คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #275 : Love Me as Though There Were No Tomorrow (30% ได้อยู่ อู้หูว นี่ไม่ใช่ปลาหมอคางdumแต่เป็นปลาสลิด)
วันหนึ่งในช่วงต้นฤดูหนาวของปี 1987 พ่อของริโนะ ซาโต้ได้ตายจากไปด้วยอุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดคิด กับการช่วยเหลือเด็กที่กำลังจะตกจากอพาร์ตเมนต์บนชั้นสี่ จนพาร่างของตัวเองกระแทกลงไปบนพื้นปูนแข็งๆ เข้าอย่างจังและเสียชีวิตคาที่ ไม่มีแม้กระทั่งคำอุทานหรือร่ำลา เพียงเสียงหวีดร้องลั่นของผู้คนที่เดินผ่านไปมา อีกทั้งเสียงร้องไห้จ้าของเด็กชายวัยหกขวบที่อยู่รอดปลอดภัยในอ้อมแขนของมารดาที่จะรีบปรี่เข้ามา กอดลูกน้อยไว้แนบอกเพื่อเบียดบังใบหน้าให้พ้นจากภาพติดตาเบื้องล่างอันน่าพรั่นพรึง หากสิ่งนั้นไม่ได้บรรยายความรู้สึกภายในจิตใจอันแหลกสลายของหญิงสาวที่ต้องสูญเสียสามีอันเป็นที่รักอย่างกะทันหันไปได้เลย
คิโนะ ซาโต้คือชื่อของหญิงผู้นั้น และมารดาซึ่งเลี้ยงดูเธอลำพังมานับแต่นั้น ริโนะสูญเสียพ่อไปในวัยห้าขวบ แทบจะจดจำเรื่องราวของชายผู้ให้กำเนิดไม่ได้เลยสักอย่าง นอกจากเรื่องที่ว่าเขาเป็นศาสตราจารย์ภาควิชาปรัชญาในมหาวิทยาลัยประจำเมือง กับความทรงจำอันเลือนรางของใบหน้า น้ำเสียงและอ้อมกอดเมื่อยามที่เธอร้องโยเยอยู่เสมอ โชคดีที่ในวันเกิดเหตุเธอออกไปกินไอศกรีมกับคุณย่า จึงไม่ได้มีความทรงจำถึงโศกนาฏกรรมนั้นแม้สักเสี้ยวเศษ ดูเหมือนว่าเธอในวัยเด็กจะเป็นพวกเรียนรู้ช้าเกินกว่าจะรู้ความ หรืออาจเพราะการแทบไม่เห็นมารดาเคยเสียน้ำตาแม้สักหยดเดียว ขณะจับมือน้อยๆ เอาไว้ด้วยความสั่นเทาในวันงานศพที่เป็นเพียงภาพเลือนรางสำหรับเธอ เพราะอย่างนั้นริโนะจึงคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าโศกเศร้าอะไรเหมือนอย่างที่ทุกคนต่างพากันเรียงแถวเข้ามาแสดงความเสียใจ
คุณย่าที่เสียน้ำตามากที่สุดและยังคงไม่จางหายกระทั่งวันนี้เมื่อมองดูรูปถ่ายของลูกชายคนเดียวยังคอยพร่ำบอกแก่เธอเสมอว่าพ่อไม่ได้จากไปไหน พ่อยังอยู่กับพวกเราถึงแม้ว่าจะไม่อาจมองเห็น สัมผัส หรือรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขาได้อีกต่อไป ริโนะจึงเชื่อแบบนั้นโดยไม่มีข้อกังขาใดๆ และจะกล่าวคำลากับรูปถ่ายบนโต๊ะเมื่อออกจากบ้านทุกเช้าไม่ได้ขาด
