คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #148 : Mikazuki Sunset 「三日月サンセット」
คุรุรุงิ ยูการิ ไม่พยายามปิดบังสีหน้าไม่พอใจ เหมือนกับที่ชายหนุ่มฝั่งตรงกันข้ามก็ไม่แยแสใส่ใจขณะพร่ำบ่นถึงเรื่องการใช้ชีวิตของเธอ หลังจากที่หอบข้าวของออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ที่โยโกฮามะมายังโตเกียวทันทีที่เรียนจบมหาวิทยาลัย เพื่อมาใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าบนชั้นสองของร้านขายเครื่องดนตรีอย่างกับพวกไม่มีอันจะกิน กับเพื่อนร่วมห้องที่เขาพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่มีอันจะกินจากประวัติที่ไปสืบมา แล้วชักชวนกันมาใช้ชีวิตอย่างไร้แก่นสารอยู่ที่ชิบุยะ แทนที่จะรับช่วงต่อของการเป็นทายาทเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่ร่ำรวยมหาศาลขนาดไม่ต้องทำอะไรก็มีกินมีใช้ไปทั้งชาติ แต่ก็ดันไร้สมองเลือกมาทนยืนหลังขดหลังแข็งทำงานกระจอกๆ แลกเศษเงินอยู่ในร้านกาแฟที่รสชาติไม่ได้เรื่องจนเขากระเดือกได้แค่น้ำอัดลมอยู่ในตอนนี้
“อย่างน้อยเธอก็ไม่ควรเอาชีวิตมาทิ้งในร้านแย่ๆ แบบนี้”
ในที่สุด หญิงสาวที่เก็บปากเก็บคำแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายพล่ามพูดอยู่นานสองนานก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป โชคดีที่เป็นช่วงบ่ายของวันธรรมดา มีลูกค้าเพียงแค่สองโต๊ะไม่นับรวมเธอกับเขา แถมยังนั่งห่างออกไปคนละมุม จึงไม่มีใครให้ความสนใจต่อเรื่องของกัน
“ที่นี่ไม่แย่สักหน่อย!” เธอกระแทกน้ำเสียงกลับไปอย่างขุ่นข้อง แม้จะเป็นไปด้วยระดับเสียงที่ต้องพยายามกดกลั้นทั้งที่อยากตะโกนด่าทอคนตรงหน้าให้สาแก่ใจ “แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ก็ยังดีกว่าต้องทนอยู่กับพวกที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นอย่างใครบางคนก็แล้วกัน!”
“ปีกกล้าขาแข็งได้ไม่เท่าไหร่ นิสัยเสียขึ้นเยอะเลยนี่”
“ว่าแต่เขา ตัวเองที่เอาแต่มาบ่นว่าคนอื่นปาวๆ นี่นิสัยดีมากมั้ง”
ที่จะเรียกเสียงหัวเราะขบขันตามประสาชิเมกาเกะ ริวยะ ขณะเปลี่ยนท่านั่งเป็นเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ที่จัดว่าไม่เลว อาจเป็นสิ่งแรกและสิ่งเดียวที่ดีที่สุดในร้านนี้ เขาคิด เพราะสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนี้กำลังทำให้น้องสาวอายุอ่อนกว่าหนึ่งปีที่เคยน่ารัก อ่อนหวาน และเชื่อฟังทุกคำพูดของพี่ชายอย่างเขา