ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #224 : Tokyo Meltdown: Side A

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ย. 64


    Tokyo Meltdown
    Playlist: Ariel Pink – Lipstick











    .

    พอโทรศัพท์ในกระเป๋าแจ็คเก็ตยีนส์ปักลวดลายตรงหน้าอกของเธอสั่นระรัว ลูกโป่งหมากฝรั่งสีชมพูก็แตกดังโพล๊ะเป็นคำรบสาม พร้อมๆ กับความหวานที่เริ่มเจื่อนจางลงไปในโพรงปาก นัยน์ตาสีเข้มตัดกับเรือนผมสีส้มสว่างอันยุ่งเหยิงที่ทอดมองขึ้นไปบนบิลบอร์ดแอลอีดีจอมหึมาที่เรียงรายรอบอาคารก่อสร้างทันสมัย ยังใจกลางเมืองหลวงที่ไม่ว่าจะล่วงดึกเพียงไรก็ยังคงมิหลับใหล จึงละจากการจดจ้องแหงนเงยผ่านประกาศโฆษณาร้านค้าไปยังโปรโมชั่นวิดีโอของไอดอลสาวแห่งศตวรรษ ที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าใบหน้าสวยหวานหยดย้อยมหึมา กับเนื้อหาที่กลวงเปล่า เคล้าเข้ากับสุ้มเสียงแหลมลึกบาดแก้วหู แทบไม่ต่างจากเสียงตะโกนเรียกลูกค้าปาวๆ ของเหล่าพนักงานสถานบันเทิงที่แว่วสดับเป็นระยะจนฟังดูน่าขัน ซึ่งก็หาใช่คำเปรียบเปรยแต่อย่างใด เมื่อริมฝีปากสีแดงสดของเธอขยับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพร้อมกับพ่นเสียงหัวเราะหึในลำคอ โทรศัพท์แน่นิ่งไปแล้ว เธอจึงเลิกล้มความคิดที่จะล้วงหยิบมันขึ้นมาด้วยเชื่อว่าไม่ถือเป็นธุระสำคัญอันใด อย่างไรหมอนั่นก็จะต้องโทรกลับมาหาในเวลาอันใกล้อีกครั้งเหมือนเช่นทุกครั้ง เช่นนั้นแล้ว หญิงสาวในชุดแจ็คเก็ตและกระโปรงยีนส์สั้นเหนือเข่าจึงยกแผ่นหลังที่แตะพิงอยู่กับกำแพงจนถึงเมื่อครู่ออก ก่อนสาวรองเท้าบู้ตส้นเตี้ยสีดำสนิทย่ำต๊อกไปตามท้องถนนที่ขวักไขว่ด้วยจังหวะเชื่องช้า ราวกับทำนองเพลงคลาสสิกกำกับจังหวะอยู่เบื้องล่าง หมากฝรั่งบลูเบอร์รี่ที่เกือบจะไม่รู้รสชาติถูกเคี้ยวหยับๆ แล้วเป่าโป่งเสริมท่วงท่ารับสบายอารมณ์ เลิกให้ความใส่ใจกับบิลบอร์ดขนาดใหญ่ที่สุดในละแวกย่านใจกลางมหานครทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อตัดเข้าโฆษณาซิงเกิลของไอดอลสาวหน้าเดิมเป็นระยะเวลาสามสิบวินาทีไม่มีขาดเกิด จอก็เล่นวนซ้ำเพลงเดิมอีกครั้ง และคงจะวนไปอีกตลอดครึ่งค่อนคืนเท่าที่ค่ายเพลงจะยินยอมควักกระเป๋าจ่ายให้แก่บริษัทเอกชนห่ะที่แสนแพงระยับนี่ ไม่ใช่เรื่องต้องน่าเห็นใจอะไร หล่อนในฐานะไอดอลแห่งศตวรรษคงจะอยู่เลยจุดคุ้มทุนให้แก่บริษัทไปไกลโขจนวัดระยะทางรอบโลกไม่เจอ แต่ถ้าเป็นดาวอังคารที่ใกล้จะออกไปตั้งอาณานิคมกันได้ในอีกไม่กี่ปีอยู่แล้วก็ไม่แน่

