คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #212 : The Glass Staircase: The Beginning
นาริมิเกลียดเด็กหนุ่มที่ชื่อเก็นตะ เป็นความเกลียดที่รุนแรงเข้มข้นกว่าความรู้สึกไหนๆ
บนโลกใบนี้ที่เธอเคยได้ประสบ
มันไม่ใช่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนับแต่แรกพบ แต่สั่งสมอยู่ข้างในอกมาเนิ่นนานวัน
และนาริมิเองก็ไม่เคยปิดบังความรู้สึกอันแรงกล้านั้นผ่านสีหน้า ท่าที กระทั่งคำพูดห้วนกระชากหากสุดวิสัยเกินกว่าที่เธอจะทำเป็นเมินเฉยได้
ทุกอย่างยิ่งแย่เมื่อเธอถูกจับคู่ให้นั่งข้างเขาตามผลการเรียนเพื่อช่วยเหลือกันเมื่อขึ้นชั้นปีที่สอง
จนเด็กสาวไม่อาจตั้งสมาธิกับการเรียนทั้งที่เคยมีคะแนนสอบอยู่ในระดับต้นๆ มาตลอดได้เลย
เธอยังคงจดจำได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ต้นตอมาจากเหตุการณ์ไร้สาระที่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว
อย่างเช่นว่าการที่เธอได้เห็นเขาวางแผนแกล้งหลอกผีใส่เพื่อนในห้องเก็บอุปกรณ์ตอนคาบพละ
แล้วหัวเราะเยาะเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาลนลานด้วยความชอบอกชอบใจ มันไม่ใช่การกลั่นแกล้งจริงจังเหมือนอย่างที่เธอเคยเผชิญก่อนเข้าเรียนที่นี่
เพราะความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนหลังจากนั้นก็ยังคงเป็นไปด้วยดี แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้นาริมิรู้สึกกับเก็นตะด้วยไม่ดี
อันที่จริงเขามีใบหน้าหล่อเหลาดูดี อย่างที่ทำให้หัวใจของเธอพองโตได้ยิ่งในตอนที่ฉีกยิ้มกว้างๆ
แต่บัดนี้เธอไม่อาจทนมองรอยยิ้มของเขาโดยไม่นึกหงุดหงิดขึ้นมาได้ หรือแม้แต่เสียงพูดที่เธอเคยคิดว่ามันน่าฟัง
กระทั่งเสียงหัวเราะขบขันที่คอยสร้างบรรยากาศก็ยังกลายเป็นสิ่งแสลงหู ไม่มีทางที่ใครจะดูไม่ออกว่าเธอรู้สึกกับเด็กหนุ่มผู้นี้เช่นไร
กระนั้นเก็นตะก็ยังคงทำตัวเป็นปกติเหมือนแสร้งทำเป็นไม่รับรู้หรือว่าเข้าใจ ไม่สนใจถึงต่อให้คำถามหรือบทสนทนาต่างๆ
ในห้องเรียนจะไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะถึงจุดหนึ่งเธอก็จำต้องยอมเปิดปากพูดอย่างเสียไม่ได้ทุกครั้งคราวไป
และนาริมิก็ยิ่งกว่าแน่ใจว่าเขากำลังยั่วเย้า...ด้วยความรู้สึกพึงพอใจที่ได้เห็นเธอเป็นแบบนี้
เหมือนกับตอนที่เธอบังเอิญได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะแผ่วค่อยดังแว่วมาจากระเบียงทางเดิน
ตอนที่เพิ่งกลับมาจากการช่วยงานอาจารย์ชิโอริที่ห้องสมุดตอนเย็นแล้วติดลมบนคุยเรื่องวรรณกรรมร่วมสมัยที่เธอกำลังให้ความสนใจกันเพลินไปหน่อย
เลยเวลาเข้านอนแล้ว แต่ในเมื่อพวกเธอคือวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ยังคึกคักและรักที่จะแหกกฎ
จึงมีทั้งกลุ่มเด็กชายหญิงที่แอบออกจากห้องนอนของตนเองเพื่อหาทำเรื่องบ้าบออะไรก็ตามแต่ในยามวิกาลกันอยู่บ่อยครั้ง
ครั้งหนึ่งเพื่อนสนิทของเธอยังเคยชวนแอบย่องออกไปดื่มเหล้าเล่นไพ่ที่หอนอนของพวกผู้ชายคนละปีกตึกเลย
