คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #71 : DEAD END IN TOKYO ~2/4~
๓
ถ้ามีใครสักคนถามว่าเขาเกลียดครอบครัวตัวเองขนาดไหน เขาก็ไม่ลังเลใจเลยที่จะตอบไปว่ามากกว่าทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ทั้งแม่ที่ช่างประจ๋อประแจ๋ สิ่งที่สนใจเห็นจะมีแต่ว่าทำอย่างไรจึงจะหาเงินมาใช้จ่ายซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมและลิปสติกสีใหม่ๆ มากกว่าการต้องคอยมองดูลูกชายที่ต้องเผชิญปัญหาบ้านแตกสาแหรกขาดตั้งแต่ยังเด็กให้เติบโตอย่างอบอุ่นและเข้มแข็ง หรือจะพ่อใหม่ที่ดีแต่วางท่าอวดตัวเป็นคนฉลาดกะอีแค่ทำงานเป็นนายธนาคาร ซึ่งเขาก็ไม่เห็นว่าจะวิเศษวิโสอะไรตรงไหน และพี่ชายลูกติดทางฝ่ายพ่อที่อายุมากกว่าเขาถึงสิบสี่ปี จริงอยู่ว่าเขาเคยพบหน้าพี่ชายที่ได้แต่เรียกอย่างนอบน้อมว่า ‘คุณเรียวเฮ’ แค่ไม่กี่ครั้ง ขนาดจะเรียกว่าคนคุ้นเคยยังกระดากปาก ทั้งที่แทบจะไม่รู้จักนิสัยใจคอหรือเบื้องลึกเบื้องหลังมากไปกว่าที่ผู้ชายคนนั้นทำงานเป็นนักสืบในกรมตำรวจนครบาล แต่งงานแล้ว และย้ายออกไปอาศัยอยู่ที่เขตอื่นตั้งแต่ก่อนเขาจะเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้กับแม่เมื่อสามปีก่อน หากกลับมีบางอย่างในเค้าหน้า ท่าทาง อะไรบางอย่างในตัวผู้ชายคนนั้นที่ผิดแปลกจากคนอื่นทั่วไป เหมือนกับตัวอะไรสักอย่างที่หยิบหน้ากากรูปหน้ามนุษย์มาสวมใส่ แสร้งทำตัวเป็นมนุษย์เพียงเพื่อจะได้กลมกลืนกับโลกใบนี้ ทุกขณะที่รู้สึกเช่นนั้น ความเกลียดชังที่ก่อร่างก็ค่อยๆ แผ่ขยายจนยากจะระงับ เขาเก็บงำเรื่องราวไว้กับตัวเองและใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัวแต่เปลือกนี้ด้วยความเหินห่าง ทักทายกันด้วยคำว่า “อรุณสวัสดิ์” หรือ “ราตรีสวัสดิ์” นานๆ ครั้งเมื่อพบหน้ากันที่ห้องครัวหรือห้องนั่งเล่น อาจมีเพิ่มเติมเมื่อผลการเรียนออกกับคำด่าทอสารพันต่อเนื่องยาวนานไม่รู้จักจบสิ้น เขาเฝ้าอดทนอยู่ในสภาวะอึมครึมเช่นนี้มาตลอด คิดว่าไม่เป็นไร ด้วยความหวังว่าเมื่อเรียนจบแล้วจะย้ายออกไปให้ไกลที่สุดจากจุดสังคมกระจ้อยร่อยนี่แล้วใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ หากเขาไม่ต้องรอคอยยาวนานจนถึงวันนั้น จุดระเบิดของชีวิตในวันที่แย่ที่สุดก็มาถึง ทั้งการถูกเพื่อนสนิทแย่งสาวที่แอบปิ๊ง ไม่เป็นอันตั้งสมาธิอยู่กับกิจกรรมชมรมฟุตบอลที่ใกล้แข่งขันระดับเขต จนถูกโค้ชทั้งซ้อมและด่าซะจนอ่วม พอกลับบ้านมาก็ถูกพ่อเลี้ยงที่กำลังดูข่าวโทรทัศน์อยู่พูดจาค่อนแคะจากการกลับบ้านดึกด้วยน้ำเสียงตำหนิติเตียนว่า “หัดทำตัวดีๆ เหมือนพี่เค้าบ้างมันจะตายหรือไง!” ทั้งที่เรื่องกีฬาเขาไม่เป็นสองรองใคร แค่เพราะหัวสมองไม่ค่อยดีก็เลยถูกจัดลำดับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่เอาไหนในสายตาของนายธนาคาร ทั้งคู่คงเห็นเขาเป็นเพียงหุ่นชำรุดผุพังขณะที่พี่ชายคือสิ่งสมบูรณ์แบบ เขาจำได้ว่าตัวเองไม่ได้พูดอะไรนอกจากยืนจ้องหน้าคนๆ นั้นบนโซฟาห้องนั่งเล่น มีสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งนั่งเป่าเล็บอยู่ข้างๆ เหลือบแลมองเขานิดหน่อยแล้วเบนสายตากลับไปยังจอสี่เหลี่ยมบนผนังดังเดิมโดยไม่แสดงสีหน้า
และนับแต่วินาทีนั้น เก็นตะจึงได้เข้าใจ...
