ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #117 : Hisoubi

    • อัปเดตล่าสุด 1 มิ.ย. 64


    Hisoubi 「悲壮美
    Inspiration: Ito Junji: The Town Without Streets 「道のない街」 (Manga, 1998)
    Playlist: BAROQUE – REDME












    .

    ลมหายใจของพวกเขาที่ออกวิ่งกันไม่รู้ว่าเนิ่นนานเท่าไหร่แล้วในป่ารกชัฏที่มืดมิดและมีเพียงแสงจากดวงจันทร์ที่ส่องให้เห็นทางเริ่มจะติดขัด แต่พวกเขาก็รู้ว่าจะหยุดไม่ได้เป็นอันขาด ตราบเท่าที่เสียงฝีเท้าและเสียงหัวเราะเยาะหยันที่สะท้อนก้องเหล่านั้นจะยังคงดังไล่หลังตามมา

    ทั้งอย่างนั้น เด็กสาวที่วิ่งหอบหายใจอยู่ระหว่างกลางก็ไม่อาจจะทานทนได้ไหวอีกต่อไป เมื่อร่างของหล่อนทรุดฮวบลงไปจากความเหนื่อยล้า หาใช่การสะดุดล้มบนผืนหญ้าหรือรองเท้าผ้าใบที่ทำให้เสียการทรงตัวอะไรทั้งนั้น เรียกให้เด็กสาวอีกคนที่วิ่งนำหน้าไปก่อนต้องชะงักกึกแล้วหันขวับมามอง ขณะเด็กหนุ่มที่ไม่ได้วิ่งสุดฝีก้าวเมื่อคุ้มกันอยู่รั้งท้ายให้เด็กสาวทั้งสองคนก็เผ่นพรวดเข้าไปช่วยไว้ไม่ทัน น้ำเสียงของหล่อนเมื่อเอ่ยขึ้นเป็นคำพูดสั้นๆ เพียงแค่ว่า “หนีไป...ทิ้งฉันไว้” อย่างแสนจะแผ่วผิวก็ทั้งหอบและสั่น แต่เขาไม่สนใจที่จะทำตามเมื่อรีบก้มตัวลงไปประคอง เช่นเดียวกับเธอที่วิ่งกลับมาหา บอกให้เขารีบพาหล่อนไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งก่อน ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ ไม่มีความลังเลใจแม้แต่น้อยทั้งจากเธอและเขาที่ต่างก็ทำตามใจตัวเอง โดยไม่ใส่ใจหล่อนที่พยายามร้องห้ามหรือว่าขัดขืนการกระทำที่รังแต่จะทำให้กลายเป็นภาระเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าหล่อนที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงลงไปแล้วไม่สามารถยื้อยุดสู้กับเด็กหนุ่มนักกีฬาได้ไหว เพียงปล่อยให้เขาประคอง ยกท่อนแขนข้างหนึ่งขึ้นพาดไหล่แล้วลากท่อนขาปวกเปียกของตัวเองตามไปด้วย เธอมองตามแผ่นหลังของพวกเขาทั้งคู่กระทั่งลับหายไปจากสายตาพร้อมกับความมืดมิดที่เบื้องหลัง เมื่อนั้นจึงขยับใบหน้ากลับมายังความมืดมิดที่เบื้องหน้า แล้วเฝ้ารอคอย

    เสียงฝีก้าวสวบสาบในจังหวะของการเดิน ไม่ใช่การวิ่งห้อจนสุดแรงกระทั่งมันจะเหือดหายลงไปเหมือนที่พวกเขาเป็นจะใกล้เข้ามา ก่อนเค้าโครงของมนุษย์จะค่อยๆ ประกอบขึ้นเป็นรูปเป็นร่างให้เห็น แต่เธอไม่เสียเวลาอยู่ดูจนถึงวินาทีสุดท้ายซึ่งอาจจะสายเกินไป ในตอนที่ตัดสินใจออกเร่งฝีเท้าไปอีกครั้ง ลมหายใจของเธอหอบสั่น ใบหน้าของเธอแดงก่ำ หัวใจเต้นรัวแรงจากความเหนื่อยล้าเกินขีดจำกัดปกติเกินกว่าที่จะทานทนไหว แต่ตราบเท่าที่ร่างกายของเธอจะยังไปไหว เธอก็จะไม่ถอดใจยอมแพ้เป็นอันขาด