เช่นนั้นแล้วเรื่องจำพวกรักๆ ใคร่ๆ ของหนุ่มสาวที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกันในโรงเรียนประจำตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ต่างอะไรกัน
เนื่องจากว่าทุกคนต้องมีรูมเมต จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่พวกเขาต้องแอบออกมานัดพบเพื่อพลอดรักกันตามลำพังในมุมอับของอาคารเมื่อถึงยามวิกาลจนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติ
อาจแม้แต่ตัวอาจารย์เองที่นาริมิแน่ใจว่าทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หากไม่ได้มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น
ถึงอย่างนั้น นาริมิก็ยังไม่เคยเห็นฉากแบบนั้นกับตาตัวเองเลยสักครั้ง แต่ด้วยวิสัยช่างสอดรู้สอดเห็นของมนุษย์
อีกทั้งความสัมพันธ์ของเพื่อนนักเรียนจำนวนไม่ถึงห้าสิบคนที่ต่างก็รู้จักหน้าค่าตากันหมด
นาริมิที่ให้บังเอิญได้รู้เห็นเหตุการณ์จริงขึ้นมาเป็นครั้งแรก เลยอดไม่ได้ที่จะแอบลอบมองดูว่าชายหญิงสองคนนั้นคือใคร
ใครคนหนึ่งที่นาริมิไม่เห็นใบหน้าคือเด็กสาวผมสีแดงยาว
แต่แม้จะเห็นแค่แผ่นหลังเธอก็รู้ได้ว่าคือชิกะ เด็กสาวที่สวยที่สุด รวยที่สุด
และฉลาดที่สุดในโรงเรียน ทั้งยังเป็นที่หมายปองของเด็กหนุ่มกว่าครึ่งค่อนโรงเรียน อย่างน้อยๆ
นาริมิก็มั่นใจว่าทุกคนต้องเคยเก็บเอาหล่อนไปเพ้อฝันสักครั้งสองครั้ง แต่ไม่มีใครเคยเห็นหล่อนที่ชอบอยู่กับกลุ่มเพื่อนสนิทที่เป็นหญิงล้วนคบควงหรือว่ามีใจให้กับเด็กหนุ่มคนไหน
จนนัยน์ตาซุกซนของนาริมิในทีแรกเบิกโพลงขึ้นจากความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไป จากใบหน้าของใครอีกคนที่เธอมองเห็นได้อย่างถนัดชัดเจน
เขาสบประสานสายตากับเธอผ่านแสงสลัวของเชิงเทียนที่วูบไหวอยู่ริมทางเดิน ไม่ใช่หลังจากที่ได้เห็นเธอแอบชะโงกใบหน้าออกมา
แต่จดจ้องราวกับรับรู้อยู่แล้วว่าเป็นเธอ นาริมิมองไม่เห็นว่าเขากำลังยิ้มอยู่หรือไม่
เพราะริมฝีปากที่กำลังใช้มันประทับกับส่วนเดียวกันของชิกะซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่นาริมิก็แน่ใจได้จากดวงตาที่ไม่ยอมละจากเธอว่าเขากำลังพึงพอใจ...ไม่ต่างจากที่เป็นมา
มือของเธอกำแน่นเข้ากับกระโปรงนักเรียนจนแน่ใจว่ามันคงจะยับยู่ยี่ในตอนที่คลายออก
ขณะที่เธอเองก็จ้องสบกับเขาโดยไม่เบือนหลบ ตลอดชั่วระยะเหล่านั้นก่อนที่เธอจะวิ่งหนีกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง
ความรู้สึกอันแรงกล้าบางอย่างก็พลันพุ่งสูงขึ้นที่ข้างในอก ก่อนที่หัวใจของเธอจะบิดเร้าจนแทบจะทนไม่ไหว
เฉกเช่นเดียวกับดวงตาสีดำที่ยังฝังประทับอยู่อย่างแจ่มชัดในห้วงความคิดแม้ยามที่หลับตา
กระทั่งในนิทรารมย์ที่เธอไม่อาจมองเห็นมันได้อีก เมื่อเก็นตะดันแผ่นหลังของเธอไปชิดติดกับกำแพงอิฐแล้วกดก้มลงมา
สิ่งเดียวที่รับรู้ได้คือสัมผัสบนริมฝีปากที่เป็นของเธอ ไม่ใช่ชิกะ เธอยกท่อนแขนทั้งสองขึ้นคล้องรอบลำคอ
ดึงรั้งร่างของเขาให้เข้ามาชิดใกล้จนไม่ต้องการช่องว่างอื่นใดนอกจากเสื้อผ้าที่ขวางกั้น
ผิวกายของเธอร้อนรุ่มด้วยความรู้สึกที่ว่าเธอต้องการมากกว่านั้น เป็นความปรารถนาที่รุนแรงเข้มข้นกว่าครั้งไหนๆ