“ครอบครัวห่าเอ๊ย!”
เขาส่งสบถทิ้งท้ายด้วยความอัดอั้นเต็มกลืน ได้ยินเสียงตะโกนด่าทอไล่หลังตามมาซึ่งเขาไม่มีความคิดว่าจะหยุดรอฟังแต่อย่างใด เว้นแต่ยกนิ้วกลางขึ้นชูส่งไปให้ และหลังออกจากบ้านไปในคืนนั้น เขาก็ไม่ได้กลับไปเหยียบย่างมันอีกเลย
โกดังซอมซ่อของย่านเสื่อมโทรมในเขตตะวันออกได้กลายมาเป็นบ้านหลังใหม่ กลุ่มที่เรียกตัวว่า ‘คุซึ’ (สวะ) ก็กลายมาเป็นครอบครัวใหม่ คนเหล่านั้นบ้างเป็นเด็กกำพร้า บ้างก็หนีออกจากบ้านหรือแค่มาซ่องสุมเพราะเผชิญปัญหาครอบครัวคลึงคล้าย เขาได้รับความช่วยเหลือจากลีดเดอร์ของคุซึในตอนที่ร่อนเร่อยู่และถูกพวกนักเลงกระจอกซ้อมแทบปางตาย ลีดเดอร์บอกว่าเขาโง่มากที่ไปหาเรื่องกับพวกมันในจำนวนสี่ต่อหนึ่ง แต่ก็นับถือในความกล้าบ้าบิ่นเหนือมนุษย์มนา เมื่อหายดีพอจะขยับตัวได้ เขาขโมยมีดพกที่ฉกมาจากหนึ่งในสมาชิกกลุ่มคุซึ กลับไปยังจุดซ้ำเดิมด้วยหวังจะพบใครสักคนในหมู่พวกมันและเอาคืนให้ยิ่งกว่าสาสม
เขาได้พบพวกมันสมปรารถนา ทว่าในจังหวะที่ช้าไป
เมื่อเขาเดินลากขากะเผลก ทั้งปวดแปลบสีข้างจากเลือดสีเข้มที่ยังคงไหลซึมผ่านผ้าพันแผล แต่ยังคงมุ่งมั่นที่จะไป ทันใด เขาก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นสองนัดท่ามกลางพวกนักเลงสี่ตัวที่ยึดตรอกเน่าๆ นั้นเป็นแหล่งซ่องสุม คอยดักปล้นดักทำร้ายคนดวงกุดที่ผ่านไปมาเช่นเขาเมื่อต้นสัปดาห์ก่อน นัยน์ตาของเขาสะท้อนภาพแผ่นหลังของชายในชุดสูทสีดำสนิทที่ยกท่อนแขนเล็งวัตถุสีเงินไปเบื้องหน้า กระสุนหนึ่งนัดเจาะกลางหน้าผากทะลุออกเบ้าตาเหลือกลานของเหยื่อรายที่สองข้างหลัง ส่วนอีกหนึ่งนัดฝังอยู่ที่กบาลเหยื่อรายที่สามอย่างแม่นยำ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ตัวของเขาแข็งเกร็ง ทำได้แค่รับฟังเสียงแหกปากร้องลั่นของมันตัวเดียวที่เหลือ ซึ่งกำลังควงใบมีดพุ่งดิ่งเข้ามาอย่างที่เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันไม่เกรงกลัวจริงๆ หรือว่าขาดสติไปแล้วกันแน่ ทว่าชายผู้นั้นกลับเพียงแค่ยืนนิ่งค้าง ไม่เขยื้อนหลบไปไหน รั้งรอ จนร่างนั้นเข้ามาถึงในระยะประชิด ทันใด เสียงปืนอีกหนึ่งนัดสุดท้ายก็จะดังก้องไปทั่วบริเวณ เขามองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ชัดเจนเพราะแผ่นหลังของร่างสูงที่เบียดบัง กระทั่งร่างไร้วิญญาณของมันจะร่วงหล่น ใบหน้าฉีกขาดกระจายจากแรงปะทะระยะเผาขน ศพคนตายในสภาพเละเทะที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกทำให้น้ำย่อยของเขาคายขย้อน
และเมื่อนั้น ชายผู้นั้นก็ค่อยๆ หันกลับมา
เขาไม่มีวันลืมใบหน้าเปื้อนเลือดที่อาบรอยยิ้มและคำพูดติดตลกเหมือนไม่รู้สึกรู้สาในตอนนั้นได้ลง
“ฉันเผลอตัดหน้าฆ่าพวกมันไปซะแล้วล่ะ ขอโทษด้วยนะ”
เขาไม่ได้ถามหาเหตุผล เจ้าตัวเองก็ไม่ได้ปริปากว่าเพราะเหตุใด ครั้นชายผู้นั้นเดินลับจากไปด้วยรอยยิ้มเปรอะ ตัวของเขาก็สั่นสะท้านอย่างไม่อาจห้าม ความรู้สึกรุนแรงขับดันขึ้นมา จากนั้นเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมาจนสุดเสียง ทุกสิ่งที่เขาเคยสงสัยเกี่ยวกับชายผู้นี้ถูกต้องทุกอย่าง อาเบะ เรียวเฮ ลูกชายในฝัน พี่ชายต้นแบบ สามีสุดที่รัก ทั้งหมดก็แค่บทบาทที่เจ้าตัวละเล่นเพื่อล่อหลอกพวกมนุษย์สายตามืดบอดให้มัวเมา แท้จริงตัวตนลึกๆ ข้างในกลับเลวร้ายกว่าที่ใครจะคาดคิดถึง...ทั้งเกินกว่าที่ตัวเขาซึ่งเฝ้าเกลียดชังเป็นนักหนาจะคิดไปถึงเสียด้วยซ้ำ
