คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #56 : Call From The Grave
ขาของเธอเริ่มจะล้า เช่นเดียวกับอาการแน่นหน้าอกที่ตีตื้นขึ้นมา
กับอัตราการเต้นของหัวใจที่รัวเร็วเกินกว่าจะทนรับไหว และลมหายใจที่ติดๆ ขัดๆ
เพราะการเผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทั้งที่เพิ่งจะผ่านพ้นมาได้เพียงแค่ไม่กี่นาทีแต่กลับรู้สึกยาวนานราวกับนิจนิรันดร์
ความเหนื่อยล้าและเจ็บปวดอันแสนสาหัสถาโถมเข้าใส่
จนคล้ายกับว่าถ้าขืนเธอยังไม่ยอมหยุดการเคลื่อนไหวภายในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้แล้ว
ข้อต่อกระดูกของเธอจะต้องเลื่อนหลุดออกจากกันให้ทรุดฮวบลงไปแน่ๆ แต่ต่อให้จะเกิดเหตุการณ์ดั่งที่ว่าขึ้นจริง
เธอก็จะกระเสือกกระสนต่อไป ตราบเท่าที่เสียงทุ้มต่ำนั่นจะยังคงแว่วผ่านเข้ามาในระยะโสตประสาทให้ได้พรั่นพรึงอยู่เช่นนี้
เป็นโชคดีที่แม้เธอจะวิ่งสะเปะสะปะออกมาอย่างไม่รู้ทิศทาง
หากกระท่อมร้างอันคุ้นเคยที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าแววตา ก็เหมือนกับการได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
ฝีก้าวในรองเท้าบู๊ตสีขาวเปรอะที่สวมใส่จึงไม่รอช้า
รีบเผ่นกระโจนเข้าไปข้างในพร้อมกับหยิบท่อนไม้และเก้าอี้ผุๆ
มาช่วยขัดล็อกประตูอีกแรงหนึ่ง เธอรู้ดีว่าจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด
ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องผ่านบานหน้าต่างและรูแตกเข้ามาเป็นหย่อมๆ ดวงตายังพอมองเห็นทางเดินไปยังห้องนอนโดยไม่สะดุดข้าวของระเกะระกะตามระรายทาง
ทันทีเข้าไปได้ก็จัดการออกแรงถีบโต๊ะเขียนหนังสือกับเก้าอี้เข้าชุดของมันมากันไว้เป็นปราการที่สอง
ก่อนพาร่างกายที่โรยราเหลือคณาไปหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้าที่ว่างเปล่า เมื่อได้นั่งพักในที่สุดก็จะรีบสูดเอาอากาศหายใจเข้าปอดไปอย่างเต็มแรง
กระทั่งเสียงหัวใจที่เต้นรัวแรงค่อยๆ ช้าลงทีละน้อย ทีละน้อย
ปล่อยระดับที่มากเกินไปของทุกอย่างให้กลับคืนสู่ปกติ หรืออย่างน้อยก็เกือบปกติเท่าที่จะเป็นไปได้
จำได้ว่าตู้เสื้อผ้าล็อกได้แค่เฉพาะจากด้านนอก เช่นนั้นแล้ว เธอจึงค่อยหยิบมีดพกที่เหน็บอยู่ตรงปลอกเข็มขัดขึ้นมากำด้ามจับเอาไว้แน่น
รอคอยการโจมตีที่อาจจะมาถึงอย่างเชียบงัน
มันกลายเป็นคืนนรกแตกแบบนี้ไปได้อย่างไร?
