คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #63 : CITIZEN ERASED
1
สมองของเขาตื่นตัวฉับไว ทั้งที่เพิ่งจะจมลงสู่ความเงียบสงัดโดยไร้ซึ่งสีสันของภาพฝันรบกวนอื่นใด หลังเหน็ดเหนื่อยกับงานที่ต้องออกแรงมาตลอดทั้งวันได้ไม่ถึงชั่วโมงดีด้วยซ้ำ หากทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกเข้าจากเครื่องมือสื่อสารประจำกายที่แผดลั่น ก่อนได้ทันสั่นไหว มือหนาก็คว้าไขว่ไปยังข้างใต้หมอนที่ซุกซ่อน กดกลับรับสาย เช่นเดียวกับน้ำเสียงตอบรับโดยไร้อาการงัวเงียออกปรากฏ ไม่ว่าจะกี่โมงยามที่เขาเรียกสายไปหา ต่อให้ดึกดื่นหรือว่าใกล้รุ่งอย่างไร น้ำเสียงของจะยังคงหนักแน่น ฟังกระฉับกระเฉงไม่ต่างกันเลยสักครั้งครา บ่อยครั้งที่ผู้หมวดนึกใคร่ครวญ แต่หาได้ใคร่รู้ถึงเรื่องราวของลูกน้องใต้บังคับบัญชาขนาดนั้นหรือก็ไม่ ไม่มีคำกล่าวทักทาย มีเพียงแค่ประโยคคำพูดรัวเร็วตามประสา บอกตำแหน่งที่อยู่ให้ปลายสายได้ตอบรับคำ “สักยี่สิบนาทีน่าจะไปถึงครับ” โดยไม่มีระยะห่าง และสายก็ถูกตัดทิ้งในระดับความรวดเร็ว ชนิดที่ไม่ทันให้เขาได้ทันอ้าปากพูดอะไรออกมาได้อีกแม้สักถ้อยประโยคเดียว
เจสซี่ ลูอิสส่ายหัวอย่างมีอารมณ์ขันน้อยๆ กับนิสัยที่คุ้นเคยดีตลอดสามปีที่ทำงานกับผู้หมวดคิตายามะ จากนั้นใช้เวลาจัดการตัวเองอย่างค่อนข้างจะเร่งรีบ เขตเมืองเก่าอยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับห้องชุดของเขา และต้องใช้เวลาขับรถไปอย่างน้อยๆ ก็ยี่สิบถึงสามสิบนาที ขณะที่บ้านเช่าราคาถูกของคู่หูเขาอยู่แทบจะไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุในย่านนั้นนัก ต่อให้หมอนั่นนอนอ้อยอิ่งอยู่บนเตียงอีกสักสิบนาทีก็ยังมีเวลาพอถมเถไปที่จะเสนอหน้าไปให้คนอื่นๆ ในกรมได้เห็นก่อนเขา ขณะที่ไขกุญแจล็อกห้องและหมุนตัวเตรียมออกเดิน นัยน์ตาของเขาก็จะทอดมองไปเห็นดวงจันทร์ที่แขวนลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าที่มืดมิดเช่นนั้น คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง กลมโตเสียจนเหมือนว่าจะพ้นขนาดปกติเหมือนอย่างทุกที ราวกับว่ามันดูดกลืนทุกสิ่งรอบข้างเพื่อขยายอาณาเขตของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
ปกติพระจันทร์ของนีโอโตเกียวดวงใหญ่และสุกสกาวขนาดนี้เลยหรือเปล่านะ?