เรื่องที่เขาล่วงรู้ในภายหลังคือการที่พี่ชายต่างสายเลือดคนนี้เลี้ยงหญิงสาวลูกครึ่งที่อายุน้อยกว่าถึงสิบปีไว้ด้วยเหตุผลทางเพศ หน้าตาของเธอสวยมาก แต่เมื่อกะเทาะออกมาก็มีแค่ไส้ในกลวงเปล่า แตกต่างจากพี่สะใภ้ที่เนิบนาบ อ่อนหวาน และเป็นของจริงชนิดคนละโยชน์ อันที่จริงเขาจะกดกริ่งประตูบ้านหรือยกหูโทรศัพท์ไปฟ้องเรื่องนี้กับพี่สะใภ้คนดีที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เมื่อไหร่ก็ได้ แต่เก็นตะในตอนนี้ไม่มีทั้งพ่อ แม่ พี่ชาย หรือพี่สะใภ้อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะครอบครัวอาเบะหรือมัตสึดะต่างก็เป็นเพียงสกุลไร้ค่าสำหรับเขาที่กลายเป็นสมาชิกครอบครัวคุซึอย่างเต็มตัว เขาตัดสินใจละทิ้งอดีตทุกอย่างไว้ข้างหลังจนหมดสิ้น แม้แต่ความเกลียดชังเดิมต่ออดีตพี่ชายนอกไส้ก็เช่นเดียวกัน
มิใช่ความต่ำช้าสามานย์นี้หรอกหรือ ที่แสดงถึงความเป็นมนุษย์แท้จริงยิ่งกว่าหน้ากากไหนๆ
เมื่อไหร่ที่ควันสีขาวขุ่นพวยพุ่งขึ้นเป็นสายสู่อากาศพร้อมกับไอเย็น เขาก็จะจ้องมองมันอ้อยอิ่งโดยไม่ทำสิ่งอื่นใดมากไปกว่านั้น ร่างที่นั่งทอดหุ่ยอยู่บนขอบปูนตรงไหล่ทางเดินยังไม่คิดจะขยับตัวไปไหนในเวลาอันใกล้ ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ที่นี่ตั้งแต่ก่อนราตรีโรยตัว กระทั่งแสงสีฉาบฉายบิลบอร์ดอิเล็กทรอนิกส์บนตึกสูงตรงกันข้ามจัดอันดับเพลงฮิตสิบอันดับยอดนิยมคั่นโฆษณาสิ่งบันเทิงเป็นหนที่สามได้ เก้าในสิบคือดนตรีสังเคราะห์ที่กลับมาบูมใหม่อีกครั้งเมื่อโตเกียวเดิมเปลี่ยนไปเป็นนีโอโตเกียว ราวกับการเปลี่ยนผ่านยุคสมัย แทบไม่ผิดแผกจากภาพจำของโลกไซเบอร์พังค์ที่เขาเคยเห็นในภาพยนตร์ฟิล์มนัวร์หรืออนิเมะช่วงก่อนและหลังยุคมิลเลนเนียมซึ่งนมนานมาแล้วเลย อาจเว้นก็แต่อนาคตในโลกแห่งความจริงนี้ไม่มีผู้ก่อการร้ายไซเบอร์ ไม่มีปัญญาประดิษฐ์ที่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง เราใช้ปัญญาประดิษฐ์ทางด้านอุตสาหกรรม หรือเป็นสิ่งบันเทิงอารมณ์ที่คนมีสตางค์เท่านั้นจะเอื้อมถึง แต่การควบคุมอำนาจโดยบริษัทยักษ์ใหญ่นั้นก็ไม่แน่ เพื่อนในแก๊งคุซึคนหนึ่งของเขาเป็นลูกชายคนเล็กของบรรษัทข้ามชาติ ความจริงภายใต้เบื้องหลังเงินภาษีที่รัฐบาลนำมาสร้างเมืองหลวงใหม่คือการเข้ามามีส่วนร่วมของบรรษัทข้ามชาตินี้ เราจึงได้เห็นผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อมูราคามิอยู่ทั่วนีโอโตเกียว จะบิลบอร์ดอิเล็กทรอนิกส์หรือโฮโลแกรมโฆษณาบนตึกสูงพวกนั้นก็ใช่ ไม่ว่าธุรกิจร้อยล้านพันล้านจะล้มระนาวกันมากเท่าไหร่ แต่หนึ่งในนั้นไม่มีทางใช่มูราคามิอย่างแน่นอน นึกถึงเรื่องเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นมาทีไรเขาเป็นอดคิดถึงพ่อที่เสียไปก่อนขึ้นชั้นมัธยมต้นไม่ได้ เขาไม่เคยลืมช่วงเวลาที่ได้อ่าน ‘ดู แอนดรอยด์ส ดรีม ออฟ อิเลคทริค ชีพ?’ และนั่งจับเจ่าดูแผ่นดีวีดีคร่ำครึเรื่อง ‘เบลด รันเนอร์’ และ ‘เดอะ เมทริกซ์’ ซึ่งผู้เป็นพ่อคอยแต่ยัดเยียดความชอบของตัวเองให้แก่ลูกชายหัวทึบอยู่เสมอ เขาอ่านหนังสือเล่มนั้นไม่เคยจบ ดูหนังเรื่องนั้นไม่เคยรู้เรื่อง แม้กระทั่งตอนนี้ เขาเกลียดปรัชญาหรืออะไรก็ตามแต่ที่ต้องมาตีความกันให้ยุ่งยาก แต่ถ้าเป็น ‘โรโบคอป’ หรือ ‘เทอร์มิเนเตอร์’ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