    แต่ไปได้แค่เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น เธอก็จะถูกน้ำหนักโถมถั่งเข้าใส่จากด้านหลังจนร่างกายที่อ่อนแรงอยู่แล้วล้มตึงลงไป โชคดีที่เธอพลิกตัวกลับมาทัน จึงเป็นแผ่นหลังที่กระแทกอย่างหน่วงหนักจนปวดระบม เธอไม่ได้กรีดเสียงร้องออกมา มีเพียงเสียงหัวเราะที่ขาดหายไปของเขาซึ่งพลันหวนกลับคืนมา ครานี้แจ่มชัดอยู่เหนือร่างของเธอที่พยายามดิ้นรนตะเกียกตะกายเพื่อให้หลุดพ้นถึงรู้ว่าเป็นการเสียแรงเปล่า มือของเขาข้างหนึ่งกดลงไปที่ไหล่จนเธอคิดว่ากระดูกที่อยู่ข้างใต้นั้นอาจจะถูกบดขยี้เป็นผุยผง มองเห็นมีดสีเงินวาววับสะท้อนในแววตาเขาอยู่ที่มืออีกข้างหนึ่ง เธอได้แต่เอื้อมมือข้างที่ยังใช้การได้ไปปาดป่าย จนไปถึงใบหน้าของเขาที่ปลายนิ้วชี้ของเธอบังเอิญหลุดเลื่อนเข้าไปในริมฝีปากซึ่งปิดงับลงไปอย่างฉับพลัน พร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจากแรงกดบนฟันที่คล้ายว่าจะฉีกทึ้งมันให้ขาดออกจากกันในวินาทีนั้น

     

    เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง และหัวใจที่ยังคงเต้นรัวแรงเป็นอย่างมาก แม้ว่าเหงื่อกาฬจะไม่ได้ไหลโทรมกายจนต้องถอดเสื้อยืดออกมาบิดซับ หากก็เป็นความรู้สึกที่ชัดเจนเข้มข้น เช่นเดียวกับความปวดแปลบจากปลายนิ้วชี้ที่แล่นริ้วขึ้นมา เมื่อยกมันขึ้นมาส่องต้องกับแสงจันทร์ที่ลอดผ่านผ้าม่านผืนหนาซึ่งพลิ้วไหวเพราะหน้าต่างที่เธอจะเปิดแง้มไว้เพื่อให้ลมธรรมชาติพัดผ่านเข้ามาตลอดทั้งคืน เธอก็ได้เห็นรอยกัดเป็นวงสีแดงเหมือนกับในความฝันอยู่บนนั้น

     

    ทุกอย่างในรั้วโรงเรียนยังคงดำเนินเดินไปเฉกเช่นปกติ ไม่ว่าจะเป็นนากามูระ ไคโตะที่เดินหาวหวอดๆ เข้ามาก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้แถวหลังสุดกลางห้องแล้วล้มตัวลงนอนทั้งอย่างนั้นโดยไม่สนใจเสียงกริ่งเข้าเรียนที่กำลังดัง เจสซี่ ลูอิสที่นั่งกินขนมปังเป็นมื้อเช้าพลางพูดคุยเสียงดังกับเพื่อนโต๊ะข้างๆ ด้วยเรื่องสัพเพเหระเรื่อยเปื่อยตรงที่นั่งริมหน้าต่างฝั่งประตูห้องเรียน หรืออิริกิ ยูซุรุที่นั่งหน้าสุดริมหน้าต่างซึ่งทำทีเป็นเท้าคาง กวาดสายตาคล้ายไม่ตั้งใจ หากเธอรู้ว่าหล่อนตั้งใจมองตามไคโตะตั้งแต่เขาเดินเข้ามาในห้อง จากนั้นจึงค่อยกลับไปเออออเรื่องนิตยสารแฟชั่นที่กลุ่มเพื่อนๆ ซื้อมาเปิดดูด้วยกันกับรอยยิ้มที่แผ่กระจายไปทั่วบนใบหน้า ไม่มีใครแสดงท่าทีเหมือนกับว่าเคยผ่านเหตุการณ์ความเป็นความตายในป่า ที่เธอยังคงรู้สึกได้อย่างแจ่มแจ้งแม้เวลาจะผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วราวกับมันเกิดขึ้นจริง รอยกัดบนปลายนิ้วชี้ที่บัดนี้เธอใช้พลาสเตอร์พันปิดมันแล้วก็ราวกับเกิดขึ้นจริง กระนั้นฮามาดะ จิซุรุก็รู้ดีว่ามันไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นจริง

    อาจเรียกได้ว่าเป็นความฝันที่แปลกประหลาดที่สุดในชีวิตของจิซุรุ ไม่ใช่แค่เรื่องราว ความรู้สึก แต่ยังรวมถึงบุคคลทั้งสามที่เธอไม่ได้สนิทสนมหรือแทบจะเคยพูดคุยด้วยเลยถึงจะอยู่ร่วมห้องเดียวกันมาตั้งแต่ตอนไฮสคูลปีหนึ่ง กระทั่งถึงเกือบปลายเทอมหนึ่งของไฮสคูลปีสองในตอนนี้ พวกเขาทั้งสามคนล้วนแล้วแต่เป็นคนดังประจำห้องที่มีเพื่อนสนิทมิตรสหายในสังคมประเภทเดียวกันอยู่มากมาย เช่นไคโตะที่เป็นศูนย์กลางเรื่องเกมและการ์ตูน เจสซี่ที่เป็นเด็กหนุ่มนักกีฬาบาสเกตบอลประจำโรงเรียน หรือยูซุรุที่ชอบเรื่องสวยๆ งามๆ และเคยเป็นนางแบบผู้อ่านในนิตยสารวัยรุ่นอยู่หลายหน ตรงกันข้ามกับเธอที่ต้องแกล้งทำเป็นขลุกตัวอยู่กับหนังสืออะไรก็ได้ในมือลำพังเสมอ ก็ใช่ว่าไม่อยากมีเพื่อน แต่ถ้าผูกมิตรตั้งแต่แรกไม่ได้ก็ไม่มีทางจะเป็นไปได้แล้วในตอนนี้ โชคดีที่ไม่มีเหตุการณ์การกลั่นแกล้งเกิดขึ้นภายในห้อง แต่ก็เป็นชีวิตที่คงเรียกว่ามีความสุขสำหรับจิซุรุไม่ได้อยู่ดี

