คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #282 : Silent Hill: Metaplasia of the Town
เขาลืมตาตื่นขึ้นหลังพวงมาลัยด้วยความรู้สึกปวดระบมที่เนื้อตัว โดยเฉพาะศีรษะและลำตัวข้างซ้ายซึ่งกระแทกกับของแข็งเข้าเต็มแรง โชคดีที่คาดเข็มขัดนิรภัยไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่ได้มีโอกาสลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่รถชนเข้ากับไหล่ทางและพลิกคว่ำอยู่บนท้องถนนแน่ ครั้นแล้วเขาจึงค่อยๆ ปลดเข็มขัดออกและขยับพาตัวเองออกจากช่องหน้าต่างอย่างทุลักทุเล ก่อนหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดไป เพราะความเจ็บปวดที่ยังคงเล่นงาน เขาจึงทำได้เพียงนั่งพิงแผ่นหลังกับรถคันที่ยับเยิน แล้วครวญคิด ที่นี่คือที่ไหน? ทำไมเขาถึงมาที่นี่? อาจเป็นเพราะหัวสมองอันหนักอึ้งที่ทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก ยิ่งพยายามใช้งานมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสร้างความเจ็บปวดมากเท่านั้น ทำได้เพียงกำหนดลมหายใจเป็นจังหวะเชื่องช้า ก่อนที่จะออกตามหาใครที่พอจะช่วยเหลือและอาจให้คำตอบกับเขาได้
ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงไซเรนเสียดแก้วหูที่แผดดังจากทั่วทุกทิศทาง เสียดแทงไปถึงกระดูกที่เจ็บร้าวข้างใน เขาไม่อาจมองหาที่มาในเมืองสีขาวโพลนเพราะหมอกหนาที่ปกคลุมเช่นนี้ได้ สิ่งที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าไม่ใช่หิมะแต่เป็นขี้เถ้า เพราะเขาไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นและการละลายหลังแตะสัมผัส จากนั้นความมืดมิดก็ค่อยๆ กลืนกิน เหมือนสุริยุปราคาที่เคลื่อนเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์อย่างฉับพลัน แต่ว่าไม่ใช่ นี่เป็นความมืดมิดที่เข้มข้นกว่านั้น ไม่ว่าเขาจะพยายามปรับสายตาให้คุ้นชินเพียงไรก็ไม่อาจมองเห็นอะไรได้แม้แต่มือของตัวเอง เขาจำได้ว่ามีมือถืออยู่ในกระเป๋ากางเกงจึงล้วงลงไปหยิบ หน้าจอของมันแตกเล็กน้อย แต่ไฟฉายยังใช้การได้
ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ณ ขณะนี้เหมือนกับเรื่องเหลือเชื่อจนเขาคิดว่าตัวเองยังไม่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาจริงๆ แต่ความเจ็บปวดทั่วสรรพางค์กายก็ชัดเจนเสียจนไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เช่นเดียวกับภาพของพื้นคอนกรีตที่ค่อยๆ หลุดลอกขึ้นไป ความพรั่นพรึงเข้ามาแทนที่ให้เขาต้องรีบลุกขึ้นหนี โชคดีที่เขาพบกับไดเนอร์ซึ่งอยู่ไม่ไกล แม้ผนังภายนอกของมันจะเปิดเผยให้เห็นเนื้อสนิมเหล็กภายในไม่ได้ต่าง แต่ยังดีกว่าการต้องอยู่ในที่โล่งรอบด้านกับความมืดมิดสุดลูกหูลูกตา เมื่อนั้นเขาจึงรีบผลักบานประตูเข้าไปแล้วทิ้งตัวหลบอยู่หลังเคาน์เตอร์ พร้อมกับเสียงหอบหายใจของความล้าอ่อน
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงไซเรนก็เงียบลงไปพร้อมกับความเคลื่อนไหวของสิ่งก่อสร้างที่หยุดลง ครั้นสาดแสงไฟไปรอบๆ ก็ราวกับเขากำลังอยู่ในขุมนรกของโลกที่เป็นสีแดงเกรอะกรัง ไม่ใช่แค่สนิมแต่ยังรวมถึง...เลือด ให้เขารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในนรกภูมิที่น่ากลัวยิ่งกว่ามโนภาพใดๆ ที่ได้เคยจินตนาการหรือว่าผ่านตามา
แล้วเขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ทั้งหวาดหวั่นหากก็ละสายตาไปจากมันไม่ได้ ไม่มีทางที่จะเขาให้คำตอบกับตัวเองได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ในวินาทีที่แสงไฟส่องไปยังบานประตูหน้าร้าน เขาก็ได้มองเห็นใครบางคนหรือไม่ก็อะไรบางอย่างกำลังค่อยๆ เดินตรงเข้ามา
มันอยู่ในชุดที่เหมือนกับพยาบาล แต่เปิดเผยเนื้อหนังทั้งส่วนบนและล่าง ส่วนใบหน้ามีผ้าพันไว้และไม่มีช่องว่างใดๆ ทั้งที่ดวงตาหรือว่าจมูก มือข้างหนึ่งถือมีดที่เปื้อนเปรอะไปด้วยเลือดไม่ต่างจากเสื้อผ้าและเนื้อตัว ท่วงท่าที่บิดเบี้ยวนั้นคือสิ่งที่ช่วยยืนยันความคิดของเขาว่ามันหาใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์ประหลาดจากอเวจีต่างหาก
ขณะที่เขาได้แต่ยืนตัวแข็ง จ้องมองมันนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ทันใดนั้นเอง เครื่องมือสื่อสารในมือของเขาก็จะถูกฉวยคว้าไปวางทาบลงกับพื้น หลงเหลือแสงสว่างจากไฟฉายเพียงวงแคบๆ จนแทบจะมองไม่เห็น ตามมาด้วยข้อมือของเขาที่จะถูกฉุดลงไป และเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างใบหู
“ไม่ต้องกลัว ฉันเป็นคน ทีนี้ก็อยู่นิ่งๆ อย่าขยับ อย่าส่งเสียง”
ความอบอุ่นจากเลือดเนื้อของมนุษย์ที่เขาได้รับในสถานการณ์เช่นนี้ ช่วยทำให้เนื้อตัวที่สั่นเทาค่อยๆ กลับมาสงบ เขาไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว อาจจะเนิ่นนานจริงๆ อย่างที่รู้สึก หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาอันแสนสั้นที่ถูกยืดขยายออกไปในความคิด ก่อนที่แสงสว่างภายนอกจะกลับคืนมา ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนปกติราวกับความมืดมิดไม่เคยเกิดขึ้นจริง เมื่อนั้นเธอจึงค่อยปล่อยข้อมือที่ชื้นเหงื่อของเขาออก
“นายเกือบให้มันพังที่ซ่อนของฉันเข้ามาแล้วนะ”
น้ำเสียงติดตลกของเธอเรียกให้เขาหันขวับไปมอง ผิดคาดเมื่อหญิงสาวแปลกหน้าที่ช่วยชีวิตเขาไว้ดูเหมือนจะอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน หากสิ่งที่สะดุดใจเขามากที่สุดคือความรู้สึกคลาคล้ายกับใบหน้านี้อย่างน่าประหลาด แต่เขาคิดไม่ออกเลยว่าเคยพานพบกับใบหน้านี้มาก่อนจริงๆ หรือเป็นเพียงความทรงจำอันมัวพร่า เฉกเช่นบรรยากาศภายนอกของเมืองสีขาวที่ผันเปลี่ยนไปเป็นสีดำได้ในชั่วพริบตาอย่างน่าพรั่นพรึงกันแน่ อย่างไรก็ดี การที่เธอไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวกับสิ่งที่ได้พบเหมือนกับเขานั้นดูจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ
“เมื่อกี้น่ะ ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกหรอกนะ”
“เมื่อกี้มันเรื่องบ้าอะไร? แล้ว...ที่นี่คือที่ไหน?”