กลายเป็นเด็กหัวขบถที่เอาแต่ชักสีหน้า ยอกย้อนโต้เถียงกันไม่ตกฟากอยู่แบบนี้ ถึงริวยะจะคิดว่าใบหน้าที่แสดงออกแบบเด็กน้อยทั้งที่อายุอานามก็จัดว่าอยู่ในวัยผู้ใหญ่ได้แล้วและดูแปลกตาจากเวลาปกติที่เคยได้เห็นก็น่ารักดี ไหนจะการต่อปากต่อคำอย่างที่เธอในวัยเด็กไม่เคยทำก็สร้างสีสันดี แต่ถึงจะว่าอย่างนั้น เขาก็อดใจเอาไว้ไม่อยู่ทุกที เมื่อเหลือบไปเห็นหลอดเครื่องดื่มเลอะลิปสติกที่เสียรูปทรงเพราะรอยกัดนั่น
“พูดกับพี่ชายที่เคยบอกว่ารักนักรักหนาแบบนั้นได้ยังไงฮะ ยูการิ?” คำที่เขาเน้นย้ำอย่างชัดเจนพร้อมกับนัยน์ตาวาววับแสดงความเย้ยเยาะที่จดจ้องมองมาจะทำให้ใบหูของเธอเริ่มแดง ก่อนลามมาทั่วทั้งใบหน้าขาวจากคำพูดตามมาที่ว่า “ไม่อยากแต่งงานกับพี่ชายคนนี้แล้วหรือไง?” ให้ความอดทนของเธอสิ้นสุดลงตรงนี้ เมื่อเลื่อนเก้าอี้ลุกพรวดขึ้นอย่างแรง ไม่อาจข่มเสียงตะโกนเอาไว้ได้อีกต่อไป
“ไม่แต่งหรอก! ต่อให้ฟ้าถล่มแผ่นดินทลายก็ไม่มีวันแต่งด้วยหรอก!”
เสียจนผู้จัดการหนุ่มที่กำลังสอนงานเด็กพาร์ทไทม์อยู่หลังเคาน์เตอร์ และลูกค้าอีกหนึ่งรายที่กำลังนั่งกดมือถืออยู่มุมสุดที่คนละฝั่งเป็นต้องเงยมอง แต่ยูการิไม่สนใจอะไรอีกแล้วเมื่อย่ำรองเท้าบู๊ตแล้วผลักบานประตูตึงตังจากไป ไร้ซึ่งคำลาไม่ว่ากับใครทั้งนั้น ไว้อารมณ์เย็นลงเมื่อไหร่เธอจะกลับมาขอโทษผู้จัดการทีหลัง แต่ไม่มีวันสำหรับผู้ชายคนนั้นแน่!
ชิเมกาเกะ ยูการิ คือชื่อจริงตามใบเกิด ทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน หรือเอกสารอะไรก็ตามแต่ที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ นอกเหนือจากการใช้นามสกุลปลอม (ที่มีแค่เพื่อนร่วมห้องและผู้จัดการร้านที่รู้เรื่องนี้เท่านั้น) ไม่ใช่แค่เป็นทายาทคนเล็ก แต่ยังเป็นทายาทตามสายเลือดเพียงคนเดียวของครอบครัวชิเมกาเกะ เจ้าของลูมิน่า ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในญี่ปุ่นที่ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค และตอนนี้ยังขยายสาขาไปถึงต่างประเทศอย่างเกาหลีและสิงคโปร์ด้วย
สายเลือดของสองพี่น้องไม่ได้เป็นความลับกับผู้คนรอบข้างหรือแม้แต่พวกเขาเอง หลังจากที่พ่อกับแม่หมดหวังเรื่องการมีลูก ทางครอบครัวที่ต้องการทายาทมาสานต่อกิจการจึงตกลงรับอุปการะเด็กทารกที่ต้องสูญเสียพ่อกับแม่ไปเพราะอุบัติเหตุมาจากโรงพยาบาล ทว่าในอีกหนึ่งปีให้หลัง แม่ของเธอก็กลับตั้งท้องแล้วคลอดเธอออกมา ถึงอย่างนั้นครอบครัวชิเมกาเกะก็ต่างมอบความรักและเลี้ยงดูเด็กทั้งสองโดยไม่แบ่งแยก พี่น้องที่ไม่มีสายเลือดร่วมกันเลยแม้แต่น้อยก็รักกันโดยไม่แบ่งแยก มากถึงขนาดที่ยูการิในสมัยประถมเคยสัญญาว่าจะแต่งงานกับพี่ชาย...