ต่อเด็กหนุ่มคนที่เธอเอาแต่เฝ้าผลักไสเขาไปให้ไกล นาริมิต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับเขา
ตอนนี้ เวลานี้ ไม่จำเป็นต้องโลมเล้าเธอให้ถึงจุดนั้นจากลิ้นที่หยอกล้ออย่างชำนาญ และมือของเขาที่เค้นคลึงเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตและกระโปรงเครื่องแบบ
เพราะเธอถึงจุดที่คลั่งเพียงแค่ร่างกายที่เบียดเสียด
เพราะมันคือความฝัน และเป็นหนึ่งในความฝันที่นาริมิตระหนักรู้ว่ามันคือความฝัน
ถึงจะเป็นความรู้สึกที่สมจริงมากก็ตาม เธอจึงไม่กระดากอายที่จะขอให้เขา...ทำ
แต่เขาจะเพียงหัวเราะออกมาอย่างยั่วเย้าและถือดี
แบบที่นาริมิควรจะโกรธ เกลียด ไม่พอใจ หรือความรู้สึกในแง่ลบอื่นใดก็ตามแต่ที่เธอเคยมีต่อเขา
ทว่าในครั้งครานี้มันกลับปลุกเร้าอะไรบางอย่าง เขาสอดปลายนิ้วเข้าไปด้วยจังหวะและจำนวนที่เพิ่มขึ้นจนนาริมิสะกดกลั้นเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอไม่ได้
เข่าของเธอคล้ายว่าจะทรุดจนทานน้ำหนักตัวเองไม่ไหว แต่เพราะมือทั้งสองที่เปลี่ยนมายึดไหล่แล้วเลื่อนลงมายังท่อนแขนของเขาอย่างแรงเลยทำให้ไม่ล้มลงไปเสียก่อน
“ต้องการฉันแค่ไหนนาริมิ?”
“มากกว่าทุกสิ่ง”
เขาเร่งความเร็วขึ้นหลังคำตอบนั้น หากเธอก็ไม่อาจจะหวีดร้องออกมาจากความสุขสมแรกที่ได้รับ
เมื่อเขาปิดกั้นมันด้วยริมฝีปากของตัวเอง กระนั้นนาริมิก็คาดหวังว่ามันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเพราะแค่นี้ยังไม่พอ
ความปรารถนาของเธอยังไม่ได้รับการเติมเต็มจากตัวตนของเขาที่ต้องการให้มันหลอมรวมไปกับเธอ
ใบหน้า รอยยิ้ม ถ้อยคำ และเสียงหัวเราะของเก็นตะในวันนี้สร้างความแปลกประหลาดอย่างที่นาริมิไม่เคยรู้สึกมาก่อน
แน่นอนว่าเธอเคยชอบเขาในแบบที่ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรก่อนเหตุการณ์ในห้องเก็บอุปกรณ์ แต่บัดนี้
เธอรู้สึกได้ถึงความร้อนทั่วร่างกายและหวังว่ามันจะไม่กลั่นกลายเป็นสีแดงเข้มเหมือนกับคนเป็นไข้
แม้นั่นอาจเป็นสิ่งที่เธอกำลังรู้สึกในตอนที่นั่งข้างกันกับเขาและต้องพยายามข่มใจตัวเองที่ราวกับว่าจะระเบิดออกมา
∞
ท้องฟ้าข้างนอกมืดครึ้ม ลมพัดแรง น่ากลัวว่าฝนจะตก
ขณะนั้นนาริมิกำลังยืนเกาะราวที่โถงทางเดินซึ่งมองลงไปจะเห็นบริเวณส่วนหน้าโรงเรียนที่เบื้องล่างได้อยู่กับมาอง
เพื่อนของเธอไม่ปิดบังข้ออ้างที่ว่าอยากเห็นเด็กหนุ่มที่แอบชอบอย่างเร็นเล่นฟุตบอลในสนาม
และแม้ว่านาริมิจะเคยขุ่นข้องหมองใจเพราะหนึ่งในกลุ่มนั้นรวมถึงเก็นตะด้วย แต่ไม่ใช่กับวันนี้ที่เธอไม่อาจหักห้ามสายตาไม่ให้เฝ้ามองหาเขาอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อไหร่ที่เขาเงยมองขึ้นมา ก็จะส่งยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่เธอเคยคิดว่ารบกวนจิตใจมาโดยตลอด
แต่ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว หลังจากมันทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวแรงมากจนน่ากลัวว่ามาองจะได้ยิน
