ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #56 : Call From The Grave

    • อัปเดตล่าสุด 11 มี.ค. 64


    Call From The Grave
    Inspiration: Fear Itself: New Year’s Day (TV Episode, 2008) & Until Dawn (Video Game, 2015) & Dead By Daylight: Darkness Among Us (Video Game, 2018)
    Playlist: VAMPS – Underworld (Code Vein Opening Theme)












    .

    ขาของเธอเริ่มจะล้า เช่นเดียวกับอาการแน่นหน้าอกที่ตีตื้นขึ้นมา กับอัตราการเต้นของหัวใจที่รัวเร็วเกินกว่าจะทนรับไหว และลมหายใจที่ติดๆ ขัดๆ เพราะการเผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทั้งที่เพิ่งจะผ่านพ้นมาได้เพียงแค่ไม่กี่นาทีแต่กลับรู้สึกยาวนานราวกับนิจนิรันดร์ ความเหนื่อยล้าและเจ็บปวดอันแสนสาหัสถาโถมเข้าใส่ จนคล้ายกับว่าถ้าขืนเธอยังไม่ยอมหยุดการเคลื่อนไหวภายในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้แล้ว ข้อต่อกระดูกของเธอจะต้องเลื่อนหลุดออกจากกันให้ทรุดฮวบลงไปแน่ๆ แต่ต่อให้จะเกิดเหตุการณ์ดั่งที่ว่าขึ้นจริง เธอก็จะกระเสือกกระสนต่อไป ตราบเท่าที่เสียงทุ้มต่ำนั่นจะยังคงแว่วผ่านเข้ามาในระยะโสตประสาทให้ได้พรั่นพรึงอยู่เช่นนี้

    เป็นโชคดีที่แม้เธอจะวิ่งสะเปะสะปะออกมาอย่างไม่รู้ทิศทาง หากกระท่อมร้างอันคุ้นเคยที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าแววตา ก็เหมือนกับการได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ฝีก้าวในรองเท้าบู๊ตสีขาวเปรอะที่สวมใส่จึงไม่รอช้า รีบเผ่นกระโจนเข้าไปข้างในพร้อมกับหยิบท่อนไม้และเก้าอี้ผุๆ มาช่วยขัดล็อกประตูอีกแรงหนึ่ง เธอรู้ดีว่าจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องผ่านบานหน้าต่างและรูแตกเข้ามาเป็นหย่อมๆ ดวงตายังพอมองเห็นทางเดินไปยังห้องนอนโดยไม่สะดุดข้าวของระเกะระกะตามระรายทาง ทันทีเข้าไปได้ก็จัดการออกแรงถีบโต๊ะเขียนหนังสือกับเก้าอี้เข้าชุดของมันมากันไว้เป็นปราการที่สอง ก่อนพาร่างกายที่โรยราเหลือคณาไปหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้าที่ว่างเปล่า เมื่อได้นั่งพักในที่สุดก็จะรีบสูดเอาอากาศหายใจเข้าปอดไปอย่างเต็มแรง กระทั่งเสียงหัวใจที่เต้นรัวแรงค่อยๆ ช้าลงทีละน้อย ทีละน้อย ปล่อยระดับที่มากเกินไปของทุกอย่างให้กลับคืนสู่ปกติ หรืออย่างน้อยก็เกือบปกติเท่าที่จะเป็นไปได้ จำได้ว่าตู้เสื้อผ้าล็อกได้แค่เฉพาะจากด้านนอก เช่นนั้นแล้ว เธอจึงค่อยหยิบมีดพกที่เหน็บอยู่ตรงปลอกเข็มขัดขึ้นมากำด้ามจับเอาไว้แน่น รอคอยการโจมตีที่อาจจะมาถึงอย่างเชียบงัน

    มันกลายเป็นคืนนรกแตกแบบนี้ไปได้อย่างไร?