    ตลอดทั้งวัน เธอไม่อาจหยุดคิดถึงเรื่องราวในความฝันที่เกิดขึ้นได้เลย เพราะตำแหน่งที่นั่งหลังสุดริมหน้าต่าง เธอจึงสามารถมองดูแผ่นหลังของยูซุรุ หรือใบหน้าด้านข้างของเจสซี่ได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่ใช่กับไคโตะ และไม่ได้เป็นเพราะว่าเขานั่งถัดไปจากเธอโดยมีเด็กหนุ่มตัวสูงมากอีกคนคั่นกลาง แต่เป็นเพราะเขาหายตัวไปตั้งแต่ตอนเรียนวิทยาศาสตร์ในคาบที่สองและยังคงไม่กลับมาแม้ใกล้จะหมดช่วงพักเที่ยงแล้ว เป็นคำตอบที่ทุกคนในห้องคาดเดาได้ เช่นเดียวกับจิซุรุที่กระสับกระส่ายมากเสียจนอ่านหนังสือที่ทำทีเป็นเปิดค้างไว้และหยุดอยู่ที่หน้าเดิมโดยไม่มีอะไรผ่านเข้าหัวหรือว่าตาไม่ไหวอีกต่อไป ตัดสินใจลุกพรวดพราดขึ้นจากที่นั่งแล้วขึ้นไปตามหาเขาบนดาดฟ้า ทั้งที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าถ้าได้เจอหน้าเด็กหนุ่มคนที่ต้องการฆ่าเธอในความฝันแล้วจะทำอย่างไร

    แต่สิ่งที่จิซุรุได้พบเมื่อหมุนลูกบิดประตูดาดฟ้าเข้าไป กลับเป็นเสียงตะโกนด่าทอด้วยถ้อยคำที่หยาบคายมากของเด็กหนุ่มสองคนที่จิซุรุเพิ่งจะพานพบมาในความฝัน คนหนึ่งคือเจสซี่ ลูอิส ที่แสดงออกว่าชอบอิริกิ ยูซุรุอย่างเปิดเผยหลังจับคู่ทำรายงานกลุ่มสามคนในวิชาดาราศาสตร์ ส่วนอีกคนก็คือนากามูระ ไคโตะ ซึ่งกำลังตอบโต้ข้อครหาเรื่องของอิริกิ ยูซุรุว่าเขาไม่ได้ชอบพอหล่อน ไม่ได้ไปดักรอหล่อนที่ชิบุยะแล้วแวะกินข้าวด้วยกันในร้านฟาสต์ฟู้ดสองต่อสอง หรือไปต่อที่โรงแรมอย่างที่เจสซี่กำลังใส่ไฟอย่างเผ็ดร้อนไม่แพ้กัน จิซุรุไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงไม่เลี้ยวลดกลับไปยังทิศทางที่มาก่อนพวกเขาจะหันมาเห็น ทั้งยังขยับฝีเท้าในรองเท้าหนังเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหยุดยืน แอบมองดูพวกเขาด้วยความนิ่งงันอยู่อย่างนั้น กระทั่งวาจาผรุสวาทที่สาดทอ เปลี่ยนกลายเป็นความรุนแรงทางกำลังของหมัดที่ทั้งคู่ต่างเหวี่ยงเข้าหากันโดยไม่บรรเทา มันก็ควรจะจบลงที่การทำร้ายร่างกายของเด็กผู้ชายสองคนที่ทะเลาะกันเท่านั้น ถ้าเพียงแต่แผ่นหลังของไคโตะจะไม่ได้ล้มลงไปหารั้วที่อยู่ด้านหลัง รั้วไม่แข็งแรงที่จิซุรุจำคำบอกเล่าของคุณลุงภารโรงตอนที่ขึ้นมาเมื่อสัปดาห์ก่อนได้ว่ามันเก่ามากจนรองรับน้ำหนักไม่ไหวแล้ว และกำลังจะยื่นเรื่องขอทำรั้วใหม่กับผู้อำนวยการ