ถึงอาจไม่ผ่านใบหน้านิ่งเฉยที่นาริมิพยายามปั้นแต่งให้ดูเหมือนว่าระหว่างเธอกับเขายังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยก็ตามแต่
ขณะที่มาองก็ชวนเธอคุยเรื่อยเปื่อยตั้งแต่เรื่องของเร็น การสอบที่ใกล้จะมาถึง
ครอบครัวที่จะพาไปอยู่กับญาติที่ต่างประเทศตอนช่วงปิดภาคเรียน จนถึงเรื่องลมฟ้าอากาศ
นาริมิทำได้แค่เออออไปตามเรื่องเพราะจับใจความจากบทสนทนาของเพื่อนแทบไม่ได้เลย
ก่อนเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหวราวกับฟ้าผ่าจะบังเกิดจนทุกคนพากันส่งเสียงหวีดร้องออกมา
หากไม่มีทางที่ใครจะได้ยินเสียงของกัน กระทั่งของตัวเอง ตามมาด้วยแสงสว่างวาบที่เจิดจ้ามากจนเปลือกตาของเธอปิดหลับลงไปโดยอัตโนมัติ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ กว่าที่แสงสีขาวซึ่งวูบไหวจะเปลี่ยนเป็นเส้นสายเริงระบำของสีสันที่แปลกตาให้นาริมิได้ลืมมอง
ดวงตากลมโตของเธอขยายกว้างขึ้นจากภาพเบื้องหน้ากับสีสันที่ไม่เคยได้พานพบเจอ อาบย้อมท้องฟ้าและป่าสีเขียวขจีที่อยู่เลยไกลออกไป
มันไม่ใช่เฉดสีใดๆ ที่โลกใบนี้เคยมีมา ต่อให้จะใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อศึกษาหรือค้นคว้าเธอก็แน่ใจว่าไม่มีทางหาคำนิยามให้กับมันได้
นอกจากบอกได้แค่ว่ามันคือสีสันที่งดงามที่สุดเหนือกว่ากฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ อาจมาจากจักรวาลหรือมิติอื่นที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจ
ไม่มีสรรพเสียงอื่นใดรอบข้างราวกับกาลเวลาหยุดนิ่งไปกับความพิศวงเช่นเดียวกับเธอ
จนเมื่อเสียงกริ่งบอกเวลาเข้าเรียนดังขึ้น เรียกสติฉุดรั้งของทุกคนให้กลับคืนมา พร้อมกับร่างกายที่สะดุ้งไหว
นัยน์ตาของเธอกะพริบปริบหลังจากนิ่งค้างอยู่นาน ทั้งเธอและมาองยังคงไม่มีใครปริปากพูดอะไรในตอนที่เดินเคียงคู่ไปด้วยกัน
ราวกับต้องการซึมซาบความรู้สึกก่อนหน้านั้นไว้กับตัวเองลำพังให้เนิ่นนานที่สุด
คาบเรียนช่วงบ่ายมีอันต้องยกเลิกไปเมื่อเหล่าคณาจารย์เรียกประชุมถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกันอย่างเร่งด่วน
นาริมิกับมาองเลยไปรวมกลุ่มกับพวกผู้หญิงในห้องโถงรวม ขณะที่พวกผู้ชายต่างพากันกระจัดกระจายออกไปในสนามเผื่อว่าอาจจะเจอเบาะแสอะไร
นาริมิยอมรับว่ารู้สึกขุ่นข้องใจไม่น้อยที่ต้องทนเห็นใบหน้าสะสวยของชิกะ ซึ่งเรียกภาพของฉากที่ไม่ถูกไม่ควรเมื่อคืนให้หวนกลับมา
และการที่หล่อนแย้มยิ้มให้เธอ ร่วมวงสนทนาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ซาระพูดถึงกลุ่มพวกผู้ชายที่เล่นเตะบอลก่อนหน้านั้นในสนาม
หล่อนก็ยังไม่ได้ให้ความสนใจหรือพูดถึงชื่อของเก็นตะออกมาเลยแม้แต่น้อย การที่หล่อนทำแบบนั้นจะยิ่งทำให้ข้างในใจของนาริมิร้อนเป็นไฟ
ทั้งที่หล่อนก็หาได้ทำอะไรผิด และการที่เก็นตะจะคบหาหรืออาจแค่หลับนอนกับหล่อนตามประสาวัยรุ่นก็ไม่ใช่เรื่องผิด
ในเมื่อเธอเองก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเก็นตะเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่การที่เขาพยายามยั่วเย้าเธอตลอดมา ก็ย่อมแปลว่าเขาสนใจเธอต่างหากไม่ใช่หรอกหรือ?