ควันจางลงแล้ว และเมื่อโปรโมชั่นวิดีโอของเพลงฮิตอันดับที่สิบหวนกลับคืนมาอีกหน เขาก็ขยี้ก้นกรองลงบนพื้น ทิ้งมันไว้อย่างนั้น ลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วขึ้นควบมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้ข้างตัวทะยานออกไป
๔
ความคิดถึงชีวิตที่ไร้แก่นสารเริ่มขึ้นเมื่อการกระทำซ้ำเดิมวนเวียนกลับมาไม่รู้ต่อกี่หน
วันไหนที่ไม่มีงานถ่ายแบบ ถ่ายวิดีโอ หรือว่าถ่ายหนังก็ตื่นนอนตอนหัวค่ำ กิน ดื่ม
จับคู่นอน ออกท่องราตรี
วันนี้ที่คลับเซเรนดิพิตี้ซึ่งเป็นสถานที่ซ่องสุมของพวกเธอก็ยังเป็นเช่นเดิมเหมือนกับทุกวัน
คู่รักประจำกลุ่มอย่างมัตสึมูระ โฮคุโตะและดาเตะ ทสึบาสะที่คบหากันยาวนานกว่าห้าปีหัวร่อต่อกระซิกขณะส่งแอลกอฮอล์ลงคอไปแก้วแล้วแก้วเล่า
ก่อนจะลุกขึ้นเต้นรำกันตามเสียงเพลงสังเคราะห์ที่เข้าครอบครองพื้นที่อึกทึก ขณะที่มูราคามิ
ลีแอนน์ ลูกสาวคนรองของมหาเศรษฐีบรรษัทข้ามชาติที่ร่ำรวยที่สุดในญี่ปุ่นตอนนี้ก็กำลังนั่งคุยกับบาร์เทนเดอร์ที่เธอจำได้ว่าชื่อเมกุโระอยู่ตรงเคาน์เตอร์
หล่อนไม่ได้พิสมัยบาร์เทนเดอร์กระจอกๆ เหมือนอย่างที่ใครหลายคนปรามาส
แค่ว่าคุยกันถูกคอในเรื่องสัพเพเหระทั่วไปได้และเป็นที่รับฟังปัญหางี่เง่าในชีวิตของเธอชั้นดีเพียงเท่านั้น
ส่วนข้างกันกับเธอก็คือเจสซี่ ลูอิส ผู้นั่งมองภาพเบื้องหน้าผ่านนัยน์ตากลวงเปล่าโดยไร้ซึ่งการจับจด
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาเปิดปากก็ไม่พ้นเรื่องค่อนแคะกระแนะกระแหนคนอื่น เขาไม่พูดจาสุภาพกับคนที่ถือว่าด้อยกว่า
— ซึ่งก็อาจจะหมายถึงทุกคนบนโลกใบนี้
— นอกจากหน้าตาอันหล่อเหลาแล้ว
ก็ดูเหมือนว่าชายผู้นี้จะไม่ได้มีอะไรดีให้น่าชื่นชมอีกเลย เธอเกลียดเขา และเธอก็เกลียดการต้องมานั่งแกร่วดื่มค็อกเทลอยู่ที่คลับห่วยๆ
นี่ เธออยากนอนหลับนานๆ ไม่ก็กลิ้งเกลือก หรือออกไปกินลมชมวิวอย่างที่มนุษย์ปกติพึงกระทำบ้าง
แต่เจสซี่ก็คอยแต่รบเร้าด้วยวิธีดื้อดึงสุดคลาสสิกที่ว่าถ้าเธอไม่ยอมไปด้วย
เขาก็จะแฉกับนางแบบรุ่นพี่ว่าเธอแอบไปมีอะไรกับสามีผู้กำกับของหล่อน ทั้งที่นั่นคือความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว
จากความใสซื่อที่เธอไม่รู้ว่าไอ้ผู้กำกับบ้านั่นมีภรรยาอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้น
นางแบบขายดีอย่างอิกาสะ ชิโนะ
ที่มีทางเลือกเรื่องผู้ชายตั้งมากมายชนิดว่าสับเปลี่ยนควงไม่ให้ซ้ำหน้าทั้งเจ็ดวันยังได้คงไม่หมดท่าไปเอาสามีคนอื่น
แถมยังแก่กว่าตั้งยี่สิบปีอย่างนั้นแน่ เธอคิดผิดมากที่เผลอเมาแล้วเปิดปากเล่าให้เจสซี่ฟังซะหมดเปลือก
ถ้าเป็นโฮคุโตะกับทสึบาสะคงจะพากันหัวเราะขำ ส่วนลีแอนน์อาจจะพาเธอไปชกหน้าตาผู้กำกับนั่นให้สะใจไปเลยก็ได้