     

     

    แอนน์ อลันเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับคำเชิญให้มาพักผ่อนช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ยังคฤหาสน์ตากอากาศบนภูเขาของเพื่อนร่วมคลาสที่ต่างอยู่ในกลุ่ม เพื่อนของแฟนเพื่อนทั้งสองฝ่าย กระทั่งจะขยับเลื่อนมาเป็นเพื่อนสนิทกันเองโดยไม่ต้องนัดพบผ่านฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอีก บางครั้งบางคราวก็มีการสังสรรค์กันนอกรอบเป็นกลุ่มใหญ่ๆ นอกจากเธอและคู่รักซึ่งเป็นผู้ชักนำความสัมพันธ์ระหว่างกันแล้ว ก็ยังมีเพื่อนทั้งชายหญิงอีกนับสิบกว่าชีวิตที่แอนน์ทั้งรู้จักและไม่รู้จักมาร่วมด้วย ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร ในเมื่อไทกะ เคียวโมโตะ หรือที่ทุกคนรู้จักดีในฐานะทายาทเพียงคนเดียวของผู้มีอิทธิพลในวงการภาพยนตร์และเจ้าของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านหลังนี้มีมิตรสหายอยู่มากมาย ทั้งประเภทที่จริงใจหรือไม่ก็หวังผลจนแทบจะนับกันไม่หวาดไม่ไหว และแม้ว่าจะมีจำนวนเพียงหยิบมือหนึ่งในทริปฤดูร้อนคราวนี้ ก็ใช่ว่าเขาจะเลือกคนมาได้อย่างถูกต้องเสียที่ไหน แอนน์คิดเสมอว่าไทกะมองโลกในแง่ดีเกินไป...หรืออาจเป็นเพราะว่าเธอมองทะลุคนอื่นได้ปรุโปร่งเองต่างหาก อย่างน้อยๆ เจสซี่ ลูอิสก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ว่าไทกะ หรือว่าใคร ก็ควรที่จะตัดออกจากรายชื่อของมนุษย์ที่น่าคบหาไปให้ไกลๆ เลยเป็นคนแรก

    แอนน์ไม่รู้เลยว่าตัวเองทำเวรทำกรรมอะไรมา ถึงได้บอกคนอื่นๆ ที่บ้างนั่งบ้างยืนอยู่แถวสถานีเคเบิลคาร์ว่าจะรอเพื่อนสนิทที่ยังเดินทางมาไม่ถึงก่อน แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่ปรากฏวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆ ผ่านเข้ามาในแววตาเลยเพียงน้อยแม้แต่กระรอกสักตัว ในตอนที่เธอกำลังจะถอดใจเพราะดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยต่ำลงไปทุกทีนั้นเอง เสียงเรียกเข้าจากกระเป๋าเป้สะพายหลังที่วางอยู่ข้างตัวก็จะแผดดังขึ้น หลังจากที่กระหน่ำโทร.หาเจ้าตัวแล้วไม่ปรากฏสัญญาณใดๆ อาจเกินกว่าสิบสายได้แล้ว การณ์กลับกลายเป็นว่าเจ้าหล่อนจะบังเอิญประสบอุบัติเหตุรถตู้คว่ำกะทันหัน จากที่คิดว่าจะขึ้นเขาเลยต้องแกร่วอยู่ที่โรงพยาบาลแทน แต่ไม่เป็นอะไรร้ายแรงมากนอกจากศีรษะกระแทก ข้อมือเคล็ดและเป็นรอยฟกช้ำตามตัวเล็กน้อย หล่อนย้ำซ้ำๆ เมื่อเธอทำท่าว่าไม่อยากตามไปสมทบกับเพื่อนคนอื่นอยู่รอมๆ ว่า “ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกน่า” ถึงอย่างนั้นก็เถอะ จะให้เธอไม่เป็นห่วงเพื่อนสาวคนสนิทเลยก็กระไรอยู่

    เธอได้แต่ถอนหายใจ เก็บมือถือกลับเข้าไปในกระเป๋าเป้สีดำแล้วจัดการรูดซิปปิดให้เรียบร้อย ในตอนที่ยกขึ้นสวมไหล่ข้างหนึ่ง ก่อนเตรียมตัวขึ้นเคเบิลคาร์ไปนั้นเอง คนที่แอนน์ตั้งแง่เป็นนักหนาก็จะเดินนวยนาดเข้ามา พอเห็นเธอก็ยกยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่มุมปากข้างหนึ่ง แฝงเจตนาร้ายกาจเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย

    เลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องขึ้นเคเบิลคาร์ไปยังคฤหาสน์พร้อมกันกับเขา ก็แล้วทำไมเธอจะต้องไปหลบหน้าหรือยอมเสียสละเผชิญความล่าช้าทั้งที่เธอไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย? แอนน์เกลียดเจสซี่ก็จริง แต่แค่ผูกติดอยู่ด้วยกันไม่กี่นาทีคงไม่ทำให้ถึงตาย...นอกจากระคายเคือง

    “นึกไว้อยู่แล้วว่าเธอต้องมาด้วย ก็ใครจะปฏิเสธคฤหาสน์หรูๆ กับผู้ชายหล่อๆ ได้ลงล่ะ ว่าไหม?”