เป็นคืนที่รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเอาเสียเลย
2
ตลอดเจ็ดปีของการเข้ารับราชการเป็นตำรวจของเมกุโระ เร็น มีนับครั้งไม่ถ้วนที่เขาจะได้ประจักษ์กับศพและซากซึ่งถูกปลิดชีพจนหมดลมหายใจมานักต่อนัก แทบไม่หวาดไม่ไหวเสียด้วยซ้ำไป แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่ร่างไร้วิญญาณจะทำให้เขารู้สึกคลื่นเหียนได้มากถึงเพียงนี้ จริงอยู่ว่านีโอโตเกียวอาจไม่ใช่เมืองที่ขาวสะอาด ถึงขั้นสุขสงบ ไร้ปัญหาตามแก้ไขให้เหล่าตำรวจในกรมเช่นพวกเขานั่งกินนอนกินภาษีของประชาชนไปวันๆ กระนั้นมันก็ไม่ใช่เมืองที่ขนัดแน่นไปด้วยอาชญากรไม่เว้นแต่ละวันจนยากจะควบคุม เมื่อนีโอโตเกียวก็เป็นแค่เมืองๆ หนึ่งในเขตดินแดนเสรี ไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่ เพียงดำเนินเดินไปตามครรลองของสังคมทั่วไปที่มันควรจะเป็น ทั้งปัญหายาเสพติด การทะเลาะวิวาท คดีลักเล็กขโมยน้อย รวมถึงคดีฆาตกรรม (ที่ปีหนึ่งๆ ก็ใช่ว่าจะมีคดีจำพวกนี้ให้แผนกของเขาได้จัดการมากมายอะไร) ที่เขาได้เคยรับมือกับมันมา ก็เห็นว่าจะเป็นครั้งแรกกับการได้มองเห็นร่างซึ่งถูกสับจนคอขาดออกจากลำตัวที่ถูกกระหน่ำแทง ศีรษะอาบย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉานเสมือนป้ายแปรงหมึกละเลง มาจากร่องรอยการกระหน่ำตีด้วยอะไรบางอย่างที่นับครั้งไม่ถ้วน ศีรษะยุบลงไปเป็นดวงจนสูญเสียเค้าโครงใบหน้าอย่างน่าสะพรึง เขาคล้ายว่าอยากขย้อนเอาอะไรบางอย่างในกระเพาะออกมา และได้แต่นึกแปลกใจว่าเพราะเหตุใด ไอ้หนุ่มหน้าหวาน ตำแหน่งนักวิเคราะห์คราบเลือดใหม่หมาดประจำกรมตำรวจคนนั้น จึงได้มีท่าทีเฉยเมย เมื่อกำลังนั่งสำรวจร่างศพอยู่แบบนี้
“ผู้ตายชื่อคุโรดะ มิกิ” ไม่ต่างกับจ่าอิวาโมโตะที่เขายกย่องอยู่ในที ซึ่งกำลังค้นหาหลักฐานจากเหยื่อโดยหาได้มีท่าทีสะทกสะท้านแต่ประการใด มีกระเป๋าสตางค์ยี่ห้อหรูอย่างดีอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ทรงรัดรูป และบัตรประชาชนที่เสียบแน่นในช่องเก็บของ ใบหน้าบนนั้นเป็นของหญิงสาวผมยาวหน้าตาสะสวย อย่างที่เร็นก็สามารถให้คำนิยามได้ว่า...มาก
“ยังสาวยังสวยอยู่เลยแท้ๆ” แล้วเอ่ยต่อ ขณะยันตัวเองลุกขึ้นหยัดยืนข้างกันกับเขา “น่าเสียดาย ถ้าได้มีอะไรด้วยสักครั้งก่อนตายก็คงดี”
คำตอบของเร็นยังคงเป็นความเงียบ ด้วยรู้ดีว่าจ่าอิวาโมโตะเป็นคนพูดตรงอย่างใจคิด ติดสบถคำหยาบคายเป็นว่าเล่น ทั้งยังมุทะลุดุดัน ประหนึ่งไม่เคยหวาดกลัวต่อสิ่งใดบนโลกใบนี้ นั่นเป็นเหล่าข้อเสียที่ทำให้ใครต่อใครต่างพากันค่อนแคะ ถึงขั้นชิงชัง แต่เร็นไม่ใส่ใจกับนิสัยที่เขามองว่ามันคือความซื่อตรง เขาชื่นชมจ่าในความสามารถรายรอบด้านที่มีอยู่อย่างล้นเหลือ และอีกเหตุผลสำคัญที่สุดก็คือจ่าไม่เคยสนใจให้ค่ากับความเป็นมาที่ส่งต่อมาจากนามสกุลติดตัวของเขาเลยสักนิด