นาริมิพยายามปัดความคิดในแง่ลบนั้นทิ้งไปด้วยการโพล่งขึ้นว่า
“เอ...หรือว่าจะมีคนเรียกปีศาจมา?” เรียกทุกสายตาให้มองจ้องมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ฉันเห็นในตำราแม่มดที่ห้องสมุดพูดถึงการเรียกปีศาจในคืนพระจันทร์เต็มดวง
จะว่าไปเมื่อวานก็เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงพอดีเลยนี่นา”
“โอ๊ยตายแล้ว!
คนที่หมกมุ่นเรื่องนี้ก็มีแต่เธอนั่นแหละนาริมิ!” ซาระที่นั่งเป็นจุดศูนย์กลางอยู่บนโซฟาหัวเราะขบขัน ทั้งยังพูดจาดูถูกดูแคลนโดยไม่เกรงอกเกรงใจกันเลยแม้แต่น้อย
“ตำราแม่มดนั่นก็แค่เรื่องหลอกเด็ก เชื่อสิว่าถึงต่อให้ทำไปก็ไม่ได้ผลหรอก ทั้งคาถาเรียกปีศาจเอย
ยาเสน่ห์เอย เหลวไหลทั้งนั้น ถ้าทำได้จริงอาจารย์คงจะเอามาวางให้นักเรียนหยิบยืมไปได้ง่ายๆ
หรอก อีกอย่างนะ สีสันสวยๆ แบบนั้นจะเป็นฝีมือของปีศาจไปได้ยังไง ถ้าเป็นพระเจ้าก็ว่าไปอย่าง
อ้อ! ถึงฉันจะไม่เชื่อเรื่องนั้นเหมือนกันก็เถอะนะ”
“ปีศาจทั้งนั้นแหละที่เอาภาพลวงตามาล่อ!” นาริมิยอกย้อนกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ “ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะซาระ
คนที่เรียกปีศาจมาอาจใช้เธอเป็นเครื่องสังเวยก็ได้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นโทโมเอะที่เธอไปแกล้งพูดให้เขาอายต่อหน้าไทกะก็ได้”
คราวนี้ซาระไม่ปิดบังเสียงหัวเราะที่ระเบิดออกมาดังลั่นอีกต่อไป
“อย่างแรกเลยนะ คนอย่างยัยโทโมเอะน่ะเหรอจะกล้าทำผิดกฎโรงเรียนแล้วแอบออกมาข้างนอกตอนดึกๆ
ดื่นๆ ด้วยเรื่องแม่มดปีศาจงี่เง่าอะไรนั่น และอย่างที่สอง ฉันไม่ได้แกล้งพูดให้ยัยนั่นอายสักหน่อย
ในเมื่อมันเป็นเรื่องจริงต่างหาก คิดดูสิ อายุตั้งขนาดนี้แล้วยังฉี่รดที่นอนอยู่อีก
มีใครเขาทำกันหรือไง?”