    เธอคิดว่าควรจะร้องแหวใส่หรืออะไรสักอย่าง แต่กับผู้ชายคนนี้รังแต่จะสร้างเสียงหัวเราะเยาะเย้ยเสียเปล่าๆ จึงเฉยเมย ทำเป็นหูทวนลม จับจ้องมองออกไปยังทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตาภายนอกเคเบิลคาร์ ที่เพิ่งจะได้เคยเห็นมันนอกฤดูหนาวซึ่งไทกะมักจะชวนมาเล่นสกีเป็นครั้งแรก ความตระหง่านของภูเขาและสีสันที่แท้จริงของธรรมชาติชวนให้รู้สึกแปลกตาน่าเกรงขาม หากทว่าชวนพรั่นพรึง

    “อย่างว่าแหละ ผู้หญิง”

    แอนน์เหลือบตากลับเข้ามายังชายหนุ่มฝั่งตรงกันข้ามเล็กน้อย จากนั้นก็ทำทีเปรยๆ ขึ้นเหมือนกันกับเขาด้วยประโยคที่ถอดแบบกันมาว่า “อย่างว่าแหละ ผู้ชาย...” เสริมรอยยิ้มหยันไปอีกเมื่อต่อจังหวะที่เว้นว่างให้จบ “ขี้แพ้”

    “แพ้เพราะไม่มีเงินทองมากองให้ มันก็ช่วยไม่ได้มั้ง”

    “พวกขี้อิจฉาอย่างนายก็คิดได้แต่เรื่องแบบนี้แหละ”

    เจสซี่แค่นหัวเราะออกมา “คิดว่าฉันไม่รู้เรื่องเธอกับไทกะงั้นสิ?”

    “ฉันไม่จำเป็นต้องแก้ตัว”

    “แก้ตัวหน่อยก็ดีมั้ง อย่างน้อยๆ ตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้เลิกกัน”

    พอกันที! เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วจึงหุบปากของตัวเองเงียบสนิทไปตลอดเส้นทาง ซึ่งคล้ายกับว่าจะทอดยาวไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น น่าแปลกเหมือนกันที่เจสซี่เองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แม้แต่คำพูดพล่อยๆ อย่างที่แอนน์มักจะได้รับจนชินชา ความเงียบที่น่าอึดอัดกลืนกินพื้นที่ในเคเบิลคาร์จนเธอรู้สึกเหมือนกับว่าจะหายใจไม่ออก

    ราวกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัดไม่ได้หยุดได้หย่อน ในตอนที่ขึ้นไปถึงสถานีด้านบนเสียทีแล้วพบว่าประตูกลับเปิดไม่ออก เธอแทบอยากจะทึ้งหัวตัวเองแล้วกรีดเสียงร้องออกมาให้ดังที่สุดชนิดที่ภูเขาต้องสะเทือน กับการต้องทดเวลาอยู่กับผู้ชายที่เกลียดสุดๆ อีกอย่างน้อยก็สิบนาที คำนวณระยะการเดินทางจากคฤหาสน์มายังสถานี แม้หลังจากเจสซี่จะโทร.ไปบอกไทกะถึงปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วก็ตาม สถานการณ์ตอนแรกก็เฉยเมยดี และแอนน์ก็หวังให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป กระทั่งเจ้าตัวกดวางสาย ยัดมือถือเก็บกลับลงไปในกระเป๋ากางเกง ไม่รู้เกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้องค์ลง ส่งเจสซี่คนเฮงซวยกลับมาประทับร่างอีกครั้ง ทำเอามือเล็กที่กำหมัดไว้แน่นสั่นเทาจนแทบจะห้ามไม่อยู่

    ไม่ว่าจะ...

    “เธอมาพลอดรักกับมันที่นี่กี่ครั้งแล้วล่ะ?”

    หรือว่าจะ...