เรียกนัยน์ตาของเธอให้เลิกกว้างขึ้น
“นายมาที่นี่โดยไม่รู้เหรอว่ามันคือที่ไหน?”
“ฉัน...” เขาเว้นจังหวะเพื่อพยายามใคร่ครวญอยู่สักพัก แต่ท้ายที่สุดก็ต้องจำยอมแพ้ “จำไม่ได้ ฟื้นขึ้นมาก็อยู่ในรถที่กำลังคว่ำแล้ว”
“ที่จริงแล้วนะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อกี้คืออะไรหรือว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้แค่ว่าเมื่อไหร่ที่ได้ยินเสียงไซเรน ที่นี่จะเปลี่ยนเป็นอีกมิติหนึ่ง แล้วสัตว์ประหลาดอย่างตัวเมื่อกี้ก็จะออกมาเพ่นพ่าน ฉันเรียกมันว่ามิติสนิม”
“เธออยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว?”
“หนึ่งวัน สองวัน ไม่รู้สิ รู้แค่ว่านานพอที่ฉันจะเคยชินกับเหตุการณ์เมื่อกี้แล้ว” ขณะที่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถทำใจให้ชินกับเรื่องสยองขวัญสั่นประสาทที่เหมือนผุดมาจากขุมนรกเช่นนั้นได้ “มันเกิดขึ้นวันละหลายหน นายต้องระวังตัวให้ดีนะ”
และเมื่อเธอเอ่ยประโยคถัดมา เขาก็ไม่รู้สึกถึงอะไรอีกนอกจากความเจ็บปวดรุนแรงที่แล่นปราดเข้ามาในหัวสมอง
“ที่นี่คือไซเลนต์ฮิลล์”
แล้วเขาก็จำจดได้
ชื่อของเขาคือฮิดากะ อุกิโช เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สองของมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตต์ หลังย้ายไปร่ำเรียนอยู่ที่นั่นก็ไม่เคยแม้แต่จะกลับมาเยี่ยมบ้านในช่วงปิดเทอมหรือเทศกาลสำคัญที่ครอบครัวควรอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะสายตรงจากนิวแฮมป์เชียร์ผ่านน้ำเสียงที่ไม่คาดคิดที่ทำให้เขารีบเหยียบคันเร่งกลับบ้านเกิดทันที ทว่าสิ่งที่รอต้อนรับเขาอยู่ในห้องนั่งเล่นกลับไม่ใช่สมาชิกครอบครัวที่ยังมีลมหายใจ แต่เป็นร่างทั้งสองที่นอนจมกองเลือดสีแดงฉาน ร่างที่ฮิดากะรู้จักดีในฐานะแม่เลี้ยงและลูกติดที่ไม่ได้มีความผูกพันใดๆ กระทั่งทางใจกับเขา หากเนื้อตัวที่ถูกกรีดจนยับเยิน อยู่ในสภาพคอหักพังพาบราวกับตุ๊กตาหุ่นกระบอกก็จะทำให้เขารู้สึกคลื่นเหียนจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก
ใครก็ตามที่เป็นคนลงมือต้องมีความเกลียดชังเป็นอย่างมากถึงได้ระบายความคับแค้นออกมาในรูปแบบนี้ แต่ไม่ใช่กับร่างของบิดาที่คล้ายกับเพียงแค่นอนหลับไปบนโซฟาเฉยๆ ถ้าไม่ได้สังเกตเห็นมีดที่เสียบอยู่บนหน้าอกในตำแหน่งเดียวกับหัวใจ
เหนือกำแพงขึ้นไป มีตัวอักษรที่เขียนด้วยเลือดขนาดใหญ่เป็นคำว่า ‘ไซเลนต์ฮิลล์’
ไซเลนต์ฮิลล์...ชื่อเมืองที่ติดอยู่ในความทรงจำ จากความฝันของสมาชิกครอบครัวอีกคนที่ไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากัน ณ ที่แห่งนี้ คนคนเดียวที่ทำให้เขาละทิ้งเหตุผลทุกอย่างกลับมาที่นี่อีกครั้ง คนที่เป็นทั้งสายเลือดเดียวกันกับเขา และรับเอาความผูกพัน กระทั่งหัวใจของเขาไป
จึงเป็นอีกครั้งที่เขายอมละทิ้งทุกอย่าง มอบความเมตตาสุดท้ายให้แก่ร่างไร้วิญญาณทั้งสามด้วยการโทร.เรียกตำรวจ เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องกลายเป็นเศษซากเน่าเหม็นรอให้ใครมาค้นพบในวันที่สายเกินไป หากไม่สนใจที่จะรอดูผลลัพธ์ นอกจากกระโจนกลับขึ้นรถ หาเส้นทางไปยังอดีตเมืองท่องเที่ยวเล็กๆ ในรัฐเมน เขตนิวอิงแลนด์ ผ่านจีพีเอส ท้องถนนยามค่ำคืนที่นานครั้งจะมีพาหนะสักคันหนึ่งสวนทางมานั้นเงียบสงัด แม้ความรู้สึกของเขาจะไม่อาจเข้าใกล้คำว่าสงบเมื่อคิดถึงเธอ เขาออกเดินทางรวดเดียวโดยไม่หยุดพัก แม้แต่การแวะปั๊มน้ำมันเพียงสองแห่งที่พบระหว่างทาง ใช้เวลาเกือบสี่ชั่วโมงผ่านเนินเขาที่เลี้ยวลดซึ่งรายล้อมด้วยทะเลสาบกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา จนเกือบรุ่งสางถึงได้มองเห็นตัวหนังสือสีเหลืองทองบนป้ายสีเขียวแก่ที่หลุดลอกไปตามกาลเวลา
มันเขียนไว้ว่า...
