คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #292 : Backrooms Labyrinth
เวลาบนนาฬิกาข้อมือสายสีทองของเธอบอกเวลาห้าทุ่มสามสิบห้านาที
นั่นไม่ใช่สิ่งที่คิเสะ โทโมมิพอใจ แค่การต้องก้าวเร็วๆ ฝ่าสายลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงในยามค่ำคืนมาจนถึงสถานีเพื่อให้ทันรถไฟเที่ยวสุดท้ายก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอนึกชอบใจ แต่จะว่าอะไรได้ ในเมื่อเธอชอบเขามากเสียจนยอมมองข้ามเรื่องราวน่าหงุดหงิดใจเหล่านั้นไปได้
“ผมไม่รบกวนโทโมมิก็ได้นะ”
เหมือนกับทุกครั้งคราวที่คำพูดเดิมๆ จะทำให้ปณิธานทั้งหมดของเธอพังทลายลงไป จูบที่เริ่มต้นอย่างแผ่วเบา ก่อนมือไม้ที่ปาดป่ายให้ผิวกายได้ร้อนผ่าวเช่นอุณหภูมิที่ถูกส่งต่อจากปลายลิ้นที่สอดเข้ามาเพื่อหยอกล้ออย่างชำนาญ ก็จะทำให้สตินึกคิดทั้งหมดของโทโมมิอ่อนยวบลงไปจนไม่อาจจดจ่อกับสิ่งใดได้อีกนอกจากคนตรงหน้า
และมันจะหวนกลับคืนมาเสมอในตอนที่แยกจากเขาหน้าโรงแรม ทั้งการอ้อยอิ่งอยู่กับริมฝีปากอีกนิดหน่อย อ้อมแขนที่โอบกอดเธอไว้อย่างแนบแน่นเหมือนไม่ต้องการจะแยกจาก พร้อมกับถ้อยคำที่เอ่ยกระซิบอยู่ริมใบหูว่า “โทโมมิคือคนสำคัญของผมนะ” จากนั้นเขาก็จะแยกตัวกลับไปอยู่กับใครอีกคน...คนที่ไม่ใช่คนสำคัญเหมือนเธอ หากแต่โทโมมิก็เข้าใจดีว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะเลิกรากับหล่อนซึ่งกำลังอยู่ในช่วงอ่อนแอและเปราะบาง ผ่านมาตั้งกว่าครึ่งปีแล้วเธอยังอดทนได้ เฝ้ารอคอยต่ออีกสักหน่อยจะเป็นไรไป
นั่นรวมถึงการโยกย้ายตำแหน่งจากโตเกียวมายังโอซากะโดยที่เจ้าตัวไม่ได้เต็มอกเต็มใจเลยสักนิด เพียงเพราะว่าเธออายุน้อยที่สุดในฝ่ายขาย อีกเหตุผลหนึ่งที่โทโมมิรู้แน่ชัดเลยว่าใช่ก็มาจากผลงานที่เกินหน้าเกินตาพวกตาแก่อาวุโสในแผนก จนต้องถูกระเห็จ — โทโมมิอยากใช้คำว่าอัปเปหิ — มายังเมืองที่น่าเบื่อหน่าย ก่อนที่โทโมมิจะได้พบกับผู้ชายที่เปลี่ยนความน่าเบื่อหน่ายให้กลายเป็นความสุขสันต์ผนวกกับความตื่นเต้นในทุกๆ วัน เหตุผลข้อแรกอาจมาจากเขา ส่วนเหตุผลข้อหลังอาจมาจากหญิงสาวผู้เป็น ‘คนรัก’ ของเขา
โอกาซากิ โคทาโร่คือหนุ่มนักดนตรีที่โทโมมิเจอระหว่างขากลับจากการไปดื่มกับหัวหน้าแผนกอาวุโสอย่างคุณโอกะ ยูริ กิจกรรมที่เปลี่ยนจากแค่คำว่า ‘น่าเบื่อหน่าย’ ให้กลายเป็น ‘น่ารำคาญ’ เพราะเขาเอาแต่พูดพล่าม อวดโอ่ สาธยายประวัติและผลงานของตัวเองให้แก่เหล่าเด็กใหม่ในแผนกที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครนึกอยากฟังเลยแม้แต่น้อย แต่หากต้องการความก้าวหน้าในอาชีพการงานต่อไป โทโมมิก็ย่อมไม่มีทางที่จะปฏิเสธมันได้ เช่นเดียวกับความต้านทานต่อชายหนุ่มที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกับเธอซึ่งกำลังก้มหน้าดีดกีตาร์อยู่ข้างทาง