แต่นี่คือเจสซี่ ลูอิส มนุษย์ที่เห็นความเดือดร้อนของชาวบ้านเป็นธุระของตัวเอง
เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาจะต้องมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของเธอนักหนา ตัดความเห็นที่ว่าเขาชอบเธอทิ้งไปได้เลย
เมื่อการเดินทางไปตั้งอาณานิคมที่ดาวอังคารยังจะเป็นไปได้เสียมากกว่า
ทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากเขาได้ ถ้าไม่ใช่เหตุผลข้อแรกว่าเธออยากออกวงการ
ก็คงเป็นเหตุผลข้อสองคือฆ่าเขาให้ตายๆ ไปเสีย
ครั้นเบื่อหน่าย เธอก็ยกค็อกเทลสีเขียวมะนาวที่เหลือดื่มจนหมดแก้ว
ลุกขึ้นแล้วขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เขากรอกนัยน์ตาเหลือบมองเธอนิดหนึ่ง
จากนั้นก็หยิบมวนบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบหลังช่วงเวลานิ่งเฉยยาวนาน
ทางเดินที่เชื่อมต่อไปยังห้องน้ำมีแชนเดอเลียร์สีม่วงแดงส่องไฟสลัวๆ
มีทั้งคนที่เมาฟุบหน้าหรือพิงตัวสลบอยู่ข้างทาง แน่นอนว่ามีคู่รักที่มาอี๋อ๋อแสดงความรักกันอย่างดูดดื่มโดยไม่สนใจสายตาของคนอื่นทั่วไปด้วย
เธอไม่ได้เข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเองหรือเติมเครื่องสำอางที่เลือนไปจากเครื่องดื่มในแก้วตามข้ออ้างที่บอกกล่าวแต่อย่างใด
หากเพียงหยุดยืนเมื่อเจอทำเลเหมาะเจาะ ล้วงหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาเลื่อนอ่านข่าวสารบ้านเมืองต่างๆ
เป็นการฆ่าเวลา มันไม่ใช่บรรยากาศที่สะดวกสบายหรือว่าดีเด่อะไรนัก
ยิ่งถ้าเทียบกับโซฟาเบาะนุ่มที่จากมา
แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังดีกว่าการนั่งอึดอัดอยู่กับเจสซี่ในวันที่เขาไม่เปิดปากพูด
ซึ่งแน่นอนว่าเธอเองก็ไม่ได้นึกอยากเปิดปากพูดกับเขาเท่าไหร่อยู่แล้ว
วันนี้ไม่มีข่าวน่าสนใจให้อ่านมากนักนอกจากข่าวส.ว.โกงงบประมาณที่เล่นต่อเนื่องมาได้หลายวันแล้ว
เลยหย่อนมือถือเก็บกลับลงไปในกระเป๋าสะพายเพียงช่วงเวลาอันสั้น ขอบุหรี่จากคนข้างๆ
มาสูบก่อนปล่อยควันสีขุ่นให้สุดปอด ยกมือขึ้นจัดแต่งเรือนผมระต้นคอสีทองของตัวเองแบบลวกๆ
กับกระจกเงาสี่เหลี่ยมบานเล็กที่แขวนริมกำแพง ลากรองเท้าบู๊ตหุ้มส้นกลับออกไป
หากเลี้ยวลดไปทิ้งตัวนั่งข้างกับลีแอนน์ที่นั่งดื่มคนเดียวโดยไม่ได้พูดคุยกับบาร์เทนเดอร์คนสนิทของหล่อนมาสักพักใหญ่แล้ว
เธอไม่เห็นบาร์เทนเดอร์เมกุโระคนนั้น
มีเพียงบาร์เทนเดอร์ที่ชื่อนากามูระเป็นคนรับออเดอร์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดี
ทั้งที่อายุมากกว่า แต่กลับดูเหมือนว่าเขาจะเด็กกว่านั้นมาก ชิโนะคิดว่าเขาคงโกงอายุเพื่อทำงานในคลับกลางคืนเช่นนี้เป็นแน่
ถึงนีโอโตเกียวจะขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนไร้ความศิวิไลซ์
แต่กฎหมายในพื้นที่บางส่วนยังคงศักดิ์สิทธิ์ แม้จะหมายถึงข้อมูลปลอมๆ ที่พวกเขาแกล้งทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ก็ตามที
ในตอนที่เธอยกแก้วมาร์การิต้าซึ่งนากามูระเพิ่งจะเสิร์ฟให้ขึ้นจิบ
ลีแอนน์ที่นั่งหมุนเก้าอี้ออกมาทางด้านนอกฝั่งเคาน์เตอร์ก็จะกระทุ้งข้อศอกเข้ากับท่อนแขนของเธอ
“ชิโนะ ดู”
“เอ๊ะ? อะไรๆ?”