‘ยินดีต้อนรับสู่
ไซเลนต์ฮิลล์’
ในเมืองที่เต็มไปด้วยหมอกสีขุ่นจาง ผนวกกับความอ่อนล้าของการขับรถโดยไม่ได้พักผ่อนเลยเกินกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง ฮิดากะไม่แน่ใจว่าได้เห็นเงาร่างของผู้หญิงยืนอยู่กลางถนนจริงๆ หรือเป็นเพียงภาพลวงตา แต่มือที่จับพวงมาลัยก็ตบเลี้ยวมันเข้าข้างทางซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนความคิดจะได้ทันประมวล รถหมุนคว้างไปบนถนนอย่างไม่อาจควบคุม จากนั้นทุกอย่างก็ดับมืดลง
∞
ผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นไม่อยู่แล้วเมื่อฮิดากะกะพริบนัยน์ตาปริบ เขาค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้นกลับไปอยู่ในท่านั่ง ก่อนจะพบตัวเองกำลังนอนอยู่บนโซฟา ไม่ใช่พื้นไม้อย่างที่คิดว่าควรจะเป็น ก่อนที่จะขยับใบหน้าหันไปหาหมอกสีขาวที่โปรยปรายอยู่นอกบานกระจก ถึงต่อให้จะเขม้นจ้องเพียงไรก็ไม่อาจมองผ่านเลยออกไปเห็นสิ่งใดหรือสิ่งมีชีวิตใดเคลื่อนไหวอยู่ในแววตา
เรื่องราวชวนหัวที่เกิดขึ้นแม้เพียงครั้งเดียวก็มากพอที่จะทำให้ฮิดากะควรรีบหาพาหนะขับออกไปจากเมืองนี้โดยเร็วที่สุด บางทีเขาอาจจะรอให้เกิดมิติสนิมขึ้นอีกหนระหว่างซ่อนตัวอยู่ที่นี่เพื่อคำนวณระยะเวลาที่มันจะเกิดขึ้นและหายไป ไม่ก็รอผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นให้กลับมายังที่ที่หล่อนบอกว่าเป็น ‘ที่ซ่อน’ แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเหล่านั้นด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียว
ลาน่า
“ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอ!”
ฮิดากะไม่เคยได้ยินน้ำเสียงแสดงความเคียดแค้นเช่นนี้ของเธอมาก่อนตลอดสิบสองปีที่อยู่ด้วยกันมา ไม่นับรวมหกปีที่ขาดหายเพราะการแยกทางของพ่อกับแม่ก่อนหน้านั้น กว่าที่พวกเขาจะได้กลับมาอยู่ร่วมเป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้งก็ในตอนที่แม่เสียชีวิตไปเพราะอุบัติเหตุรถชน น้องสาวที่เขาเพิ่งจะเคยพบหน้านั้นตัวผอมบาง ผมสีบลอนด์แต่กำเนิดทำให้ผิวสีขาวยิ่งดูซีดเหมือนกับกระดาษ พ่อบอกว่าที่ลาน่าป่วยออดๆ แอดๆ เพราะภูมิคุ้มกันต่ำซึ่งเป็นกรรมพันธุ์จากแม่ บ้านของพวกเขามีคนแปลกหน้าเข้ามาไม่ได้ขาด ทั้งหมอ พยาบาล รวมถึงครูสอนพิเศษ ขณะที่ลาน่าแทบจะไม่เคยได้ออกไปไหนไกลเกินกว่าหน้าประตูบ้านของตัวเอง กระนั้นก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้กระหายอยากออกไปพบโลกกว้าง พวกเขาทดแทนช่วงเวลาที่ขาดหายไปด้วยการใช้เวลาร่วมกันแทบจะตลอดเวลา นั่นรวมถึงการนอนร่วมห้องเดียวกัน บางครั้งฮิดากะก็จะไปนอนเล่นไม่ก็เล่าเรื่องสนุกๆ ที่ได้พบเจอมาอยู่บนเตียงชั้นล่างกับเธอแล้วผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะโตขึ้นจนล่วงสิบเจ็ดแล้วก็ตาม ความเคยชินทำให้ฮิดากะไม่เห็นว่าความสัมพันธ์แบบพี่น้องของพวกเขาจะเป็นเรื่องผิดแปลก จนเมื่อพ่อแต่งงานใหม่กับแม่ม่ายลูกติดที่เขาเคยคิดว่าจะเป็นครอบครัวเดียวกันกับพวกหล่อนได้ในสักวันหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา บ้านที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของสองพี่น้องกลับแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะที่ราวกับกรีดแทงของสองแม่ลูก หลังจากเรียนจบไฮสคูล เขาก็ตัดสินใจย้ายไปเรียนต่อที่รัฐอื่นทันทีโดยไม่หวนกลับมายังอดีตอีก
ลืมเลือนแม้แต่คำสัญญาที่ว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอ” ได้อย่างเลือดเย็น
แต่ฮิดากะไม่ใช่เด็กขี้ขลาดคนนั้นอีกแล้ว ผู้หญิงร้ายกาจที่ชื่ออลิซซ่ากับแมรี่จากไปแล้ว พวกหล่อนไม่สามารถทำอะไรเขาได้อีก
และตอนนี้ เขาจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับน้องสาว...ด้วยชีวิต
คว้ายาแก้ปวดที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมากรอกลงไปห้าเม็ดโดยไม่ดื่มน้ำตามลงไป แน่ใจทีเดียวว่าผู้หญิงคนนั้นต้องทิ้งมันไว้ให้ โชคดีที่เขาพบปืนพกอยู่หลังเคาน์เตอร์ในตอนที่เดินสำรวจสถานที่เพื่อหาอาวุธและข้าวของที่น่าจะเป็นประโยชน์ ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง มันวางอยู่ที่นั่นพร้อมกับลูกกระสุนเต็มแม็ก กระนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะพบสัตว์ประหลาดแบบพวกก่อนหน้านั้นอีกมากเท่าไหร่ หรือว่ากระสุนปืนจะสามารถสังหารพวกมันได้ไหม เขาต้องหาตัวช่วยอีกอย่างที่ใช้การได้ง่ายดายกว่านี้ ทันนั้นเอง เขาก็จะได้เห็นไม้เบสบอลซึ่งวางแน่นิ่งอยู่บนพื้นใกล้กับทางเข้าเคาน์เตอร์ก่อนที่เขาจะสะดุดมันล้มหน้าคว่ำ ฮิดากะไม่มีความลังเลใจใดๆ เมื่อก้มลงไปฉวยคว้ามันขึ้นมา เขาไม่ได้เป็นนักกีฬาเบสบอลมืออาชีพ แค่ชอบหวดมันเล่นสนุกๆ กับพ่อหรือว่าเพื่อนฝูงบ้างเป็นครั้งคราว แต่อย่างน้อยๆ เขาก็มั่นใจในทักษะการคำนวณแรง อีกทั้งมันจะช่วยให้เขาประหยัดลูกกระสุนและถ่วงเวลาเอาไว้ได้ถ้าพบศัตรูในระยะประชิด หลังจากเตรียมการเรียบร้อย เขาก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากเย็น ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่ ฮิดากะก็ไม่มีเวลาให้ลังเลใจอีกต่อไป