∞
แอนน์ อลันเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับคำเชิญให้มาพักผ่อนช่วงปิดเทอมฤดูร้อน
ยังคฤหาสน์ตากอากาศบนภูเขาของเพื่อนร่วมคลาสที่ต่างอยู่ในกลุ่ม ‘เพื่อนของแฟนเพื่อน’ ทั้งสองฝ่าย
กระทั่งจะขยับเลื่อนมาเป็นเพื่อนสนิทกันเองโดยไม่ต้องนัดพบผ่านฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอีก บางครั้งบางคราวก็มีการสังสรรค์กันนอกรอบเป็นกลุ่มใหญ่ๆ
นอกจากเธอและคู่รักซึ่งเป็นผู้ชักนำความสัมพันธ์ระหว่างกันแล้ว
ก็ยังมีเพื่อนทั้งชายหญิงอีกนับสิบกว่าชีวิตที่แอนน์ทั้งรู้จักและไม่รู้จักมาร่วมด้วย
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร ในเมื่อไทกะ เคียวโมโตะ หรือที่ทุกคนรู้จักดีในฐานะทายาทเพียงคนเดียวของผู้มีอิทธิพลในวงการภาพยนตร์และเจ้าของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านหลังนี้มีมิตรสหายอยู่มากมาย
ทั้งประเภทที่จริงใจหรือไม่ก็หวังผลจนแทบจะนับกันไม่หวาดไม่ไหว และแม้ว่าจะมีจำนวนเพียงหยิบมือหนึ่งในทริปฤดูร้อนคราวนี้
ก็ใช่ว่าเขาจะเลือกคนมาได้อย่างถูกต้องเสียที่ไหน แอนน์คิดเสมอว่าไทกะมองโลกในแง่ดีเกินไป...หรืออาจเป็นเพราะว่าเธอมองทะลุคนอื่นได้ปรุโปร่งเองต่างหาก อย่างน้อยๆ เจสซี่
ลูอิสก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ว่าไทกะ หรือว่าใคร ก็ควรที่จะตัดออกจากรายชื่อของมนุษย์ที่น่าคบหาไปให้ไกลๆ
เลยเป็นคนแรก
แอนน์ไม่รู้เลยว่าตัวเองทำเวรทำกรรมอะไรมา
ถึงได้บอกคนอื่นๆ ที่บ้างนั่งบ้างยืนอยู่แถวสถานีเคเบิลคาร์ว่าจะรอเพื่อนสนิทที่ยังเดินทางมาไม่ถึงก่อน
แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่ปรากฏวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆ ผ่านเข้ามาในแววตาเลยเพียงน้อยแม้แต่กระรอกสักตัว
ในตอนที่เธอกำลังจะถอดใจเพราะดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยต่ำลงไปทุกทีนั้นเอง
เสียงเรียกเข้าจากกระเป๋าเป้สะพายหลังที่วางอยู่ข้างตัวก็จะแผดดังขึ้น หลังจากที่กระหน่ำโทร.หาเจ้าตัวแล้วไม่ปรากฏสัญญาณใดๆ
อาจเกินกว่าสิบสายได้แล้ว การณ์กลับกลายเป็นว่าเจ้าหล่อนจะบังเอิญประสบอุบัติเหตุรถตู้คว่ำกะทันหัน
จากที่คิดว่าจะขึ้นเขาเลยต้องแกร่วอยู่ที่โรงพยาบาลแทน แต่ไม่เป็นอะไรร้ายแรงมากนอกจากศีรษะกระแทก
ข้อมือเคล็ดและเป็นรอยฟกช้ำตามตัวเล็กน้อย หล่อนย้ำซ้ำๆ
เมื่อเธอทำท่าว่าไม่อยากตามไปสมทบกับเพื่อนคนอื่นอยู่รอมๆ ว่า “ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกน่า”
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ จะให้เธอไม่เป็นห่วงเพื่อนสาวคนสนิทเลยก็กระไรอยู่
เธอได้แต่ถอนหายใจ
เก็บมือถือกลับเข้าไปในกระเป๋าเป้สีดำแล้วจัดการรูดซิปปิดให้เรียบร้อย ในตอนที่ยกขึ้นสวมไหล่ข้างหนึ่ง
ก่อนเตรียมตัวขึ้นเคเบิลคาร์ไปนั้นเอง คนที่แอนน์ตั้งแง่เป็นนักหนาก็จะเดินนวยนาดเข้ามา
พอเห็นเธอก็ยกยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่มุมปากข้างหนึ่ง แฝงเจตนาร้ายกาจเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย
เลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องขึ้นเคเบิลคาร์ไปยังคฤหาสน์พร้อมกันกับเขา
ก็แล้วทำไมเธอจะต้องไปหลบหน้าหรือยอมเสียสละเผชิญความล่าช้าทั้งที่เธอไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย? แอนน์เกลียดเจสซี่ก็จริง
แต่แค่ผูกติดอยู่ด้วยกันไม่กี่นาทีคงไม่ทำให้ถึงตาย...นอกจากระคายเคือง
“นึกไว้อยู่แล้วว่าเธอต้องมาด้วย ก็ใครจะปฏิเสธคฤหาสน์หรูๆ
กับผู้ชายหล่อๆ ได้ลงล่ะ ว่าไหม?”