“แต่ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องพูดต่อหน้าคนที่เขาชอบสักหน่อย”
หนนี้ซาระไม่ได้แก้ตัวอะไรอีก นอกจากกรีดเสียงหัวเราะแหลมสูงออกมาไม่ได้หยุด
เสียจนนาริมิเองก็ชักจะกรุ่นๆ แทนคนที่ถูกหัวเราะเยาะใส่ทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ได้มารับรู้
ซาระอาจเป็นคนโผงผาง ช่างคุย ไม่ใช่เพื่อนที่แย่อะไรสำหรับเธอและมาอง แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่ชอบโทโมเอะด้วยเหตุผลตื้นๆ
แค่ว่า “เห็นหน้าแล้วทำให้หงุดหงิดไปทั้งวัน” หากพวกเธอรู้ดีเลยว่าเป็นเพราะรูปลักษณ์ของโทโมเอะที่ยากจะเทียบเคียงได้ต่างหาก
หล่อนคนนั้นมีผมสีดำสนิทรับกับผิวขาวจัดอย่างกับหิมะ ดูมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด
ที่ก็น่าประหลาดอีกเหมือนกันว่าไม่มีผู้ชายคนใดในโรงเรียนนึกชอบพอหล่อน อาจเพราะรัศมีความอึมครึมที่แผ่กระจายออกมาเหมือนกับแม่มด
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วโทโมเอะก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง นาริมิยังเคยเห็นหล่อนในห้องสมุดกำลังพูดถึงวรรณกรรมตะวันตกกับอาจารย์ชิโอริด้วยความกระตือรือร้นออกจะตายไป
ขณะที่คิดเช่นนั้น มาองก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย ตัดสินใจชวนเธอไปที่สนามของโรงเรียนเผื่อว่าจะมีอะไรน่าสนใจกว่านี้ให้ทำ
นาริมิไม่ปฏิเสธคำชักชวนนั้น ไม่กล่าวคำลากับซาระด้วยตอนที่ลุกจากมา
ไม่มีอุกกาบาตหรือสิ่งใดที่เป็นรูปธรรมอย่างที่คิดว่าจะเป็น
ทั้งที่ได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขนาดนั้นอย่างกับวันสิ้นโลก...ถ้ามีจริง
ทั้งเธอและมาองต่างพากันบ่นกระปอดกระแปดด้วยความเสียดายเพราะอยากเห็นอุกกาบาตของจริงกับตาตัวเองดูสักครั้ง
ระหว่างที่แหงนมองท้องฟ้าพลางพูดคุยถึงความเป็นไปได้ของการเรียกปีศาจอย่างที่เธอให้ความเห็นในห้องโถงนั้นเอง
เสียงเรียกชื่อของพวกเธอก็จะดังแว่วมาให้เด็กสาวทั้งสองหันขวับไปมอง
“เร็น เก็นตะ ไคโตะ เจสซี่”
ที่มาองก็สวนย้อนชื่อของเด็กหนุ่มทั้งสี่ที่เข้ามารวมกลุ่มด้วยกลับคืนไปให้ครบครันเช่นกัน
“น่ากลัวนะว่าไหม?” เจสซี่เป็นคนแรกที่เอ่ยถึงมัน
“ทำให้ฉันนึกถึงวันสิ้นโลกเลย”
“ขนลุกน่า” มาองไม่ปิดบังความกลัวในตอนที่ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นลูบผ่านชุดเครื่องแบบแขนยาวของตัวเอง
ให้ไคโตะที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เอื้อมมือไปบีบไหล่ของหล่อนพร้อมรอยยิ้มคล้ายกับการแสดงความเห็นอกเห็นใจเพื่อปลอบประโลม
“พูดถึงวันสิ้นโลก...” นาริมิพยายามไม่หันมองเก็นตะที่ยืนอยู่ถัดไปจากเร็น
ซึ่งกำลังยืนกอดอกแหงนมองท้องฟ้าอยู่ข้างๆ เธอ “ฉันว่าเสียงที่ดังก่อนสีสันจะบังเกิดนั่นต่างหากที่เหมือนกับวันสิ้นโลก
ทีแรกฉันนึกว่ามันคืออุกกาบาตซะอีก แต่ไม่ยักกะเห็นอะไรตกลงมาเลยสักอย่าง ไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ?”