“พระเจ้า!” ใบหน้าของคู่หูเขาพลันย่นยู่ลงไป เมื่อแตะกลิ่นโชยในคืนที่อากาศอบอ้าว ทันทีที่รองเท้าหนังก้าวย่างเข้ามายังสถานที่เกิดเหตุบริเวณโกดังร้างแห่งนี้ ท่าทีของเจสซี่ไม่ได้แสดงออกมาในความหมายเดียวกันกับเขา หากดูเหมือนว่าจะเป็นอาการตกใจด้วยไม่ทันตั้งตัวกับร่างที่อยู่เบื้องหน้าขณะนี้มากกว่า
ไม่ใช่แค่ใครที่รู้ แต่เห็นจะเป็นบุคลากรทั้งกรมตำรวจนีโอโตเกียวเลยที่รู้จะถูกต้องที่สุด ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เหล้าเข้าปาก เจสซี่เป็นต้องสาธยายสมัยนับกำเนิดเกิดชีวิตที่ลาสเวกัสซึ่งได้กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนไปแล้วให้ได้ฟังอยู่ร่ำไป มันไม่ได้น่าพิสมัยเหมือนครั้งหนึ่งที่เคยรุ่งเรืองเลยสักนิด อย่าได้คิดเหยียบย่างไปเป็นอันขาด ฉันเตือนแล้วนะเว้ย! เจ้าตัวกล่าวย้ำเช่นนั้นได้อย่างไม่รู้เบื่อ จะเรื่องยา เรื่องค้า หรือเรื่องฆ่าก็ล้วนผ่านมาหมด มือของเขาไม่ได้ขาวสะอาด สาดสีแดงจนล้างไม่ออกเสียด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าเทียบกับเร็นในชาติตระกูลที่ดีงามกว่าหลายเท่าตัว แต่ไม่ใช่คนแบบนี้หรอกหรือที่กรมตำรวจต้องการ? หลายเรื่องฟังแล้วก็ออกจะเหลือเชื่อ ผู้หมวดคิตายามะบอกให้เขาฟังหูไว้หู แต่ถึงอย่างไร ทั้งรอยแผลเป็นและชีวิตภายใต้เงากฎหมายในอดีตที่ผันผ่านมาของเจสซี่ ลูอิส ก็ยังคงเป็นสิ่งแน่แท้
“เฮ้! ฉันรู้จักผู้หญิงคนนี้!”
“หมายถึงหล่อนเหรอ?” จ่าอิวาโมโตะเลิกคิ้ว
“ครับหมวด เมื่อสองสามวันก่อนผมเจอเธอที่บาร์ในเมือง บังเอิญได้คุยกันนิดหน่อย เธอบอกว่าตั้งใจจะมาเซอร์ไพรส์แฟน แต่จับได้ว่าแฟนมีชู้ แถมยังถูกขู่ฆ่า ก็เลยคิดจะกลับบ้าน”
“อย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่าอาจเป็นเรื่องส่วนตัว”
หากยึดตามคำบอกเล่าของสายสืบลูอิส และถ้าเป็นไปตามที่จ่าอิวาโมโตะคาดเดา เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากในการตามหาผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งที่คงจะกำลังนอนกกกับชู้รักที่ไหนสักแหน่งในนีโอโตเกียวฝั่งตะวันตก หลังจัดการกับคนรักเก่าให้กลับบ้านเกิดสมใจแล้ว จริงอยู่ว่าสมัยที่ยังใช้ชีวิตอยู่ลาสเวกัส เจสซี่จะเคยพบเจอเรื่องน่าสะพรึงขวัญ ไหนจะภาพชวนหดหู่ใจให้ได้ชินชามาแล้วแทบจะทุกรูปแบบ หากมันก็ดูจะเทียบกันไม่ได้เลยกับค่าความผูกพันที่แปรผกผันกับความเหี้ยมโหดเกินมนุษย์เช่นนี้
“คนที่ทำแบบนี้ได้ใจคอคงโหดเหี้ยมน่าดู” เร็นว่า เบือนสายตาออกจากร่างไร้วิญญาณที่ทำให้เขาอึดอัดใจไปอีกทางหนึ่ง
“ชินได้แล้ว”