เธอคิดว่าควรจะร้องแหวใส่หรืออะไรสักอย่าง
แต่กับผู้ชายคนนี้รังแต่จะสร้างเสียงหัวเราะเยาะเย้ยเสียเปล่าๆ จึงเฉยเมย
ทำเป็นหูทวนลม จับจ้องมองออกไปยังทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตาภายนอกเคเบิลคาร์
ที่เพิ่งจะได้เคยเห็นมันนอกฤดูหนาวซึ่งไทกะมักจะชวนมาเล่นสกีเป็นครั้งแรก
ความตระหง่านของภูเขาและสีสันที่แท้จริงของธรรมชาติชวนให้รู้สึกแปลกตาน่าเกรงขาม
หากทว่าชวนพรั่นพรึง
“อย่างว่าแหละ ผู้หญิง”
แอนน์เหลือบตากลับเข้ามายังชายหนุ่มฝั่งตรงกันข้ามเล็กน้อย
จากนั้นก็ทำทีเปรยๆ ขึ้นเหมือนกันกับเขาด้วยประโยคที่ถอดแบบกันมาว่า “อย่างว่าแหละ
ผู้ชาย...” เสริมรอยยิ้มหยันไปอีกเมื่อต่อจังหวะที่เว้นว่างให้จบ “ขี้แพ้”
“แพ้เพราะไม่มีเงินทองมากองให้
มันก็ช่วยไม่ได้มั้ง”
“พวกขี้อิจฉาอย่างนายก็คิดได้แต่เรื่องแบบนี้แหละ”
เจสซี่แค่นหัวเราะออกมา “คิดว่าฉันไม่รู้เรื่องเธอกับไทกะงั้นสิ?”
“ฉันไม่จำเป็นต้องแก้ตัว”
“แก้ตัวหน่อยก็ดีมั้ง อย่างน้อยๆ
ตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้เลิกกัน”
พอกันที!
เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วจึงหุบปากของตัวเองเงียบสนิทไปตลอดเส้นทาง ซึ่งคล้ายกับว่าจะทอดยาวไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น
น่าแปลกเหมือนกันที่เจสซี่เองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แม้แต่คำพูดพล่อยๆ อย่างที่แอนน์มักจะได้รับจนชินชา
ความเงียบที่น่าอึดอัดกลืนกินพื้นที่ในเคเบิลคาร์จนเธอรู้สึกเหมือนกับว่าจะหายใจไม่ออก
ราวกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัดไม่ได้หยุดได้หย่อน
ในตอนที่ขึ้นไปถึงสถานีด้านบนเสียทีแล้วพบว่าประตูกลับเปิดไม่ออก
เธอแทบอยากจะทึ้งหัวตัวเองแล้วกรีดเสียงร้องออกมาให้ดังที่สุดชนิดที่ภูเขาต้องสะเทือน
กับการต้องทดเวลาอยู่กับผู้ชายที่เกลียดสุดๆ อีกอย่างน้อยก็สิบนาที
คำนวณระยะการเดินทางจากคฤหาสน์มายังสถานี แม้หลังจากเจสซี่จะโทร.ไปบอกไทกะถึงปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วก็ตาม
สถานการณ์ตอนแรกก็เฉยเมยดี และแอนน์ก็หวังให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป
กระทั่งเจ้าตัวกดวางสาย ยัดมือถือเก็บกลับลงไปในกระเป๋ากางเกง ไม่รู้เกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้องค์ลง
ส่งเจสซี่คนเฮงซวยกลับมาประทับร่างอีกครั้ง ทำเอามือเล็กที่กำหมัดไว้แน่นสั่นเทาจนแทบจะห้ามไม่อยู่
ไม่ว่าจะ...