    ไวกว่าความคิด จิซุรุรีบพุ่งตัวออกไปหาเด็กหนุ่มที่อยู่ห่างไปไม่กี่ก้าวเดิน กระนั้นมันก็ยังสายเกินไปเมื่อเธอไม่อาจฉวยคว้าท่อนแขนของเขาเอาไว้ได้ หรือแม้แต่จะเฉียดกรายผ่านเสื้อเชิ้ตแขนยาวตัวนั้น มีเพียงสิ่งเดียวที่จิซุรุทันได้เห็นคือสีหน้าหวาดกลัวสุดขีดของไคโตะที่สะท้อนเค้าหน้าของเธออยู่ในแววตา และก่อนที่จิซุรุจะได้กระทำสิ่งใดแม้แต่การเปล่งเสียงร้องเรียกชื่อของเขาผ่านลำคอที่เหนียวหนืด เธอก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่ผลักแผ่นหลังจนร่างกายร่วงหล่นลงไปตามแรงโน้มถ่วง น่าแปลกที่จิซุรุไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดในยามที่เสี้ยวหน้าด้านขวาของเธอกระแทกลงไปกับพื้นคอนกรีต ส่งเลือดสีแดงฉานอาบล้อมรอบตัวเหมือนวงล้อพิธีกรรมและบิดงอแขนขาให้เสียรูปทรง มากเท่ากับตอนที่เธอถูกทำร้ายเพียงแค่น้อยนิดในความฝันของค่ำคืนที่ผ่านมา จากเด็กหนุ่มที่กำลังจ้องสบตากับเธออยู่เคียงข้างกัน หากครั้งครานี้มันว่างเปล่า ไร้จิตวิญญาณอื่นใดมาเติมเต็ม ขาของเขาไม่สามารถวิ่งไล่ตามเธอได้อีกแล้ว มือของเขาไม่สามารถกดไหล่ของเธอให้ป่นปี้คาลงไปได้อีกแล้ว ฟันของเขาไม่สามารถกัดทึ้งปลายนิ้วของเธอจนมันขาดออกจากกันได้อีกแล้ว ก่อนที่สติสัมปชัญญะ หรืออาจหมายรวมถึงดวงวิญญาณ ของจิซุรุจะหลุดลอยตามไป เป็นตอนนั้นเองที่เธอได้ตระหนักว่าหาใช่ความกลัวต่อความตายที่ตามติดมาในโลกความเป็นจริง หากเป็นความสั่นสะท้านที่มาจากความพึงใจในความเจ็บปวดซึ่งอาจนำไปสู่ความตาย ที่เด็กหนุ่มเพียงคนเดียวในโลกที่เธอพลันตกหลุมรักจากความฝันนั้นจะมอบมันให้ได้ต่างหาก

     

     

    ตลอดสิบเจ็ดปี ไม่มีสิ่งใดที่เจสซี่ ลูอิสเคยนึกหวาดกลัว ไม่ทั้งในแง่ของรูปธรรมหรือว่านามธรรม เขาไม่กลัวตอนที่กระโดดลงไปช่วยเด็กจมน้ำทั้งที่ฝนตกหนักและมีคลื่นลมแรง เขาไม่กลัวตอนที่เดินข้ามถนนแล้วมีรถยนต์ที่เสียหลักพุ่งเข้ามาชนอย่างจังจนได้แต่นอนพังพาบไปกับพื้นถนน กระดิกกระเดี้ยไปไหนไม่ได้ นอกจากรอคอยให้รถพยาบาลเคลื่อนตัวแหวกผ่านฝูงชนเข้ามา สิ่งละอันพันละน้อยที่อาจนำไปสู่ความตายซึ่งใครหลายคนนึกหวาดหวั่นไม่เคยทำให้เขาหวาดกลัวถ้าหากว่ามันจะเกิดขึ้นจริง กระนั้นก็ใช่ว่าเขาจะขาดความรู้สึกหรือสำนึกชั่วดีอย่างที่มนุษย์ปกติพึงมี เจสซี่คือตัวอย่างของเด็กหนุ่มร่าเริง นิสัยดี และเป็นมิตรกับทุกคนโดยไม่แบ่งแยก รวมถึงความสงสารเห็นใจที่มีให้กับเด็กหญิงคนเดียวในห้องที่ไม่มีใครคบหาอย่างฮามาดะ จิซุรุซึ่งจับจองที่นั่งด้านหลังสุดริมหน้าต่างนั้นด้วยเช่นกัน

    ทว่ามันไม่ได้มาจากความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ เจสซี่แน่ใจว่าทุกคนในห้องล้วนคิดเห็นตรงกันว่าบรรยากาศที่โอบล้อมรอบตัวเธอเหมือนกับฟองสบู่นั้นเข้าที่เข้าทางอยู่แล้วในแบบนี้ และไม่ควรมีใครอาจหาญเข้าไปทำลายมัน เพราะแค่เพียงเล็กน้อยมันก็จะแตกออก