ที่ก็ตอบรับอย่างยินดี ยูการิในสมัยมัธยมต้นเคยหึงหวงพี่ชายที่มีเด็กผู้หญิงมาชอบ...ที่เขาจะหัวเราะบอกว่าอย่างไรก็ชอบเธอมากที่สุด และยูการิในสมัยไฮสคูลเคยสารภาพรักกับพี่ชาย...ที่จะถูกปฏิเสธกลับมาด้วยคำว่า “เราเป็นพี่น้องกันแบบนี้แหละดีแล้ว” ให้เธอได้แต่คอตกยอมรับมัน เพราะไม่มีคำพูดใดของริวยะที่ยูการิไม่เคยเชื่อฟัง ทั้งยังต้องทนเห็นเขาคบควงกับเพื่อนร่วมห้องที่แย่งเอาเวลาและความรักจากเขาไปในวันถัดมาอย่างกับตั้งใจ แต่ยูการิก็ไม่เคยเชื่อ — หรือแม้แต่จะคิด — ว่าพี่ชายของเธอจะจงใจทำเรื่องใจร้ายแบบนั้นกับเธอจริงๆ และทำได้แค่ต้องปั้นหน้าทนยินดี
ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องเริ่มเหินห่างกันไปในแบบนั้น ก่อนแทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้าเมื่อริวยะเข้ามหาวิทยาลัยรัฐบาลระดับหัวกะทิได้แล้วย้ายออกไปอยู่คนเดียวที่โตเกียว นานครั้งถึงจะกลับมาเยี่ยมบ้านแล้วนัดกินอาหารในโรงแรมพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัวสักหน พอถึงตายูการิเข้ามหาวิทยาลัยก็เลือกม.เอกชนในโยโกฮามะที่ไม่ต้องใช้หัวสมองอันน้อยนิดสอบเข้า เส้นขนานของเธอกับพี่ชายก็เลยยิ่งขยายกว้างขึ้นกว่าเดิมจนเหมือนจะไม่มีวันมาบรรจบ หรืออย่างน้อยๆ ก็ในเร็ววันนี้
ทั้งที่พ่อกับแม่ก็ไม่ได้คัดค้านการออกไปใช้ชีวิตในเมืองหลวงของเธอ อาจเพราะเข้าใจดีว่าไม่มีทางที่ลูกสาวคนเล็กจะสืบทอดกิจการต่อได้ด้วยหัวสมองหรือความสามารถทางธุรกิจที่เท่ากับศูนย์เมื่อเทียบกับพี่ชาย หากเมื่อริวยะรู้เรื่องนี้เข้าตอนที่กลับไปเยี่ยมบ้าน และเธอก็ไม่ยอมรับสายนับร้อยๆ เพราะรู้ถึงเจตนาดี เขาก็จะตามมาดักรอเธอถึงหน้าบันไดห้องที่ยูการิไม่ควรหลงลืมข้อเท็จจริงที่สำคัญที่สุดไปว่า “ยังไงฉันก็หาเธอเจอได้เสมอ” อย่างน่าเจ็บใจ แล้วเริ่มต้นบ่นว่าถึงการตัดสินใจอันโง่เง่านี้ จนยูการิที่เก็บความอึดอัดคับข้องใจมาตั้งแต่สมัยไฮสคูลไม่คิดว่าจำเป็นจะต้องอดทนเหมือนกับคนโง่อีก ก่อนระเบิดแตกออกมาต่อหน้าพี่ชายที่เธอเคยเชื่อฟังทุกคำพูดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่นั้น