จ่าอิวาโมโตะวางมือแปะลงบนบ่าเบาของเขาเบาๆ จากนั้นเดินผ่านเหล่าลูกน้องไปแสวงหาบรรยากาศปลอดโปร่งอยู่ที่หลังโกดังเพียงลำพัง ไม่มีผู้คน ไม่มีแสงไฟ ไม่มีสิ่งใดพลุกพล่าน มีแค่เขากับบุหรี่แท่งยาวรสแรงที่อัดเข้าปอด หวังช่วยคลายความเครียดในคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ ซึ่งยากจะพบเห็นในนีโอโตเกียว — เมืองลำดับต้นๆ ที่จัดอยู่ในกลุ่มประเภทแสนโสภาศิวิไลซ์ แหล่งท่องเที่ยวชั้นดี โรงละครชั้นเลิศ ใครกันเล่าจะปฏิเสธได้ลง? นอกสถานที่เกินเหตุขณะนี้กำลังวุ่นวาย พวกนักข่าวแห่แหนมากันไวว่อง ถึงต่อให้ดึกดื่นแค่ไหนก็กระหายข่าวสดใหม่ จำต้องเฉียดกรายได้ข้อมูลแม้เพียงนิดน้อย เหมือนแมลงหวี่น่ารำคาญที่พวกเขาในกรมตำรวจจนใจจะรับมือ แล้วพลเมืองนีโอโตเกียวก็จะพากันแตกตื่นกับข่าวด่วนยามดึก ข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งบนกรอบรอบเช้าของหนังสือพิมพ์ประจำเมืองบนแผง ง่ายดายแบบนั้นเอง
จ่าอิวาโมโตะทิ้งหลังชนกำแพง ปล่อยควันสีขาวขุ่นเป็นสายอาบวนรอบตัว ผ่านม่านสีหมึกของท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ดวงจันทร์กำลังเปล่งแสงสว่าง...สว่างเกินไปจนนัยน์ตาของเขาแทบจะพร่า
ประสาทของเขาเฉียบแหลม แต่สังหรณ์ของเขาไม่เคยจะเฉียบคมเหมือนวันนี้มาก่อน และนั่นจะทำให้สีหน้าเริงร่าอันเป็นเอกลักษณ์ตลอดมาของสายสืบหนุ่มประจำนีโอโตเกียวเป็นต้องมัวหม่นลงไป ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ยาวนานถึงแม้บทสนทนาที่หล่อนเป็นผู้ถือครองเจื้อยแจ้วจะยาวยืดก็ตามแต่ แต่คุโรดะ มิกิก็แค่สาวน้อยที่ไขว่คว้า ปรารถนาหารักแท้ด้วยจิตใจบริสุทธิ์สุดหยั่ง ก่อนจะต้องลงเอยด้วยการพบจุดจบเกินกว่าที่มนุษย์คนหนึ่งสมควรจะได้รับอย่างน่าเศร้า
ครั้นเจสซี่เงยหน้าขึ้น เขาก็มองเห็นพระจันทร์ดวงเดิมยังลอยเด่นเป็นสง่าอยู่กลางฟากฟ้า
“ปกติมันดวงใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ?”
“หือ?”
เร็นลากสายตาขึ้นไปตามทิศทางของคู่หู กระนั้นความไม่เข้าใจก็ยังคงแผ่กระจายบนวงหน้า
“ฉันหมายถึงพระจันทร์”
ขณะที่เร็นกำลังนึกใคร่ครวญ กลับเป็นน้ำเสียงแหลมสูงจากคนที่ปิดปากเงียบอยู่นานเพราะการเก็บหลักฐานคราบเลือดจากศพโดยไม่สนอกสนใจใครเลยที่เปล่งขึ้นฉับพลันว่า “คุณลูอิสรู้ความแตกต่างระหว่างอินเซนกับลูน่าติกไหมครับ?” ไม่เพียงแค่เจ้าของนามสกุลที่ถูกเอ่ยเรียก แต่ใครอีกคนก็จะดึงสายตาและความสนใจกลับมาหาชายผู้นั้นด้วยเช่นเดียวกัน
“ก็พวกบ้าเหมือนกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง” ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังรวนเสียงหัวเราะไปด้วยเมื่อตอบต่อคำถามไปอีก
แต่ชายหนุ่มเจ้าของคำถามก็หาได้สนใจกับคำพูดไร้สาระอย่างสนุกปากนั้น ถึงไม่มีรอยยิ้มปรากฏ แต่ก็ไม่ได้มีความขุ่นข้องจัดเจืออยู่
“ฉันเคยได้ยินว่าพระจันทร์เต็มดวงทำให้สติของคนคลุ้มคลั่ง คำว่าวิปลาส (ลูน่าติก) ก็คงจะมีที่มาจากอะไรประมาณนี้ ล่ะมั้งนะ” คลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นสมัยเรียนที่คนรักคนแรกซึ่งแก่กว่าบอกกล่าวให้เขาฟัง แม้จะไม่ได้สนใจไปกว่าใคร่รู้สิ่งที่อยู่ใต้เสื้อซับในของเธอ แต่ก็น่าแปลกที่เร็นยังคงจดจำมันได้จนถึงบัดนี้
“ตกลงนี่เรากำลังพูดถึงคนหรือมนุษย์หมาป่า?”