    ช่างเป็นโลกใบเก่า ในศตวรรษใหม่เอี่ยมที่เปลือกปลอมสิ้นดี

    หลังจากสงครามแย่งชิงพื้นที่ระหว่างประเทศมหาอำนาจในแถบทั่วทวีปเอเชียที่ยืดเยื้อมาถึงสี่ปีสุดสิ้นลงเมื่อราวสองปีก่อน ถึงอาจไม่ได้ยาวนานอย่างมหาสงครามใด และประเทศชาติของเธอก็หาได้รับผลกระทบแสนบอบช้ำใดในพื้นที่สงครามห่างไกล ณ เอเชียบูรพาที่ชาวญี่ปุ่นหลายคนแทบไม่เคยย่างกรายไปถึงหรือแม้แต่จะรู้จัก แต่ทางจิตใจนั้นหาไม่ เด็กๆ ถูกยัดเยียดเรื่องสงครามและความเป็นปรปักษ์ต่อประเทศมหาอำนาจคู่แข่งในชั้นเรียน รัฐบาลออกประกาศเสียงตามสายชักชวนชายหนุ่มสุขภาพดีให้ไปร่วมรบราวกับโฆษณาชวนเชื่อทุกเช้า-เย็น เป็นพรรครัฐบาลที่เน่าเฟะที่สุดกระทั่งพาประเทศชาติของตนเข้าร่วมสงครามซึ่งมิควรบังเกิดอย่างไร้ค่า แต่เป็นโลกใบที่แจ่มใสที่สุดตั้งแต่อาริมะ มิริอะเกิดมาสิบเก้าปี ณ ขณะนั้น เธอกับเด็กหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัยที่เบื่อหน่ายเรื่องของสงครามและการเมืองพากันรวมกลุ่มจับเจ่าเพื่อหาสันติส่วนตนเยี่ยงบุปผาชนในยุคบรรพบุรุษ ใช้วิธีต่อต้านสงครามด้วยการเสพสุขเสรีในโลกของตน จากกลุ่มเล็กๆ ริมบ้านพักของชมรมบาสเก็ตบอลที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งสุมหัวของขยะในแคมปัส ก่อเกิดเป็นชุมชนของหมู่มวลบุปผาชนขนาดย่อมในตรอกซอกที่เลยไปไม่ไกล หากถูกปล่อยทิ้งร้าง ภายใต้เขตความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยซึ่งไม่ใส่ใจจะเหลียวแล แม้ผู้คนจะไม่เข้าใจว่าการพากันไปซ่องสุมในสถานที่สกปรกพรรค์นั้น หรือการเล่นกัญชา ยาเสพติดชนิดประหยัด เสพสุขสำราญ มันคือการต่อต้านสงคราม การเมือง และสนับสนุนสันติอย่างเป็นรูปธรรม ที่ไม่เป็นแม้แต่มโนธรรมด้วยซ้ำไปตรงไหน ปุถุชนไม่เชื่อว่ามันจะดีไปกว่าการใช้ชีวิตภายใต้บ้านและครอบครัวที่อบอุ่น หรือกรอบที่แสนสบายของวัฒนธรรมประเพณีถึงอาจเฉียดกรายสงครามไปได้อย่างไร

    มิริอะเชื่อว่าปุถุชนเองต่างหากที่โง่เขลา — ปุถุชนที่รวมถึงแม่กับพี่ชายเส็งเคร็งซึ่งตัดขาดญาติมิตรกันไปแบบไม่เผาผีด้วยความเต็มใจอย่างมากของเธอ — ความขลาดเขลาเบาปัญญาของพวกเขาอาจคงอยู่มายาวนานจนฝังรากแตกหน่อลึกลงไปแล้วก็ได้ มิริอะนึกทึ่งใจว่าตัวเองอดทนอยู่ในบ้านที่ไร้รัก และน่าอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก นับตั้งแต่สูญเสียพ่อผู้เป็นที่รักไปเมื่ออายุสิบขวบ กระทั่งจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับชั้นกลางที่อยู่ไกลบ้านในย่านชานเมืองนานขนาดนี้ไปได้อย่างไร ไม่แน่ว่าถ้าเธอมีพลังจิตเหมือนแคร์รี่ ไวท์ ทั้งบ้าน แม่ และพี่ชาย อาจเหลือเพียงซากอดีตให้ได้จดจำ เธอไม่ได้เลือกเส้นทางของบุปผาชนเพราะสงครามหรือการเมืองที่คนอย่างเธอไม่สนใจให้ค่าจะรับรู้ แต่เป็นสังคมและแบบแผนของระบอบจารีตที่เรียนรู้มาจากบ้านหลังนั้นซึ่งให้นึกสะอิดสะเอียนได้ทุกขณะจิตต่างหาก คือสิ่งที่เธอหมายต้องการจะหลุดพ้น สิ่งที่เกินความคาดหมายคือการปลดโซ่ตรวนเส้นที่ชื่อว่า ครอบครัวซึ่งคอยทำร้ายเธอจนบอบช้ำทั้งกายและใจตลอดเกือบสิบปีออกไปได้ในที่สุด ไม่เคยมีสักวัน หรือสักวินาทีที่เธอจะนึกเสียใจในเส้นทางที่ตัวเองได้เลือกเดินหันเหจากมาเลย

