ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #62 : Clair de Lune

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 64


    Clair de Lune
    Inspiration: Murakami Haruki: After Dark (Novel, 2004)
    Playlist: Flight Facilities – Clair De Lune feat. Christine Hoberg / Chris Botti – A Thousand Kisses Deep













    .

    0 0

    - Deep | ลึกล้ำ -

     

    โตเกียวไม่เคยหลับใหล

    ราตรีกาลที่ควรจะสงัดเงียบกลับไสวไปด้วยแสงไฟสังเคราะห์ซึ่งประดาทั่วตามถนนหนทาง สิ่งก่อสร้างและตึกสูงเสียดฟ้ารายล้อมมหานครอย่างแข็งขืน เหล่ามนุษย์กลางคืนยังคงขวักไขว่สวนทางกันไปไม่รู้จักจบสิ้น ยั้วเยี้ย อัดแอ ชวนให้รู้สึกถึงวังวนของเหล่าแมลงนับล้านตัวที่ส่องขยายจากกล้องจุลทรรศน์ผ่านสายตาของพระผู้เป็นเจ้า

    เรามองเห็นเศรษฐีนีวัยทึนทึกหัวร่อต่อกระซิก พยายามอวดควงชายหนุ่มรุ่นราวคราวลูกที่เดินเคียงคู่มาด้วยกัน หากไม่ทันสังเกตถึงสายตาพราวระยับที่จับจ้องอยู่แต่กับแหวนเพชรเม็ดงามบนนิ้วของหล่อนแทบไม่วางตา ก่อนสีหน้าจะพลันเปลี่ยนเป็นขยะแขยงต่อชายหนุ่มที่สติหลุดลอยไปกับฤทธิ์เหล้าที่ดวดเคล้า เดินซวนเซจนเฉียดชน สวนทางกับคู่รักวัยรุ่นชายหญิงที่เดินอิงแอบแนบชิดภายใต้ท้องฟ้าคืนฤดูหนาวจนแทบจะหลอมรวม แสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจ ดั่งประติมากรรมคู่ขนานในเรื่องราวของความรักใคร่และใหลหลง ขุมนรกและห้วงสวรรค์ เรียกเสียงหัวเราะจากเราจนตัวงอ

    เรามองเห็นหนุ่มนักดนตรีห่อตัวจากสายลมเย็นที่พัดต้อง ทันทีที่เดินออกมาจากชั้นใต้ดินของผับโกโรโกโสสำหรับพวกนักเที่ยวนักดื่มระดับล่าง รถลีมูซีนราคาแพงระยับแล่นปราด จนเกือบจะชนเข้าให้กับเขาที่พ่นสบถคำหยาบ ซึ่งคงจะไม่เข้าไปกระทบกับรูหูของคุณหนูที่นั่งคอตรง ส่งสายตาเลื่อนลอยไปยังทิวทัศน์ภายนอก ไม่ได้สนใจต่อถ้อยเจรจาจากชายหนุ่มที่นั่งข้างกันบนรถหรูที่กำลังขับเคลื่อนผ่าน ข้างซอกตึกเก่า อันธพาลสองคนกำลังรีดไถชายพนักงานกินเงินเดือนที่ถูกทำร้ายจนสะบักสะบอม แว่นตาเกลื่อนแตก ข้างกับร่างที่อาบเลือดทรุดลงไปกองกับกำแพงอิฐสกปรก ไม่ต่างอะไรกับจิตใจที่เปื้อนแปด เพียงเพราะเศษเงินสุจริตที่พวกมันไม่มีวันรู้จัก เสียงหัวเราะบาดแก้วหู ฟังดูน่าสมเพช ชวนให้รังเกียจ

    เราค่อยๆ แทรกตัว คืบคลานผ่านฝูงมนุษย์ที่ยังคงหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวงในคืนวันศุกร์ สถานเริงรมย์ หรือโรงแรมจิ้งหรีดที่ไฟนีออนส่องกะพริบวิบวับ ดูล่อตามนุษย์ที่ยังไม่ละต่อกิเลศ มีแต่กลิ่นความโสมม คลื่นเหียน คละคลุ้ง เราอดทน ใช้เวลาชั่ววินาที หลากนาที นับชั่วโมง จนท้ายที่สุดเราก็ได้สัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์ที่โอบล้อม กลิ่นแม่น้ำสายเอื่อยเบื้องล่างส่งสดชื่น จนเราค่อยหายใจได้สะดวก