ในที่สุดผู้ริเริ่มหัวข้อสนทนาก็หยัดตัวลุกขึ้น เขาหันมาเผชิญหน้ากับเจสซี่ บนใบหน้าและรูปร่างเล็กที่ผอมบางเหมือนกับผู้หญิง มีรอยยิ้มเล็กๆ ผุดพรายขึ้นตรงมุมปาก แต่ก็เพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้นจนไม่มีใครได้ทันสังเกต เสมือนหยันเย้ยให้กับความโง่เขลาของสายสืบผู้นี้ และไอ้คนโง่เขลาพรรค์นี้ก็คงจะอ่านเจตนาของนากามูระ เรย์อะ ผู้ซึ่งไม่เคยแบไต๋ตัวเองให้ใครได้รับรู้ไม่ออก
เรย์อะเลยผ่านคำพูดของเจสซี่แล้วหันไปแตะรอยยิ้มให้กับเร็น เป็นรอยยิ้มที่ดีทีเดียว
“ถ้าเป็นอย่างที่คุณเมกุโระว่า เช่นนั้น คืนนี้คงจะมีคนสติวิปลาสเพราะดวงจันทร์มากทีเดียวเลยนะครับ”
3
“อินเซนน่าจะหมายถึงภาวะที่มีปัญหาทางด้านสมองมาแต่กำเนิด ถ้าเป็นไปได้ควรเข้ารับการรักษาเฉพาะทาง ส่วนลูน่าติกนั้นหมายถึงภาวะที่สูญเสียสติสัมปชัญญะไปชั่วขณะเพราะพระจันทร์หรือลูน่า ในศตวรรษที่สิบเก้า ที่ประเทศอังกฤษ ถ้าใครถูกตัดสินว่าเป็นลูน่าติก จะได้รับการลดโทษหนึ่งขั้น ไม่ว่าจะประกอบอาชญากรรมอะไรก็ตาม ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นเพราะถูกแสงจันทร์ทำให้จิตว้าวุ่นมากกว่าจะเป็นความรับผิดชอบของคนคนนั้นเอง เป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่มีกฎหมายอย่างนั้นอยู่จริงๆ สรุปคือ การที่พระจันทร์ทำให้จิตของคนคลุ้มคลั่งเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับในแง่ของกฎหมายด้วย”
—จากนวนิยายเรื่อง 1Q84 ของฮารูกิ มูราคามิ
ทั้งแผ่นหลังและศีรษะที่พิงพาบอยู่กับกำแพงถึงก่อนหน้านั้นค่อยๆ เลื่อนไหลลงมา ทั้งที่ยังไม่ทันจะอ่านตัวอักษรบนหน้าหนังสือให้จบดีเลยด้วยซ้ำ จากท่านั่งกลายสภาพมาเป็นท่านอนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คงเพราะไม่ใช่หนังสือที่นึกอยากอ่านมากนัก แค่เพราะมันอยู่ใกล้มือ และเธอก็ขี้เกียจเกินกว่าที่จะลุกไปเปลี่ยนหยิบเอาหนังสือเล่มอื่นที่อยู่บนชั้นวางติดมือติดไม้มาเป็นเพื่อนกล่อมนอน ไม่มีอะไรผ่านเข้ามาในหัวเลย นอกจากถ้อยคำพูดยาวยืดของแฟนสาวสูงวัยกว่าเพียงเท่านั้น สุดท้ายแล้วเธอจึงตัดสินใจปัดปิดหนังสือเล่มหนา เอื้อมมือวางมันกลับลงบนโต๊ะข้างเตียงเหมือนเดิม ทันทีที่ขยับพลิกตัวอยู่ในตำแหน่งพอเหมาะพอดีบนเตียงนอนได้แล้ว หญิงสาวจึงปล่อยสายตาและความคิดให้ลอยละล่องไปกับจันทร์เต็มดวงที่ทอดมองเห็นภายนอกบานหน้าต่างอ้ากว้าง จินตนาการถึงเรื่องราวของคนอินเซนและคนลูน่าติกที่อาจจะเดินว่อนรอก่อปัญหามากน้อยกันอยู่ในนีโอโตเกียวตลอดค่ำคืนนี้จนหัวสมองวุ่นวาย กระทั่งสายลมอ้าวพลิ้วโชยพัดม่านผ้าฝ้ายปลิวไสว นัยน์ตาใสแจ๋วจึงค่อยหรี่ปรือ ทำท่าว่าจะจมดิ่งลงสู่ห้วงความฝันทุกขณะจิต ไม่นานนัก เธอก็ได้ยินเสียงกุกกักแว่วแผ่วเข้ามา แต่หนังตาที่หย่อนปิดลงไปแล้วก็เพลียเกินกว่าจะเปิดมันขึ้นมาอีกครั้ง เวลาดึกดื่นแบบนี้ เห็นทีคงจะเป็นเจ้าเหมียวเอกซ์โซติกของคุณคุริฮาระที่กำลังเตรียมตัวจะออกท่องราตรีบนขอบหน้าต่างเป็นประจำนั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องลี้ลับชวนหัวอะไรทั้งนั้น
“มิเนะ!”