“เจสซี่”
ทันทีที่ได้ยินชื่อของชายคนที่เพิ่งจะจากมา เธอก็จะรีบเอี้ยวตัวหันไปมองยังโซฟาอันเป็นที่นั่งประจำกลุ่มด้วยความเร็วทะลุปรอท
แต่กลับไม่เห็นใครเลยให้สายตาเป็นต้องหันล่อกแล่ก จนลีแอนน์ต้องบุ้ยใบ้ไปยังม้าหมุนที่ประดับอยู่มุมหนึ่งของร้าน
มันขยับเขยื้อนอย่างที่เห็นในสวนสนุกหรืองานคาร์นิวัลไม่ได้ นอกจากเป็นเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งร้านสวยๆ
กับสาวน้อยหน้าแฉล้มที่นั่งเท้าศอกชันเข่าที่ยกขึ้นมาไขว่ห้าง
เออออรับฟังคำพูดของเพื่อนชายในกลุ่มคนเดียวที่ยังโสดของพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
“พนันเลยว่าหมอนั่นคงไม่ได้กำลังเห่าเรื่องคนอื่นให้สาวน้อยคนนั้นฟังอยู่แน่”
นั่นเรียกให้ชิโนะหัวเราะร่าไปกับมุกตลกของหล่อนที่รวนไปด้วยกัน
“พนันกันอีกอย่างไหมล่ะว่าหล่อนจะติดกับดักเจสซี่หรือเจสซี่จะติดกับดักสาวน้อยกันแน่?”
“หมายความว่ายังไง?”
“แอ๊บใสขนาดนั้นยังดูไม่ออกอีกเหรอ?”
“บ้า! เธอก็ไปว่าเค้า!” ว่าแล้วก็ตีแขนเพื่อนสาวที่หัวเราะคิก
แล้วเพ่งจ้องไปยังสาวน้อยลูกครึ่งหน้าตาสะสวย แม้แต่ผมสีเงินยาวของหล่อนก็ยังพลิ้วสลวย
ทั้งท่วงท่าและการพูดคุยของเธอก็ดูเป็นธรรมชาติแม้จะแฝงจริตไว้เล็กน้อย ชิโนะคิดว่าอาจเป็นเพราะหล่อนเองก็อาจสนใจเขาอยู่เหมือนกันก็ได้
ขณะที่ลีแอนน์จะเพียงถอนหายใจให้กับเพื่อนนางแบบผู้แสนจะอ่อนต่อโลก
ทั้งที่หน้าตาก็ดูเหมือนคนฉลาดกร้านโลกไม่ต่างจากเพื่อนในกลุ่มคนอื่นๆ
แต่กลับถูกผู้ชายสารเลวหลอกเอาได้ไม่รู้ต่อกี่ครั้ง
ไม่รู้ว่าเพราะงมงายในความรักมากเกินไป หรือว่าแค่โง่เฉยๆ กันแน่
หากยังไม่ทันให้สองสาวคนไหนได้เปิดปากพูดอะไรต่อ
อยู่ๆ เจ้าตัวก็จะเดินแยกออกมายังเคาน์เตอร์ให้ชิโนะต้องเลิ่กลั่ก ทำหมุนตัวหันไปจิบเครื่องดื่มในแก้วของตนเป็นการกลบเกลื่อน
แตกต่างจากลีแอนน์ที่ยังคงนิ่งเฉย
ไม่ปิดบังแววตาที่สบจ้องกันแม้เมื่อเขาจะเดินเข้ามาสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์และเท้าศอกยืนข้างหล่อนเลย
“คืนนี้นายคงไม่ไปต่อกับพวกโฮคุโตะแล้วสินะ”
“นี่คิดว่าใครเค้าจะง่ายเหมือนเธอกันหมดหรือไง?”