    “เธอคงภูมิใจน่าดู ที่ตัวเองตะเกียกตะกายจนได้มีบุญเข้าตาผู้ชายที่เพอร์เฟกต์ไปซะทุกมุมมองอย่างไอ้ไทกะมันได้”

    ก่อนฟางเส้นสุดท้ายจะมาขาดผึงเอากับประโยคที่ว่า

    “ไทกะมันคงเด็ดมากเลยสิท่า เธอถึงได้ทิ้งฉันไปหามัน จะว่าไปเธอก็ชอบเรื่องพรรค์อย่างนั้นอยู่แล้วนี่”

    และส่งหมัดที่กำแน่นเงื้อขึ้นหมายจะซัดหน้าเขาให้เต็มแรง แต่เจสซี่ก็ไวทายาดพอที่จะรับมันด้วยมือข้างเดียว แน่นอนว่าแรงผู้หญิงที่แทบไม่มีหรือจะสู้แรงผู้ชายที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอได้ เขาหัวเราะเยาะเธอออกมาดังๆ ออกแรงบีบให้แอนน์ปวดแปลบตรงข้อมือจนต้องนิ่วหน้า แล้วเปลี่ยนเป็นรังเกียจเมื่อใบหน้าของเขาโน้มมาเฉียดใกล้ ในระยะที่รู้สึกถึงลมหายใจที่รดรินอยู่ข้างใบหู

    “แล้วเคยลองบนเคเบิลคาร์ไหม?”

    “เลิกเหยียดหยามฉันได้แล้ว เจสซี่!”

    ไม่ใช่เพราะการสะบัดข้อมือเต็มแรงที่ปล่อยเธอหลุดจากการเกาะกุมนั้น หากเป็นเพราะเขาคลายมันออกเองต่างหาก เมื่อมองตามคนที่เขม้นจ้องเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อแล้วกระเถิบถอยไปอยู่ตรงสุดมุม ก็พอจะเรียกเสียงหัวเราะในลำคอขึ้นมาได้

    หลังจากนั้น เขาเพียงยืนกอดอกพิงแผ่นหลังกับกำแพง ปล่อยความคิดให้ทำหน้าที่ของมันไปถึงอาจไม่มากเท่ากับอีกฝ่ายหนึ่งก็ตาม ไม่นานเสียงตะโกนของคนที่พวกเขาต่างเฝ้ารอก็มาถึง พร้อมกับหญิงสาวหน้าแฉล้มอีกนางหนึ่งที่เจสซี่รู้จักดีอย่างเจน ไม่ใช่ในฐานะคนที่หลงใหลได้ปลื้มไปกับไทกะ ทว่าเป็นเขาเองต่างหาก ขณะพยายามเมียงมองเข้ามา

    “ขอโทษด้วย ฉันลืมทุกทีว่าจะต้องเรียกคนมาซ่อม”

    “ถ้าขืนเป็นฤดูหนาวพวกฉันอาจจะแข็งตายไปแล้วก็ได้”

    ไทกะได้ยินเสียงแว่วๆ ดังมาจากคนที่อยู่ข้างหลังว่า “ตายซะยังดีกว่าอยู่กับคนพรรค์นี้!” ก่อนเจ้าตัวจะเดินลิ่วๆ นำหน้าไปก่อน โดยไม่ยอมเสวนาหรือว่าขอบคุณผู้ช่วยชีวิตแต่อย่างใด เจสซี่ไหวไหล่เมื่อไทกะส่งสีหน้าแสดงคำถาม ให้รู้สึกไม่สบายใจจนต้องก้าวเร็วๆ ตามไป

    ไม่รู้ว่าบทสนทนาเป็นเช่นไรเธอถึงได้มีสีหน้าอ่อนลง แตะรอยยิ้มบางเบา ขณะพูดคุยอย่างผ่อนคลายกับไอ้หมอนั่นได้ เขาทำทีเป็นไม่สนใจแล้วชักชวนหญิงสาวที่ถูกทอดทิ้งอีกคนให้เดินลงไปด้วยกัน ถามไถ่ถึงเหตุการณ์ที่คฤหาสน์ซึ่งเมื่อเขากับแอนน์มาถึง ก็แปลว่าทุกคนมาพร้อมหน้ากันหมดแล้ว ไม่มีใครล่วงรู้ความสัมพันธ์ของเขากับแอนน์มากไปกว่าคนรักเก่า กับสถานะที่แสดงออกปัจจุบันว่าเป็นเพียงแค่คนรู้จัก ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่พูดคุย ไม่ทักทาย แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้มาอยู่ใกล้กันเพราะมันน่าอึดอัดใจอยู่ไม่น้อยเพียงแค่นั้น ถ้าไม่ใช่เพราะความนึกครึ้มใจของไทกะที่อยากชวนเพื่อนหลายๆ กลุ่มของตัวเองมาจอยกันในทริปหน้าร้อนปีนี้แล้ว ระยะห่างของเจสซี่กับแอนน์คงไม่มีวันทับซ้อนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่ง