ไม่ใช่แค่เพราะมันคือชื่อจริงที่มีผู้คนแค่เพียงหนึ่งหยิบมือเท่านั้นในนีโอโตเกียวจะรู้ แต่เพราะว่ามันคือเส้นเสียงที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี...ถึงดีมาก เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่เร็วรี่เสียจนตัวเองยังนึกประหลาดใจ นัยน์ตาลืมขึ้น รูม่านตาเบิกกว้าง เช่นเดียวกับริมฝีปากสีอ่อน หากยังไม่ทันได้ผุดลุกขึ้นนั่งหรือขยับกายถอยห่างดี ก็จะถูกร่างซึ่งกระโดดผลุงขึ้นมาบนเตียงฉวยคว้าข้อแขนเล็กนั้นไว้
“ไคโตะ! นายมาที่นี่ได้ยังไง!” น้ำเสียงของเธอฉายแววตื่นตระหนก แต่เขาก็จะเพียงแค่ยิ้ม โน้มใบหน้าลงต่ำชนิดที่จมูกแทบจะเฉียดชนกับเธออยู่แล้ว
“คิดถึง”
มิเนะเกือบจะระบายรอยยิ้มออกมาอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้าของยัยเด็กนั่นจะปรากฏขึ้นมาในหัวสมอง หลังจากช่วงเวลาอันน่าอดสูตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อน เปลี่ยนให้ความหงุดหงิดเข้าแทนที่ แสดงผ่านลงไปในน้ำเสียงที่กระแทกกระทั้นอย่างจงใจว่า “เก็บเอาไว้ไปพูดกับผู้หญิงของนายเถอะย่ะ!” จะว่าเป็นเพราะความโกรธคนตรงหน้าหรือก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ระหว่างคนรักเก่าที่คบหากันนานตั้งกว่าสี่ปีกับยัยเด็กหน้าซื่อ ตาใส ไร้ศีลธรรมที่รู้จักกันแค่ไม่ถึงครึ่งปี มิเนะให้น้ำหนักความเกลียดชังเทไปทางยัยเด็กบ้านั่นเกินครึ่งตาชั่งจนแทบจะหัก! หากแต่ความอุตสาหะจากความขุ่นข้องทั้งหลายคล้ายว่าจะพังครืนลงไปไม่เป็นท่า ทันทีที่เขาสวนคืนพร้อมรอยยิ้มที่ไม่จางหายไปไหนเลยว่า “ผู้หญิงของฉันก็มีแค่มิเนะคนเดียวเท่านั้นแหละ” และถ้าเขาจะไม่ทำตัวเป็นหัวขโมยซ้ำสองด้วยการก้มกดริมฝีปากลงไป ให้อุณหภูมิในร่างกายร้อนผ่าวเหมือนคนเป็นไข้แล้ว พายุอารมณ์ของเธอก็คงจะไม่เบาบางกระทั่งลับลาหายไปเช่นนี้แน่
ก่อนสติที่ใกล้จะเลือนลับตามไปของเธอจะถูกรั้งเรียกกลับคืนมา ทันทีที่ได้ยินสายเรียกเข้าแผดขึ้นเป็นจังหวะดนตรี หนึ่งครั้ง สองครั้ง เธอตระหนักถึงตัวเลขเวลา และความเป็นจริงถึงใครคนหนึ่งที่ตามหลังมาในวินาทีที่ตรงกัน แต่เมื่อมิเนะพยายามจะดันตัวเขาออกไปให้พ้นห่าง ก็กลับกลายเป็นว่าเขาจะยิ่งฉุดรั้ง พาเธอดำดิ่งสู่หลุมดำมืดอย่างหนักหน่วงไปกับสำนึกผิดชอบชั่วดี...ที่เธออาจเฝ้าปรารถนา
การที่เธอสูญเสียสติสัมปชัญญะแบบนี้ ต้องเป็นเพราะเส้นแสงสีเงินยวงของพระจันทร์ดวงโตในค่ำคืนนี้แน่ๆ
แม้จะพยายามหาข้ออ้างให้กับการกระทำของตัวเองอย่างไร มิเนะก็รู้ทุกอย่างดีอยู่แก่ใจ
แต่เมื่อเธอหาได้ให้ค่าศรัทธาในพระเจ้าองค์ใด จึงได้แต่หวังว่าเทวดาจะให้อภัย
4
โคระ ทสึกุมิ ไม่เคยเข้าใจเลยว่าเพราะเหตุใด จ่าหนุ่มหัวหน้าแผนกฆาตกรรมคนปัจจุบันประจำนีโอโตเกียวที่มีชื่อเสียงเรียงนามจัดว่าดูดี แต่ไม่ดีพอให้ทสึกุมิอยากจะเปล่งแทนที่คำว่า ‘ไอ้จ่าเวร!’ ในหัว จึงมักจะคอยแสดงท่าทีรำอกรำคาญใจ หรือใช้คำพูดคำจากับเธอในลักษณะหยาบคายเยี่ยงคนไร้อารยะเช่นนี้อยู่เสมอด้วย
แค่เพียงเพราะเธอเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ตาดำๆ คนหนึ่ง คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่รัฐแล้วจะทำอะไรก็ได้สิท่า ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่ถมถืดไป ทสึกุมิไม่ปฏิเสธว่าเธออาจจะกระหายใคร่รู้ไปบ้างตามประสานักข่าวสาวเหล็กที่ต้องทำงานหาเลี้ยงปากท้อง กระนั้นหญิงสาวก็ค่อนข้างแน่ใจว่าตัวเองไม่เคยแสดงกิริยาจาบจ้วง หรือกระเสือกกระสนวุ่นวายกับการหาข่าวมาเขียนให้ทันขึ้นหน้าหนึ่งกรอบเช้าของนีโอโตเกียวรีพับลิคให้จงได้ โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเหมือนอย่างสำนักพิมพ์หัวอื่น...หรือแม้แต่สำนักข่าวเจ้าอื่น...มาตลอดหนึ่งปีการทำงานของเธอเลย กิตติศัพท์ความปากร้ายของนายจ่าแผนกฆาตกรรมคนนี้ในหมู่สายงานของเธอปกติก็ใช่ย่อยอยู่แล้ว แต่ทสึกุมิกล้าพนันด้วยคอนเวิร์สชัคเทย์เลอร์ออล สตาร์ คอลเลคชั่นแอนดี้ วอร์ฮอล มูลค่าเจ็ดสิบเหรียญของเธอได้ ว่าไม่มีใครหน้าไหนจะได้เคยสัมผัสประสบการณ์อันไม่พึงปรารถนาในแบบเดียวกับเธอมาก่อนอย่างแน่นอน
“ก็บอกแล้วว่าศพมันเละยังจะเสนอหน้าเข้ามาดูอีก ถ้าเกิดว่าจะอ้วกหรือเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาก็ช่วยย้ายก้นไปไกลๆ โน่นเลย อย่ามาเกะกะรบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่แถวนี้!”
สาบานได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมา โคระ ทสึกุมิ ไม่เคยนึกเกลียดชังใครได้มากเท่านี้จริงๆ!
ใช้เวลาเกินหนึ่งทว่าไม่ถึงสองชั่วโมงจากเขตเมืองเก่ากลับเข้าตึกสำนักงานในย่านใหญ่ใจกลาง แม้จะพยายามทุ่มสมาธิ เขียนข่าวก๊อกๆ แก๊กๆ เพื่อให้ทันส่งโรงพิมพ์ขึ้นกรอบเช้าอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างสุดกำลังดีแล้ว แต่ดูเหมือนไม่ว่าอย่างไร อารมณ์ที่คุกรุ่นของเธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลงได้ง่ายๆ ถึงภายใต้แอร์คอนดิชันเนอร์เย็นเฉียบขณะนี้เลย
“เฮ้! ทสึกุมิ เบาหน่อย”
