คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #115 : Heaven Upside Down: Cast & Prologue
เพราะพี่ชายของเธอเคยถูกวินิจฉัยว่าเป็นบ้าหลังจากฆ่าคนตายจนถูกจับส่งเข้าโรงพยาบาลจิตเวช
ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ใช่ ทำให้ฮายามะ คาคุโกะ ที่รู้เช่นเห็นชาติสันดานของพี่ชายอารมณ์ร้อนที่เคยสร้างบาดแผลตามเนื้อตัวให้เธอมาตั้งมาก
ทั้งยังเล่นละครเก่งเป็นที่หนึ่ง จนตบตาคนในครอบครัวได้อยู่หมัด จึงอดไม่ได้ที่จะเกิดความเคลือบแคลงสงสัยต่อชายหนุ่มผู้ป่วยจิตเวชที่คาคุโกะได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยาที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัยโตเกียว
ให้มาหาข้อมูลทำวิทยานิพนธ์ไกลถึงสถานพยาบาลมาโมริในฮาโกดาเตะ กับกรณีน่าสนใจของผู้ป่วยจิตเวชที่เคยเป็นข่าวอึกทึกครึกโครมทั้งบนหน้าหนังสือพิมพ์และในข่าวโทรทัศน์อยู่ช่วงหนึ่งว่าเขาถูกปีศาจจับตัวไป
และมันสั่งให้เด็กหนุ่มที่เคยเป็นคนรักสงบเริ่มต้นฉุนเฉียวใส่คนที่บ้าน ทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมห้อง
ก่อนลงเอยด้วยการใช้มีดแทงคนที่แค่เดินสวนกันหน้าโรงภาพยนตร์ทั้งที่ไม่มีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนจนถึงแก่ชีวิต
อาจารย์ของเธอต้องการข้อมูลเจาะลึกถึงช่วงที่เขาหายตัวไปในป่าเป็นเวลาสามวันสามคืนซึ่งเจ้าตัวไม่เคยแพร่งพรายรายละเอียดให้ใครฟังแม้เวลาจะผ่านไปนานถึงกว่าสองปี
และถึงคาคุโกะจะคิดว่าเป็นเคสที่น่าสนใจ เธอก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมีความสามารถในการเค้นถามเขาจนได้เรื่องได้ราวอะไรอยู่ดี
แต่เมื่อผู้ป่วยจิตเวชหมายเลข 23 เด็กหนุ่ม — ที่ได้กลายมาเป็นชายหนุ่ม — โอริยามะ นาโอะ ซึ่งทุกคนในเมืองมาโมริต่างรู้จักดีจากฐานะลูกเลี้ยงของผู้ว่าฯที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่
ได้พบกับเธอที่ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามในห้องเยี่ยมเป็นครั้งแรก ใบหน้าที่ใครต่อใครเคยว่านิ่งขรึมเย็นชาก็ปรากฏเป็นรอยยิ้มกว้าง
หรือคำพูดคำจาที่แทบไม่ใคร่จะหลุดจากปากมากไปกว่าหมัดที่มักสวนออกไปตามคำว่าของผู้อำนวยการโรงพยาบาล
ถึงขั้นส่งบุรุษพยาบาลมาช่วยคุ้มกันเธออยู่ห่างๆ ก็เริ่มต้นทักทายเธอด้วยน้ำเสียงสดใสในหัวข้อประหลาดอย่างเช่นว่า
“ผมเป็นผู้ป่วยหมายเลข 23”
“เอ่อ...คะ?”