“นั่นสินะ”
มีแค่เร็นที่พึมพำเห็นด้วยโดยไม่หันมองเธอ เหมือนกับที่นาริมิเองก็ไม่ได้เงยมองเร็นเฉกเช่นกัน
“มันอาจเป็นฟ้าผ่าก็ได้นะ” ไคโตะให้ความเห็น
“ครั้งหนึ่งตอนยังเด็กฉันก็เคยได้ยินเสียงแบบนี้ ตอนนั้นฉันสะดุ้งตื่นแล้วรีบวิ่งพรวดพราดออกมาเพราะนึกว่าบ้านถล่ม
แต่พ่อกับแม่บอกว่าไม่ใช่ มันก็แค่ฟ้าผ่า”
“เอเลี่ยนบุกโลกหรือเปล่า?” เจสซี่กล่าวเสริมอย่างติดตลก
ซึ่งเรียกเสียงแผ่วค่อยของมาองออกมาได้ แม้จะหมายถึงเสียงแค่นหัวเราะด้วยความสมเพชก็ตามแต่
นาริมิรู้ดีว่ามาองไม่เคยชอบมุกตลกของเขาและเอาแต่บ่นว่าถึงความน่ารำคาญได้ไม่หยุดหย่อน
ถ้าไม่ติดที่ว่าเจสซี่เป็นเพื่อนสนิทของเร็นที่แอบชอบแล้ว
เชื่อเลยว่าหล่อนคงจะไม่ทนเก็บปากเก็บคำแบบนี้แน่
“หรือบางที...” ในที่สุด เด็กหนุ่มคนที่ปิดปากเงียบอยู่นานก็พูดขึ้น
“เราอาจตายกันไปแล้วตั้งแต่ตอนที่เกิดเหตุการณ์นั่น มันอาจเป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่ทำลายทุกอย่างจนราบ
รวดเร็วจนไม่ทันได้รู้สึกตัว แล้วตอนนี้เราทุกคนก็ติดอยู่ในนรก”
“ทำไมนายถึงพูดว่านรก?” ไคโตะสวน
“การที่เราได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไม่ใช่สวรรค์สำหรับนายเหรอ?”
“สำหรับบางคนอาจไม่ใช่ก็ได้”
นาริมอดไม่ได้ที่จะขยับใบหน้าหันไปยังทิศทางของผู้พูด
แล้วเธอก็ได้สบสายตากับเก็นตะที่จดจ้องมองอยู่ก่อนแล้วและกำลังส่งยิ้มมาให้ เป็นรอยยิ้มที่ยกขึ้นเพียงมุมริมฝีปาก
แต่ก็ทำให้นาริมิรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมาเมื่อห้วงความคิดโบกโบยไปถึงเหตุการณ์ของเมื่อคืนวาน
เธอรีบหันขวับกลับมา หากก็แทบจะตั้งสมาธิอยู่กับบทสนทนาต่อจากนี้ไม่ได้เลย
∞
แม้จะล่วงดึกเข้าไปแล้ว นาริมิก็ยังคงยืนมองท้องฟ้าที่ปรากฏสีสันชัดเจนผ่านราตรีกาลจนไม่ทำให้ค่ำคืนมืดมิดอย่างที่ควรจะเป็นผ่านบานหน้าต่างในห้องของตัวเอง
ตอนเย็นระหว่างที่เธอเดินกลับหอนอนคนเดียวเพราะมาองดูจะอยากใช้เวลากับเร็นที่ยังรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนทั้งสามของเขา
ก็ให้บังเอิญเจอกับโทโมเอะที่เดินสวนกันบนระเบียงทางเดิน แล้วเมื่อนึกถึงเรื่องที่ซาระพูดถึงขึ้นมา
นาริมิเลยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากทักหล่อนด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างเต็มเปี่ยม
ทว่าเด็กสาวไม่ได้ต้องการมัน สีหน้าของหล่อนดูตื่นเต้นและผ่องใสกว่าที่นาริมิเคยได้เห็นมาตลอดสองปี
“เมื่อวานฉันเรียกท่านมา! ฉันเรียกท่านมาด้วยการสังเวยเลือด!
ท่านตอบรับคำขอของฉันแล้ว และท่านจะมามอบพลังให้กับผู้ถูกเลือก! ใช่แล้ว! และฉันคือผู้ถูกเลือก!
ฉันจะได้เป็นพระเจ้า!”
“พูดอะไร...”