    ถึงเจสซี่จะเคยเฝ้าฝันว่าอยากจะทำให้มันแตกกระจายหายวับไปในชั่วพริบตา แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงความคิดที่เขาไม่ได้ลงมือทำแม้ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ต่อให้จะมองเห็นเธอนั่งเสียบหูฟังแล้วเหม่อมองออกไปภายนอกบนรถไฟสถานีเดียวกันในวันที่เขากลับบ้านไวเพราะไม่ได้อยู่ซ้อมชมรมหรือเที่ยวเตร่ที่ไม่ใคร่จะบ่อยเท่าใดนัก เวลาแบบนั้นเขาจะคิดว่าเธออาจกำลังฟังเพลงที่มีชื่อเหมือนกับเธออย่าง จิซุรุของเดอะ กาเซตต์ (แม้เขาจะไม่รู้เลยว่าเธอฟังเพลงแนวไหน อย่าว่าแต่การนิยมชมชอบวงวิชวลเคย์เลยด้วยซ้ำ) ความคิดเรื่องการพับนกกระเรียนพันตัวเพื่อความปรารถนาแค่ข้อเดียวเป็นสิ่งที่เจสซี่ไม่เคยนึกซาบซึ้ง และการที่เธอขาดไร้ซึ่งปีกให้โบยบิน ก็ยิ่งตอกย้ำว่าไม่มีทางที่ความปรารถนาใดจะเป็นจริงได้

    เนื้อเพลงท่อนสุดท้ายที่เขามักจะนึกถึงมีอยู่ว่า...

     

    「一つになれぬ二人」

    “เราสองคนไม่มีทางจะเป็นหนึ่งเดียวกัน”

     

    ถึงแม้ว่าเขาจะได้เคยเป็นหนึ่งเดียวกับเธอที่สวยราวกับเต็มไปด้วยปริศนาในความฝันบ้างนานๆ ที กระนั้นเจสซี่ก็แน่ใจได้ว่าไม่มีทางที่เขา...หรือใครคนไหนบนโลกใบนี้จะเป็นหนึ่งเดียวกับเธอได้ในโลกความเป็นจริง

    เขาไม่เคยนึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย

     

    เมื่อเย็นวาน หลังแยกกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่คาราโอเกะ เจสซี่ก็จะได้บังเอิญเห็นเพื่อนร่วมห้องทั้งสองคนอย่างนากามูระ ไคโตะและอิริกิ ยูซุรุเดินหัวร่อต่อกระซิกด้วยกันที่ชิบุยะสองต่อสอง ด้วยท่าทีที่ดูสนิทสนมมากทั้งที่ไม่เคยมีวี่แวว ไม่ว่าใครในห้องต่างก็รับรู้ว่าเขาชอบยูซุรุหลังจับคู่ทำรายงานกลุ่มสามคนในวิชาดาราศาสตร์ แล้วเริ่มต้นแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง ทั้งอย่างนั้นการได้เห็นเด็กหนุ่มที่เป็นเพื่อนเล่นเกมด้วยกันทำพฤติกรรมที่เขาคิดว่าไม่ต่างจากการแทงข้างหลังเข้ากับตา ความเกลียดชังก็แล่นปราดเข้ามาแทนที่ทุกความรู้สึกอย่างไม่อาจควบคุม

    ไม่ว่าจะไคโตะที่เคยพูดว่า “เจสซี่ นายคือเพื่อนที่เจ๋งที่สุดของฉันเลย!” หรือยูซุรุที่เป็นคู่สนทนาชั้นเยี่ยมของเขาตลอดการจับกลุ่มสามคน มากกว่าเพื่อนสนิทของเขาอย่างเมกุโระ เร็น ซึ่งสุดท้ายแล้วจะขอตัวกลับไปกลางคันเนื่องจากธุระที่เจสซี่รู้ว่าเกี่ยวกับคนรักต่างโรงเรียน ไม่มีทางใช่เรื่องทางบ้านอย่างที่กล่างอ้าง เธอตอบรับทุกเรื่องราวที่เขาเล่าให้ฟังกระทั่งถึงตอนเดินไปส่งเธอที่บ้านด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่สดใสเบิกบาน ราวกับเส้นสายของเครื่องดนตรีซึ่งขับบรรเลงบทเพลงที่ไพเราะที่สุดให้แก่โลก — ที่ไม่เคยมีสิ่งใดมากางกั้น — ของเจสซี่หลังจากนั้น