“เหมือนเรื่องขับปะ”
“คะ?” คราวนี้คาคุโกะเข้าใจคำพูดของเขาชัดเจนแจ่มแจ้ง ไฉนเลยที่เด็กภาคจิตวิทยาอย่างเธอจะไม่เคยอ่านวรรณกรรมเสียดสีสังคมเรื่องเยี่ยมของอะคุตะงาวะ
ริวโนะสุเกะที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยจิตเวชเรื่องนั้น แต่ด้วยความที่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก
สิ่งที่หลุดออกจากริมฝีปากสีเข้มจึงยังคงเป็นคำอุทานอันงงงวยเช่นเดิม กระนั้นก็ดูเหมือนเขาจะล่วงรู้และเข้าใจ
ถึงได้เอ่ยต่อไปโดยไม่มีการย้ำซ้ำคำพูดเดิมแม้แต่น้อยว่า
“และผมก็ได้รับการช่วยเหลือในโลกอีกใบหนึ่งเหมือนกับผู้ป่วยหมายเลข
23”
ก่อนสติของคาคุโกะจะกลับคืนมาได้ในที่สุดเมื่อสั่นศีรษะเบาๆ
กระแอมไอเล็กน้อย แล้วเริ่มต้นพูดกับเขาเป็นประโยคแรกของวันว่า “เอ่อ แต่คุณโอริยามะบอกว่าถูกปีศาจจับตัวไปไม่ใช่เหรอคะ? ถ้าอย่างนั้นคุณจะบอกว่า...”
“ปีศาจช่วยเหลือผมไว้” เขาเป็นฝ่ายต่อคำพูดของเธอให้จบ
ด้วยสีหน้าที่ยังคงแต้มแต่งไปด้วยรอยยิ้ม หากมันกลับรบกวนจิตใจของเธอเป็นอย่างมากเมื่อเขาจะเอ่ยประโยคตามมาว่า
“และยังคงช่วยเหลือผมอยู่ในฐานะแขกคนสำคัญ ถึงผมจะจากโลกของพวกเขามาแล้วก็ตาม”
“ฉันคิดว่าผู้ชายคนนั้น...” คาคุโกะก้าวฝีเท้ายาวๆ
มาจากลานจอดรถที่อยู่ไม่ไกลจากกันนักด้วยสีหน้าที่ติดจะมึนตึง ก่อนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หน้าห้องพักในโรงแรมปึงปังข้างกับชายหนุ่มที่กำลังนั่งสูบบุหรี่
พลางทอดมองวิวจากหน้าผาสูงเหนือน้ำทะเลสีฟ้าสุดลูกหูลูกตาเบื้องหน้าอย่างสบายอารมณ์
ตรงกันข้ามกับหญิงสาวที่ไม่อยู่ในอารมณ์จะดื่มด่ำ “หมายถึงโอริยามะ นาโอะคนนั้นไม่ได้เป็นบ้า”
“อ่าฮะ”
เขาเพียงขานรับในลำคอ ขณะที่คาคุโกะก็ไม่ได้แยแสใส่ใจขณะกล่าวต่อไปว่า
“เพราะเขาทำร้ายคนจนตาย เขาก็เลยแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อจะได้ไม่ต้องติดคุกเหมือนกับพี่ชายของฉันไง
รู้อะไรไหมไคโตะ ฉันว่าไม่ใช่ปีศาจหรอกที่เสี้ยมให้เขาทำเรื่องชั่วร้ายแบบนั้น แต่เป็นสันดานของเขาเองต่างหาก
เขาอาจมีปัญหาสั่งสมกับคนที่บ้าน เพื่อนที่โรงเรียน หรือไม่ก็อาจเป็นพวกต่อต้านสังคมอยู่แล้ว
จนในที่สุดก็ระเบิดออกมาแบบนั้น เป็นไปได้ไหมว่าช่วงเวลาที่เขาหายตัวไปในป่าอาจมีอะไรบางอย่างมากระตุ้น?”
