดใจกับเขาเป็นครั้งแรกว่าเกลียดชังพ่อแม่เพียงไหนจนไทกะต้องประหลาดใจ เธอเป็นลูกรักของพ่อกับแม่ หัวดี หัวอ่อน ไม่เคยต้องโดนลงโทษเลยแม้แต่ครั้งเดียว

    นกในกรงทั้งสองตัวได้โผบินไปสู่โลกกว้างใหญ่อย่างแสนเสรี ไม่มีใครมากะเกณฑ์เรื่องผลการเรียนและลงโทษพวกเขาถึงนี่ได้อีกต่อไป เมื่อลำพังแค่เรื่องข่าวฉาวและการเมืองร้อนระอุที่ญี่ปุ่นก็เป็นปัญหามากพออยู่แล้ว จุนโกะเริ่มพูดมากขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใสมากขึ้น เด็กหญิงวัยสิบสองในตอนนั้นรู้จักทำตัวแข็งกร้าวมากขึ้น และไทกะก็สนิทกับน้องสาวที่อายุห่างกันห้าปีมากขึ้น เธอมักจะใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์ขลุกตัวอยู่ที่โรงละครเพราะชื่นชอบบรอดเวย์ซึ่งเขาเห็นว่าคร่ำครึ ขณะที่เขาเองได้รู้จักกับเพื่อนๆ ที่เป็นดีเจในคลับ เพียงไม่กี่เดือน ชื่อเสียงของเขาก็เริ่มเป็นที่ลือเลื่อง ทั้งพี่น้องต่างก็มีความสุขในทางที่ตนเองเป็นผู้เลือกเดินด้วยความตั้งใจ หากทว่า ดั่งคำกล่าวว่าช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นช่างแสนสั้น สองปีหลังจากเรียนจบไฮสคูล เขาถูกเรียกตัวบังคับให้กลับไปยังมาตุภูมิเพื่อร่ำเรียนวิชารัฐศาสตร์การเมืองตามรอยบิดาทันที สรวงสวรรค์ของเขาสิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น แต่อย่างน้อยก็ต้องไม่ใช่สำหรับจุนโกะ ต่อให้ต้องถูกลงโทษจนปางตายเหมือนครั้งเก่าก่อนอีกก็ตามที

    เขากลับมาที่ญี่ปุ่น เข้าเรียนรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง ตัดสินใจแยกตัวออกมาอยู่ที่คอนโดห่างจากบ้านอันน่าพรั่นพรึงหลังใหญ่โตเพียงคนเดียวแม้มารดาจะเห็นว่าเป็นเรื่องโง่เขลา ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถทำงานเป็นดีเจในคลับเช่นเดิมได้แล้ว แต่ก็เต็มใจรับเป็นโปรดิวเซอร์เบื้องหลังอย่างลับๆ ให้กับศิลปินรายหนึ่งเพราะถือเป็นบุญคุณต่อเจ้าของค่ายสมัยอยู่อเมริกา งานไม่หนักหนา ไม่กระทบต่อเรื่องการเรียนที่เทียบเคียงกับอัจฉริยะจากการเคยถูกเคี่ยวเข็ญมาตั้งแต่เด็กๆ บางครั้งก็ติดต่อกับน้องสาวซึ่งมักจะวิดีโอคอลมาเล่าเรื่องชีวิตในรั้วโรงเรียนหรือไม่ก็บ่นเรื่องพ่อแม่เป็นครั้งคราว สิ่งเหล่านี้คือหนึ่งในความสุขเพียงไม่กี่อย่างที่นี่ของเขา โดยมีเหตุผลเดียวที่เขาอดทนยอมทำสิ่งที่ฝืนใจตัวเองตลอดมาก็เพื่อเธอ