    มีเพียงแค่เจ้าตัวที่รู้ดีว่าเธอเกลียดชังเขามากแค่ไหน หลังจากการเลิกราที่เต็มไปด้วยการผรุสวาทด่าทอกันอย่างมากมาย และความอัดอั้นตันใจของสิ่งที่เธอต้องอดทนเผชิญ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอไม่รู้ และคงไม่สนใจจะรู้ด้วย ว่าเจสซี่ไม่เคยไม่รักคนรักเก่าที่ปันใจไปให้ผู้ชายคนอื่นเลยแม้แต่วินาทีเดียว

     

    แม้จะเป็นเพียงคืนแรกที่มาถึง แต่ทุกคนก็ต่างคึกคักและครึกครื้น พากันจัดปาร์ตี้ย่อมๆ อยู่ทั้งข้างในและข้างหน้าคฤหาสน์กันเสียยกใหญ่ ทว่าแอนน์ที่มักจะเป็นฝ่ายคุมเตาบาร์บีคิวตามประสาคนช่างกินกลับต้องระเห็จระเหินมานั่งล้อมวงคุยกับกลุ่มสาวๆ ที่ทั้งคุ้นหน้าและไม่คุ้นหน้าแทน แน่นอนอยู่แล้วว่าจะมีเหตุผลอื่นใดได้อีกนอกเหนือไปจาก...ผู้ชายที่เกลียด

    แอนน์ไม่ได้ถือสากับการจับกลุ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระอะไร ถึงจะไม่ค่อยได้ให้ความเห็นมากนัก เพราะมีคนช่างจ้ออย่างน้อยๆ ก็สองคนถือครองบทสนทนาเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว ทีแรกมันก็เป็นเรื่องนินทาคนอื่นทั่วๆ ไป ตามประสาผู้หญิงที่นึกถึงใครก็หยิบขึ้นมาเมาท์อย่างอดปากไม่อยู่ แต่ก็แค่หยิกแกมหยอก ไม่ได้มีความเกลียดชังจัดเจืออยู่ในนั้นเลย กระทั่งเรื่องของเจสซี่ เธอก็ยังแสร้งทำเป็นไม่แยแสได้สนิท หากก็ทำให้วงสนทนาเจื่อนลงไปเล็กน้อยด้วยเหตุผลบางอย่างที่แต่ละคนก็บอกไม่ถูก ทั้งที่อดีตแฟนเก่าซึ่งนั่งหน้าซื่ออยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้แสดงท่าทีแม้แต่เกลียดชังหรืออาลัยอาวรณ์เลยเพียงนิด กระนั้นมันก็ไม่ควรที่จะกระโดดไปไกลถึงเรื่องลี้ลับจากเพื่อนใหม่เป็นสาวผมสั้นที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเธอ หล่อนมีชื่อว่าโซเฟีย เป็นน้องสาวของญาติคนสนิทของไทกะตั้งแต่สมัยไฮสคูล ที่จู่ๆ ก็จะพลันโพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า

    “เคยได้ยินเรื่องคนตายแล้วฟื้นหรือเปล่า?”

    แบบ...ซอมบี้น่ะเหรอ?” เป็นเธอเองที่สวนย้อนคืนด้วยคำถาม

    “อื้อ ก็ประมาณนั้น” หล่อนพยักหน้า “แต่ที่เด็ดกว่านั้นนะ พวกเธอรู้เรื่องอาถรรพ์ของที่ดินแถบนี้ไหม?

