คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #219 : THE TOKYO BLUES
PM 8:36
ในที่สุด ทสึโนะ โทโมริจึงได้รู้แจ้งถึงคำที่มักกล่าวย้ำซ้ำๆ กับตัวเองเสมอว่า ไม่เป็นไร มาตลอดสองปีที่ได้คบหากับชายคนรัก ว่าที่แท้มันก็แค่เกราะป้องกันตัวจากสถานการณ์ที่หาได้ ไม่เป็นไร ซึ่งไม่ใช่เพียงความรู้สึกเบาบาง แต่กลับสาหัสจนแทบจะกระอัก ทุกความจริงที่โหมซัดสาดเหมือนเกลียวคลื่นกระแทกชายฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า กระนั้นเธอก็ยังปั้นแต่งสีหน้าให้เป็นปกติ ทำเหมือนกับว่าไม่รู้เรื่องอะไรต่อหน้าชายคนรัก นับตั้งแต่ได้รู้เรื่องระหว่าง ‘เขา’ กับ ‘ผู้หญิงคนนั้น’ เป็นครั้งแรกเมื่อเกือบห้าเดือนก่อน หลังจากที่เขาเพิ่งจะได้เข้าเป็นสมาชิกวงดนตรีใต้ดินตามคำชักชวนของเพื่อนรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยที่เขาเพิ่งจะเรียนจบมาและยังเตร็ดเตร่กับเธอและเงินมหาศาลของพ่อแม่อยู่ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เขาเหมาะกับการทำอะไรอิสระตามใจตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะโดดเรียนเพื่ออยู่กับเธอ หรือกินดื่มกับพวกเพื่อนๆ จนตื่นเช้าไปเรียนแทบไม่ไหว เคียวโมโตะ ไทกะที่โทโมริรู้จักก็เป็นแบบนี้ ในขณะที่เธอกลับยึดติดอยู่กับหน้าตาทางสังคมกับการทำงานที่มีรายได้มากพอจะไม่ต้องถูกตราหน้าว่าเกาะคนรักอายุน้อยกว่า ที่ร่ำรวยขนาดว่าสามารถใช้ชีวิตบนกองเงินกองทองได้สุขสบายไปทั้งชาติ ทั้งที่เขาเคยบอกว่า ไม่เป็นไร ทว่าคนที่กลับเน้นย้ำคำว่า ไม่เป็นไร ผิดพลาดมาตลอดนั้นกลับเป็นเธอต่างหาก
ด้วยเพราะผิดหวังกับความรักอยู่บ่อยครั้งจนหัวใจชาชิน เธอถึงได้ให้คำมั่นโง่ๆ กับตัวเองว่า ไม่เป็นไร ถ้าวันหนึ่งความรักครั้งใหม่จะต้องจบลงไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม โทโมริรู้ดีว่ามันก็แค่เกราะป้องกันตัวเองไม่ให้ต้องเจ็บหนักเหมือนที่เคยได้เผชิญ ถ้าเขาหมดรักแล้ว เธอก็จะยอมเลิกรา ถ้าเขามีคนอื่น เธอก็จะเป็นฝ่ายเดินจากไป ง่ายดายแค่นี้เอง ตลอดมาเธอคิด...เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะไม่เจ็บปวดกับความรักเหมือนครั้งยังเยาว์วัยอีกแล้ว ก่อนจะได้ตระหนักถึงความเป็นจริงที่สวนทางยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
พังทลายลงไปในชั่วพริบตา
PM 8:46