ถ้าไม่ใช่เพราะสุ้มเสียงที่ดังขึ้นไม่ให้ทันได้ตั้งตัว ในตึกสำนักงานที่บัดนี้มีเพียงแค่เธอกับโคมไฟสลัวบนโต๊ะที่ส่องให้ความสว่างเพียงลางเลา ทำเอาคนที่กำลังระบายอารมณ์ผ่านนิ้วกระแทกแป้นคีย์บอร์ดปึงปังเป็นต้องสะดุ้งโหยง สายตากวาดล่อกแล่ก พลางลุกจากที่นั่งขึ้นมองหาต้นเสียงเร็วรี่ จากนั้นจึงค่อยพรูลมหายใจออกมา ทันทีที่สายตาจะปรับโฟกัสมองเห็นเงาร่างของคนที่อยู่เบื้องหน้าไม่ไกลห่างนักได้อย่างชัดแจ้ง “อ้อ เก็นตะนี่เอง” เธอส่ายศีรษะอย่างนึกขัน กลับไปทิ้งตัวนั่งลงดด้วยความโล่งใจ
เขาบิดขี้เกียจยืดยาว หลังลุกจากเสื่อปูหลังโต๊ะทำงานของตนซึ่งยึดครองเป็นที่ซุกหัวนอนชั่วคราวอยู่เป็นประจำ อาจเพราะมัวแต่เขียนสกู๊ปข่าวจนถึงดึกแล้วถูกความง่วงเหงาจู่โจมเข้าใส่กะทันหัน หรือมิเช่นนั้น — และแนวโน้มในข้อนี้ก็เป็นไปได้มากกว่าว่า — เขาก็แค่ขี้เกียจเกินกว่าจะทะยานไบค์คู่ใจกลับบ้าน ฝ่าการจราจรคับคั่งใจกลางเมืองออกไปอีกฝั่งถนน แต่เราอย่าไปคั้นหาใจความหลักสำคัญอะไรจากผู้ชายที่ชื่อมัตสึดะ เก็นตะให้มากนักเลย ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาจะอยู่ในระดับที่ทสึกุมิสามารถพูดได้เต็มปากว่าซี้ย่ำปึ้ก มันก็ไม่ได้สะกดเหมือนกับคำว่า ‘รู้ไส้รู้พุง’ สักนิดอยู่ดี
เขาถามไถ่ถึงข่าวคราวรอบดึก น้ำเสียงหลังตื่นนอนฟังดูปร่าแปร่งจนทสึกุมิเผลอขมวดคิ้ว แต่ก่อนที่ตัวจะได้เฉียดใกล้มายังโต๊ะทำงานอีกฟากฝั่งตรงกันข้ามนั้นเอง เพื่อนสนิทสาวก็จะร่ายความหงุดหงิดใจที่คั่งค้างอัดแน่นส่งต่อมา มือข้างหนึ่งยกขึ้นเท้าคางกับใบหน้าบูดบึ้ง อีกข้างก็เคาะแป้นพิมพ์โป๊กๆ ไม่ได้หยุด
“ถ้าฉันรู้ว่านายจะนอนที่นี่นะเก็นตะ ฉันคงจะไม่ทิ้งมื้อค่ำมาทำงานให้หัวจะระเบิดแบบนี้หรอก!”
ก็เพราะแน่ใจทีเดียวว่ามันคือเรื่องเดิมๆ กับคู่กรณีเดิมๆ จึงช่วยไม่ได้ที่เก็นตะจะหลุดหัวเราะขำ ถึงแม้จะมองเห็นสายตาตำหนิและริมฝีปากที่วาดเส้นโค้งลงแต่ไกลแล้วก็ตาม
“จ่าอิวาโมโตะเค้าก็เป็นแบบนี้แหละ”
“ฉันล่ะเกลียดไอ้จ่าเวรนั่นจริงๆ! สาบานต่อพระเจ้าเลย!”
“น่าๆ ทสึกุมิ ฉันเข้าใจ”
“คนอย่างนายจะไปเข้าใจอะไร!”
เธอขึ้นเสียงสูง จิกนัยน์ตาที่วาดเส้นอายไลเนอร์คมกริบเสริมถ้อยคำให้ยิ่งเข้มข้น หากมันก็ไม่ได้ทำให้เก็นตะผู้ไม่เคยหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อเพื่อนสนิทรายนี้ต้องหวาดกลัวแต่อย่างใด นอกจากรอยยิ้มกว้างจนนัยน์ตาหรี่ลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว เปลี่ยนมากึ่งนั่งกึ่งพิงทิ้งน้ำหนักอยู่ตรงขอบโต๊ะทำงานที่ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นระเบียบของเธอ จากนั้นทสึกุมิจึงถือโอกาสไขความใคร่รู้แต่แรกเริ่มให้เพื่อนร่วมงานถึงศพนอกโกดังร้าง ทั้งอย่างนั้น ภาพของหญิงสาวที่ถูกบั่นคอก็กลับไม่ง่ายที่จะสลัดมันทิ้งไปได้เลย
“ไม่มีคดีสะเทือนขวัญแบบนี้มานานแล้ว มันต้องเป็นข่าวใหญ่แน่ๆ”
_______________
ความคิดเห็น