“ฉันรักเธอนะคาคุโกะ” ทั้งท่าทีและน้ำเสียงของเขายังคงไม่มีความเคร่งเครียดอยู่ในนั้น
แม้หลังจากประโยคอันยืดยาวของสาวคนรักกับคำถามที่เขาไม่นึกสนใจจะตอบ “แต่ถ้าลดการคิดเป็นตุเป็นตะลงหน่อยก็คงดี”
เหมือนอย่างคาคุโกะที่ก็หันไปส่งยิ้มให้จากแววตาที่ยิบหยีลงไป
“ส่วนฉันก็รักที่นายเป็นพวกไม่คิดอะไรเลยไคโตะ”
นากามูระ ไคโตะที่คบควงกันมาตั้งกว่าสองปีย่อมเข้าใจความประชดประชันที่เคลือบแฝงอยู่ภายในนั้นว่าเธอจะบอกว่าเขาเป็นคนกลวงเปล่าได้
หากเจ้าตัวก็ไม่ได้นึกถือสาอะไร ซ้ำยังหัวเราะออกมาตอนลุกขึ้นยืน ขยี้ก้นบุหรี่ด้วยรองเท้าหนังบนพื้น
แล้วดึงมือเธอไปด้วยกัน
“ไปทำให้เธอหายฟุ้งซ่านกันดีกว่า”
แต่ก่อนสิ่งที่คาคุโกะรู้ว่าไคโตะจะกระชากเธอเข้าไปในอ้อมกอดของเขาทันทีที่บานประตูงับปิดลง
แล้วมอบจูบที่จะช่วยให้เธอลืมเลือนทุกความนึกคิดใดที่หาได้เกี่ยวข้องกับเขาไปได้จริงอย่างที่ว่า
ทันใด ลมที่พัดมาหอบหนึ่ง พร้อมกับความรู้สึกถึงสายตาที่ราวกับจดจ้องมองตามแผ่นหลังของเธอ
ก็จะทำให้คาคุโกะรู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาจนต้องหันหลังกลับไปมอง...เพียงเพื่อจะพบกับความว่างเปล่า
∞
อาจเป็นเพราะเธอใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงที่เหลียวซ้ายแลขวาไปทางใดก็จะพบแต่ตึกรามบ้านช่องและอาคารประดาแสงสีเมื่อพระอาทิตย์เลือนลับมาตลอดทั้งชีวิต อาโอโนะ โมนาริ จึงรู้สึกปรีดาเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นท้องทะเลกว้างใหญ่และส่องประกายระยิบระยับเมื่อพระอาทิตย์ส่องสว่างเหนือหัวเป็นครั้งแรก ตลอดเส้นทางที่ขับรถเลียบทางด่วนมาจนถึงโรงแรมบนเนินผาที่ชื่อซีไลท์ (แสงทะเล) ซึ่งจะกลายมาเป็นบ้านของเธอนับจากนี้ หมายถึงว่าถ้าเธอผ่านสัมภาษณ์จากผู้อำนวยการที่ตอบกลับจดหมายสมัครงานของเธอด้วยแนวโน้มในแง่ดีจนโมนาริค่อนข้างที่จะมั่นใจ ขณะก้าวเข้าไปในความโอ่อ่าของอาคารสีขาวสามชั้นอันกว้างขวางในวันรุ่งขึ้น
ที่เธอตื่นนอนตั้งแต่หัววัน
และอดรนทนกระสับกระส่ายอยู่ที่ห้องไม่ไหว จนต้องบึ่งรถขับขึ้นเนินมาก่อนเวลานัดในตอนเที่ยงเกินกว่าชั่วโมง
แต่แค่การได้นั่งจิบชาอยู่ในห้องรับรอง พลางทอดมองสถาปัตยกรรมแบบอลังการศิลป์ที่เกินกว่าจะเป็น
‘โรงพยาบาลโรคจิต’ ก็ชวนให้เกิดความประทับใจได้มากพอ
ไม่ว่าเธอจะได้เข้าบรรจุหรือไม่
หากแต่โมนาริผู้ชอบขวนขวายก็ย่อมต้องศึกษาประวัติของที่นี่มาก่อนแล้ว ประวัติที่ดำมืดยิ่งกว่าสิ่งที่มันเป็นในทุกวันนี้
ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นสปาและสถานบำบัดโรคสำหรับพวกเศรษฐีที่มีเงินถุงเงินถังพอที่จะจับจ่ายซื้อสุขภาพดีให้แก่ตัวเอง