ทันทีที่พ้นจากห้องซ้อมดนตรีที่อุดอู้ในชั้นใต้ดินของอาคารขนาดกลาง เขาก็ได้สัมผัสกับมวลอากาศฉ่ำเย็นและปลอดโปร่งในคืนกลางฤดูใบไม้ร่วง ที่อย่างน้อยก็ช่วยให้เขาหัวเย็นขึ้นมาได้บ้าง หลังจากวิวาทะเผ็ดร้อนกับเพื่อนร่วมวงถึงเรื่องการใช้ชีวิตของเขา ที่ก็ไม่เห็นว่าหมอนั่นจะต้องเดือดร้อนไปทำไม ในเมื่อนี่คือชีวิตของเขา คือการตัดสินใจของเขา ที่ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่งแม้แต่ครอบครัวสั่วๆ ที่มีก็เหมือนไม่มีพรรค์นั้นก็ตาม แล้วไอ้หมอนั่นอาจหาญคิดว่าตัวเองเป็นใครนอกไปจากเพื่อนสนิทควบตำแหน่งเพื่อนร่วมวงแค่นั้นกัน ระหว่างเขากับมันในช่วงระยะสองสามเดือนหลังมานี้ดูจะมีแต่ปัญหา โต้เถียงกันซ้ำซากเกี่ยวกับยาเสพติดที่เขาได้มาจากคนในแก๊งยากูซ่าหนึ่งที่เผอิญได้รู้จักกันตอนไปตะลอนอยู่กับสาวคนเก่าที่คาบุกิโจ โชคดีที่มันไม่ได้จบลงด้วยการแลกหมัดกันเหมือนเกือบทุกครั้งคราว และวันนี้เขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายเกินกว่าจะมีเรื่องถึงขั้นลงมือลงไม้กับใคร ยิ่งกับเพื่อนสนิทของตัวเอง ถึงได้เดินหนีออกมาโดยไม่สนใจเสียงตะโกนที่ไล่หลังตามมาเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่แค่ระยะนี้ แต่เป็นมาตั้งแต่เกิดได้แล้วกระมังในเรื่องอารมณ์แปรปรวน แค่พียงมีเรื่องขัดใจนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น มีไม่รู้กี่ครั้งที่เขาหงุดหงิดถึงขั้นเหลืออดกับไอ้หมอนั่นจนอยากต่อยให้ฟันร่วงอยู่เหมือนกัน แต่ข้อดีที่เขาสามารถลิสต์มาได้เกินกว่าสิบข้อก็มากเกินกว่าจะหักล้างได้ด้วยข้อเสียงี่เง่าเพียงข้อเดียว ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเจสซี่ ลูอิสและทานากะ จูริ จึงยังคงเป็นไปด้วยดี แม้ไม่ถึงกับราบเรียบ หากก็ไม่ได้แตกหักมาเป็นเวลาถึงหกเกือบเจ็ดปีเช่นนี้
เขาเดินทอดน่องไปตามทางเดิน กดโค้กกระป๋องจากตู้กดน้ำแรกที่เจอ พาตัวเองไปนั่งขัดสมาธิแหมะอยู่ตรงขอบทางเดินใกล้ๆ เปิดฝากระป๋องยกขึ้นเดิม ทอดมองผู้คนใจกลางมหานครซึ่งขวักไขว่กันวุ่นวายอยู่ในช่วงหัวค่ำ ที่ยังไม่ดึกเกินกว่าพวกพนักงานบริษัทจะจับรถไฟกลับบ้านหลังเลิกงานให้ทัน หรือพวกหนุ่มสาวมหา’ลัยที่เตรียมออกตระเวนท่องยามราตรี เช่นเดียวกับสถานบริการยามค่ำคืนที่ก็เริ่มคึกคัก บ้างออกมาตะโกนเรียกแขกกันโหวกเหวกโวยวาย ขับเคลื่อนแสงสีและความมีชีวิตชีวาภายใต้ท้องฟ้าสีดำสนิทราวกับกดเปิดสวิตช์ไฟของโลกให้สว่างเรืองรอง เป็นภาพบรรยากาศของยามค่ำคืนที่เขาเห็นจนชินตา มากกว่าจะจดจำความแห้งแล้งยามพระอาทิตย์มาเยือน แต่วันนี้เขาเบื่อหน่ายเกินกว่าจะดื่มด่ำหรือเริงรื่นพร้อมเสวนาไปกับใครหน้าไหนแม้แต่พวกผู้หญิง ความคิดแรกที่กะว่าจะไปนั่งดื่มพอให้อารมณ์ดีขึ้นคนเดียวจึงเป็นอันตกไปเมื่อได้เห็นผู้หญิงที่เดินผ่านส่งยิ้มยั่วให้ จนต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง อันที่จริง ไหนๆ ไอ้หมอนั่นก็หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา บางทีถ้ากลับไปหาความสุขกับผงเล็กๆ น้อยๆ ที่อพาร์ตเมนต์คนเดียวก็น่าจะไม่เลว แต่ก็ขอนั่งทอดหุ่ยอยู่ตรงนี้กับลมเย็นๆ อีกสักนิดจนกว่าจะดื่มโค้กหมดกระป๋องก่อนก็แล้วกัน ขณะที่เปลี่ยนท่านั่งและยืดตัวตรงอยู่นั้นเอง สายตาของเขาก็พลันได้มองเห็น