∞
ความเงียบงันสมกับชื่อเมืองบังเกิดขึ้นในทุกย่างก้าวหลังผลักบานประตูออกจากร้านมา ชั่วแว่บหนึ่งที่ฮิดากะอดหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้ว่าลมหายใจของเขาอาจจะดังเกินไปจนปลุกมิติสนิมขึ้นมา
มันช่างเป็นเรื่องโง่เง่า เหมือนเขาเป็นคนตาบอดที่กำลังคลำทางไปอย่างไร้จุดหมาย เพราะไม่รู้เส้นทางของเมืองนี้ ยิ่งภายใต้หมอกสีขาวซึ่งบดบังวิสัยเบื้องหน้าทั้งหมด เขาจึงไม่รู้ว่าควรต้องมุ่งหน้าไปทางไหน นอกจากเดินตรงไปเพียงอย่างเดียว ก่อนที่จะหยุดเมื่อคิดว่ามันไม่ได้ช่วยอะไร ฮิดากะต้องการแผนที่ ป้ายบอกทาง หรืออะไรสักอย่าง บางทีตามสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งถูกทิ้งร้างอาจจะมีร่องรอยของมันหลงเหลืออยู่ เขาเพียงแค่ต้องตามหาสถานที่นั้นให้พบ ในตอนที่เหลียวมองทั้งซ้ายขวาอยู่นั้นเอง นัยน์ตาของเขาก็จะสบเข้ากับบานกระจกของร้านเสื้อผ้าที่ส่องสะท้อนเงาของตัวเองออกมา แล้วฮิดากะจึงพบว่าไม่ได้มีเพียงแค่เขา
หากในวินาทีที่กะพริบตา เธอที่ยืนอยู่ข้างหลังก็หายไป
“ฉันอยู่ในโรงแรม” แต่กลับเป็นคำพูดเมื่อกาลครั้งหนึ่งของเธอที่หวนคืนมา “โรงแรมที่เหมือนกับอยู่ในยุคทองของฮอลลีวูด แต่ว่ามันไม่ใช่ยุคนั้นเพราะการแต่งตัวของแขกก็เหมือนกับพวกเราในยุคนี้ การตกแต่งในโรงแรมเน้นสีดำกับสีทอง ส่วนพรมแดงกับโซฟาก็เป็นสีแดงที่ดูหรูหรามากเลยล่ะ! มีเสียงเพลงแจ๊ซดังแว่วมาจากส่วนล็อบบี้กับบาร์ด้วย ส่วนฉันก็อยู่ในชุดเดรสลูกไม้สีดำที่สวยมากเลย มันเป็นแค่ความฝันก็จริงนะ แต่ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้ไปอยู่ที่นั่นมาจริงๆ”
ขณะที่ความทรงจำสว่างวาบขึ้นมา เสียงไซเรนก็แผดลั่น...อีกครั้ง
ฮิดากะไม่สามารถกลับไปยังไดเนอร์ซึ่งพ้นห่างมาไกลมากแล้วได้ เช่นเดียวกับที่ฮิดากะก็ไม่สามารถจะหาที่ซ่อนตัวจากอาคารปิดตายตลอดเส้นทางได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงออกวิ่งไปพร้อมกับสอดส่ายสายตามองหาความเป็นไปได้แม้แค่เพียงเล็กน้อย
และในยามที่ความสิ้นหวังบังเกิด เขาก็ได้พบกับป้ายนีออนขนาดใหญ่ที่เขียนว่า ‘แกรนด์โฮเต็ล’ แขวนห้อยอยู่ริมอาคารสูง แม้ลาน่าจะไม่ได้บอกชื่อโรงแรมนั้นมา แต่ป้ายชื่อและคำบรรยายของเธอต่างก็สื่อถึงสไตล์อลังการศิลป์ให้ชายหนุ่มที่สนใจเรื่องศิลปะมาแต่ไหนแต่ไรได้มั่นใจ
ไม่ว่าจะออกแรงมากแค่ไหนฮิดากะก็ไม่สามารถผลักบานประตูของโรงแรมที่ถูกทิ้งร้างเข้าไปได้ เสียงไซเรนที่เงียบลงไปบ่งชี้ว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมามัวสรรหาวิธีการ เขารู้ว่าโรงแรมย่อมต้องมีบันไดหนีไฟอยู่ด้านข้างตัวอาคาร แม้ความคิดของเขาจะรวดเร็วแล้วก็ยังไม่ทันความมืดมิดที่เริ่มต้นกลืนกินทั่วชั้นบรรยากาศ ไฟฉายวงเล็กจากโทรศัพท์มือถือถูกสาดไปเบื้องหน้าท่ามกลางมือทั้งสองข้างซึ่งสั่นเทาและชื้นไปด้วยเหงื่อ การถือของเต็มมือทั้งสองข้างไม่ใช่วิธีที่สะดวกเอาเสียเลย กระนั้นฮิดากะก็ไม่อาจเลือกทิ้งสิ่งจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งไปได้ในเวลานี้
ฝีเท้าค่อยๆ ย่ำออกไปเช่นเดียวกับเสียงของลมหายใจที่เขานึกอยากจะกลั้นมันเอาไว้ แต่เขารู้ว่าจะมัวโอ้เอ้ไม่ได้ ภาพของบันไดหนีไฟด้านข้างตัวอาคารปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงสว่างสีขาวเจิดจ้านั่น แม้ตัวอาคารภายนอกที่เคยเป็นสีเทาหม่นจะแปรเปลี่ยนไปเป็นสีน้ำตาลแดงลอกล่อนในมิติสนิมเวลานี้ก็ตาม โดยไม่รอช้า เขารีบวิ่งจนเกือบเป็นกระโจนขึ้นไปทันที แต่ไม่ว่าจะเป็นชั้นไหนๆ บานประตูหนาหนักก็ไม่ให้การตอบรับเลยสักนิด
ก่อนที่เสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อรองเท้าเหยียบลงบนโลหะเก่าจะดังไล่หลังตามมา มือข้างซ้ายของเขาขยับไปตามต้นเสียงก่อนที่จะพบสัตว์ประหลาดในชุดนางพยาบาลหลายสิบตัวกำลังเบียดเสียดกันขึ้นมาจากชั้นล่างสุด นั่นแปลว่าตอนนี้เส้นทางกลับของเขาถูกปิดตายแล้ว หนทางเดียวที่เขาจะรอดจากมันได้คือการพุ่งหลาวลงไป หรือไม่ก็ต้องหาทางเปิดไอ้ประตูเวรนี่ให้ได้ ฮิดากะทั้งเอาไหล่พุ่งเข้ากระแทก ใช้เท้าถีบมันเข้าไป แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดก็ไร้ผล
ก่อนบานหน้าต่างชั้นต่ำลงไปกว่านั้นจะถูกดันขึ้นเปิด แล้วฮิดากะก็เปลี่ยนทิศทางของไฟฉายอีกครั้ง
“เข้ามาทางนี้!”