สาวน้อยที่เติบใหญ่ขึ้นในวันนี้ได้ตระหนักรู้แล้วว่าสิ่งที่พี่ชายกระทำไปหลังจากถูกสารภาพรัก แท้จริงก็เพื่อผลักไสเธอออกไปด้วยวิธีการที่ใจร้ายที่สุด ในเมื่อเขาตัดสินใจว่าจะทำกับเธอแบบนั้น ยูการิก็ไม่จำเป็นต้องคิดถึงหัวอกของเขาที่ก็ไม่เคยคิดถึงจิตใจของเธอเหมือนกันอีกต่อไป
หลังเดินเล่นสงบสติอารมณ์อยู่ครู่ใหญ่ๆ พร้อมหาอะไรให้ตกถึงท้องแทนมื้อบ่ายรวดเลยไปถึงมื้อค่ำที่วันนี้เธอคิดว่าอาจจะแวะไปดื่มแก้เครียดที่บาร์ก่อนกลับห้อง ยูการิก็ตัดสินใจกลับมายังที่ทำงานถึงวันนี้จะไม่ใช่วันทำงานของเธอก็ตามแต่ เพื่อนร่วมห้องสามเดือนเป็นคนแนะนำคาเฟ่ที่ชื่อมาริโกลด์ (ดอกดาวเรือง) นี้มา ถึงขั้นฝากฝังให้กับผู้จัดการฟุกาซาวะที่หล่อนสนิทสนมด้วยเป็นอย่างมาก และมันก็สร้างความประทับใจให้ยูการิได้มากไม่แพ้กัน เพราะมันมีชื่อเหมือนกับเพลงของไอเมียน ศิลปินที่เธอชอบ ก่อนในไม่ช้า เธอจะได้ใช้คำว่า...ตกหลุมรัก
ในเวลาเย็นย่ำของวันที่ลูกค้าบางตา เมื่อเหม่อมองออกไปภายนอกบานหน้าต่างซึ่งสามารถมองเห็นม้านั่งที่อยู่ไม่ไกลจากกัน ยูการิก็ได้มองเห็นชายคนหนึ่งกำลังนั่งก้มหน้าง่วนอยู่กับเครื่องนินเทนโดสวิตช์ในมือ เป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นในทีแรกด้วยคิดว่าเขาจะกำลังตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมอะไรอยู่กันนะ เธอเห็นใบหน้าซึ่งเอาแต่กดก้มลงไปของเขาไม่ชัดเจน ไหนจะเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวระต้นคอที่ส่วนหน้าม้าก็ปรกบังนัยน์ตาไปเกือบหมด กระทั่งวินาทีที่เขาเงยมองขึ้นมา อาจจะตามเสียงเรียกเพราะเธอเห็นริมฝีปากของเขาขยับเป็นคำสามพยางค์ พร้อมกับรอยยิ้มกว้างๆ บนใบหน้าที่ทำให้หัวใจของยูการิเต้นผิดจังหวะได้จริงอีกครั้งหลังจากเนิ่นนาน ซึ่งจะบีบรัดลงไปในวินาทีเดียวกันเมื่อได้เห็นว่าเขามอบมันให้กับใคร มันชัดเจนอยู่แล้วถึงต่อให้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความรักกันอย่างโจ่งแจ้ง แต่ใครที่ไหนก็ย่อมต้องดูออกว่าพวกเขาเป็นคนรักกัน
หากเธอก็ไม่อาจห้ามสายตาให้มองตามเขาที่จะมานั่งอยู่ตรงนั้นแทบทุกวันธรรมดาพร้อมกับเครื่องเกมในมือ บางครั้งก็เป็นโทรศัพท์มือถือที่ดูจากวิธีการเลื่อนปลายนิ้วก็รู้ว่ายังคงเป็นเกม ยูการิเคยเห็นเขานั่งรออยู่ที่ม้านั่งตัวเดิมเกือบๆ สองชั่วโมงไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นเช่นไร โดยไม่มีสีหน้าเบื่อหน่ายหรือท่าทีหงุดหงิดต่อหญิงคนรักที่จะเดินออกมาจากออฟฟิศสี่ชั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เพราะนั่นคือระยะห่างอย่างพอเหมาะพอดีที่เป็นมาตลอดหนึ่งเดือนจนกลายเป็นความคุ้นชิน