แล้วริมฝีปากก็หยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม
เมื่อลุกขึ้นไปแตะไหล่เล็กภายใต้สเว็ตเตอร์ตัวยาวสีขาวและเอ่ยทักว่า “เฮ้! ทสึโนะ โทโมรินี่นา!” เจ้าของชื่อนามสกุลเต็มนั้นก็จะรีบหันขวับกลับมาด้วยนัยน์ตาเลิกกว้างแสดงความประหลาดใจ ซึ่งก็แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แทบไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากความทรงจำต่อเธอที่เขาจำจดได้เลย “ค...คุณลูอิส...ใช่ไหม?” ให้เขาพยักหน้าตอบรับ สานต่อบทสนทนาจากถ้อยคำถามนั้นด้วยท่าทีเบาสบายว่า “ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากนักหรอก ไหนๆ ก็คนเคยเรียนด้วยกัน เรียกฉันว่าเจสซี่เฉยๆ ก็ได้ ใครๆ ก็เรียกแบบนั้น” ซึ่งเธอก็จะพยักหน้าก่อนกลับไปก้มมองรองเท้าบู๊ตสีดำหุ้มข้อของตัวเองอย่างเงียบงัน...และน่ารำคาญใจ กระทั่งเจสซี่ต้องเป็นฝ่ายกระแอมไอเสียหนึ่งครั้ง เรียกความสนใจจากคู่สนทนาให้เงยใบหน้าขึ้นมาสบสายตากับเขา
“ว่าแต่กำลังจะไปไหนเหรอ? กำลังจะกลับบ้านหรือว่ามีนัดกับแฟน?”
“ฉัน...” ความเงียบงันก่อตัวขึ้นอีกครู่เดียว ก็กล่าวต่อประโยคสั้นๆ เพียงแค่ “ไม่รู้”
ขณะที่สายตาของเธอยังคงจับจ้องมองเขา แต่คลับคล้ายว่าห้วงความคิดจะหลุดลอยไปไกล ที่ก็อาจไม่ได้ไกลเกินกว่าชิบุยะนี้เลยก็ได้ ความรู้สึกจากเมื่อครั้งอดีตกาลหวนกลับคืนมาพร้อมๆ กับความเกลียดชังที่ไม่ได้ยากเกินคำอธิบาย นอกจากหน้าตาสะสวยที่ไม่ใคร่แสดงสีหน้าหรือความรู้สึกเป็นมิตรต่อใครเท่าไหร่แล้ว ผู้หญิงที่ชื่อทสึโนะ โทโมริก็แค่คนยโสโอหังเกินกว่าตัวเองจะมีสิทธิ์กระทำ ทั้งฐานะในครอบครัวที่ขาดไร้หรือฐานะทางสังคมที่ขาดเพื่อน เธอก็ไม่มีอะไรเทียบเคียงกับเขาได้เลยสักอย่าง ตลอดชีวิตเขาไม่เคยถูกเพิกเฉยจากผู้หญิงคนใดมาก่อน และเขาก็จะไม่ปฏิเสธว่าเคยสนใจเธอ ก่อนจะได้รับเพียงความเฉยชาและการถูกหักหน้าไปคบกับผู้ชายที่ด้อยกว่าเขาทุกทางอย่างน่าสมเพช ผลักเปลี่ยนความรู้สึกที่มีไปเป็นความเกลียดชัง ตอนนี้แม้สักเศษเสี้ยวความรู้สึกก็หาได้หลงเหลือ
แต่คนอย่างเธอที่มองไปในจักรวาลไกลโพ้นกว่าตัวเขาคงจะไม่มีวันได้รู้ล่วง
“งั้นเราไปดื่มด้วยกันหน่อยไหม? อุตส่าห์ได้เจอเพื่อนเก่าทั้งที ฉันเลี้ยงเอง” เขาเอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ขัน ปกปิดความนัยไว้ได้อย่างแนบสนิท
“แต่ว่า...”