    พวกเขาคือหนึ่งในตัวอย่างของความสมบูรณ์แบบของดอกผล ตัดทิ้งลูกที่เสียหายออกไปก่อนจะลุกลามบ่มเพาะเชื้อโรคให้แก่ต้นไม้งาม เป็นครอบครัวอุดมคติที่น่าขันจนน่าสำรอก ความจริงก็คือ ภายนอกที่สดสวย ถ้ากะเทาะออกมาแล้วไม่กลวงเปล่า ก็เน่าสนิท

    ต้องขอบคุณที่พวกเขาปลูกฝังให้มิริอะเกลียดอุดมคติจอมปลอมทั้งหลายแหล่อย่างกร้าวแกร่ง ผู้คนศตวรรษนี้นิยมเพียงเปลือกปลอกปลอมของสิ่งอันกลวงเปล่า อาจเพื่อปลอบประโลมชุบความหวังหลังสงครามแห่งการสูญเสียให้หวนคืน ยกตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมดนตรี เทคโนโลยีล้ำยุค บลาบลาบลา เปล่าเลย...เธอไม่ได้กำลังหมายถึงความเจริญทางจิตใจที่ปุถุชนถือตัวว่าสูงส่งกว่าบุปผาชนในศตวรรษที่ยี่สิบสองแม้แต่นิดเดียว ศีลธรรม จรรยามันก็แค่คำพูดอวดหรู ที่ไม่ได้เป็นหลักยึดเหนี่ยวให้แก่คนพวกนั้น หลักยึดเหนี่ยวหลังสงครามที่พรากหลายสิ่งหลายอย่างในประเทศของพวกโง่เขลาเช่นนี้ไป กลับเป็นไอดอลสาวที่มีดีแค่หน้าตาและคำพูดจอมปลอมอันน่าสำรอกจำพวก ขอให้ทุกคนรักกันเข้าไว้เพื่อสร้างโลกที่สงบสุขไปด้วยกันนะคะ หรือ ฉันเองก็รักพวกคุณทุกคนค่ะ คือความจริงแท้แน่หรือนอกไปจากเหตุผลทางการตลาดชั้นเยี่ยม? น่าขันที่ผู้คนกลับเทิดทูนสิ่งจอมปลอมเหล่านี้จนเทียบเคียงกับพระเจ้าซึ่งมิริอะเชื่อว่าไม่มีอยู่จริง แต่ไม่ใช่สำหรับเธอที่มีสิ่งจริงแท้ยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้นให้ยึดเหนี่ยว แน่นอนอยู่แล้วที่เธอจะเข้าใจสัจธรรมความเป็นไปในกลไกของสิ่งที่เรียกว่าโลกในศตวรรษหลังสงครามใหม่ ของมหานครใหญ่แห่งนี้ดี แต่ยากจะทำใจรับได้ จนกลายเป็นสิ่งขบขัน ทุกอย่างในที่นี้ช่างน่าขันจนอดไม่ได้ โทรศัพท์ข้างในอกของเธอทั้งสั่นและดัง หากไม่แหวกผ่านเสียงอึกทึกรอบข้างให้ได้ยินแต่อย่างใด เธอล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนตอบรับสายโดยไม่มองดูหน้าจอ แล้วพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนปลายสายจะได้ส่งเสียง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความคิดข้างในหัวสมองทั้งหมดเหล่านี้ หรือแค่เพราะเธอเป่าหมากฝรั่งให้แตกดังโพล๊ะไม่ได้กันแน่