“เธอมาพลอดรักกับมันที่นี่กี่ครั้งแล้วล่ะ?”
หรือว่าจะ...
“เธอคงภูมิใจน่าดู ที่ตัวเองตะเกียกตะกายจนได้มีบุญเข้าตาผู้ชายที่เพอร์เฟกต์ไปซะทุกมุมมองอย่างไอ้ไทกะมันได้”
ก่อนฟางเส้นสุดท้ายจะมาขาดผึงเอากับประโยคที่ว่า
“ไทกะมันคงเด็ดมากเลยสิท่า เธอถึงได้ทิ้งฉันไปหามัน
จะว่าไปเธอก็ชอบเรื่องพรรค์อย่างนั้นอยู่แล้วนี่”
และส่งหมัดที่กำแน่นเงื้อขึ้นหมายจะซัดหน้าเขาให้เต็มแรง
แต่เจสซี่ก็ไวทายาดพอที่จะรับมันด้วยมือข้างเดียว
แน่นอนว่าแรงผู้หญิงที่แทบไม่มีหรือจะสู้แรงผู้ชายที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอได้
เขาหัวเราะเยาะเธอออกมาดังๆ ออกแรงบีบให้แอนน์ปวดแปลบตรงข้อมือจนต้องนิ่วหน้า
แล้วเปลี่ยนเป็นรังเกียจเมื่อใบหน้าของเขาโน้มมาเฉียดใกล้
ในระยะที่รู้สึกถึงลมหายใจที่รดรินอยู่ข้างใบหู
“แล้วเคยลองบนเคเบิลคาร์ไหม?”
“เลิกเหยียดหยามฉันได้แล้ว เจสซี่!”
ไม่ใช่เพราะการสะบัดข้อมือเต็มแรงที่ปล่อยเธอหลุดจากการเกาะกุมนั้น
หากเป็นเพราะเขาคลายมันออกเองต่างหาก เมื่อมองตามคนที่เขม้นจ้องเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อแล้วกระเถิบถอยไปอยู่ตรงสุดมุม
ก็พอจะเรียกเสียงหัวเราะในลำคอขึ้นมาได้
หลังจากนั้น
เขาเพียงยืนกอดอกพิงแผ่นหลังกับกำแพง
ปล่อยความคิดให้ทำหน้าที่ของมันไปถึงอาจไม่มากเท่ากับอีกฝ่ายหนึ่งก็ตาม ไม่นานเสียงตะโกนของคนที่พวกเขาต่างเฝ้ารอก็มาถึง
พร้อมกับหญิงสาวหน้าแฉล้มอีกนางหนึ่งที่เจสซี่รู้จักดีอย่างเจน ไม่ใช่ในฐานะคนที่หลงใหลได้ปลื้มไปกับไทกะ
ทว่าเป็นเขาเองต่างหาก ขณะพยายามเมียงมองเข้ามา
“ขอโทษด้วย
ฉันลืมทุกทีว่าจะต้องเรียกคนมาซ่อม”
“ถ้าขืนเป็นฤดูหนาวพวกฉันอาจจะแข็งตายไปแล้วก็ได้”
ไทกะได้ยินเสียงแว่วๆ
ดังมาจากคนที่อยู่ข้างหลังว่า “ตายซะยังดีกว่าอยู่กับคนพรรค์นี้!” ก่อนเจ้าตัวจะเดินลิ่วๆ นำหน้าไปก่อน
โดยไม่ยอมเสวนาหรือว่าขอบคุณผู้ช่วยชีวิตแต่อย่างใด เจสซี่ไหวไหล่เมื่อไทกะส่งสีหน้าแสดงคำถาม
ให้รู้สึกไม่สบายใจจนต้องก้าวเร็วๆ ตามไป
ไม่รู้ว่าบทสนทนาเป็นเช่นไรเธอถึงได้มีสีหน้าอ่อนลง
แตะรอยยิ้มบางเบา ขณะพูดคุยอย่างผ่อนคลายกับไอ้หมอนั่นได้
เขาทำทีเป็นไม่สนใจแล้วชักชวนหญิงสาวที่ถูกทอดทิ้งอีกคนให้เดินลงไปด้วยกัน
ถามไถ่ถึงเหตุการณ์ที่คฤหาสน์ซึ่งเมื่อเขากับแอนน์มาถึง ก็แปลว่าทุกคนมาพร้อมหน้ากันหมดแล้ว
ไม่มีใครล่วงรู้ความสัมพันธ์ของเขากับแอนน์มากไปกว่าคนรักเก่า