ถึงจะโดนต่อว่าอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนั้น
หล่อนก็จะเพียงหัวเราะหึ ยักไหล่ไหว “แหมๆๆ มาพูดอะไรโลกสวยอย่างการหารักแท้ในที่แบบนี้นี่ไม่สมกับเป็นเจสซี่
ลูอิสเลยนะ
เห็นสาวน้อยหน้าตาใสซื่อเข้าหน่อยเลยคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายคุมเกมอยู่ล่ะสิท่า
อ๊ะจริงสิ! นากามูระจ๊ะ เปลี่ยนเป็นเดอร์ตี้
เชอร์ลีย์ให้คุณหนูตรงโน้นแทนดีกว่านะ ฉันว่าคงเข้ากับหล่อนมากกว่าพริตตี้ อิน
พิงค์เยอะ” แล้วยกยิ้มเหยียดให้เจสซี่ที่กำลังแสดงสีหน้าบอกบุญไม่รับ
พ่นลมหายใจพลางยกแก้ววอดก้าที่ถูกเสิร์ฟมาให้ก่อนขึ้นดื่มในรวดเดียวหมด
“ก็แค่คุยกันถูกคอ”
“ฉันก็คุยกับบาร์เทนเดอร์ที่นี่ถูกคอเหมือนกัน
ยังไม่เห็นว่าจะต้องกะลิ้มกะเหลี่ยแบบนายเลยสักนิด”
“พวกนั้นมันกระจอก”
เขาพูดโดยไม่สนใจว่าบาร์เทนเดอร์ที่ว่ากำลังยืนชงเครื่องดื่มอยู่ข้างหลังเขานี้เอง
แต่อย่างกับว่าคนอย่างเจสซี่จะแคร์ เช่นเดียวกับนากามูระ หรืออาจหมายรวมถึงเมกุโระ
“แล้วแน่ใจได้ยังไงว่าพื้นเพของคุณหนูนั่นจะไม่กระจอกล่ะจ๊ะ
หืม?”
หล่อนใช้ปลายนิ้วเชยคางของเขาที่จะรีบปัดออกไปด้วยท่าทีรำคาญ
รอรับแก้วเครื่องดื่มบรรจุค็อกเทลสีชมพูที่ไม่ได้ถูกเปลี่ยนไปตามคำขอของหล่อน
แม้ทั้งชิโนะและลีแอนน์ต่างก็แน่ใจว่าเขาคงอยากปาแก้วเครื่องดื่มในมือใส่หน้าสวยๆ ของพวกเธอจนเต็มแก่จะแย่อยู่แล้วก็ตาม
“ฉันพนันหมดหน้าตักเลยว่ายัยคุณหนูนั่นคงเล่นงานอีตาเจสซี่จนหัวปั่น”
“โอ้โหลีแอนน์ ฉันล่ะนับถือที่เธอกล้าต่อปากต่อคำกับเจสซี่จริงๆ”
“ก็เพราะเธอเอาแต่ยอมนั่นแหละหมอนั่นถึงได้ใจ
แต่ต่อให้ฉันแนะนำอะไรไปเธอก็ทำไม่ได้หรอก เอาเถอะ!
คิดซะว่าฉันไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน” หล่อนว่า
ก่อนคว้ากระเป๋าถือใบสีเงินที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ขึ้นมาถือเมื่อลุกขึ้นยืน สะบัดหางม้ารวบสูงไปข้างหลัง
“ฉันจะกลับแล้ว พรุ่งนี้มีงานแต่เช้า เธอล่ะว่าไง?”
“ตามสบายเลย ฉันขอดื่มต่ออีกนิดแล้วค่อยกลับ”
“รีบกลับก่อนหมอนั่นจะโดนเขี่ยทิ้งแล้วมาพาลกับเธอดีกว่านะ
อ้อ และถ้าให้ดี ฉันว่าเธอน่าจะเลี้ยงเครื่องดื่มยัยคุณหนูนั่นแทนคำขอบคุณด้วยล่ะ”
ที่นั่งข้างกายเธอว่างเปล่าและไม่มีใครมาจับจองอยู่อีกนาน
กระทั่งมาร์การิต้ารสเปรี้ยวๆ เค็มๆ ที่เธอละเลียดจิบจะพร่องแก้วลงไป
เธอลุกจากที่นั่งสูง บอกลานากามูระที่ค้อมหัว กล่าวลาขอให้เธอมีค่ำคืนที่ดี
ครั้นลองเหลียวหลังมองดูก็เห็นเจสซี่กับสาวน้อยนางนั้นยังคงพูดคุยกันอยู่
อาจเพิ่มเติมตำแหน่งที่ทิ้งตัวนั่งข้างกันบนเจ้าม้าหมุนตัวนั้นจนเธอต้องทำตาโต
คิดถึงคำพูดของเพื่อนรักขึ้นมาจึงหันไปหานากามูระ สั่งเบียร์ยี่ห้อโปรดของเจสซี่และค็อกเทลอะไรก็ได้ให้แก่สาวน้อย
เธอลืมเหตุผลข้อที่สามไปได้อย่างไร — แค่ให้เจสซี่มีคนรักที่หมกมุ่นด้วยสักคน เขาก็เลิกกวนใจเธอแล้ว