    เรากระโดดขึ้นไปนั่งบนขอบสะพานหิน แหงนมองพระจันทร์เต็มดวงที่เฉิดฉายอยู่บนท้องนภาสีหมึก จากนั้น เราเริ่มต้นบอกเล่าเรื่องราวของตัวเราที่โลกไม่เคยรับรู้ กระซิบพรายความลับ หัวเราะคิกคักเมื่อพูดถึงเรื่องน่าอาย เช่นเดียวกับที่เราพาร่ำไห้ในตอนที่เริ่มต้นเรื่องราวของความขมขื่นและผิดหวัง และเมื่อได้ปลดปล่อย เราสบายใจ

    เราลุกขึ้นยืน อ้าแขนรับสายลมเยือกเย็น ขนลุกชัน แต่เราก็ยังผุดพรายรอยยิ้ม ก่อนที่เราจะทิ้งตัวดิ่งลงไปยังเบื้องล่าง สายน้ำไหลไปอย่างเชื่องช้า ทว่าลึกล้ำเกินหยั่ง ร่างของเราค่อยๆ จมหายไป เราไม่ตะเกียกตะกาย เราไม่หวาดกลัว เราเพียงแค่ปล่อยตัวไปตามหนทางที่มันควรจะเป็น ดำดิ่ง จมหายไปกับสายน้ำเฉียบเย็นของราตรีกาล

    เราสงบ

    เราไม่ใช่ใคร

    เพราะเราคือ...ทุกคน

     

    0 1

    - Substance | ตัวตน -

     

    ไม่ใช่แค่เพียงแสงไฟสีส้มสลัวและกำแพงอิฐที่ต่อเรียงกัน ซึ่งแสดงท่าทีแข็งกร้าวดุจปราการล้อมให้เธอได้รู้สึกอึดอัดเพียงเท่านั้น หากท่วงทำนองที่กำลังกรีดครวญผ่านชายแซกโซโฟนบนเวทียกต่ำและริมฝีปากที่ขยับส่งถ้อยออกมาได้ไม่หยุดหย่อนของชายหนุ่มข้างกายนั้น ต่างก็สร้างบรรยากาศอึดอัด เข้มข้น ไม่แพ้กัน

    อะ เธาซันด์ คิสเซส ดีป จากคริส บอตตินั้นไพเราะงดงามอย่างอ้างว้าง ทว่าหนักอึ้งสำหรับโมงยามนี้ ในห้วงจินตนาการที่เงียบงัน โลกทั้งใบคล้ายจะพังทลายลงไป กระทั่งแว่วเสียงที่ปลุกห้วงสติที่ลอยล่อง เรียกรอยยิ้มและศีรษะที่ผงกค้อมตอบรับต่อชายหนุ่มที่ขอตัวลุกไปเข้าห้องน้ำ ไม่น่าแปลกใจอะไร คืนนี้เขาดื่มมากเกินไป

    เซย์ระขยับเปลี่ยนท่านั่งเมื่อยล้า ดูเหมือนว่าบทสนทนาทั้งหมดทั้งมวลนับแต่ย่างก้าวเข้ามาสู่บาร์ใต้ดินแห่งนี้จะมีโนเอลเป็นผู้ถือครอง โดยไม่สนใจเธอที่มาด้วยกัน แต่เพียงผู้เดียว ตลอดหนึ่งชั่วโมง กับบทสนทนาเกี่ยวกับตลาดหุ้นและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เธอไม่เข้าใจ หรือถ้าจะว่ากันตามจริงตลอดมา ดูเหมือนว่าเรื่องเล่าใดๆ ของเขาก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยจะเข้าใจ ราวกับว่าเขาร่วงหล่นลงมาจากโลกอีกใบ หรือไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเธอ เมื่อคิดเช่นนั้น เธอก็ยกแอปเปิลตินี่ที่เหลืออยู่เกินครึ่งแก้วขึ้นซดรวดเดียวจนหมด

    บาร์เทนเดอร์หนุ่มตรงรี่เข้ามาทันทีที่แก้วของเธอว่างเปล่า ใบหน้าหวานระบายยิ้ม ปฏิเสธเครื่องดื่ม เธอเพียงแค่อยากจะออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย

     

    อุณหภูมิเป็นเลขหลักเดียวของปลายเดือนพฤศจิกายนส่งผลให้มวลอากาศเย็นยะเยือก กระนั้นก็บริสุทธิ์สดชื่น พ้นความอุดอู้จากชั้นใต้ดินขึ้นมาสู่ท้องถนนที่ครึกครื้นและมีชีวิตชีวา ดุจดั่งบทเพลงป็อปขับเคลื่อนคล้อยบรรเลงอยู่ใต้เท้าของเราทุกคนจากแกนกลางผืนโลก