ยูการิจึงชะงักงันไปในตอนที่ผลักบานประตูเข้ามาในร้าน ผู้จัดการซึ่งรับออเดอร์จากลูกค้าแล้วเดินมาแตะท่อนแขนเธอพร้อมส่งรอยยิ้มแสดงความเห็นอกเห็นใจมาให้ แต่เมื่อเธอก้มหัวส่งรอยยิ้มกลับคืนขณะมองเลยผ่านไหล่เขาไป ก็จะได้พบกับชายหญิงซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่หลังบานกระจกเข้ามาอยู่ในระยะที่เคลื่อนใกล้ที่สุด ณ เวลานี้ ยินน้ำเสียงสดใสของหญิงสาวที่ไม่ว่าเมื่อไหร่เธอก็จะสนใจมองแค่เพียงแผ่นหลังในชุดเบลเซอร์หรือเสื้อเชิ้ตอย่างคนทำงานบริษัทที่ดูดี กับเรือนผมยาวสีน้ำตาลอ่อนด้วยคำพูดแผ่วแว่วที่ไม่ชัดเจนนัก หากเป็นเสียงหัวเราะดังตามมาของชายหนุ่มกับผมที่ถูกตัดสั้นและย้อมเป็นสีเข้มจนดูแปลกตาไม่เหมือนกับที่เคยเห็น ทว่าแจ่มชัดอยู่ในห้วงความคิดของเธอ
และเสียงเรียกชื่อที่ยูการิได้ยินหล่อนเปล่งออกมาว่า ‘ไคโตะ’
หลังจากงานเร่งด่วนที่เข้ามาและกินเวลาเกือบสามสัปดาห์เต็มจบสิ้นลง ในที่สุด ทากาเบะ รินาริที่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หน้าจอแล็ปท็อป ดื่มกาแฟสองไม่ก็สามแก้วต่างน้ำทุกเช้าค่ำ และแทบหาเวลากระดิกตัวไปไหนไม่ได้เว้นแต่ลงไปรับอาหารที่สั่งในรอบบ่าย ขณะที่รอบค่ำก็จะได้อานิสงส์จากเพื่อนร่วมห้องที่เลิกงานมาแล้วไม่ไปเตร็ดเตร่ที่ไหนต่อซื้อกลับมาฝากบ้าง ไม่ก็ฝากท้องกับอาหารสำเร็จรูปที่เธอซื้อติดห้องมาเองบ้าง ก็จะได้เป็นอิสระจากโรงงานนรกที่ดูดพลังงานชีวิตของเธอไปเสียที ถึงขนาดตะโกนร้องเฮออกมาดังมาก รวนไปกับเสียงหัวเราะขบขัน ในตอนที่เพื่อนร่วมงานคาวาชิมะ โนเอลซึ่งแบ่งกันทำงานซีรีส์เรื่องนี้ร่วมกันคนละซีซั่นครึ่ง และต้องเผชิญกับช่วงเวลาในนรกเหมือนกันไม่ได้ต่าง โทร.มาร่วมแสดงความยินดีหลังจากเห็นข้อความในทวิตเตอร์ของเธออย่างรวดเร็วมาก ถึงเขาก็เพิ่งจะก้าวขาพ้นจากโรงงานนรกได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าเธอนี้เองก็ตาม
แน่นอนว่าต้องไม่ลืมบ่นกระปอดกระแปดใส่หัวหน้าอาเบะที่เรียกสายซ้อนเข้ามาหลังจากได้รับไฟล์งานทางอีเมลแล้ว พร้อมกับคำขอโทษขอโพยอีกเป็นกระบุงโกยที่ให้เธอกับโนเอลต้องเร่งทำงานกันยุ่งวุ่นวายขนาดนั้น ถึงรู้ดีว่าตัวเองจะกำลังทำนิสัยเสียๆ อยู่กับหัวหน้าที่โอนอ่อนและใจดีมาก ทั้งคอยรับหน้าแทนการทำงานที่ผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ ขอหยุดเมื่อไหร่ก็ให้ หรือจะเลื่อนกำหนดส่งงานด้วยเหตุสุดวิสัยแค่เพราะเผลอหลับไปก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องชักแม่น้ำทั้งห้ามา การทำงานเป็นนักแปลภายใต้หัวหน้าอาเบะของรินาริเป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกสบายดีในแบบนั้นมาโดยตลอด หากนี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทำงานมาสองปีที่รินาริได้เจองานฉุกละหุกจนต้องหามรุ่งหามค่ำแบบนี้ และหัวหน้าก็ยอมไถ่โทษด้วยการยอมให้เธอหยุดทั้งสัปดาห์หลังจากนี้ตามที่ขอได้โดยไม่มีข้อยกเว้น แล้วยังจะเลี้ยงมื้อค่ำที่โรงแรมให้เธอกับโนเอล — สองนักแปลดีเด่นของบริษัท — ในวันพรุ่งนี้เป็นการตอบแทน
เจอเข้าอย่างนี้ รินาริก็หายโกรธหัวหน้าคนใจดีได้เป็นปลิดทิ้ง แต่ไม่ใช่สำหรับอาการง่วงเหงาหาวนอนที่จะตามติดมาทันทีหลังจากตาสว่างมาตั้งแต่ช่วงเย็นของเมื่อวานจนกระทั่งล่วงบ่ายของวันนี้ เลยจำต้องปฏิเสธนัดเลี้ยงฉลองของโนเอลทั้งที่อยากจะไปมากแค่ไหนก็ตาม เพราะสิ่งเดียวที่เธอต้องการฉลองคือการนอนหลับให้เต็มอิ่ม โดยไม่ต้องพะวักพะวงว่าจะต้องตื่นขึ้นมาทำงานที่ทั้งเร่งด่วน ยืดยาว และเต็มไปด้วยศัพท์แสงแสลงอีกมากมายนับไม่ถ้วนจนเธอหัวหมุนอีกต่อไป
ตอนที่รินาริคลานขึ้นไปบนฟูก เมื่อหัวถึงหมอนปุ๊บ เธอก็หลับสนิทโดยไม่ฝันถึงอะไรเลย
รินาริตื่นนอนตอนที่ฟ้ามืดแล้ว ตัวเลขบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ควานเปะปะหยิบขึ้นดูคือสามทุ่มยี่สิบห้า ห้องยังคงปิดไฟสนิทซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถึงต่อให้เพื่อนร่วมห้องของเธอจะกลับมาแล้วทำอะไรก๊อกๆ แก๊กๆ ก็ตาม แต่ก็เปล่าเมื่อเธอไม่ได้ยินเสียงของความเคลื่อนไหวอื่นใดภายในห้องกว้างที่เชื่อมต่อกันหมดโดยไม่มีบานประตูหรือกำแพงกั้นนี้
รินาริรู้ว่าร้านประจำยามค่ำคืนของเหล่าพนักงานร้านมาริโกลด์ หรืออาจรวมถึงหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานบริษัทการแปลของเธอเองอยู่ที่ไหน แต่เธอมีแผนการในใจตั้งแต่แรกแล้วว่าจะฉลองให้กับตัวเองด้วยการใช้เวลาที่หนึ่งในโรงภาพยนตร์เจ้าประจำที่ห่างหายไปตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมาคนเดียวลำพัง
เธอจะไปดูภาพยนตร์เรื่อง ‘แมรี่ ป๊อปปิ้นส์ รีเทิร์น’ ซึ่งเข้าฉายในช่วงที่มีงานเข้ามาพอดี และทำให้หญิงสาวที่มักจะดูหนังวันแรก รอบแรก เป็นต้องชวดตำแหน่งนั้นให้รูมเมตที่ควงเพื่อนสมัยเรียนไปดูตัดหน้าอย่างน่าเสียดาย
_______________
ความคิดเห็น