    ความรู้สึกที่คล้ายคลากับการถูกทรยศหักหลังทำให้เขาหน้ามืดตามัว หลงคิดไปเองว่าได้เห็นคนทรยศทั้งสองเลี้ยวลดเข้าไปในตรอกที่เต็มไปด้วยเลิฟโฮเต็ลซึ่งเรียงรายตลอดสองข้างทาง ทั้งที่ความจริงแล้วแผ่นหลังของพวกเขาจะหายลับไปในทิศทางอื่นตั้งแต่ที่สติอันไม่มั่นคงของเขาจะโบกโบย เจสซี่ขึ้นรถไฟกลับบ้านโดยพยายามไม่ระเบิดความรู้สึกใดๆ ออกมา บนรถไฟขบวนนั้น เขาได้มองเห็นเด็กสาวผมสีดำยาวในฟองสบู่ช่วงดึกเป็นครั้งแรก เด็กสาวผู้เป็นรักแรกในรั้วโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนี้ที่ไม่มีวันจะทำให้เขาผิดหวังตราบเท่าที่เธอซ่อนตัวอยู่ในโลกลำพังของตัวเอง เหตุผลที่เจสซี่ไม่เคยซาบซึ้งกับเรื่องราวของนกกระเรียนพันตัว เพราะเขาไม่เชื่อว่าคำอธิษฐานใดจะสัมฤทธิ์ผล มากไปกว่าการลงมือลงแรง หรือแม้แต่ทำใจยอมรับอนาคตที่จะเป็น

    เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ลงมือปีนเข้าห้องนอนของเธอที่โชคดีเปิดหน้าต่างแง้มไว้ เขารู้ว่าเธอเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวฮามาดะ พ่อแม่ทำงานกะดึกด้วยกันทั้งคู่ จึงย่อมไม่มีใครอยู่ที่บ้านในเวลานี้กับเธอ การได้เป็นเด็กผู้ชายคนเดียวในโรงเรียนที่เคยเห็นฮามาดะ จิซุรุในสภาพกำลังนอนหลับใหลอยู่ในนิทรารมย์ โดยไม่รับรู้ถึงการบุกรุกใดที่เขาเป็นผู้กระทำก็จะทำให้หัวใจของเจสซี่เต้นไม่เป็นส่ำ ระคนไปกับความตื่นเต้นเพียงแค่ได้จดจ้องมองเธออยู่ข้างเตียงนี้ เจสซี่เคยได้ยินเรื่องเล่าที่ว่าถ้าหากกระซิบกระซาบกับใครในตอนที่หลับ มันจะสร้างความทรงจำที่ฝังลึกเมื่อลืมตาตื่นหรืออะไรทำนองนั้น แต่เขายังไม่อยากทำลายบรรยากาศครั้งแรกที่ได้ใช้ร่วมกันกับเธอ ยิ่งเมื่อตอนที่ปลายนิ้วของเธอเฉียดผ่านในตอนที่ขยับพลิกตัว เพียงเท่านั้นเองที่เป็นตัวกระตุ้นให้เขาทำลายฟองสบู่ที่ห่อหุ้มเธอ ด้วยการกัดปลายนิ้วชี้ที่เรียวยาวและอ่อนนุ่มอย่างแรงมากพอให้เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมา

    มันทิ้งร่องรอยเอาไว้หรือเปล่านะ? พลาสเตอร์ที่พันทบปลายนิ้วชี้ของเธอแทนคำตอบว่าน่าจะใช่ เจสซี่มองเห็นมัน เหมือนที่มองเห็นรอยยิ้มของยูซุรุที่ขยับกว้างขึ้นกว่าเดิมแค่ได้เห็นไคโตะเดินเข้ามาในห้อง ทั้งที่ไม่ได้เหลือบแลมองไปยังทิศทางของหล่อนเลยด้วยซ้ำ เขายังลบรอยแผลสดใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานจากคนทรยศทั้งสองไม่ได้ สัมผัสอันน้อยนิดของจิซุรุยังกลบมันให้ได้ไม่มากพอ เขาถึงต้องปลดปล่อยความโกรธแค้นทั้งหมดไปกับอดีตเพื่อนที่ได้กลายมาเป็นศัตรูนับตั้งแต่บัดนั้น