ผู้หญิงแปลกหน้าคนเดิมคนนั้นป้องปากตะโกนบอกเขา จะด้วยเสียงดังหรือแผ่วก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรต้องใส่ใจแล้ว เพราะถึงอย่างไรสัตว์ประหลาดพวกนั้นก็ไล่ตามแสงไฟที่พวกเขาปราศจากมันไม่ได้มาอยู่ดี ระยะห่างระหว่างเขากับมันอยู่ห่างจากกันไม่เท่าไหร่ ถ้าขืนไม่รีบไปตอนนี้มีหวังได้ถูกรุมแทงจนพรุน ฮิดากะโยนไม้เบสบอลให้เธอที่รับมันไว้ได้อย่างพอดิบพอดี หลังจากนั้นก็ยัดมือถือเก็บกลับลงไปในกระเป๋าเสื้อ ใช้ไฟฉายที่เธอส่องเป็นตัวนำทางแทน เสียงโหยหวนของพวกมันฟังเข้ามาใกล้ขึ้นทุกขณะ ฮิดากะรู้สึกได้ในทันทีว่าเนื้อตัวของเขาสั่น แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนอกจากกระโดดไปเกาะขอบหน้าต่างของห้องที่อยู่ถัดไป ความสูงหกชั้นมากพอที่จะทำให้เขาต้องเจ็บหนักแม้อาจไม่ถึงตายเมื่อหล่นลงไป โชคดีที่ระยะห่างไม่ได้ไกลกันเกินไปนัก ห้องของเธออยู่ถัดไปอีกเพียงแค่สองบาน เขาไม่มีเวลารักษาก้าวย่างให้มั่นคงอย่างระมัดระวัง สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้มีอย่างเดียวคือการเอาชีวิตให้รอด
แม้พวกมันจะขึ้นมาถึงบันไดหนีไฟชั้นเดียวกับเขาแล้ว เขาก็ไม่คิดว่าสัตว์ประหลาดท่าทางพิกลพิการอย่างพวกมันจะสามารถทรงตัวอยู่บนขอบหน้าต่างได้
เพราะอย่างนั้นฮิดากะถึงไม่คาดคิดว่าสิ่งที่พวกมันจะทำ คือการต่อตัวยืดยาวด้วยเนื้อหนังที่หลอมละลายเข้าหากันแล้วยื่นออกมาหา สภาพที่น่าเกลียดน่ากลัวอยู่ก่อนแล้วยิ่งดูอุบาทว์ราวกับสัตว์ประหลาดจากขุมนรกอย่างแท้จริง เขาเร่งจังหวะของฝีเท้า พยายามเกาะกำแพงเอาไว้ให้มั่นแม้มือจะชื้นไปด้วยเหงื่อ หากเพราะวัสดุของสนิมที่ผุกร่อน เมื่อเขาก้าวไป เศษเหล็กที่ปลายเท้าก็จะร่วงหล่นลงไป ตัวเขาเองก็เกือบอยู่ในสภาพเดียวกันไม่ต่าง แต่จะมามัวยืดยาดไม่ได้ สัญชาตญาณบอกให้เขาเดินหน้าต่อ
ขณะที่กระเสือกกระสนไปเช่นนั้นเอง มีดสีเกรอะกรังของมันก็จะแทงเฉียดไหล่ผ่านเสื้อแจ็คเก็ตของเขาไป โชคดีที่มันหนาพอ เนื้อหนังของเขาจึงไม่เป็นอะไร จากนั้นอย่างรวดเร็ว การเหวี่ยงรอบที่สองก็เกิดขึ้นบนใบหน้าข้างซ้าย ผ่านหลังมือข้างเดียวกันที่กำลังยันกับกำแพงไป ความเจ็บปวดทำให้มันเลื่อนหลุดจากตำแหน่งเดิมจนเกือบนำพาให้ร่างหนาหนักของเขาร่วงหล่น ในวินาทีที่ฮิดากะเพลี่ยงพล้ำและรู้สึกได้ถึงระยะของคมมีดที่ใกล้ขึ้นกว่าเดิมจนสามารถแทงทะลุตัวเขาได้อย่างเต็มแรงแล้ว เสียงกระสุนที่ถูกยิงออกไปดังสนั่นก็แผดอยู่ข้างใบหูจนแทบจะอื้อ เช่นเดียวกับเสียงกรีดร้องของอสุรกายโหยหวนเหล่านั้น
“เร็วเข้า!”
เขารีบทำตามคำสั่งของเธอโดยไม่รั้งรอการประมวลผลใดๆ อีกต่อไป ในตอนที่กระโจนไปบนกรอบหน้าต่างบานถัดไป ยังห้องที่หญิงสาวยื่นมือออกมาให้ใช้เป็นหลักยึด พลันกระชากทั้งร่างของเขาเข้าไปในห้องแล้ววิ่งไปเลื่อนบานหน้าต่างลงมาปิดอย่างรวดเร็ว ขณะที่ฮิดากะซึ่งเหนื่อยล้าสุดขีดกับนาทีเป็นนาทีตายก็ทิ้งตัวลง หอบหายใจแรงอยู่บนโซฟาที่น่าจะเป็นของห้องรับแขก
เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวจากกระเป๋ากระโปรงออกมา แผลที่มือของเขาไม่ลึกนัก เมื่อเธอค่อยๆ พันมันให้ เลือดสีแดงก็ไหลซึมออกมา
“เราเจอกันอีกแล้วทั้งที่เมืองนี้ก็ตั้งกว้าง แถมนายยังถูกนางพยาบาลน่ากลัวตามมาอีกแล้ว สงสัยพวกหล่อนคงอยากพานายไปตรวจอาการบาดเจ็บจะแย่แล้วล่ะมั้ง” ดูเหมือนว่าอารมณ์ขันของเธอจะมีเหลือเฟือแม้กระทั่งในสถานการณ์เช่นนี้ พลอยทำให้ฮิดากะแค่นหัวเราะออกมาได้
“ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันคิดว่าเราควรทำความรู้จักกันไว้ดีกว่า ฉันเลอนอร์”
“ฮิดากะ”
“เอาล่ะ ฮิดากะ” เธอย้ำชื่อของเขาด้วยเสียงดังฟังชัด หลังจากปฐมพยาบาลบาดแผลที่มือด้วยผ้าเช็ดหน้าให้แล้ว “บอกหน่อยสิว่านายมาทำอะไรที่นี่?”
“เธอพูดถึงโรงแรมนี้”
“เธอ?”
“น้องสาวของฉัน” ฮิดากะตอบ “ฉันจำได้แล้วว่ามาตามหาน้องสาวของฉันที่นี่”
เลอนอร์กำลังจะพูดบางอย่างออกมา แต่แล้วก็พลันเงียบลงไปเมื่อได้ยินเสียงครืดคราดเหมือนวัตถุหนักถูกลากไปกับพื้น ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เสียงนั้นยิ่งกระตุ้นสัตว์ประหลาดนอกหน้าต่างให้ยิ่งส่งเสียงโหยหวน พวกมันเริ่มเคาะทั้งผนังและหน้าต่างอย่างบ้าคลั่ง เธอเอื้อมมือมากระชับจับกับของเขา ไม่มีความชื้นบนฝ่ามือเหมือนอย่างที่ใครอีกคนกำลังเป็นอยู่ เมื่อฮิดากะรู้สึกได้ถึงแรงบีบที่แน่นขึ้น ก็เป็นตอนที่เธอดึงร่างของเขาให้หยัดยืน
“เราอยู่ที่นี่ไม่ได้”
ไม่ว่าจะคำนวณอย่างไร ผลลัพธ์ของการออกไปข้างนอกและซ่อนตัวอยู่ในนี้กับสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้ว่าจะพังหน้าต่างเข้ามาได้เมื่อไหร่ก็มีค่าเทียมเท่ากัน แต่อย่างน้อยฮิดากะก็รู้ว่าเขาสามารถไว้ใจผู้หญิงที่ชื่อเลอนอร์ได้ แม้เธอจะเพิ่งมาที่นี่ได้เพียงไม่กี่วัน แถมดูเหมือนว่าจะไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากไปกว่าเขา หากผู้หญิงตัวคนเดียวที่สามารถเอาตัวรอดในมิติบิดเบี้ยวเช่นนี้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ย่อมไม่ธรรมดา
แต่ไม่ทันที่จะได้หมุนลูกบิดประตูออกไป มีดเล่มใหญ่ก็จะทะลุผ่านบานประตูเข้ามา เลยใบหน้าของเธอที่หลบไปด้านข้างได้ทันอย่างฉิวเฉียด
แผนการที่คิดว่าจะเผ่นหนีเป็นอันต้องล้มเหลว ไม่มีที่ให้พวกเขาไปได้อีกแล้วนอกจากบานหน้าต่างซึ่งมีสัตว์ประหลาดนางพยาบาลต่อตัวยึดครองเอาไว้อยู่ ใบมีดยังคงแทงเข้าออกให้พวกเขาต้องถอยร่นไป ในวินาทีที่ร่างของฮิดากะล้มลงไปกับพื้น บานประตูซึ่งควรจะเป็นปราการป้องกันสุดท้ายก็ล้มตามลงมาด้วย ภาพที่พวกเขาได้เห็นคือชายตัวใหญ่กับร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่า ส่วนท่อนล่างสวมผ้ากันเปื้อนแบบคนขายเนื้อที่กรังไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม แต่มีดเล่มใหญ่ในมือของมันยังไม่ทำให้เขารู้สึกพรั่นพรึงได้เท่ากับส่วนศีรษะซึ่งสวมหมวกรูปทรงสามเหลี่ยมคล้ายกับพีระมิดเอาไว้ ราวกับสัตว์ประหลาดผู้ลงทัณฑ์จากขุมนรกที่ลึกที่สุดก็ไม่ปาน
ขณะที่ฮิดากะได้แต่ตะลึงงันไปจนคล้ายว่าจะขยับตัวไม่ได้ เลอนอร์ที่ยืนหลบอยู่ด้านข้างก็จะเหวี่ยงไม้เบสบอลฟาดเข้าไปที่ใบหน้าทรงพีระมิดของมัน แต่แรงอันน้อยนิดไม่ส่งผลใดทั้งนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงไม้เบสบอลที่กระเด็นหลุดออกจากมือ ปล่อยเศษไม้ที่แตกกระจาย
“ฉันจะเป็นคนล่อมันเอง! เสร็จเรื่องแล้วเราไปเจอกันที่ล็อบบี้!”