    ทำให้หญิงสาวได้ตระหนักว่าตนเกลียดชีวิตผู้รากมากดีเช่นนี้เพียงไร

    แม่ของเธอแต่งงานใหม่เป็นครั้งที่สองกับมหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเวชภัณฑ์รายใหญ่ที่สุดของประเทศ มูลค่าทรัพย์สินที่ถือครองมากเกินกว่าที่ใครหรือแม้แต่ตัวเธอเองเคยคาดคิด ในสี่ปีก่อนที่ตัวเลขอายุนำหน้าผันเปลี่ยนสู่หน่วยที่สอง เซย์ระเองก็ได้เริ่มต้นชีวิตที่ผู้คนรอบข้างต่างเยินยอ เรียกขานเธอว่า คุณหนู  เป็นครั้งแรกเฉกเช่นกัน

    แต่แม้สองบุรุษสกุลคาวาชิมะจะให้ความรักกับเธออย่างล้นเหลือ แต่เธอกลัว...หวาดกลัวเกินไป หวาดกลัวต่อความทรงจำของบิดาที่เริ่มเลือนรางดั่งฝนสาดซัดเหลี่ยมคมของหน้าผาสูงชัน หวาดกลัวว่าสักวันเธอจะสูญเสียตัวตนที่แท้จริง ตัวตนที่ว่าเธอเป็นเพียงลูกสาวของชายก่อสร้างที่ตรากตรำกรำแดดเพื่อได้เห็นเธอเติบใหญ่ แม้จนกระทั่งนาทีสุดท้ายของชีวิต โดยไม่สนใจต่อเสียงทัดทานของมารดา เธอตัดสินใจคงไว้ซึ่งนามสกุลฮินาคาวะที่แม้นจะไร้ตัวตนในโลกธุรกิจหรือชนชั้นระดับสูง แต่เป็นโลกทั้งใบที่ชัดเจนที่สุดสำหรับเธอ ห่อหุ้มเปลือกนอก เคลือบทับตัวตนอุบาทว์ที่กระทั่งตัวเองยังสะเอียน

    เธอปล่อยรองเท้าส้นสูงสองนิ้วก้าวย่ำเชื่องช้าไปตามท้องถนน ผ่านตรอกซอกซอยของย่านสถานบันเทิงที่มีพวกขี้เหล้าและเหล่าหนุ่มสาวผจญโลกต่างเยี่ยมหน้าเผชิญหาความสำราญ เติมเต็มตัณหาไม่มีวันจบสิ้น

    เลี้ยวลด คดเคี้ยวไม่ต่างจากเขาวงกตลึกลับ ในย่านซึ่งรัฐบาลไม่สนใจจะทุ่มเม็ดเงินเล็กๆ น้อยๆ ลงมาแยแส กลิ่นแปลกประหลาดของอบายมุขนับไม่ถ้วนและอาหารเหม็นเน่าหลากชนิดปนรวมชวนคลื่นเหียน ไม่มีสิ่งใดที่น่าอภิรมย์สำหรับเซย์ระที่เริงระบำอยู่บนสรวงสวรรค์มาตลอดสี่ปีเลยแม้แต่น้อย เธอตัดสินใจหันหลังกลับ แต่แล้ว หยุดชะงัก

    ริมกำแพงอิฐบล็อกสีเทาคร่ำคร่า เบื้องหลังเป็นบันไดทอดยาวไปยังชั้นใต้ดินที่มืดมิดตรงปลายอุโมงค์ ที่ตรงนั้น มีชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังก้มหน้าจุดบุหรี่ที่คาบอยู่ตรงริมฝีปากด้วยไลเตอร์พลาสติก ทันทีที่จุดติด เขาก็เงยหน้าพวยพ่นควันสีเทาขุ่นขึ้นอากาศ ความรู้สึกเบาสบายจากการปลดปล่อยเช่นกันกับที่เขาเอนหลังพิงลงไปกับกำแพง ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นยัน รองเท้าผ้าใบสีขาว เสื้อเบลเซอร์และกางเกงยีนส์สีดำ ทั้งหมดนั้นเปลี่ยนเป็นสีหม่น สภาพเก่าอย่างเห็นได้ชัด ดูราวกับว่าพวกมันผ่านการใช้งานมาแล้วอย่างยาวนาน ไม่เว้นแม้แต่เคสกีตาร์ที่วางแน่นิ่งอยู่ข้างกับปลายเท้า หนังสีดำหุ้มหลุดลอกเป็นหย่อมยวง

    ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกถึงสายตาที่กำลังจับจ้องมองมา และเมื่อนัยน์ตาของทั้งคู่สบประสาน ก็พลันเรียกความทรงจำแต่เก่าก่อนขึ้นเอ่อล้น เซย์ระไม่แน่ใจนักว่าตนเองมีสีหน้าเช่นไร บางทีคงจะเป็นเช่นดั่งเขา นัยน์ตาเลิกขึ้นเล็กน้อยชั่วครู่ ก่อนว่างเปล่า จากนั้น เงียบงัน

    และแล้ว ฟันเฟืองของนาฬิกาที่เคยหยุดนิ่งก็เริ่มต้นเดินไปข้างหน้า...อีกครั้ง

     

    ที่จริงแล้ว เขาไม่ใช่คนที่มีความจำดีมากนัก หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่ใส่ใจที่จะจดจำมันเสียมากกว่า นับตั้งแต่จำความได้ ดูเหมือนทุกอย่างจะเพียงผ่านเข้ามาและปลิดปลิวจากไปราวต้นขั้วของต้นไม้ใบหญ้าในฤดูใบไม้ร่วง เขาจำเรื่องราวสมัยห้าขวบไม่ได้เลย หรือจะเป็นสมัยประถมซึ่งย่าที่เลี้ยงดูอุ้มชูมาแต่กำเนิดเสียไป เขาก็จำไม่ได้ เขาทำตัวไม่ต่างอะไรกับอากาศธาตุ ประหนึ่งว่าเขาเพียงเกิดมา ใช้ชีวิตหนึ่งอายุขัยให้สูญสิ้นไปเพียงลำพังแค่นั้น

    กระทั่งวันหนึ่งในฤดูร้อนเมื่อห้าปีก่อน ขณะนั้นเขาทำงานเป็นบริกรอยู่ในผับของโรงแรมสี่ดาวย่านชินจูกุ ราวตีสี่ เขาเดินเท้ากลับหอพักซอมซ่อที่มีข้อดีเพียงอย่างเดียวคือเส้นทางเลียบแม่น้ำสายเอื่อย ฟ้ายังมืดอยู่ แต่มีแสงจากจันทร์ครึ่งดวงและแผ่นป้ายติดๆ ดับๆ ของอู่ซ่อมรถฝั่งตรงข้ามที่เปิดทำการยี่สิบสี่ชั่วโมงคอยนำทาง

    เขามองเห็นเงาร่างนั่งทอดสายตาเหม่อลอยอยู่ริมตลิ่ง เซ็งสะบัด นั่นที่นั่งประจำของเขา แต่ก็ช่วยไม่ได้

    คืนนี้ร้อนเอาเรื่อง หากคอนกรีตเย็นกลับให้ความรู้สึกดีเมื่อหย่อนตัวนั่งลง เคล้ากับเบียร์กระป๋องเย็นเจี๊ยบที่หิ้วมาจากตู้กดน้ำ ฝากระป๋องปล่อยฟองฟอดอยู่รอบขอบจากการแกว่งไกวยามก้าวเดิน เมื่อเขาดันฝาโลหะเปิดด้วยนิ้ว เสียง ฟู่ ก็ดังผ่านความเงียบที่ไม่สงัดนักเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เขายกกระป๋องขึ้นดื่ม ปล่อยความเย็นและรสขมปร่าเริงระบำอยู่ภายใน

    “ขอฉันดื่มด้วยได้ไหมคะ?”

    เขาหันหัว มองไปยังทิศทางของเสียงที่แผ่วเบา อ่อนแรงราวกระซิบ

    หญิงสาวใบหน้าขาวซีด หม่นหมอง ใต้ตาของเธอปูดบวมบ่งบอกว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักจนเหือดหาย นัยน์ตาสบประสาน ที่ถึงแม้จะมีเงาสะท้อนของเขาปรากฏอยู่ในแววตา กลับรู้สึกได้แต่เพียงความว่างเปล่า

    แต่สำหรับเขา โลกทั้งใบได้ปรากฏชัดแจ้งอยู่ในแววตาคู่นั้น เหมือนกับว่าเขาได้ค้นพบขุมทรัพย์มหัศจรรย์ ดุจดั่งชิ้นส่วนของตัวต่อที่ขาดหาย หรืออาจเป็นโลกทั้งใบที่สาบสูญ