กระทั่งได้เกิดเหตุการณ์สยองขวัญสั่นประสาทเมื่อเด็กสาวในเมืองค่อยๆ พากันหายตัวไป
ก่อนที่จะถูกพบเป็นศพในห้องใต้ดินด้วยสภาพแห้งเหี่ยวราวกับมัมมี่ เพราะถูกรีดของเหลวในร่างกายออกไปทำเป็นยาอายุวัฒนะโดยอ้างว่าเพื่อช่วยรักษาความเยาว์วัยให้แก่ลูกค้า
ตำรวจพบเครื่องมือและกิจกรรมวิปริตหลายอย่างภายในนั้นจนไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดต่อสาธารณชนได้
หลังจากนั้นมันก็ถูกทิ้งร้างไปเป็นเวลายาวนานถึงกว่ายี่สิบปี พร้อมกับเรื่องเล่าในอดีตที่ค่อยๆ
เลือนหายไปตามกาลเวลา กระทั่งช่วงหลังสงครามที่นักลงทุนชาวต่างชาติได้เข้ามาซื้อกิจการ
เปลี่ยนและปรับปรุงที่นี่ให้กลายเป็นโรงพยาบาลจิตเวชแบบไม่แสวงหาผลกำไร ด้วยคำขวัญที่แม้แต่คนอะไรก็ได้เหมือนโมนาริยังมองว่ามันงี่เง่าอย่าง
‘บรรยากาศที่สดชื่น ย่อมนำพาจิตใจที่แจ่มใส’ ถ้าหากว่าบรรยากาศที่สดชื่นช่วยให้คนหายบ้าได้จริง
แล้วทำไมลูกเลี้ยงของผู้ว่าฯเมืองนี้ที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมภายในคฤหาสน์หรูหราที่มองเห็นวิวทะเลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันถึงได้กลายเป็นบ้าไล่แทงคน?
หรือทำไมเขาถึงยังเป็นคนบ้าที่ชอบแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่ที่นี่แม้เวลาจะผ่านไปตั้งกว่าสองปี?
และกำลังจดจ้องมองเธอที่กำลังยกถ้วยเครื่องดื่มอุ่นๆ
ขึ้นแตะขอบปากอยู่แบบนั้น
เหมือนกับที่โมนาริก็ศึกษาเรื่องของผู้ป่วยหมายเลข
23 โอริยามะ นาโอะ
มาก่อนแล้วเช่นกัน อาจเพราะเธอคือประชากรส่วนน้อยในประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์จากครอบครัวอุปถัมภ์
แค่การที่เขากล่าวถึงปีศาจก็มากพอที่จะทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่น มือของเธอยกขึ้นแตะสร้อยไม้กางเขนที่ห้อยอยู่ข้างในโดยไม่รู้ตัว
ในตอนนั้นเองที่ริมฝีปากข้างหนึ่งของเขาจะวาดโค้งขึ้นเป็น...สิ่งที่โมนาริแน่ใจว่าคือ...รอยยิ้ม
เจสซี่
ลูอิส เป็นหลานของนักลงทุนชาวต่างชาติที่ซื้อกิจการนี้และเพิ่งจะเสียไปในอุบัติเหตุพร้อมกับลูกชาย
หรือก็คือพ่อของเขาไปเมื่อเกือบๆ สองปีมาแล้ว ด้วยเหตุนั้นเอง เขาจึงได้เข้าครอบครองกิจการโรงพยาบาลจิตเวชทั้งที่อายุยังไม่ถึงเลขสาม
ด้วยช่วงวัยที่ห่างกันไม่ถึงห้าปี ทำให้โมนาริไม่ได้รู้สึกเกร็งเลยแม้แต่น้อย
เขาแสดงความเป็นกันเองเป็นอย่างมาก ทั้งยังพูดภาษาญี่ปุ่นได้คล่องแคล่วไม่มีติดขัด
โมนาริรู้ว่าเธอผ่านสัมภาษณ์งานตั้งแต่แรกพบหน้า หรืออาจก่อนพบหน้าผ่านข้อความในจดหมายเสียด้วยซ้ำไป
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงถามคำถามบางข้อกับเธออยู่ดี
“ทำไมคุณถึงเลือกมาทำงานไกลจากบ้านเกิดขนาดนี้?”