แต่เมื่อเขาแหงนเงยใบหน้าหล่อเหลาเข้ากับผมสีทองเป็นบ้า แล้วส่งยิ้มกว้างที่สดใสไม่ต่างจากพระอาทิตย์ยามเช้ามาให้เธอที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเพียงคนเดียว หัวใจที่เต้นรัวแรงมากก็ผลักให้ฝีเท้าในส้นสูงสองนิ้วก้าวเข้าไปหา ขับดันถ้อยเสียงที่เปล่งผ่านลำคอว่า “อยากไปหาอะไรดื่มด้วยกันไหม?” แม้โทโมมิจะกระดกแอลกฮอล์ไปถึงจุดที่เธอกำหนดไว้สำหรับค่ำคืนนี้แล้วก็ตาม
แต่จูบที่เจือด้วยรสนมเปรี้ยวของผู้ชายแปลกหน้าที่ไม่อ้อมค้อมในการพาเธอเข้าเลิฟโฮเต็ลราคาถูกอย่างที่ต้องการนั้นมอมเมาเธอไปถึงจุดที่โทโมมิจะควบคุมสติไว้ไม่ไหว และปรอทที่พุ่งสูงขึ้นก็แตกกระจายไปพร้อมกับอุณหภูมิที่เขาส่งต่อมาให้ทั้งข้างนอกและข้างใน ตลอดชีวิตยี่สิบสองปีที่ผ่านมา โทโมมิไม่เคยตกหลุมรักแรกพบมาก่อน ไม่เคยรู้สึกว่าต้องการผู้ชายคนไหนมากเท่ากับคนนี้เลยสักครั้ง เธอถึงได้ยอมปิดหูปิดตาเรื่องคนรักของเขาที่สืบรู้มา ชื่อของหล่อนคืออากาซาวะ ชิโอริ ลูกสาวเจ้าของบริษัทส่งออกรายใหญ่ที่สุดประจำภูมิภาคซึ่งเพียบพร้อมทั้งรูปและทรัพย์ แต่การเพิ่งเสียลูกพี่ลูกน้องคนสนิทไปจะทำให้อารมณ์ของหล่อนไม่คงที่ เพราะอย่างนั้นการที่โคทาโร่จะทอดทิ้งหล่อนไปอีกคนจนขาดที่ยึดเหนี่ยวจึงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม โทโมมิคิดอย่างนั้น
ใช่จะไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องน่ารังเกียจ แต่การได้ครอบครองผู้ชายของผู้หญิงคนอื่น — ยิ่งโดยเฉพาะผู้หญิงที่เหนือกว่า — ก็จะทำให้โทโมมิที่รู้สึกถึงความด้อยค่าเมื่อย้ายมาอยู่ที่โอซากะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
และโคทาโร่ก็คือคนที่มอบชีวิตให้แก่เธออีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะต้องเหยียบย่ำหัวใจของคนอื่นที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรในชีวิตของเธอเลยก็ตาม
โทโมมิถอยกรูดไปด้วยความตื่นตระหนก เมื่อหญิงวัยกลางคนในชุดเสื้อผ้าตัวเก่าดูท่าทางมอซอเหมือนกับคนไร้บ้านจะพรวดพรวดเข้ามาขวางเธอไว้ ทั้งไบเบิลเล่มหนาในมือกับถ้อยความที่หล่อนแผดตะโกนใส่หน้า ราวกับต้องการเจาะจงส่งคำพูดนั้นเพื่อสื่อสารกับเธอโดยตรงว่า
“จงสำนึกผิดซะคนบาป! สำนึกผิด! จุดจบใกล้มาถึงแล้ว! เวลาแห่งการให้อภัยกำลังจะหมดลง!”
แต่เป็นเพราะโทโมมิกำลังรีบร้อนเพื่อไปยังสถานีใต้ดินให้ทันเวลารถไฟเที่ยวสุดท้าย เธอจึงพยายามเบี่ยงตัวหลบไปอีกทาง หากหล่อนก็ไวทายาดพอที่จะฉวยคว้าจับแขนภายใต้เสื้อโค้ตตัวยาวไว้ ทั้งที่รูปร่างของหล่อนก็ดูผอมแห้ง ทว่าเรี่ยวแรงที่โทโมมิรู้สึกได้กลับไม่บรรเทาเอาเสียเลยจนต้องนิ่วหน้า
“เธอจะยอมรับพระเยซูเป็นพระเจ้าและพระผู้ไถ่หรือไม่!”