    ฮินาคาวะ เซย์ระ

    นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเธอ

    และเป็นครั้งแรกที่มิยาจิกะ ไคโตะได้รับรู้ว่าความรู้สึกผูกพันกับใครสักคนนั้นเป็นเช่นไร

    แต่ทว่าไม่มีสิ่งใดยั่งยืน ความสัมพันธ์ของเขาและเธอจบสิ้นลงชั่วนิรันดร์หลังการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ของเขาเมื่อสี่ปีก่อน เขาปล่อยให้สายตาได้มองเห็นเธออีกแค่เพียงครู่เดียว ก่อนที่ในห้วงวินาทีถัดมา เขาจะเบือนหน้าหันไปยังทิศทางด้านซ้าย  หรี่ตาลงเล็กน้อยในยามที่ปล่อยควันขุ่นขึ้นเป็นวง

    หลังจากนั้น เขาไม่มองกลับมาที่เธออีกเลย

     

     

    เศรษฐีวิ่งพล่าน สอดส่ายสายตาเฝ้ามองหาใครสักคนด้วยความกระวนกระวาย เขาจำได้ว่าเคยเห็นใบหน้านั้นผ่านทางช่องโทรทัศน์ หรือไม่ก็ข่าวหนังสือพิมพ์ ชายผู้ร่ำรวยกำลังวิ่งตามหาใครอยู่กันหนอ? เป็นภาพที่วาดรอยยิ้มหยักโค้งให้แก่เขาที่กำลังนั่งเท้าคาง มองภาพเบื้องล่างผ่านบานกระจกบนชั้นสองของลิตเติล ลา ลูนในอาซาบุได้เป็นอย่างดี

    “คิดว่ายังไงบ้างคะ?”

    “หือ? โทษที ว่าไงนะ?” เขาหันใบหน้ากลับเข้ามา สบจ้องตากับสาวมหาวิทยาลัย ริมฝีปากสีชมพูอมม่วงขยับขึ้นลงอย่างน่าเกลียด แม้จะปกปิดใบหน้าด้วยเครื่องสำอางหนาเตอะก็ยังมองไม่เห็นแม้เศษเสี้ยวของความงาม แน่นอนว่าถ้าหล่อนไม่อวดความร่ำรวยกับเพื่อนเมื่อหัวค่ำที่หน้าร้านขายของแบรนด์เนมแล้วล่ะก็ คนอย่างนากามูระ ไคโตะคงไม่แม้แต่จะเหลือบแลมอง

    “อะไรกัน? คุณนากามูระไม่ได้ฟังเลยหรือคะ?” น้ำเสียงกระเง้ากระงอด เสแสร้งเอื้อมตัวมาตีข้ามไหล่ข้างที่กำลังยกถ้วยกาแฟกระเบื้องขึ้นแตะขอบปาก เขาส่งน้ำเสียงแสดงความรำคาญออกมาเล็กน้อย หากหล่อนไม่ทันจะได้ยิน เมื่อในวินาทีถัดมา มันจะกลับกลืนหายไปกับกาแฟร้อนที่ไหลผ่านลูกกระเดือก

    “ฉันบอกว่าเดี๋ยวเราไปขับรถกินลมเล่นกันดีไหมคะ?”

    “หนาวออกจะตาย”

    “แหม คุณนากามูระล่ะก็!” หล่อนยกมือป้องปาก หัวเราะคิกคักด้วยเสียงแหลมเล็กเสียดหู จากนั้น พล่ามพูดถึงบาร์ชั้นดี วิวกลางคืนที่มองเห็นจากภัตตาคารชั้นสูงของโรงแรมหรูใจกลางโตเกียวอย่างโอ้อวด ไคโตะไม่ตอบรับอะไรเพียงแค่ยิ้ม ซึ่งทำให้หล่อนกรีดรอยยิ้มตาม หาได้รู้สึกถึงความหมายของความสมเพชจากเขาไม่

    เขาเบือนกลับไปยังเบื้องล่างที่ผู้คนพลุกพล่านบนท้องถนนอีกครั้ง

    คราวนี้มองเห็นร่างของหญิงสาวในชุดเสื้อโค้ตและรองเท้าส้นสูงสีขาวสะอาด ลิปสติกสีแดงประหนึ่งลูกเชอร์รี่ดูตัดกันอย่างเป็นแบบแผน ทว่าขับใบหน้าหมดจดของเธอให้โดดเด่น เค้าหน้าของเธอไม่มีรอยยิ้ม ดูราวกับว่ารังสีของความเศร้าสร้อยกำลังอาบล้อมรอบตัวเธอให้บรรยากาศยะเยือกข้น