    ถึงจะปกป้องพี่สาวไม่ได้ เขาก็จะต้องปกป้องน้องสาวคนเดียวคนนี้ให้ได้

    ดวงตาของเขาลืมขึ้น เหม่อลอยอยู่อีกครู่เดียวจึงขยับกลับมาอยู่ในท่านั่งปกติและดื่มแอลกอฮอล์น้อยนิดให้หมดในคราวเดียว กกหูยังปวดแปลบๆ หลังจากถูกพ่อซัดเข้าให้เมื่อตอนหัวค่ำเพราะหงุดหงิดเรื่องลูกคนสุดท้อง กล่าวโทษว่าเขาทำให้น้องสาวกลายเป็นเด็กก้าวร้าวและเริ่มคิดจะทำตัวสมองไหลไปยังดินแดนเสรี มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ว่าไม่น่าจะกลับมาอีก เขายิ้มหยัน ดีใจแทนจุนโกะ เครื่องดื่มหมดแก้วแล้ว พรุ่งนี้ก็ไม่มีเรียน เขาคิดว่าควรกลับห้องและปิดสวิตช์ตัวเองจากขุมนรกที่ชื่อว่าโลกไปจนถึงตอนสายๆ เสียทีจะดีกว่า ขณะนั้นเอง ชายหญิงสามคนเดินผ่านไปยังโต๊ะว่างตรงมุมด้านใน ไทกะมองดูหญิงสาวผมสีส้มสว่างกับริมฝีปากสีแดงสด ซึ่งเดินเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ข้างหลังด้วยเค้าหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก ฉับพลัน ความทรงจำต่อพี่เซย์โกะก็ย้อนกลับมาอยู่เบื้องหน้าไทกะเป็นครั้งแรกในรอบห้าปีของการสูญเสีย ทำไมเขาจึงผ่อนคลายกับบทเพลงในยุคแปดศูนย์เสมอ? ใช่แล้ว...เพราะใบหน้าและความแข็งกร้าวที่เจือด้วยความอ่อนหวานของพี่เซย์โกะที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ขึ้นมา และตอนนี้ เธอผู้นี้ก็กำลังทำให้เขารู้สึกเช่นเดียวกันนั้น รีเบคก้าเริ่มครอบครองพื้นที่ในอีเดนแทน คาเกะ นิ นัตตะ(กลายเป็นเงา) ของมัตสึโตยะ ยูมิที่เพิ่งจะจบไป เขาจำได้ว่าคืนนี้เป็นคืนเดือนดับ ขณะเพลง มูนกำลังขับขาน










     


    2020年11月01日
    _______________
    ★ เสียดายที่เรื่องนี้ไม่มีโอกาสได้แต่งต่อ เพราะชอบบรรยากาศของมันมาก และมีเพลง vaporwave ที่เราอยากใช้เต็มเลย (ไม่เขียนด้วยฟอนต์ธรรมดา) ยอมรับว่าวางพล็อตไม่แน่น แค่ตอนนั้นพล็อตในอินโทรมันแว่บขึ้นมาเฉยๆ ไหนจะเกี่ยวกับการเมือง สงคราม อะไรอีกก็ไม่รู้ แทนที่จะแต่งแต่แนวรักอย่างเดียวเลยไปไม่รอด แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังแต่งตอนที่หนึ่งไว้แล้วสองพาร์ทนะเว้ย! เพราะเรื่องนี้เราได้อิทธิพลมาจากเรื่อง Perfect Blue กับ Macross ทั้งสี่คนเลยจะได้รู้จักกันหมดในวงการบันเทิง เพราะวงของมิริอะจะได้เมเจอร์เดบิวต์ ไทกะเลยได้รู้จักมิริอะ ส่วนมาริยะที่จริงแล้วเคยเป็นเกิร์ลกรุ๊ปมาก่อนแต่เพราะวงไม่ดังเลยแยกย้ายกันไปเหมือนมิมะน่ะ ถึงอย่างนั้นก็ยังสนิทกับเพื่อนในวงเก่าซึ่งก็คือไอดอลสาวแห่งศตวรรษ สุดท้ายเลยได้รู้จักกับไทกะที่มาทำเพลงให้เพื่อน และแน่นอนว่าจะได้โยงไปถึงโฮคุโตะด้วย เราคิดคร่าวๆ ไว้แค่นี้แหละ ไม่ได้คิดไปถึงตอนจบว่าจะเป็นยังไงหรือคู่กันยังไงเลย / เออเราบังเอิญอ่านเจอว่าช่วงนึงไทกะชอบฟังเพลงยุคเก่า นี่ว่าเดี๋ยวต้องจัดฟิคซิตี้ป็อปให้ละสักเรื่องอ่ะ เพลงพ่อเค้าต้องมาแล้วไหม 55555
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×