กับสถานะที่แสดงออกปัจจุบันว่าเป็นเพียงแค่คนรู้จัก ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่พูดคุย
ไม่ทักทาย แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้มาอยู่ใกล้กันเพราะมันน่าอึดอัดใจอยู่ไม่น้อยเพียงแค่นั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะความนึกครึ้มใจของไทกะที่อยากชวนเพื่อนหลายๆ
กลุ่มของตัวเองมาจอยกันในทริปหน้าร้อนปีนี้แล้ว ระยะห่างของเจสซี่กับแอนน์คงไม่มีวันทับซ้อนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่ง
มีเพียงแค่เจ้าตัวที่รู้ดีว่าเธอเกลียดชังเขามากแค่ไหน
หลังจากการเลิกราที่เต็มไปด้วยการผรุสวาทด่าทอกันอย่างมากมาย
และความอัดอั้นตันใจของสิ่งที่เธอต้องอดทนเผชิญ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอไม่รู้
และคงไม่สนใจจะรู้ด้วย ว่าเจสซี่ไม่เคยไม่รักคนรักเก่าที่ปันใจไปให้ผู้ชายคนอื่นเลยแม้แต่วินาทีเดียว
แม้จะเป็นเพียงคืนแรกที่มาถึง
แต่ทุกคนก็ต่างคึกคักและครึกครื้น พากันจัดปาร์ตี้ย่อมๆ อยู่ทั้งข้างในและข้างหน้าคฤหาสน์กันเสียยกใหญ่
ทว่าแอนน์ที่มักจะเป็นฝ่ายคุมเตาบาร์บีคิวตามประสาคนช่างกินกลับต้องระเห็จระเหินมานั่งล้อมวงคุยกับกลุ่มสาวๆ
ที่ทั้งคุ้นหน้าและไม่คุ้นหน้าแทน แน่นอนอยู่แล้วว่าจะมีเหตุผลอื่นใดได้อีกนอกเหนือไปจาก...ผู้ชายที่เกลียด
แอนน์ไม่ได้ถือสากับการจับกลุ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระอะไร
ถึงจะไม่ค่อยได้ให้ความเห็นมากนัก เพราะมีคนช่างจ้ออย่างน้อยๆ
ก็สองคนถือครองบทสนทนาเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว ทีแรกมันก็เป็นเรื่องนินทาคนอื่นทั่วๆ
ไป ตามประสาผู้หญิงที่นึกถึงใครก็หยิบขึ้นมาเมาท์อย่างอดปากไม่อยู่ แต่ก็แค่หยิกแกมหยอก
ไม่ได้มีความเกลียดชังจัดเจืออยู่ในนั้นเลย กระทั่งเรื่องของเจสซี่ เธอก็ยังแสร้งทำเป็นไม่แยแสได้สนิท
หากก็ทำให้วงสนทนาเจื่อนลงไปเล็กน้อยด้วยเหตุผลบางอย่างที่แต่ละคนก็บอกไม่ถูก
ทั้งที่อดีตแฟนเก่าซึ่งนั่งหน้าซื่ออยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้แสดงท่าทีแม้แต่เกลียดชังหรืออาลัยอาวรณ์เลยเพียงนิด
กระนั้นมันก็ไม่ควรที่จะกระโดดไปไกลถึงเรื่องลี้ลับจากเพื่อนใหม่เป็นสาวผมสั้นที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเธอ
หล่อนมีชื่อว่าโซเฟีย เป็นน้องสาวของญาติคนสนิทของไทกะตั้งแต่สมัยไฮสคูล ที่จู่ๆ
ก็จะพลันโพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า
“เคยได้ยินเรื่องคนตายแล้วฟื้นหรือเปล่า?”