“'บรรยากาศที่สดชื่น
ย่อมนำพาจิตใจที่แจ่มใส' ไม่ใช่เหรอคะ?” เป็นคำตอบที่ก็เรียกเสียงหัวเราะจากเจสซี่ได้เช่นกัน
“ครับ
ถึงงานรับมือกับผู้ป่วยจะหนักไปบ้าง แต่ที่นี่จะไม่ทำให้สภาพจิตคุณเสียหายอย่างแน่นอน”
โมนาริเพียงตอบรับด้วยรอยยิ้ม
ถึงแม้ข้างในหัวสมองของเธอจะกำลังนึกดูแคลนต่อความมองโลกในแง่ดีของชายคนตรงหน้านี้
หากมันไม่ได้มาจากความเกลียดชัง เธอถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรักไม่ให้เกลียดชังใคร ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายคือคนแปลกหน้าที่เธอยังไม่รู้จักนิสัยใจคอดีพอ
โมนาริก็แค่เยาะหยันทัศนคติของเขาที่ดูเหมือนว่าจะส่งต่อกันมาในครอบครัว ไม่มีทางที่งานดูแลคนป่วยเช่นนี้จะไม่ทำให้พยาบาลประสาทเสียไปด้วย
ใช่ว่าโมนาริจะไม่รู้เรื่องนั้น แต่บางสิ่งบางอย่างมันก็คุ้มค่าที่จะแลก
“คิดว่าคุณอาจจะทราบแล้วว่าพรุ่งนี้ผู้ป่วยรายใหม่จะถูกส่งตัวมาจากทัณฑสถาน
พวกสื่อก็คงจะแห่มากันด้วย ถ้าคุณอาโอโนะไม่สะดวกใจ อยากจะเริ่มงานวันมะรืนแทนก็ไม่มีปัญหานะครับ”
หากเธอจะรีบยกมือขึ้นโบกปัด
ตอบปฏิเสธรัวเร็ว “ไม่เลยค่ะ! ฉันอยากจะเริ่มงานพรุ่งนี้เลย ถ้าคุณไม่ว่าอะไร”
“ไม่อยู่แล้วครับ
ดีเสียอีก มีคนมาช่วยดูแลผู้ป่วยแบบนี้”
โมนาริกลับออกมาจากห้องผู้อำนวยการด้วยหัวใจที่เบิกบานไม่ต่างจากขามา
กลับโรงแรมเมื่อไหร่เธอจะโทรศัพท์ไปแจ้งข่าวดีกับเพื่อนสนิทที่คงจะตั้งตารออยู่ เหมือนกับที่เธอก็ตั้งตารอจะได้พบผู้ป่วยรายใหม่ในวันพรุ่งนี้ที่กำลังเป็นหัวข้อซุบซิบในหมู่พยาบาลตรงเคาน์เตอร์ที่เธอเดินผ่าน
เพราะมัตสึดะ เก็นตะ คนที่เธอรู้จัก ไม่ใช่ฆาตกรคลั่งที่จะสังหารอดีตอาจารย์สมัยไฮสคูลที่เคยสนิทสนมอย่างเหี้ยมโหด ด้วยเหตุผลอันน่าพรั่นพรึงไม่ต่างจากโอริยามะ นาโอะที่เกี่ยวกับนรก ปีศาจ การสิงสู่ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ขัดกับหลักความเชื่อของเธอ
และไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร เขาก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่โมนาริยอมที่จะแลกเพื่อช่วย
_______________
ความคิดเห็น