ขณะที่ริโนะไม่เคยเห็นมารดาร่ำร้องให้กับคนรักที่ต้องจากไปในวัยเพียงแค่สามสิบสามแม้แต่ครั้งเดียว แม่จะยิ้มออกมาเมื่อได้ยินชื่อที่พิเศษที่สุดของเขา หรือกับรูปถ่ายซึ่งใบหน้าที่หล่อเหลาที่สุดในโลกของสองแม่ลูกจะยิ้มตอบกลับมา เมื่อไหร่ที่คุณย่ามาเยี่ยม กลับเป็นแม่ต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายคอยปลอบใจคุณย่าซึ่งยังคงทำใจรับไม่ได้ ทุกถ้อยคำที่พร่ำบอกแก่หลานสาวก็เหมือนจะเป็นเพียงการปลอบใจตัวเองที่แสนจะยากเย็นเท่านั้น
ริโนะรักพ่อ...และรู้ดีว่าแม่ย่อมต้องรักเขายิ่งกว่า หากเมื่อเวลาผันผ่านไป เธอก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าแม่ที่เหน็ดเหนื่อยเลี้ยงดูเธอให้เติบใหญ่ไม่น้อยหน้าใครจากงานแคชเชียร์ในห้างสรรพสินค้าคนเดียวตลอดมา ก็ควรที่จะได้มีใครสักคนมาคอยดูแลบ้างเสียที แม้แต่คุณย่าเองก็คิดเห็นตรงกันว่า “ลูกชายแม่จะต้องอยากเห็นคนที่รักมีความสุข” แต่คำตอบที่ได้รับนั้นกลับฟังแล้วน่าปวดใจยิ่งกว่า
“ความสุขของหนูยังอยู่กับหนูตรงนี้เสมอค่ะ”
ทำให้ไมตรีของเจสซี่ ลูอิส พ่อม่ายลูกสองที่เพิ่งจะย้ายมาอยู่ในแถบละแวกบ้านเดียวกัน อีกทั้งแวะเวียนไปซื้อของสดของชำที่ห้างสรรพสินค้าบ่อยๆ ก็ไม่เกิดความคืบหน้าใดๆ มากไปกว่านั้น ต่อให้เธอจะเอาใจช่วยจนแทบจะออกนอกหน้าเพียงไรก็ตาม
สุดท้ายในค่ำวันหนี่ง ริโนะก็อดปากเอาไว้ไม่ไหวเมื่อต้องเห็นเขาเดินคอตกกลับบ้านไปอีกคราว
“แม่ไม่สงสารคุณลุงเจสซี่เหรอคะ?”
“ความรักไม่ใช่เรื่องของความสงสารนะจ๊ะ”
“แต่เขาดูรักแม่มากเลยนะคะ หนูเชื่อว่าเขาจะต้องดูแลแม่ได้ดีมากแน่ๆ”
เรียกรอยยิ้มน้อยๆ จากหล่อน
“แม่รู้จ้ะว่าเขาต้องทำได้”
“แล้วทำไมล่ะคะ? ทั้งแม่ทั้งย่าเคยบอกหนูเองไม่ใช่เหรอคะว่าพ่อใจดีออกจะตายไป หนูคิดว่าพ่อคงไม่โกรธหรอกค่ะถ้าแม่จะลงเอยกับผู้ชายที่ดูแลแม่ได้”
“เรื่องนั้นแม่ก็รู้เหมือนกันจ้ะ” หล่อนยังคงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มที่ไม่เจื่อนจางลงไป เปิดตู้เย็นเก็บเค้กช็อกโกแลตพราลีนที่ได้มาทั้งปอนด์ใส่เข้าไป จากนั้นก็เปรยๆ ขึ้นมาว่าจะทำอาหารอะไรให้สามพ่อลูกบ้านลูอิสเป็นการตอบแทนดี เป็นอันยุติบทสนทนาถึงเรื่องก่อนหน้าเพียงแค่นั้น แต่ความรู้สึกที่ตกตะกอนอยู่ข้างในใจของริโนะนั้นยังคงไม่จางหายไปไหน
ทำไมแม่ถึงยังรักพ่อที่จากไปตั้งสิบปีแล้วได้มากถึงเพียงนี้กัน?