“แบบ...ซอมบี้น่ะเหรอ?” เป็นเธอเองที่สวนย้อนคืนด้วยคำถาม
“อื้อ ก็ประมาณนั้น” หล่อนพยักหน้า “แต่ที่เด็ดกว่านั้นนะ
พวกเธอรู้เรื่องอาถรรพ์ของที่ดินแถบนี้ไหม?”
ทันใด หญิงสาวทั้งสี่ต่างก็มองใบหน้าสบตากันอย่างเลิ่กลั่ก
รู้สึกขนลุกซู่จนต้องห่อไหล่ ลูบแขนตัวเองกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“โซเฟีย! พูดอะไรก็ไม่รู้!” แม้ว่าเอพริลหนึ่งในเพื่อนร่วมคลาสของแอนน์จะทำเป็นเอ็ดอึงแล้วหัวเราะร่วนคล้ายกับการฟังเรื่องล้อเล่น
หากแอนน์ที่รู้จักเอพริลดีในระดับหนึ่งก็แน่ใจพันเปอร์เซ็นต์ว่าที่แท้ก็แค่กลบเกลื่อน
“ฉันพูดจริงๆ นะ โนเอลเคยเล่าให้ฟังว่าที่ดินแถบนี้เคยเป็นของพวกชนเผ่าโบราณมาก่อน
มีคำสาปว่าถ้าหากใครที่ตายอย่างไม่เป็นธรรม วิญญาณจะกลับมา
จนกว่าจะแก้แค้นคนที่เป็นต้นเหตุ แล้ววิญญาณถึงจะสงบ”
“นี่มันพล็อตหนังสยองขวัญดาษดื่นชัดๆ
พี่ชายเธอคงแกล้งเล่าเรื่องหลอกเธอเฉยๆ นั่นแหละ”
“เธอก็รู้ว่าพี่ชายฉันเป็นคนจริงจังซะยิ่งกว่าอะไร
เขาไม่หลอกฉันด้วยเรื่องไร้สาระพรรค์นี้หรอกน่า” โซเฟียกลอกตา
ทำหน้ารำคาญใส่เพื่อนของหล่อนที่ทำมาพูดเหมือนกับไม่รู้จักตัวตนของพี่ชายหล่อนเลยสักนิด
“มันน่ากลัวมากจริงๆ นะ จำได้ว่าพอได้ฟังเรื่องนี้แล้วฉันก็ไม่เคยกล้ามาที่นี่อีกเลย
กว่าฉันจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าในเมื่อตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วจะต้องกลัวคนตายมาตามล้างแค้นไปทำไม
แถมคราวนี้เป็นหน้าร้อนก็ค่อยอุ่นใจหน่อย อย่างน้อยๆ
ถ้าฉันจะวิ่งหนีคนตาย ฉันก็ไม่อยากวิ่งฝ่าหิมะหนาๆ อากาศหนาวๆ เข้าใจใช่ไหม?”
และเมื่อแอนน์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมากับภาพความคิดจากประโยคก่อนหน้าของหล่อนนั้น คนอื่นๆ จึงพลอยได้ผ่อนคลายไปด้วย
_______________
ความคิดเห็น