    กระทั่งเกิดเหตุการณ์อันไม่คาดคิดขึ้น เมื่อเขาที่ตัวโตกว่าจะทุ่มแรงทั้งหมดผลักอกจนหลังของไคโตะไปชนกับรั้วที่พังลงไปกับตา เขาตื่นตะลึงกับมันได้เพียงครู่ เงาร่างของเด็กสาวก็จะวิ่งตัดหน้าเขาออกมาจากมุมมืด เอื้อมมือออกไปพยายามไขว่คว้าร่างที่ร่วงหล่นจากเหตุการณ์ที่เจสซี่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น หากเมื่อได้เห็นการกระทำของเธอที่มีต่อไคโตะ คนที่ไม่มีอะไรเทียบเคียงเขาได้ และไม่มีอะไรควรคู่ทั้งกับยูซุรุ หรือเธอจิซุรุ ทั้งที่เพิ่งจะฝากฝังร่องรอยเอาไว้บนปลายนิ้วข้างที่เธอยื่นมันออกไป ด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับการถูกทรยศหักหลัง อย่างหนักหน่วงและรุนแรงยิ่งกว่าที่ไคโตะและยูซุรุได้กระทำ เพราะเธอไม่ควรกระโจนออกมาจากฟองสบู่ด้วยตัวเองเพื่อคนพรรค์นี้...หรือว่าใคร ก็จะทำให้เจสซี่ควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ในตอนที่ตั้งใจผลักแผ่นหลังของเธอลงไปโดยไม่มีทั้งความสั่นเทาหรือว่าลังเลใจ แผ่นหลังที่ไม่มีปีกงอกสยายออกมาเพื่อช่วยให้เธอโบยบินขึ้นไปกับชีวิตที่จะไม่ถูกปลิดปลง หรือความปรารถนาที่ต้องการช่วยชีวิตของใครอีกคน ขณะมองดูร่างที่นอนแน่นิ่ง ผิดรูปผิดร่าง และชุ่มโชกไปด้วยเลือดของคนทั้งสองจากชั้นบนสุดของดาดฟ้า แล้วรับฟังเสียงกรีดร้องของเพื่อนนักเรียน ที่จะกลายเป็นเพียงเสียงหวึ่งหวี่ซึ่งไม่อาจทะลุผ่านเข้าไปในโสตประสาทได้มากเท่ากับยามที่วัตถุหนาหนักกระแทกลงไปบนพื้นคอนกรีต เจสซี่ก็ยิ้มออกมา เมื่อรู้ว่าตอนนี้ ฮามาดะ จิซุรุ เด็กผู้หญิงในฟองสบู่ที่จะยังคงงดงามอยู่ในนั้น จะไม่มีทางเป็นหนึ่งเดียวกับนากามูระ ไคโตะ...หรือใครคนไหนบนโลกใบนี้ได้อีก นอกจากในความฝันที่เขาจะทิ่มแทงฟองสบู่แล้วทำลาย กัดทึ้ง มากกว่าแค่ปลายนิ้วของเธอให้แหลกสลายคามือ

    และบางที เขาอาจจะฝากฝังร่องรอยสีแดงบนปลายนิ้วในโลกความจริงให้กับยูซุรุบ้าง แต่รอก่อน รอจนกว่าเขาจะอิ่มหนำกับความคิดถึงจิซุรุที่ตายไปในความฝัน แล้วเมื่อนั้นเขาจะไปกระซิบกระซาบข้างหูหล่อนเพื่อให้ตัวเขาได้ไปปรากฏอยู่ในความฝัน ความนึกคิด และความจริงแทนไคโตะที่ตายไป เมื่อถึงตอนนั้นเส้นสายของยูซุรุจะผูกโยงกับเขาอย่างแนบแน่นและเป็นหนึ่งเดียวกัน

    ไม่มีความหวาดกลัวใดจะบังเกิด เพราะไม่มีความรู้สึกใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าความสุขสันต์...กระทั่งงดงาม...หลังจากโศกนาฏกรรมอีกแล้ว