    วิสัยเบื้องหน้าของเขาทับซ้อนมัวพร่าด้วยเส้นแสงสีที่ส่องสะท้อนภายในรูม่านตาซึ่งหดหรี่ลงไป ที่บัดนั้น ชายผู้ไม่ได้มีชื่อนับแต่กำเนิดว่ามัตสึมูระ โฮคุโตะ จะกำลังนั่งยองๆ พิงแผ่นหลังในเสื้อเสื้อโค้ตสีดำยาวกับกำแพงอิฐข้างตรอกอย่างไม่สนใจว่าจะเปรอะเปื้อน โดยมิได้วางสายตาไปยังที่ใดชัดแจ้ง สุ้มเสียงอึกทึกรอบข้างในละแวกอโคจรยามราตรีเยือนกรายผ่านเข้ารูหู และผ่านเลยไปโดยไม่กระทบยังโสตประสาทให้ระคายข้องแม้เพียงนิด หลังจัดการกับมวนบุหรี่ยัดไส้เมื่อตอนหัวค่ำและหลับปุ๋ยไปเมื่อไหร่ก็ไม่ทันรู้ตัว กระทั่งจะมารู้ตัวอีกครั้งก็ในตอนที่ถูกใครคนหนึ่งปลุกให้ตื่นจากโซฟาในห้องนั่งเล่นที่เขายึดเป็นที่ซุกหัวนอนมากกว่าบนเตียง เริ่มต้นพูดอะไรสักอย่างที่เขาต้องยอมรับว่าปรับสมองให้ฟังรู้เรื่องไม่ได้เลย หากก็เออออตอบรับอย่างว่าง่ายไปตามประสา ชายคู่สนทนาจึงทึกทักเอาเองจากสิ่งที่ตนเห็น เร่งเร้าให้เขารีบขึ้นรถเต่าคร่ำครึหมดสมัยไปหลายร้อยปี เพียงเพื่อจะพามาทิ้งเอาไว้ในตรอกย่านคาบุกิโจเพียงลำพัง เขาไม่ได้อนาทรอะไร นอกจากทอดตัวนั่งจับเจ่าอยู่ตรงจุดแรกที่ชายผู้นั้นปล่อยเขาทิ้ง ปล่อยจิตให้หลุดล่องกลับไปก่อนครั้งจะถูกรบกวน ยังดินแดนแสนไกลถึงในห้วงอวกาศสุดขอบจักรวาลซึ่งยังไม่เคยมีผู้ใดไปถึง อาจเว้นก็แต่เขา ที่ละล่องลอยอยู่ที่นั่น ไกลออกไป...ออกไป จนแม้แต่ตัวเองก็ไม่อาจรู้ชัดว่าจะไปสุดสิ้นลงที่ใด เขาไม่ได้ขืนขัด ปล่อยร่างกายหนาหนักไปตามแรงโน้มถ่วงที่เบาหวิว ในสภาพไร้น้ำหนักเหมือนนักบินอวกาศ เขาแสนจะพึงพอใจเป็นอย่างมากกับการลิ้มรสความรู้สึกอันแสนเสรีที่เทียบเคียงกับชีวิตเสรีตลอดหกปีเหล่านั้น ฤทธิ์ของกัญชามวนนี้ใช้ได้ทีเดียว ไม่รู้ว่าใครในบ้านเป็นคนทำไว้ เขาไม่ได้ติดมัน แค่ดื่มด่ำเป็นครั้งคราว

    ก่อนจะรู้สึกได้ถึงแรงเขย่าที่ไหล่รุนแรงข้างหนึ่งจนศีรษะสั่นโคลงไปมา ฉุดดึงจิตวิญญาณอิสระของเขาให้หวนกลับคืนมายังร่างกายที่อยู่ในภูมิทัศน์อันแสนเคยคุ้นของโลกที่อาบล้อมด้วยคลื่นนีออนหลากสีสรรพ์ เขาไม่เคยคิดว่าที่นี่จะเป็นสถานที่ที่ดีกว่าโลกใบที่ยังไม่ถูกใครค้นพบซึ่งเขาเพิ่งจะจากมา แต่อย่างไรก็ดี มันก็เป็นโลกที่เขาสมัครรักชอบมากกว่าโดยไม่มีข้อแม้ใดใด

    “ชินกับมิริอะกำลังมา”

    เป็นประโยคแรกในรอบคืนที่เขาจับใจความได้ ส่วนสมองของเขาก็เริ่มจำจดชายผู้นี้ได้ในที่สุดว่าเป็นทั้งเพื่อนร่วมบ้านและเพื่อนร่วมวง เช่นเดียวกับเจ้าของชื่อชินและมิริอะ มีชื่อว่าทานากะ จูริ เขาพยักหน้าเป็นการตอบรับประโยคบอกเล่าของจูริที่ยืนก้มหน้ากดมือถืออยู่ข้างๆ ปากก็คาบบุหรี่ไปด้วย เป็นบุหรี่ซองที่มียี่ห้อและมาตรฐาน ไม่ใช่แบบที่พวกเขาทำกันเองราคาถูกๆ ในครัวเรือน