เธอตะโกนบอกเขาแล้ววิ่งผ่านสัตว์ประหลาดหัวพีระมิดนั้นออกไปโดยไม่มีทั้งความหวาดกลัวหรือว่าลังเลใจเลยแม้แต่น้อย กว่าที่ฮิดากะจะได้สติ แสงจากไฟฉายก็ค่อยๆ ไกลห่างออกไปเช่นเดียวกับเสียงลากโลหะครืดคราด การสวมบทพระเอกแล้ววิ่งตามไปช่วยเธอไม่ต่างอะไรจากภารกิจฆ่าตัวตาย ไม่มีทางที่เขาจะต่อกรกับมีดเล่มใหญ่ที่แค่ฟันครั้งเดียวก็สามารถทำให้ตัวของเขาขาดเป็นสองท่อนได้ง่ายๆ แบบนั้น ไม่ได้...เขาจะตายไม่ได้ ตราบเท่าที่ลาน่ายังอยู่ที่ไหนสักแห่งข้างนอกนั่นและเขายังไม่รู้ว่าเธอเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ฮิดากะแน่ใจคือเลอนอร์จะต้องเอาตัวรอดได้อีกครั้ง เขาหายใจเข้า หยิบมือถือขึ้นมาเปิดไฟฉาย ตัดสินใจไม่เสี่ยงติดกับดักด้วยการใช้บันไดแทนลิฟต์ซึ่งเป็นเพียงกล่องสี่เหลี่ยมแคบๆ อาวุธเดียวที่เขามีคือปืนพกกับกระสุนไม่กี่นัดในกระเป๋ากางเกง อย่างไรก็ดี ฮิดากะภาวนาให้ไม่ต้องใช้มัน
เขาได้ยินแค่เสียงฝีเท้าของตัวเองดังก้องไปทั่ว บางทีเขาอาจสามารถลงไปยังล็อบบี้ที่น่าจะอยู่ชั้นล่างสุดได้อย่างราบรื่นโดยไม่พบเจอสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์ตัวไหนอีก กระทั่งเขารู้สึกว่าส้นรองเท้าเหยียบไปโดนอะไรบางอย่างเข้า มันบี้แบนกลายเป็นของเหลวสีแดงเหนียวหนืดอยู่บนพื้น เมื่อสาดแสงจากไฟฉายลงไป แมลงยั้วเยี้ยที่หน้าตาคล้ายกับหนอน แต่ขนาดใหญ่กว่ามากก็ต่างพากันเลื้อยเข้ามาหา ด้วยความพยายามที่จะไต่ขึ้นมา เขากระทืบส้นรองเท้าลงไปบนตัวพวกมันไม่ยั้งด้วยความขยะแขยง ก่อนเส้นลวดที่พันทบกันหลายชั้นจะพุ่งตรงเข้ามารัดรึงอยู่รอบข้อมือของเขา
สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเมื่อเขาแหงนเงยขึ้นไปคือสัตว์ประหลาดที่ถูกเย็บหู ตา และปาก ด้วยลวดกระสอบสีน้ำตาลที่มีสีสนิมกระดำกระด่าง เส้นลวดที่รัดไว้พยายามดึงลากเขาเข้าไปใกล้ ฮิดากะพยายามจะขืนขัด แต่ราวกับเขากำลังยื้อยุดอยู่กับแรงของตัวเอง เขาไม่มีเวลาจะมาใส่ใจฝูงแมลงปีศาจที่ก็ยังคงไม่ละความพยายาม มือถือร่วงหล่นลงไปแล้ว และมันก็สาดสะท้อนแสงไฟขึ้นไปบนเพดาน เขาไม่สามารถดึงเส้นลวดด้วยมือเปล่าได้หรือมีอุปกรณ์ใดๆ ที่จะนำมาใช้ตัดมัน สิ่งเดียวที่หัวสมองมึนตื้อของเขาคิดออกในเวลานี้ก็คือปืนพก ซึ่งบีบให้เขาต้องล้วงมันด้วยมือข้างซ้ายที่นอกจากจะไม่ใช่ข้างที่ถนัดแล้วยังมีบาดแผลจากการถูกแทงถึงก่อนหน้าด้วยอีก จึงไม่มีทางที่เขาจะเล็งเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ในวินาทีที่นัดแรกถูกขึ้นนกแล้วลั่นไกออกไป
ปืนมีกระสุนเจ็ดนัด และฮิดากะก็ไม่มีเวลาคิดด้วยว่าควรจะเก็บไว้สำหรับศัตรูในอนาคตหรือไม่ ในเมื่อตอนนี้ความเป็นความตายของเขาขึ้นอยู่กับมัน เขาลั่นไกออกไปอีกครั้ง พลาดเป้า
อันที่จริงฮิดากะไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะทำได้ไหม แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเปลี่ยนกระบอกปืนไปไว้ที่มือข้างขวา ไม่ขืนขัดต่อแรงโน้มถ่วง ยิ่งเข้าใกล้มันมากเท่าไหร่ ตัวของเขาก็ยิ่งสั่นมากขึ้นเท่านั้น นี่เป็นโอกาสเดียว เขาอาจพลาดเป้าหมายอย่างแม่นยำ กระนั้นมันก็น่าจะช่วยทำให้ลวดที่รัดเขาอยู่นี้หย่อนคล้อยลงไป นั่นเป็นทางทฤษฎี แต่อย่างกับเขามีทางเลือกอื่น