    2021年04月09日
    _______________
    ★ (*) ชื่อจิซุรุมาจากเพลงของเดอะกาเซตต์จริง แล้วทีนี้กูไปอ่านเจอทรานส์อิ๊งมาว่าชื่อ 千鶴 มีที่มาจากคำว่า 千羽鶴 (เซมบะซุรุ) หรือนกกระเรียนพันตัว ชื่อจิซุรุไม่มีคันจิตรงกลางที่แปลว่าปีก ก็แปลว่านกกระเรียนไม่มีทางทำความปรารถนาให้เป็นจริงได้เพราะไม่มีปีกจะโบยบินนั่นเอง เฉียบ! / ส่วนชื่อยูซุรุคือคันจิ 結弦 ของคำว่าผูกกับสาย (ในที่นี้กูเลือกแปลว่าสายของเครื่องดนตรีเช่นชามิเซนผีสิงที่เจสซี่กลัวมากจริง หยอกๆ) เป็นเรื่องที่แต่งเล่นๆ แต่สุดท้ายก็ต้องยัดดีเทลโน่นนี่มาจนได้ แต่ที่จริงกูอาจจะใส่มั่วแปลมั่วก็ได้ ใครจะรู้
    ตอนแรกจะลงวันเกิดอุมิ แต่จากที่ทราวิสไปเอ็มสเตวันนี้แล้วมีช็อตที่เต้นเพลงของสโตนส์นิดนึงก็คือไม่ได้แล้ว กูต้องมาลงฟิคของคู่เพื่อนเล่นเกมเป็นอนุสรณ์ในวันฤกษ์งามยามดีนี้แล้ว (แต่อุมิเต้นจาปอนิก้าเหมือนพัดยุงจริง) เป็นเรื่องที่แต่งจบในสองวัน เกลาก็แค่สองวัน ก็คือถ้าจะทำก็ทำได้แต่แค่ไม่ทำ และเรื่องที่อยู่ในเซ็ตไนท์แมร์คอลเลคชั่นก็คือเรื่องที่มาจากฝันสยองขวัญลงหลุมของกูเอง ที่จริงมันมีเยอะอยู่แหละแค่ไม่แต่งเฉยๆ เรื่องนี้มีที่มาจากความฝันเมื่อปลายเดือนที่แล้วในวันที่ทำงานไม่เสร็จแล้วช่างแม่ง นอนดีกว่า ฉากวิ่งหนีตอนต้นก็คือฉากที่อยู่ในฝันของกูเอง เนื้อหาไม่เป๊ะทั้งหมดเพราะพอตื่นมาแล้วเสือกจำได้แค่ลางๆ เแต่ฉากที่กัดนิ้วนั่นมีในฝันจริง ฉะนั้นถึงจะพิลึกๆ ก็ไม่อยากตัดทิ้งเพราะมันคึอฉากเด็ดน่ะนะ (เฮ้ยว่าบาป กูลองกัดนิ้วตัวเองแรงๆ แล้วไม่ยักจะเป็นรอยฟัน หรือเพราะคนเรามีกลไกป้องกันความเจ็บปวดที่กระทำต่อตัวเอง อืม เป็นไปได้)
    ★ มากับแนวคิดเบสิคอันเป็นสากลที่ว่าเราตกหลุมรักคนในฝันทั้งที่ไม่เคยมีวี่แววมาก่อนได้ แล้วก็เรื่องเมืองไม่มีถนนที่ปีนหน้าต่างห้องไปกระซิบกระซาบตอนที่หลับฝัน ทีแรกจะเป็นชิซึยะเพราะคนในฝันเราคืออุมิกับชิซึยะ (ถึงได้เป็นนักกีฬาบาสไง) แต่พอเสริมพล็อตช่วงท้ายแล้วแต่งให้ชิซึยะมันไม่ใช่ว่ะเพื่อน เลยขอยกบทประสาทแดกให้ผู้รับบทแนวนี้มาแล้วนับไม่ถ้วนอย่างคุณเจสซี่ครับ ส่วนบทที่เพื่อนในห้องไม่มีใครเข้าไปยุ่งกับเด็กคนหนึ่งเพราะบรรยากาศรอบตัวมาจากเรื่องน้ำผลไม้ในชุดรีเวนจ์ของโยโกะ โอกาวะ (แต่ที่เปรียบเปรยเป็นฟองสบู่นั่นกูคิดเอง เพราะกูคิดถึงยุคฟองสบู่แตกขึ้นมา อะไรวะ) แต่ทีนี้กูจะสารภาพตรงๆ เลยว่าใจกูแค่อยากระบายความฝันเฉยๆ ไม่มีพล็อตต่อจากนั้นแล้ว จะแต่งแบบเรื่องเมืองไม่มีถนนก็ไม่รู้ว่าควรจะไปต่อยังไงให้เนื้อเรื่องตอนต้นมาอีกแบบ กลางเรื่องมาอีกแบบ แต่ดันจบเรื่องแบบโยงไปถึงตอนต้นเหมือนจุนจิได้ ซึ่งกูยังไม่สามารถในเวลานี้ เลยตัดจบไปแบบที่ก็ไม่ใช่ตอนจบที่ชอบหรอก แต่ก็นึกไม่ออกว่าควรจบแบบไหน ไม่อยากแต่งต่อแล้วด้วยเลยช่างมัน / เอาจริงบทของเจสซี่เด่นกว่าไคโตะอีก แต่ก็ไม่อยากสลับบทบาทเพราะคนในฝันต้องเป็นไคโตะที่กูฝันถึงเท่านั้น!
    ★ ชื่อเรื่องมาจากชื่อเพลงของลูน่าซีที่กูจะขอแปลแบบเว่อร์ๆ ว่า 'ความงดงามที่มาพร้อมกับโศกนาฏกรรม' แบบหาไปมั่วๆ แต่ก็เอามาปิดท้ายได้อย่างลงตัวสวยงาม พร้อมกับเพลงประกอบของวงวิชวลเคย์ในใจกูตั้งแต่สมัยวัยละอ่อน (ที่จำได้แม่นเลยคือพอกูเริ่มชอบปุ๊บ เดือนต่อมาเจสปายลงข่าวยุบวงปั๊บ เหยดแม่) ที่เปลี่ยนแนวมาทำเพลงแบบนี้เมื่อไหร่ กูงงไปหมด ถึงโปสฟิคเรื่องนี้จะเป็นสีเขียวตัดหน้าโมริของมึง แต่กูจะใช้เพลงชื่อสีแดงใครจะทำไมเอ่ย กับเนื้อเพลงที่มีคำว่า nightmare และ betray อันเป็นเมนหลักของเรื่อง (บังเอิญไหมล่ะ เพราะกูเพิ่งเปลี่ยนมาใช้เพลงนี้ในวินาทีสุดท้าย!) / ว่าไปเคย์ของกูก็ยังหล่อฉิบหายเหมือนสมัยสิบปีที่แล้วเปี๊ยบ วิชวลเคย์ขายวิญญาณให้ซาตานเพื่อรักษาความอมตะกันเหรอวะ เฮ้ย!
    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×