“คืนนี้ฉันไม่มีเพื่อนเลย นะ”
“อย่างนั้นก็ได้”
เธอก้มหน้าลงอีกครั้งซึ่งน่าจะเป็นปฏิกิริยาเคยชินต่อคนไม่สนิท มากกว่าจะเป็นการแสดงความรู้สึกอะไร หากเมื่อกำลังจะแหงนเงยใบหน้าขึ้นและหมุนตัวเดินตามหลังเขาที่นำฝีเท้ามาอยู่ข้างๆ แล้ว ร่างของเธอก็ถูกมือหนาทั้งสองข้างจับไหล่แล้วหมุนตัวก่อนพาโอบไหล่เดินไปด้วยกัน โทโมริเผลอสะดุ้งไปเล็กน้อย จ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของชายหนุ่มตัวสูงกว่ามากด้วยความประหลาดใจ หากเจสซี่กลับหาได้ใส่ใจทั้งต่อปฏิกิริยาที่มือของเขาสัมผัสได้ เช่นสายตาที่เพ่งมองมาผ่านทางหางตาซึ่งก็เพียงครู่สั้นๆ กระนั้นเจสซี่ก็ต้องยอมรับว่าเขาแปลกใจไม่น้อยที่เธอไม่สะบัดพาตัวเองออกจากการเกาะกุมแล้ววิ่งหนีไป ไม่แน่ว่าอาจฝากรอยมือไว้บนใบหน้าสักข้างหนึ่งด้วย เพราะไม่มีอะไรเป็นไปตามที่คาด เขาจึงลองเบี่ยงฝีก้าวจากท้องถนนที่พลุกพล่านไปยังซอกซอยของตึกรามที่ส่องสะท้อนไฟนีออนหลากสีสันชวนให้แสบตา ตอนนั้นเองที่ไหล่ของเธอเริ่มแสดงปฏิกิริยา เมื่อเขาหันกลับไปก็เห็นเธอก้มหน้าลงด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดบังใบหน้าทันทีที่น้ำหนักบนไหล่หายไป
“กลัวเหรอ?”
เขาส่งเสียงเยาะๆ หากกลุ่มผมสีเข้มเธอกลับส่ายเร็วๆ แทนคำตอบ แต่ก็หาได้มีถ้อยคำอื่นใดนอกไปจากเสียงสะอื้นไห้แผ่วผิวนั้นไม่
ก็น่าพอใจดี สำหรับเจสซี่ เขาไม่ใช่พวกถามไถ่ ไม่เคยสนใจว่าพวกหล่อนจะคิดอย่างไร เขาเกลียดน้ำตาและมารยาของพวกผู้หญิงที่ช่างสรรหาลูกไม้ตื้นๆ สารพัดที่คิดว่าผู้ชายทุกคนจะต้องยอมสยบ แน่นอนว่ามันไม่มีทางใช้ได้ผลกับคนอย่างเขา เขาบีบข้อมือทั้งสองข้างที่เธอยกขึ้นปิดหน้าแล้วออกแรงเพียงนิดดันมันลงด้วยความพึงใจ หาใช่ความหงุดหงิดเหมือนอย่างที่ทำกับคนอื่นๆ ต้องรู้ไว้อย่างหนึ่งว่าเขาไม่ใช่คนที่ชอบทำร้ายร่างกายพวกผู้หญิง แต่แค่เหวี่ยงร่างแบบบางไปบ้างก็ถือเป็นการระบายออกที่เท่าเทียมกับน้ำตาของพวกหล่อนแล้วมิใช่หรอกหรือ? หากโทโมริก็ยังคงก้มหน้าลงต่ำ ปล่อยเส้นผมปรกบังและร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนกดกลั้นไว้อยู่อย่างนั้น แล้วความรู้สึกของเขาก็พุ่งสูง แม้กระทั่งตอนนี้ ที่นี่ ที่มีเพียงแค่คนสองคน เขาก็ยังคงอยู่นอกเหนือไปจากสายตาที่ไม่รู้ว่ามองไปที่ไหนของเธอ เขาเปลี่ยนมือไปดันคางของเธอให้แหงนเงยขึ้นและสบนัยน์ตาที่มัวพร่าไปด้วยหยาดน้ำใส ริมฝีปากที่กดกั้นเสียงเล็ดรอดเอาไว้เผยอขึ้นคล้ายว่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หุบกลับลงไปเม้มกัดขอบปากบางของตัวเองไว้เช่นเดิม วินาทีนั้น กระทั่งเจสซี่เองก็ไม่รู้ตัวว่าเป็นเพราะอะไร แรงดึงดูด ความพึงใจ หรือความใคร่ปรารถนา เขาได้รสขมขื่นของน้ำตาและการตอบสนองที่ไม่แน่ว่าเมื่อเขาลืมตา...มันอาจจะเป็นแค่ความฝัน
PM 9:48
เป็นอีกครั้งที่ไทกะจะได้ยินเพียงเสียงรอสายตอบรับว่างเปล่า เมื่อต่อสัญญาณไร้สายไปหาเจ้าของชื่อที่ถูกเมมไว้อย่างธรรมดาสามัญว่า ‘โทโมริ’ หากความสำคัญของเธอต่อเขาหาได้ธรรมดาสามัญไม่ จะว่าเธอยังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงหรือก็ไม่น่าจะใช่ ถึงทสึโนะ โทโมริจะเป็นคนขี้เซาไปเสียหน่อย แต่ก็ไม่เคยเถลไถลในเรื่องการงานที่เธอจะต้องออกจากห้องไปทำงานต้อนรับกะกลางคืนในโรงแรมละแวกใกล้ๆ กับอพาร์ตเมนต์ของเขา และไม่ใครก็ใครจะต้องโทรหาอีกฝ่ายหนึ่งถึงจะพูดคุยกันไม่มากจนเป็นกิจวัตรชาชินในเวลาประมาณนี้เสมอ เขาเดาไม่ถูกและไม่อยากคาดเดาไปเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ด้วยเพราะเธอไม่สนิทกับใครแม้แต่ในที่ทำงานจึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะสอบทานให้รู้ชัด ความวิตกกังวลของเขาเริ่มตีรวนกันอยู่ในหัว จนในที่สุดก็เดินกลับเข้ามาในห้องซ้อมดนตรีเพื่อคว้าเอาแจ็คเก็ตขึ้นมาสวม บอกขอตัวกลับไปที่มินามิอาซาบุสักครู่แล้วจะกลับมาถึงชิบุยะให้ทันสี่ทุ่มครึ่งอย่างแน่นอน หัวหน้าวงที่นอนดีดเบสอยู่บนโซฟายักไหล่ ไม่มีปัญหา นักร้องนำและมือกีตาร์คนใหม่ยังหายหัวไปอยู่ “ไม่แน่ว่านายอาจจะกลับมาก่อนไอ้หมอนั่นจะเสนอหน้ามาก็ได้” เสียดสีหยอกล้อพร้อมเสียงหัวเราะจากทุกคนรวนร่า
ทว่ายังไปไม่ทันจะเดินไปถึงบันไดดี เสียงแผ่วต่ำของสาวน้อยก็ร้องเรียกชื่อของเขา สีหน้าซีดเซียวของเธอแสดงร่องรอยของการร้องไห้อย่างหนักหน่วง ที่ดูเหมือนว่าการพบเจอเขาจะเป็นตัวเร่งเร้าให้หยาดน้ำตาไหลรินอาบแก้มอีกครั้ง และน้ำเสียงสั่นเครือยามโผเข้าหา หลังจบถ้อยคำที่ทำให้เขาคล้ายถูกตีด้วยของแข็งเข้าอย่างจังจนหูอื้ออึง สายตาพร่าพรายส่องสะท้อนโลกที่บิดเบี้ยวอยู่ในแววตา
“ฉันบอกเรื่องของเรากับคุณทสึโนะแล้ว”
_______________
? cactus
ความคิดเห็น