ในระยะที่เกือบจะเรียกได้ว่าประชิด เขาเล็งไปที่ศีรษะของมันแล้วเหนี่ยวไกปืนสองครั้งติดๆ กันโดยไม่มีความลังเลใจ ได้ผล แรงสะท้อนดีดให้ร่างของเขากระเด็นออกมา ลวดหนาที่รัดข้อมือจนรู้สึกปวดหนึบคลายลงไปอย่างที่คิดไว้จริงๆ เมื่อร่างของมันเองก็ถูกผลักออกไป ทั้งอย่างนั้นมันก็ยังไม่ตาย แต่ฮิดากะไม่สนใจอะไรอีก นอกจากเริ่มต้นเร่งฝีเท้าหนีไปตามทางเดินที่ทอดยาว แล้วรอให้แสงสว่างกลับมาอีกครั้ง
ขณะที่รู้สึกถึงความเหนื่อยสาหัสสากรรจ์เหมือนหนึ่งว่ากำลังจะขาดใจตาย เศษซากบนพื้นก็ค่อยๆ ลอยกลับขึ้นไปประกอบเป็นชิ้นส่วนของโครงร่างอาคาร และเมื่อแสงสว่างลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา ฮิดากะก็ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นบันไดด้วยความโล่งอก หลังจากช่วงเวลาอันยาวนานราวกับนิจนิรันดร์ ในที่สุดมิติสนิมก็จากไป เขาเอนหลังพิงกำแพง หอบหายใจเอาอากาศทั้งหมดเข้าปอดไป ถึงจะไม่อาจเรียกว่าสดชื่นได้เลยก็ตาม
แล้วฮิดากะก็คิดถึงผู้หญิงแปลกหน้าคนที่ไม่หวาดกลัวสัตว์ประหลาดตัวใดในโลกสนิมขึ้นมา เขารู้ว่าไม่มีทางที่จะรอดมาถึงวินาทีนี้ได้เลยถ้าเลอนอร์ไม่ได้ช่วยไว้ ถึงเขาจะแน่ใจว่าเธอสามารถเอาตัวรอดได้ทันก่อนที่สัตว์ประหลาดหัวพีระมิดนั้นจะใช้ดาบใหญ่แทงทะลุ เขาก็ยังคงต้องการหลักฐานยืนยัน เธอบอกว่าให้เขาไปหาที่ล็อบบี้...ล็อบบี้เดียวกันกับที่ลาน่าเคยเล่าให้ฟัง
ฮิดากะไม่ได้พบทั้งเลอนอร์หรือลาน่าที่นั่น ความเป็นจริงก็คือเขาไม่ทันได้มองเห็นเงาร่างของคนที่ปักเข็มฉีดยาลงไปบนคอของเขาด้วยซ้ำ
“แลวิญญาณข้าจากเงาที่ทอดอยู่เหนือผืนดิน จะไม่มีวัน—ได้ลอยขึ้นอีก”
หาใช่วิสัยที่ฮิดากะรับรู้เป็นสิ่งแรกเมื่อค่อยๆ ลืมนัยน์ตาตื่น แต่เป็นโสตสดับจากบทกวีผ่านถ้อยเสียงที่นำพาเขามาที่นี่ น้ำเสียงที่ไม่ว่าเวลาจะผันผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่มีทางที่เขาจะลืมเลือนมัน
“ลาน่า?”
ฮิดากะพยายามหันใบหน้าไปตามทิศทางของเตียงนอนตัวถัดไป กระนั้นเขาก็ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดผ่านผ้าพลาสติกคลุมรอบด้านราวกับอยู่ในห้องปลอดเชื้อได้ นอกจากเงาร่างเพียงเลือนราง
“จากบทกวีนกเรเวน ของเอดการ์ แอลลัน โป”
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้นิยมชมชอบในศาสตร์แขนงนี้ แต่เขาก็จดจำผลงานของเอดการ์ แอลลัน โปที่เธอชอบอ่าน จากนั้นก็จะพูดถึงบทวิเคราะห์ซึ่งจดจำมาจากแม่ให้ฟังได้ บทกวีนกเรเวนมีเนื้อหาอันน่าเศร้า บอกเล่ารำพันถึงการที่ผู้เขียนไม่สามารถปลดปล่อยเลอนอร์ คนรักของตนที่ตายจากไปได้ เมื่อไม่อาจปล่อยวาง ดวงวิญญาณของเขาก็ไม่มีวันสงบจากการสูญเสียไปตลอดกาล
แล้วฮิดากะก็รู้
“มันเกิดอะไรขึ้น?”
เหมือนที่รู้มาตลอด
ในวินาทีที่ผ้าพลาสติกถูกขยับให้เลิกกว้าง เมื่อนั้นเขาจึงได้มองเห็นร่างที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ทั่วใบหน้าและเนื้อตัวที่กลายเป็นสีดำคล้ำ บางจุดเป็นสีแดงเกรอะกรังเพราะบาดแผลที่ยังคงสดใหม่ ไม่มีทางที่เธอจะเอ่ยถ้อยคำใดแม้เพียงเสียงกระซิบกระซาบอย่างเป็นธรรมชาติผ่านริมฝีปากคู่นั้นได้ ขณะที่คิดเช่นนั้น เขาก็จะพลันได้ยินน้ำเสียงแค้นเคืองที่แฝงไปด้วยความรวดร้าวของเธออยู่ข้างใบหูอย่างชัดเจน
“ไหนนายสัญญาว่าจะไม่ทิ้งกัน!”