    ทันใด หญิงสาวทั้งสี่ต่างก็มองใบหน้าสบตากันอย่างเลิ่กลั่ก รู้สึกขนลุกซู่จนต้องห่อไหล่ ลูบแขนตัวเองกันโดยไม่ได้นัดหมาย

    “โซเฟีย! พูดอะไรก็ไม่รู้!” แม้ว่าเอพริลหนึ่งในเพื่อนร่วมคลาสของแอนน์จะทำเป็นเอ็ดอึงแล้วหัวเราะร่วนคล้ายกับการฟังเรื่องล้อเล่น หากแอนน์ที่รู้จักเอพริลดีในระดับหนึ่งก็แน่ใจพันเปอร์เซ็นต์ว่าที่แท้ก็แค่กลบเกลื่อน

    “ฉันพูดจริงๆ นะ โนเอลเคยเล่าให้ฟังว่าที่ดินแถบนี้เคยเป็นของพวกชนเผ่าโบราณมาก่อน มีคำสาปว่าถ้าหากใครที่ตายอย่างไม่เป็นธรรม วิญญาณจะกลับมา จนกว่าจะแก้แค้นคนที่เป็นต้นเหตุ แล้ววิญญาณถึงจะสงบ”

    “นี่มันพล็อตหนังสยองขวัญดาษดื่นชัดๆ พี่ชายเธอคงแกล้งเล่าเรื่องหลอกเธอเฉยๆ นั่นแหละ”

    “เธอก็รู้ว่าพี่ชายฉันเป็นคนจริงจังซะยิ่งกว่าอะไร เขาไม่หลอกฉันด้วยเรื่องไร้สาระพรรค์นี้หรอกน่า” โซเฟียกลอกตา ทำหน้ารำคาญใส่เพื่อนของหล่อนที่ทำมาพูดเหมือนกับไม่รู้จักตัวตนของพี่ชายหล่อนเลยสักนิด “มันน่ากลัวมากจริงๆ นะ จำได้ว่าพอได้ฟังเรื่องนี้แล้วฉันก็ไม่เคยกล้ามาที่นี่อีกเลย กว่าฉันจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าในเมื่อตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วจะต้องกลัวคนตายมาตามล้างแค้นไปทำไม แถมคราวนี้เป็นหน้าร้อนก็ค่อยอุ่นใจหน่อย อย่างน้อยๆ ถ้าฉันจะวิ่งหนีคนตาย ฉันก็ไม่อยากวิ่งฝ่าหิมะหนาๆ อากาศหนาวๆ เข้าใจใช่ไหม?”

    และเมื่อแอนน์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมากับภาพความคิดจากประโยคก่อนหน้าของหล่อนนั้น คนอื่นๆ จึงพลอยได้ผ่อนคลายไปด้วย












    2020年12月14日
    _______________
    ★ ผ่านมาเป็นปีแล้วเรายังไม่แต่งเรื่องนี้ต่อ ก็สรุปได้เลยว่ามันจะไม่มีต่อแล้ว จึงถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่เราจะมาสปอยล์ให้ฟังจนหมดเปลือกหลังจากที่อัดอั้นมานาน อย่างที่บอกว่าฉากตอนวิ่งหนีเราได้มาจากเทรเลอร์ DBD ฉากคฤหาสน์บนภูเขากับคำสาปที่ดินมาจาก Until Dawn เพราะฉะนั้นก็แน่นอนว่า Fear Itself คือตัวเฉลยทุกอย่าง เชื่อว่ามึงเดาพล็อตได้ตั้งแต่เห็นอินสไปร์แล้วล่ะ คือหลังจากนี้จะมีฆาตกรบุกมาฆ่าคนในคฤหาสน์จนหมด และเราจะเสนอมุมมองของแอนน์กับเจสซี่แค่สองคนที่รอดมาได้ ก่อนที่สุดท้ายเราจะเฉลยว่าคำสาปทำให้คนตายฟื้นคืนชีพมีจริง! ที่จริงเจสซี่คือตายไปแล้วแต่เพราะคำสาปเลยทำให้หวนกลับมาหาแอนน์ในร่างของซอมบี้ด้วยความยึดติด แอนน์เกลียดเจสซี่จริง แต่ไม่ได้ชอบไทกะ และก็ไม่ได้คบหรือมีอะไรกันอย่างที่เจสซี่คิด ในตอนจบแอนน์จะหนีไม่พ้นและต้องอยู่กับเจสซี่ที่เป็นซอมบี้ตลอดไป ก็จะตรงกับเนื้อเพลงท่อนที่ว่า 'Do you want to see our reality? Come on and let me take you to the underworld' อั้ยย่ะ! เป็นไงๆ พล็อตซ้ำซากมากจนขนลุก แต่ก็เป็นการเอามายำรวมกันที่ดีมาก ว่าไม่ได้ว่ะ!
    SNAP
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×