    ไคโตะจดจำใบหน้านั้นได้ พร้อมๆ กับที่เขาจดจำชายหนุ่มที่วิ่งพล่านเป็นหนูติดจั่นเมื่อนาทีก่อนหน้าออก

    เหลียวกลับมายังสาวมหาลัยตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา หรือแม้แต่ฐานะทางการเงินของหล่อน ก็ดูจะไม่มีอะไรเทียบเคียงกับลูกสาวเศรษฐีตระกูลคาวาชิมะได้เลยแม้แต่น้อย

    เขาลุกขึ้น หยิบเสื้อโค้ตสีน้ำตาลขึ้นสวมผ่านไหล่ โพล่งคำบอกลาอย่างไร้เยื่อใยแล้วสาวรองเท้าหนังออกจากร้านไป ไม่สนใจต่อเสียงโวยวายของหล่อนที่เขาจำชื่อไม่ได้สักตัวเลยด้วยซ้ำ บานกระจกเลื่อนปิดตามหลังไคโตะที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินลงบันไดจากชั้นสองของร้าน จัดแต่งตัวเองกับเงาสะท้อนในบานกระจกให้ดูพอเหมาะพอดี พร้อมที่จะสร้างความประทับใจเมื่อแรกเจอให้แก่พวกเศรษฐีชั้นแนวหน้า ระดับที่เขาไม่เคยสัมผัส

    เมื่อผลักบานประตูเปิดออก เขามองเห็นเสื้อโค้ตและเส้นผมสีดำยาวของเธอพลิ้วผ่าน

    แผ่นหลังที่ไร้ชีวิตชีวา ไหล่ของเธอถูกชนจากนักธุรกิจที่กำลังเร่งรีบ หนีบโทรศัพท์มือถือกับใบหน้า พลางยกกระเป๋าเอกสารขึ้นมาเปิดค้นหาอะไรบางอย่าง ร่างบอบบางของเธอเซถลา อ่อนโอนไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก เขาพุ่งตัวเข้าไปจับประคองร่างของเธอไม่ให้ล้ม ริมฝีปากคู่สวยขยับขอบคุณอย่างแผ่วเบา แต่ดังพอที่เขาซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดจะรับรู้และได้ยิน เขาช่วยเหลือเธอที่กำแขนเสื้อโค้ตของเขาไว้แน่นให้ตัวเองหยัดยืนตรงที่บนส้นสูง แตะไหล่ของเธอแล้วรีบร้อนบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนที่ศีรษะนั้นทำท่าว่าจะค้อมต่ำ

     

    สำหรับนากามูระ ไคโตะที่มีแม่เป็นผู้หญิงสำส่อน เขาไม่รู้ว่าพ่อของเขาชื่ออะไร มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ที่จริงแล้วดูเหมือนว่าหล่อนเองก็จะไม่รู้เหมือนกัน เขาเติบโตมาในห้องแถวซอมซ่อ ภาพของแม่ที่ถูกผู้ชายไม่ซ้ำหน้าถอดเสื้อเผยเรือนร่างเปลือยเปล่า กรีดเสียงสุขสมทุกค่ำคืนในห้องที่ไม่มีประตูเชื่อมถึงกัน หล่อนไม่ได้นึกกระดากอายหรือสนอกสนใจว่าเด็กชายวัยประถมอย่างเขาจะรู้สึกเช่นไร จากความหวาดกลัว เปลี่ยนเป็นชินชา เมื่อเขาเติบโตสู่วัยเจริญพันธุ์ ใบหน้าหล่อเหลา กรรมพันธุ์ชั้นดีที่แม่พร่ำพูดอย่างภูมิอกภูมิใจเป็นนักเป็นหนา กระทั่งหล่อนล้มป่วยลง ไม่ใช่เรื่องที่ไคโตะไม่เคยคาดคิด เขารู้ดีว่าหล่อนสำส่อนเกินไป แต่หล่อนก็ยังมีบุญคุณกับเขาที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูมาจนทุกวันนี้ เขาจึงเลิกไปเรียนหนังสือตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่สอง เริ่มต้นการทำงานเป็นโฮสต์ระดับล่างที่บาร์แห่งหนึ่งในย่านคาบุกิโจ ยินยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อเงินจนขึ้นมาติดอันดับบนป้ายหน้าร้านได้อย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายที่แม่ของเขาไม่มีโอกาสได้เห็นความสำเร็จนั้น หล่อนจากโลกนี้ไปอย่างอ้างว้างและเดียวดาย...แม้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต

    ทั้งที่ควรจะดีใจ แต่การตายของหล่อนกลับเรียกรูโหว่รูใหญ่ข้างในหัวใจของไคโตะ

    นั่นอาจเป็นตอนที่เขาได้ตระหนักว่าตนเองผูกพันกับมารดามากเพียงไร

    หลังจากนั้น เขาลาออกจากงานในบาร์ ใช้ชีวิตในหนึ่งวันอย่างไร้จุดหมายไปกับการกิน ดื่ม เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายราคาแพงเท่าที่เงินกองพะเนินจะเอื้ออำนวย หญิงวัยรุ่นผู้หลงใหลในเปลือกนอกเข้ามาทำความรู้จัก ทุกอย่างง่ายดาย จบลงที่เลิฟโฮเต็ลเหมือนอย่างเช่นคนแล้วคนเล่า

    จวบจนวันหนึ่งที่เขาได้เห็นหญิงสาวแม่บ้านครวญคร่ำเพราะถูกโกงเงินบำนาญไปจนหมดตัว ภาพใบหน้าของหล่อนซ้อนทับกับแม่ผู้ล่วงลับของเขา เหยเก กรีดร้องคร่ำครวญชวนน่าสมเพชเวทนา เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่รูโหว่คล้ายกับได้ถูกเติมเต็ม นั่นเป็นครั้งแรกหลังจากแม่ตายที่หัวใจของไคโตะกระตุกไหว วาดรอยยิ้มที่เผยอออกมาจากข้างใน เขากลายเป็นนักต้มตุ๋น สตรีผู้ขลาดเขลาไม่เคยรู้เท่าทัน ตกหลุมพรางใบหน้าได้รูปและคำหวานป้อยอที่ไม่มีสิ่งใดจริง กว่าจะรู้ตัวพวกหล่อนก็หมดสิ้นเนื้อประดาตัว โปะเติมให้เขากลายเป็นเศรษฐีผู้สำราญรมย์ในชั่วข้ามคืนได้อย่างไม่ยากไม่เย็นอะไร