การที่ลาน่าต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่ฮิดากะคอยเฝ้าย้ำเตือนกับตัวเองมาตลอด มันไม่ได้ใกล้เคียงเลยด้วยซ้ำ แต่เขาจะกล้าพูดความจริงออกไปได้อย่างไร ในเมื่อมันคือสิ่งที่ยิ่งกว่าน่าละอาย
วันนั้นพ่อกับแม่เลี้ยงไม่อยู่บ้าน พวกเขาโตพอที่จะอยู่กันเองโดยไม่มีพี่เลี้ยงแล้ว แต่พ่อก็ยังจ้างพยาบาลให้อยู่ค้างคืนเผื่อว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับลาน่า ฮิดากะจะไม่โทษว่าเป็นความผิดของอลิซซ่าที่ปลุกลาน่าตอนกลางดึกแล้วปีนบ้านต้นไม้ขึ้นมาแอบดูเขาด้วยกัน ขณะที่เจ้าหล้อนกรีดร้องกล่าวโทษว่าเป็นเพราะการกระทำอันต่ำช้าของเขาที่ทำให้ลาน่าต้องตกจากบ้านต้นไม้ที่สูงขนาดนั้นและไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย แม้ชีพจรของเธอจะยังคงเต้นอยู่ก็ตาม
อลิซซ่าเอาเรื่องที่เขาแอบมีอะไรกับนางพยาบาลไปฟ้องแม่ และแม่ของหล่อนก็เอาไปฟ้องพ่อของเขาที่ไม่ได้ทั้งทำร้ายหรือว่าด่าทอ แต่สีหน้าที่แสดงความผิดหวังก็มากพอที่จะทำให้หัวใจของเขาแตกสลาย เขาถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้ลาน่าอีก แม้ว่าเธอจะทำได้แค่นอนหลับอยู่บนเตียง ความรู้สึกผิดที่เกาะกุมทำให้เขาตัดสินใจย้ายไปเรียนต่อที่อื่นให้ไกลจากบ้าน จากความทรงจำ จากเรื่องราวทั้งหมดที่เขาไม่ต้องการจะจดจำ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่เคยล่วงรู้เลยว่าเธอต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้างหลังจากนั้น
ลาน่าเพิ่งจะฟื้นกลับคืนมาเมื่อสามเดือนก่อน สิ่งที่เด็กสาวต้องเผชิญคือการกลั่นแกล้งของสองแม่ลูก จงใจให้เธอทำงานบ้านหนักๆ ในเวลาที่พ่อไม่อยู่ อ้างว่าเพื่อทดแทนช่วงเวลาที่เธอต้องเป็นภาระให้พวกหล่อนตลอดมา ทั้งที่แขนขาของเธอยังไม่สามารถใช้งานได้เต็มร้อยถึงจะผ่านการกายภาพบำบัดแล้วก็ตาม ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังถูกทำร้ายร่างกายจนมีบาดแผลในร่มผ้าเป็นรอยจ้ำช้ำเลือดช้ำหนองอยู่อีกนับไม่ถ้วน แม่เลี้ยงใช้เงินฟาดหัวพยาบาลที่จ้างมาให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับกับพ่อของเขา ลาน่าต้องตกอยู่ในนรกบนดินมาเนิ่นนานจนการเป็นเจ้าหญิงนิทราอาจจะเป็นทางออกที่ดีกว่า กระนั้นเธอก็คิดว่าสามารถอดทนได้ เพราะความไว้เนื้อเชื่อใจต่อออลิซซ่าที่บอกว่าถ้าเธอทำตัวดีแล้วจะพาไปหาพี่ชายที่แมสซาชูเซตต์ โดยไม่เคยรู้เลยว่ามันจะเป็นเพียงเรื่องโกหก
กระทั่งงานเลี้ยงบาร์บีคิวที่สองแม่ลูกเชิญแขกคนสนิทมามากมายในวันที่พ่อต้องบินไปเจรจาธุรกิจไกลถึงต่างประเทศ อลิซซ่าทำแอลกอฮอล์หกใส่เธอที่กำลังยืนย่างบาร์บีคิวอยู่หน้าเตาจนไฟลุกพรึ่บ ผ้าฝ้ายติดไฟเร็ว ส่วนของเหลวก็ยิ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ไม่มีใครอื่นนอกจากตัวเธอเองที่เห็นว่าอลิซซ่าสาดเครื่องดื่มในแก้วที่เหลือเข้าใส่ร่างที่ดิ้นเร่าจนหมด อาจดูเหมือนเธอตกใจจนพลั้งเผลอทำเครื่องดื่มหลุดมือ แต่ลาน่ารู้ดีว่าไม่ใช่ ไฟแผดเผาร่างกายของเธอไปมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ เธอผ่านช่วงเวลาเป็นตายมาแล้วถึงสามครั้ง กระนั้นก็ยังไม่ตาย
มันเกิดขึ้นก่อนหน้าวันที่เขาจะได้รับโทรศัพท์สายนั้น
ก่อนวันเกิดครบรอบสิบแปดปีของเธอ
ลาน่าได้เข้าใจในวินาทีนั้นเองว่าพวกหล่อนอยากให้เธอตายไปให้พ้นๆ ทีแรกเธอเข้าใจว่าเป็นเพราะความแค้นอันแรงกล้าได้เปลี่ยนดวงวิญญาณให้กลายมามีรูปร่างหน้าตาซึ่งละม้ายคล้ายกับเธอ ส่วนหนึ่งก็อาจใช่...แต่อีกส่วนหนึ่งมันเกี่ยวโยงกับสถานที่ที่อยู่ในความฝันของเธอมาโดยตลอด
เมืองที่มีชื่อว่า ‘ไซเลนต์ฮิลล์’
ลาน่าไม่เคยอยู่ที่นี่ หรือแม้แต่มาเยี่ยมเยือน มันคือเมืองท่องเที่ยวริมทะเลสาปในรัฐเมน เขตนิวอิงแลนด์ที่น่าอยู่ สถานที่ที่ชัดเจนที่สุดคือล็อบบี้ในโรงแรมแกรนด์โฮเต็ล กระทั่งความจริงปรากฏขึ้นถึงเรื่องราวที่หล่นหาย แม่ของเธอสืบเชื้อสายแม่มดที่ครั้งหนึ่งเคยถูกขับไล่ออกจากไซเลนต์ฮิลล์ก่อนที่โคเว่นจะกลับมาล้างแค้น ข่าวการสูญหายไปของประชากรกว่าสามหมื่นคนอย่างไร้ร่องรอยสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้แก่ผู้คนจนไซเลนต์ฮิลล์กลายเป็นเมืองร้างที่ถูกเรียกขานว่าเมืองผีสิง ผู้คนร่ำลือกันว่าขี้เถ้าที่โปรยปรายในเมืองแท้จริงแล้วคือขี้เถ้าของชาวเมืองที่อาจถูกเผาและไม่มีวันที่จะหมดสิ้น แต่พวกเขาไม่รู้ว่าโคเว่นได้ทำพิธีกรรมและเปิดประตูไปยังโลกอื่น — โลกที่ทุกคนจะติดอยู่ในความผิดบาปของตัวเองและถูกสำเร็จโทษ — แม้แต่ผู้บริสุทธิ์ก็หลงเข้ามาติดอยู่ในมิติอื่นด้วยเช่นกัน โบสถ์คือสถานศักดิ์สิทธิ์เดียวที่โคเว่นไม่เข้าไปกล้ำกราย พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น เสียงไซเรนไม่ส่งผลใดนอกจากพบว่าโลกของพวกเขาจะมืดลงไปและต้องกลับไปอยู่ในโบสถ์ แต่ไม่มีใครที่จะสามารถออกไปได้
นั่นคือคำสาปของโคเว่น
_______________
- ลาน่ายังไม่ตาย แต่ถูกไฟคลอกแล้วบาดเจ็บสาหัสแบบอเลสซ่าในเกม (นางพยาบาลที่ชื่อลิส้าก็คือมึงงี้ป่าว ขี้เสือกแต่มีเมตตา) อยู่ได้ด้วยความช่วยเหลือจากพวกโคเว่น (บวกความแค้นด้วยก็คงได้) เอาจริงคือจำพล็อตยิบย่อยไม่ค่อยได้แล้ว ไม่แน่ใจว่ากูตั้งใจให้คนที่ติดอยู่ในโบสถ์เป็นยังไงต่อ แอบแทรกซึมเข้าไปฆ่าแบบในหนังมั้งวะ จำไม่ได้ รู้แค่ยังไงฮิดะก็จะติดอยู่ในมิติสนิมไปตลอดกาล แต่ไม่แน่ใจว่าจะยอมรับความจริงแล้วได้อยู่ดูแลลาน่าหรือหนีเพราะรับไม่ได้ไปเรื่อยๆ ว่ะ / คำว่าโคเว่นกูพิมพ์ไปเรื่อยก่อนเพราะตอนนั้นยังคิดชื่อไม่ออก มาตอนนี้ก็ไม่อยากคิดแล้วเลยขอทิ้งไว้แบบเดิมนี่แหละ นังพวกแม่มด!
ความคิดเห็น