บางทีอาจเป็นเพราะว่าเธอไม่ได้รู้จักพ่อของตัวเองดีนัก นอกจากแค่ในเรื่องเล่าของแม่กับย่า ถ้าเพียงแต่เธอจะสามารถจดจำแววตาที่พ่อมีให้กับแม่ หรือความรักที่พวกเขามีให้แก่กัน ถ้าเป็นอย่างนั้น เธออาจจะได้เข้าใจถึงเหตุผลที่แม่ไม่คิดจะเปิดใจตัวเองขึ้นมาก็ได้
เป็นเพราะความรู้สึกที่เหมือนกับร่างกายถูกฉุดกระชากขึ้นจากแรงโน้มถ่วง พลันเรียกนัยน์ตากลมโตให้เบิกโพลง ก่อนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าไปเต็มปอด ความรู้สึกแรกที่ได้สัมผัสคือตัวเองไม่ได้กำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างที่ควรจะเป็น ถึงจะกำลังยืนอยู่ในชุดนอนแขนยาวกรอมเข่าที่จำได้ว่าใส่เข้านอน หลังจากจัดการช็อกโกแลตพราลีนไปหนึ่งส่วนแล้วแปรงฟันเข้านอนก่อนแม่ที่ยังคงทำอะไรก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่ในครัว นั่นเป็นเวลาราวๆ สามทุ่มครึ่งไม่ผิดแน่ แต่บัดนี้กลับมีแสงแดดเจืออ่อนสาดส่องเข้ามา ภายในระเบียงทางเดินของบ้านหลังที่เธอไม่คุ้นตาจนต้องเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความงุนงง ก่อนสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงกริ่งของประตูหน้าบ้านที่อยู่ห่างจากเธอไปไม่เท่าไหร่ ตามมาด้วยเสียงสนทนาที่ดังแว่วมาจากชั้นบน
“คงจะเป็นเพื่อนฉัน เธอทำตัวดีๆ นะ”
“พี่ควรจะดูแลฉันต่างหาก ไม่ใช่นัดเพื่อนมาที่บ้านแบบนี้!”
“เธอต่างหากที่มาทีหลัง ฉันนัดหมอนั่นมาตั้งชาตินึงแล้ว ส่วนเธอเพิ่งจะถูกคุณป้าเอามาฝากไว้ที่บ้านฉันไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง อย่าวุ่นวายมากนักเข้าใจไหม ยัยกาฝาก!”
“ฉันจะเตะก้นพี่ให้หงายเลย!”
น้ำเสียงของพวกเขาใกล้ขึ้นมาเรื่อยๆ ริโนะจะบอกพวกเขาว่าอย่างไรดีกับสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ ในเมื่อเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรก็ไม่รู้ หรือพวกเขาเป็นใครก็ไม่รู้ แต่ร่างของเด็กหญิงและชายหนุ่มที่วิ่งตึงตังลงบันไดมากลับผ่านร่างของเธอไปเหมือนกับ...ผี!
“พอได้แล้วน่า คิโนะ!” เขายกมือขึ้นปัดป้องตัวเองจากการประทุษร้าย ไม่ได้มีท่าทางหงุดหงิดนอกจากรำคาญ และเด็กผู้หญิงเจ้าของชื่อต้นที่ริโนะรู้จักเพียงแค่คนเดียวในชีวิตก็จะยอมถอยทัพแต่โดยดีหลังคำพูดที่ว่า “อายเพื่อนฉันหน่อย”
“โทษที วันนี้คุณป้าบ้านข้างๆ เอาลูกมาฝากเลี้ยง หวังว่านายคงไม่ถือสานะ โชริ นี่คิโนะ คิโนะ นี่โชริ”
ท่ามกลางความตื่นตะลึงอย่างที่สุดกับริมฝีปากที่อ้าค้าง ริโนะ ซาโต้ได้ตระหนักแล้วว่าเธอไม่ได้เป็นผี วิญญาณของเธอไม่ได้หลุดออกมาจากร่าง และนี่ไม่ใช่แค่ความฝันธรรมดาทั่วไป แต่เธอได้ย้อนกลับมาในช่วงเวลาที่พ่อกับแม่ได้พบกันอย่างที่ปรารถนาว่าจะได้เห็นต่างหาก!
_______________
ความคิดเห็น