    “งั้นขอตัวไปเดินเล่นหน่อย เดี๋ยวมา”

    หมอนั่นยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกไหวๆ เป็นทำนองว่าตามสบายโดยไม่เงยมอง เขาที่นั่งอยู่ถึงเมื่อครู่จึงค่อยหยัดเข่ายืดตัวลุกขึ้น สาวเดินด้วยรองเท้าหนังสีดำลอกล่อนออกไป คือคำมดเท็จทั้งเพ พูดกันตามตรง เขาไม่คิดจะกลับไปอีก เหตุผลเดียวคือเขายังไม่อยากเจอหน้าหญิงสาวคนที่กำลังจะมาหลังจากโต้คารมกันไปด้วยเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับรถเมื่อบ่าย ปล่อยให้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้ที่ทุกอย่างระหว่างเขากับเธอจะกลับมาเป็นปกติ ราวกับไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น สถานการณ์ดำเนินไปในรูปนี้เสมอ ไม่ใช่แค่กับเขา แต่เป็นมิริอะกับทุกคน โฮคุโตะก็แค่รำคาญใจถ้าจะต้องสานต่ออารมณ์เสียๆ ทั้งที่ตอนนี้มันกำลังราบรื่นดีอยู่แล้ว

    ที่จริงแล้วโฮคุโตะชอบเธอ ไม่สิ...เขาชอบทุกคนที่นี่ และที่นี่ก็หมายถึงชุมชนชาวบุปผาชนของตนที่โฮคุโตะยึดถือเป็นบ้านมาตลอดหกปี ที่นี่ไม่มีใครก้าวก่ายเรื่องราวของใคร แน่นอนอยู่แล้ว มัตสึมูระ โฮคุโตะไม่ใช่ชื่อจริงของเขา ชื่อจริงของเขาเป็นภาษาเกาหลีเหมือนเชื้อชาติที่เขาไม่คิดจะปริปากบอกให้แก่ใคร แต่ไหนแต่ไร เขาก็ไม่ได้นึกดีใจหรือเสียใจที่เกิดเป็นชาวเกาหลี หากการถูกเหยียดหยามจากชาวญี่ปุ่นผู้ยังฝังใจจงเกลียดจงชังบ้านเกิดของเขาหลังสงครามระหว่างประเทศย้อนหลังไปเกินห้าสิบปีหลายครั้งหลายคราวก็ทำให้ชวนนึกเวทนา ครอบครัวอุปถัมภ์ของเขาจึงตัดสินใจย้ายจากเมืองเล็กที่อยู่ติดทะเลข้ามไปเกาหลีมาสู่มหานครใหม่ นีโอโตเกียว ซึ่งไม่มีพรมแดนกีดกั้นกาง กระนั้นครอบครัวอุปถัมภ์ก็ยังตัดสินใจงำเงียบเรื่องพื้นเพแต่จาก และเรียกเขาด้วยชื่อเดียวว่าโฮคุโตะ เขาไม่ได้รังเกียจอะไร หากแต่มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกกักขังอยู่ภายใต้ความรักอันน่าอึดอัดของครอบครัวอุปถัมภ์ที่พยายามจะกอบกู้เขาแทน จนกระทั่งสงครามเอเชียบูรพามาถึง แม่อุปถัมภ์ของเขาก็ตั้งครรภ์ลูกหลงของตนเป็นครั้งแรกในวัยใกล้สี่สิบ ทั้งคู่ยังคงมอบความรักให้แก่เขาอย่างล้นเหลือ จนน่ากลัวว่าจะไม่มีเผื่อแผ่ไปให้แก่น้องชายที่ยังไม่ลืมตาดูโลก และในตอนนั้นเอง ที่ทำให้เขาตระหนักคิดว่าถึงเวลาที่จะต้องโผบินออกจากกรงขังที่มีชื่อว่า ความรักเสียที