ความเจ็บปวดที่ได้รับเรียกความไม่พอใจให้แล่นริ้วขึ้นมา เพราะอย่างนั้นริมฝีปากสีแดงของเธอจึงขยับเอ่ยไปในเชิงประชดประชันว่า
“ซาตานจงเจริญ!”
เมื่อนั้นเองที่หล่อนจะปล่อยข้อมือของเธอออกจากการเกาะกุม หล่อนไม่ได้ตะโกนอีกแล้ว เพียงส่งสายตาเย็นเยียบทิ้งท้ายให้เธอที่จะรีบสาวรองเท้าส้นสูงจากไป
รถไฟเที่ยวสุดท้ายเข้ามาเทียบชานชาลาพอดีในตอนที่โทโมมิกึ่งวิ่งกึ่งเดินลงจากบันไดเข้าไปนั่งหอบหายใจเอาอากาศและปรับระดับการเต้นของหัวใจอยู่ในขบวนที่แทบจะเรียกได้ว่าร้างราผู้คน ไม่มากไม่มายที่ต่างจมจ่อมอยู่กับโลกของตัวเองหรือไม่ก็โลกในความฝัน เหมือนอย่างที่โทโมมิคุ้นชินมาตลอดระยะเวลาเกือบๆ หกเดือน แน่นอนว่าโทโมมิเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เพราะความเหนื่อยอ่อนที่บีบให้เธอจำต้องเอนแผ่นหลังลงกับพนักแทนการหยิบเอาหนังสือที่พกติดกระเป๋าอยู่เสมอขึ้นมาอ่านจนกว่าจะถึงสถานีปลายทาง โทโมมิจึงได้มีเวลากวาดสายตามองไปรอบๆ ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีผู้โดยสารนอกเหนือจากเธออีกเพียงแค่รายเดียว นั่นไม่ใช่เรื่องชวนแปลกใจแต่อย่างใด หากทว่าสิ่งที่ทำให้โทโมมิตกใจไปไม่น้อยคือใบหน้าที่คุ้นเคยดีของชายหนุ่มในชุดสูทที่นั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งนั้น
อิวาซากิ ไทโชคือพนักงานฝ่ายบุคคลที่บริษัทของเธอ ใช่ว่าโทโมมิจะสนใจใคร่รู้เรื่องของคนอื่น ยิ่งโดยเฉพาะคนที่อยู่ต่างแผนกด้วยอีก แต่เป็นเพราะว่าเธอมักจะได้เจอเขาที่ห้องอาหารของบริษัทหรือไม่ก็ขึ้นลิฟต์ตัวเดียวกันทั้งในตอนเช้าหรือหลังเลิกงาน เมื่อไหร่ที่เจอกันก็จะเพียงแค่ผงกศีรษะให้แก่กันบ้างเป็นครั้งคราว เช่นนั้นแล้วโทโมมิจึงไม่คิดที่จะเข้าไปเสนอหน้าทักทายเขา ซึ่งเอาแต่กอดอกมองตรงไปข้างหน้าที่มีเพียงความมืดมิดตลอดสองข้างทางเท่านั้นให้จับจด
เมื่อโทโมมิไม่มีแก่ใจจะอ่านหนังสือเล่มใหม่ที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวาน เธอจึงปล่อยความคิดและจิตใจให้ลอยเหม่อไปยังช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกับโคทาโร่ในวันนี้ วาดฝันถึงวันพรุ่งนี้และอนาคตภายภาคหน้าร่วมกันที่อีกไม่ช้าก็จะมาถึง
หรือไม่...มันก็อาจจะไม่มีวันมาถึง
เพราะทันทีที่เธอรีบเร่งคว้ากระเป๋าสวมไหล่ออกไปยังบันไดทางออก ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าทันทีที่กะพริบตาแค่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น โทโมมิก็ได้มองเห็นภาพของห้องขนาดใหญ่ที่มีผนังสีเหลืองอ่อน พรมกลิ่นหืนที่ขึ้นรา กับเสียงหึ่งๆ ของหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ที่ฝังตัวอยู่บนเพดาน
ฉับพลันนั้นเองที่ความเยียบเย็นแล่นปราดเข้ามาทั้งที่ไม่มีสายลมพัดโพย แต่ยามนี้มันกลับบาดลึกลงไปถึงเนื้อหนังภายใต้กระดูก โทโมมิได้แต่ตะลึงงันกับสิ่งที่ได้มองเห็น
มันคือเรื่องเล่าไร้สาระของนรกสีเหลืองที่เธอเคยอ่านเจอในอินเทอร์เน็ต
มันคือแบครูมส์
_______________
ความคิดเห็น