    2021年04月17日
    _______________
     โดนคุณจูนิด่าว่าเอาเรื่องนี้ไปลงโคคุโบะทำไมอิควาย เลยย้ายบ้านมาเกาะกะโหลกก็ได้จ้า มาแบบรวดเร็วทันใจ ไม่มีก็อดจิมาแอบซุ่มโจมตีระหว่างทาง /  หลังเวอร์ชั่นรัมเปก็ไม่เคยคิดว่าจะเอามาแปลงอีก ขนาดสโตนส์ที่รักมากในตอนนั้นกูยังไม่เคยคิดจะแปลงให้เล้ย จนกระทั่งวันที่มึงเอาฟิคเคเบทสึลง แล้วก่อนนอนกูก็คิดถึงบทของอาเบะจังซึ่งทำให้กูคิดถึงจากะจังในเรื่อง Influence ที่ทำเรื่องไม่ดีเลยถูกส่งไปเข้าสถานพินิจ แล้วพอออกมาก็ไปทำงานคาบุกิโจหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ กูยังไม่ได้ดู แล้วก็คิดขึ้นได้ว่าเฮ้ย แคลร์เดอลูนเราก็มีบทพวกระดับล่างนี่ ลองไหม ลองให้จากะจังมาเป็นพระเอกสักเรื่องในบทที่ไม่ใช่เด็กน้อยดูไหม เพราะช่วงนี้กูชอบเค้าจังเลยว่ะเพื่อน (รอกูดูริสกี้ก่อน แส้บๆ มาแน่) ไหนๆ เวอร์ชั่นแรกสุดก็คือคิสมายที่มีเจ็ดคน แล้วโชคชะตาก็ดลบันดาลให้กูชอบวงรุ่นน้องที่มีเจ็ดคนเหมือนกัน และเป็นวงรุ่นน้องที่เต้นเป็นแบคให้รุ่นพี่พอดีอีก งั้นก็จัดไป ยันเช้าไปเลยพวกเหี้ย!
     เทียบบทกับเวอร์ชั่นดั้งเดิม ไทปี้-อุมิ / มิตสึ-จากะ / มิยาตะ-โนเอล / ทามะ-ชิเมะ (แฟนของเอรุนะ นายแบบผู้อ่าน) / โยโกโอะ-ชิซึยะ (คนที่เมาเหล้าน่ะ เป็นซาลารี่มัง นิสัยดีมาก อย่าเกลียดเค้า) / เซนงะ-เก็นตะ (นักเลง) / นิไคโด-มัตสึคุ (นักเลง) มันก็วางบทรุ่นน้องให้เปิงกับรุ่นพี่ได้หมดจริงเว้ยเฮ้ย! เรื่องของเซย์ระจะเป็นชีวิตคนรวยแบบที่เมื่อก่อนกูชอบน่ะ บาร์แจ๊ซอะไรก็ว่าไป ส่วนเอรุนะก็ชนชั้นกลางค่อนมาทางล่างๆ แต่ทำงานอะไรไม่รู้ลืมไปแล้ว แต่จะสนิทกับจากะจังในภายหลัง ทุกคนจะมีความเกี่ยวพันกันหมดในสักทาง คนที่มีเรื่องรักๆ กับเอรุนะก็คือชิเมะ (คนดีอยู่) กับเก็นตะ (ไม่ดีแหละ เออว่าไปก็ขำดีว่ะ ขณะที่มึงแต่งแต่เก็นตะดีๆ กูก็ให้แต่บทแนวๆ นี้จังวะ 55555) ส่วนเซย์ระก็แน่นอนว่าคือจากะจัง (ดีเหี้ยๆ) กับอุมิ (เอาไรมาดี) แต่อย่าถามว่าอะไรยังไงต่อเพราะกูก็จำไม่ได้แล้ว ทิ้งไว้เป็นความทรงจำดีๆ ของอีกหนึ่งในฟิคที่ดีที่สุดที่กูแต่งโดยได้แรงบันดาลใจจากนิยายของมูราคามิ และสำนวนของคุณนพดล (แต่เรื่องนี้ได้สำนวนมาจากร้อยเรื่องสั้นมากกว่านะ) อ่านมาเป็นล้านครั้งก็ยังชอบ ถึงตอนนี้จะแต่งแบบนี้ไม่ได้แล้วเพราะรู้สึกว่าบรรยายน้อยไป เพราะอย่างกูต้องร้อยบรรทัดแสนคำในวรรคเดียวเป็นอย่างต่ำ แถมเปรียบเปรยอะไรมากมายวะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนั้นกูเลียนสำนวนได้เทพจริง มีเรื่องนึงเหมือนอาฟเตอร์ดาร์คเปี๊ยบ ขนาดกูย้อนไปอ่านยังขนลุกย่าบๆ และแม้ตอนนี้กูจะไม่เสพงานมูราคามิแล้ว แต่กูก็ชอบการถ่ายทอดมุมมืดของโตเกียวออกมาในบรรยากาศเหงาๆ แบบนี้มากจริงเห้อ
     ฉากตอนต้นมาจากร้อยเรื่องสั้นที่ไปดาวอะไรสักอย่างแล้วผู้เฝ้ารอในบ่อน้ำก็เข้าไปเป็นแต่ละคน แต่กูแต่งโดยไม่ได้มีความหมายอะไร แค่ใช้การเปรียบเทียบมั่วๆ เพราะอยากลองแต่งอะไรแบบนี้ดูเฉยๆ 55555 อีเหี้ย / ฉากอุมิตอนเด็กได้มาจากฉากตอนเด็กของเท็นโกะใน 1Q84 แต่บทหลอกคนแก่ก็จำไม่ได้อยู่ดีว่ามาจากไหน แต่คิดว่าอาจจะได้แนวคิดมาจากโอเระๆ ด้วย บอกด้วยแล้วกันว่าอนาคตจะมีฟิคของเซย์จังกับรุนะจังอีก แต่แนวไหนไม่รู้ ที่รู้ๆ คือคงไม่ใช่แนวนี้เพราะแต่งไม่ได้แล้ว ทำไม แข่งคาบุกิโจกับกูไหมล่ะอินี่ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ชื่อตัวละครเป็นดวงดาวดวงจันทร์อีกแล้ว มันอดใจไม่ได้จริงๆ ว่ะเพื่อน ชอบแต่งให้ชื่อมีความหมายเพื่อให้เปรียบเปรยบรรทัดเดียวก็เอา ไม่ได้ก็อปใครนะ และในที่สุดกูก็แต่งให้ทราวิสมาครบวงแล้ว ฮูเร่! (มาแค่อิมเมจก็นับจ้า แต่ที่จริงในตอนศูนย์ก็มาครบแล้วนี่ อิ___อิ)
    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×