    ตลอดเส้นทางเดิน สตรีหลายนางผลัดกันเข้ามาเชิญชวนเขาเพื่อหาความสำราญตลอดค่ำคืน นี่คือเหตุผลที่เขาไม่เคยนึกพิสมัยคาบุกิโจที่เป็นดั่งมุมมืดภายในมหานครอันรุ่งเรืองเลย ความปรารถนาสำหรับเขาไม่ใช่แค่เรื่องประเดี๋ยวประด๋าว กระนั้นมันก็ต้องไม่ใช่เรื่องยั่งยืน เขาชอบคนมากมาย ครอบครัวอุปถัมภ์ เพื่อน อาจรวมถึงอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยหรือพนักงานร้านขายของ แต่ไม่เคยรักใคร และแม้นว่าเขาจะไม่ได้คบหาใครเพราะรักแต่อย่างน้อยก็ต้องรู้สึกชอบพอกันบ้าง ตลอดชีวิต เขาเคยมีคนรักมาแล้วหลายคน บอกกล่าวเงื่อนไขล่วงหน้าในการคบหาโดยไม่ก้าวก่าย แต่ไม่ว่ารายไหน เมื่อมีความสัมพันธ์ด้วยกันแม้เพียงครั้งแล้ว ก็จะยัดเยียดความรักมากมายมาให้เขาจนแทบทนไม่ไหว

    เขาไม่เข้าใจว่าคนเราจะต้องการความรักไปเพื่ออะไร

    พ้นจากพื้นที่ย่านเหล่านั้น เขาก็ออกข้ามถนนไปในตอนที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนสี นัยน์ตาหรี่ปรือของเขายังมองเห็นวิสัยรอบด้านเป็นภาพเหนือจริงซ้อนทับกันไม่รู้ต่อกี่ชั้น แล้วชะงักงัน นั่น ริมฝีปากของผู้หญิงคนที่เดินสวนทางและจ้องนัยน์ตาเบิกโพลงสบมาเมื่อเขาฉุดข้อแขนเล็กของเธอถูกแต้มไว้ด้วยสีเชอร์รี่










     


    2020年11月01日
    _______________
    ★ ยกทอล์คจากคอสโมมาส่วนหนึ่งว่านี่คือหนึ่งในฟิคที่เราภูมิใจโคตรๆ แม้จะแต่งไว้ตั้งแต่ปี 2016 ด้วยแรงบันดาลใจจาก 90s anime กับ vaporwave (ไม่เขียนด้วยฟอนต์ธรรมดา) และประเภทแยกย่อยอื่นๆ ที่เราเป็นบ้าเป็นบอมาก รวมถึงแรงบันดาลใจจากบุปผาชนของมูราคามิ และที่เราติดแต่งบรรยายยาวเป็นพรืดก็เริ่มมาจากนิยายเรื่องอย่าไปไหน (สำนักพิมพ์กำมะหยี่) ที่เฟื้อยมาก ซึ่งต้องขอบคุณนิยายเรื่องนี้และงานของมูราคามิที่เป็นอิทธิพลในการแต่งฟิคของเรามาจนถึงปัจจุบัน แน่นอนว่าเราไม่คิดจะเปลี่ยนสำนวนหรือการแต่งเพื่อใครหรือตามใคร ต่อให้เราจะแต่งวรรคเดียวหมื่นคำมันก็เรื่องของเราน่ะนะ เนื้อหาทั้งหมดนี้คือของเก่าที่แต่งไว้เดิมทั้งหมด แค่ปรับคำ แก้ชื่อและลักษณะตัวละครนิดหน่อย แม้แต่บทโฮคุโตะเดิมที่ต้องเป็นเชื้อชาติเกาหลีเราก็ยังคงไว้เลย และนี่ก็ว่าโฮคุโตะก็เปิงอยู่ ได้! จะว่าไปทำไมสมัยก่อนเราแต่งดีกว่าและพล็อตฉลาดกว่าสมัยนี้จังวะ ให้ย้อนมาแต่งตอนนี้ก็ไม่ได้แบบนี้แล้ว จริง
     พูดเลยว่ากูตกใจมากที่มึงเคยบอกว่าอ่านฟิคนี้ไม่รู้เรื่อง มือทาบอก แต่กูก็จะไม่บอกว่าเฮ้ยมันไม่รู้เรื่องจริงตามคำว่ามึงหรอก เพราะกูก็ยังภูมิใจมากและคิดว่ามันดีมากอยู่ดี ไม่ใช่ว่ามึงไม่ชอบเพลงไม่ชอบฟิคไม่ชอบอะไรกูก็ต้องไม่ชอบด้วย ถึงรสนิยมกูจะห่วยกว่ามึงก็ไม่ใช่ว่าต้องไปชอบตาม คนเราน่ะนะต้องหัดมีความคิดและรู้จักมั่นใจในตัวเอง (แต่ใช่ว่าแบบผิดๆ) ไม่ใช่ดีแต่ไหลไปตามกระแสสังคมให้คนอื่นมาชักจูง
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×