นาริมิทันถามได้เพียงแค่นั้น ก่อนที่หล่อนจะกรีดเสียงหัวเราะร่าเหมือนกับคนเสียสติ
แล้ววิ่งหนีหายไปโดยไม่ทันให้ได้ล่ำลา
มันทำให้นาริมิว้าวุ่นกระวนกระวายจนไม่อาจนอนหลับได้ลง
ถึงจะไม่มีทางเป็นไปได้ แต่คำกล่าวของเก็นตะที่ว่าพวกเธออาจตายไปแล้วเพราะเหตุการณ์ลึกลับนั้นและกำลังติดอยู่ในนรกก็จะแว่บผ่านเข้ามา
และมันอาจเป็นนรกที่แท้จริงถ้าหากเธอไม่สามารถเป็นเจ้าของเก็นตะได้
เก็นตะ...นาริมิไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้หมกมุ่นกับเรื่องของเขามากขนาดนี้
เธอไม่อยากนอนเพราะแม้แต่การนอนยังไม่ทำให้เธอได้เป็นเจ้าของเด็กชายผู้นั้น เธอต้องทำอย่างไรถึงจะได้ครอบครองเขาแม้จะแค่ชั่วขณะหนึ่งเหมือนอย่างที่ชิกะได้มันไป
และการที่นาริมิจะบอกสิ่งที่คิดออกไปตามตรงกับคนที่ตั้งแง่มาตลอดก็เป็นเรื่องที่น่าอับอายเกินกว่าคนถือศักดิ์ศรีอย่างเธอจะกระทำ
อีกครั้งที่เธอได้แต่พรูลมหายใจออกมาเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจที่ไม่อาจจะเอ่ยต่อ
ยังพอมีเวลา เธอตัดสินใจว่าจะออกไปเดินเล่นยามค่ำคืนให้สมองโล่งสักหน่อยก่อนที่จะถึงเวลาปิดไฟแล้วเข้านอน
เป็นตอนนั้นเองที่เธอจะได้เจอกับชิกะซึ่งเอนหลังมองดูท้องฟ้าลำพังอยู่บนม้านั่งในสวน
หะแรก นาริมิคิดว่าจะเดินเลยผ่านหล่อนไปเมื่อปกติก็ใช่ว่าจะสนิทสนมอะไรกัน แต่กลับเป็นหล่อนที่เอ่ยปากทักก่อน
นาริมิจึงจำยอมต้องตอบรับกลับไปอย่างเสียไม่ได้
และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด เธอก็หลุดปากถามออกไปว่า
“ไม่ได้อยู่กับเก็นตะเหรอ?”
สีหน้าของชิกะไม่ได้ฉายฉาดความประหลาดใจออกมาเลยแม้แต่น้อย
รอยยิ้มของหล่อนทำให้นาริมิต้องพยายามกักเก็บความไม่พอใจอย่างแรงกล้าเอาไว้ข้างใน
“ทำไมถึงได้ถามถึงผู้ชายคนที่เธอเกลียดนักหนาล่ะ
นาริมิ?”
“ก็แค่...”
แต่ไม่ทันชิกะที่พูดแทรกขึ้นมาราวกับไม่ได้สนใจใคร่อยากฟังคำตอบแต่แรกว่า
“เธอคิดไหมว่าบางทีการมองดูมัน” ที่นาริมิรู้ดีว่าหมายถึงอะไร “นานๆ เข้า
อาจทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง”
“เหรอ? แล้วตอนนี้เธอเป็นตัวของตัวเองไหมล่ะ?”
คำพูดกระแนะกระแหนหลุดออกไปไวกว่าที่เธอจะเรียกคืนกลับมาได้ทัน
ทั้งอย่างนั้นหล่อนก็ไม่มีทีท่าว่าจะถือสาในตอนที่หัวเราะน้อยๆ มองดูคนที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างกันแค่ครู่สั้นๆ
ลุกพรวดพราดขึ้นแล้วทำท่าว่าจะเดินจากไปโดยไม่ใส่ใจแม้แต่จะบอกลา หากเป็นชิกะที่ร้องเรียกชื่อเธอเพื่อหยุดฝีก้าวที่กำลังจะพ้นผ่านหล่อนไปเหมือนเมื่อขามา
ในตอนที่นาริมิข่มใจหันกลับไปหาหล่อน ใบหน้าและริมฝีปากที่เคยสดใสจนถึงก่อนหน้ากลับไม่หลงเหลือวี่แววของการล้อเล่นอีกต่อไป
เมื่อเอ่ยประโยคนั้นออกมา
“อย่าไว้ใจเก็นตะ”
แววตาที่ว่างเปล่าซึ่งจดจ้องมองมาของหล่อนจะทำให้นาริมิรู้สึกพรั่นพรึงเสียจนต้องวิ่งหนีจากมาโดยไม่หันกลับไปมอง
_______________
ความคิดเห็น