ถึงอากาศคืนนี้จะค่อนข้างหนาว แต่ชิโนะก็ยังพอใจที่จะออกมารับสายลมเย็นข้างนอกมากกว่าอุดอู้อยู่ในคลับเซเรนดิพิตี้
กับเสียงดนตรีอึกทึก แสงไฟสีนีออนสลัว
และกลิ่นแอลกอฮอล์ผสมควันบุหรี่ที่คละคลุ้งกันไปหมด เธอไม่เคยนึกชอบที่นั่นเลย
ทุกอย่างชวนให้รู้สึกว่าน่าเบื่อไปหมด (ยกเว้นเครื่องดื่มที่เธอคิดว่าอร่อยดี)
บางครั้ง
เธอยังเคยนึกเบื่องานนางแบบที่ตนทำอยู่ซึ่งไม่เห็นจะมีอะไรมากไปกว่าการโชว์หน้าสวยๆ
อวดเรือนร่างของตัวเองให้คนทั้งประเทศดู แต่ถ้าไม่ทำ
เธอก็ไม่รู้ว่าจะไปทำงานอะไรที่ไม่หนักหนาแถมยังได้เงินมาง่ายๆ แบบนี้ ไม่ใช่เพราะหัวสมองไม่ดี
ความจริงคือเธอเป็นคนฉลาด มีผลการเรียนดีอยู่ในอันดับต้นๆ มาตั้งแต่เข้าเรียนชั้นอนุบาล
เสียแค่ขี้เกียจเกินไปหน่อยเท่านั้น
ยิ่งเมื่อประสบช่วงสภาวะตกต่ำหลังสงครามด้วยอีก ชิโนะจึงได้เข้าใจว่าเงินเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตมากแค่ไหน
เธอตั้งท่าจะเดินข้ามถนนเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว
ผู้คนมากมายเองก็เตรียมพร้อมออกเดินไปในเส้นทางเดียวกันกับเธอ แต่กลับมีเธอคนเดียวที่ถูกตัดหน้าจากผู้ชายรูปหล่อ
ในชุดสูทตัวยาวสีดำสนิทรับกับทรงผมสีทองสว่าง
เขาทันได้พูดอะไรนิดหน่อยที่น่าจะเป็นการเชื้อเชิญเข้าร้านในย่านโลกีย์ฝั่งตรงกันข้าม
หากเจ้าของริมฝีปากคู่สีแดงสดยังไม่ทันได้ทั้งตอบรับหรือปฏิเสธ
ร่างแบบบางในชุดเสื้อแจ็คเก็ตหนังก็จะถูกท่อนแขนแกร่งล็อกลำคอเอาไว้จากข้างหลัง
น้ำเสียงที่เธอแน่ใจว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิตเอ่ยขึ้นว่า “โทษที
ผู้หญิงคนนี้มากับฉัน” ความตกใจมีมากมายเสียจนเธอทำอะไรไม่ถูก
ได้แต่ปล่อยให้ชายแปลกหน้าผู้นั้นลากตัวไปตามทาง
แล้วโยนเธอแหมะขึ้นนั่งบนมอเตอร์ไซค์คันที่จอดอยู่ตรอกหนึ่งในฝั่งตรงกันข้ามไม่ไกล
แต่ก่อนที่เขาจะสวมหมวกกันน็อคให้แล้วพาตัวไปไหนต่อไหนในนีโอโตเกียวอันแสนกว้างไกลก็ไม่รู้
สติของเธอก็จะพลันกลับคืน กระเถิบตัวหนีลงมาหยัดยืนตัวชิดพิงกำแพงตรอก ละล่ำละลักถามปากคอสั่นว่าเขาเป็นใคร?
เป็นตอนนั้นเองที่เธอได้เห็นใบหน้าของชายเจ้าของท่อนแขนในแจ็คเก็ตยีนส์ผู้นั้นอย่างชัดแจ้ง
ควรเรียกว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มรูปหล่อวัยไม่น่าจะพ้นไฮสคูลที่มีเค้าหน้าเป็นมิตรภายใต้รอยยิ้มน้อยๆ
เมื่อถูกถาม ดูจากภายนอกแล้วไม่มีสิ่งใดน่าสงสัยหรือระบุว่าเขาเป็นโจรร้ายให้ชิโนะต้องนึกกังวลแต่อย่างใด
ถ้าลีแอนน์อยู่ที่นี่ด้วยหรือได้ยินเรื่องเล่านี้ในภายหลัง
หล่อนคงจะคืนคำทั้งหมดและบอกว่าอิกาสะ ชิโนะ คือผู้หญิงที่โง่เรื่องผู้ชายที่สุดในนีโอโตเกียวอย่างแน่นอน!
“มีคนบอกให้ผมตามหาคุณ”
“ตามหาฉัน?”
“นี่ ผมไม่ใช่คนน่าสงสัยอะไรหรอกนะ แต่ถ้าไม่ไว้ใจคุณจะกลับไปก็ได้
ผมไม่ได้บังคับอยู่แล้ว”
“แล้วที่ลากตัวมานี่ไม่เรียกว่าบังคับเหรอ?”
เขาหัวเราะ ยกมือทั้งสองขึ้นยอมจำนน “ก็จริง ถ้าเผื่อว่าคุณจะอยากคุยกับนายโฮสต์นั่นนานๆ
ล่ะก็นะ เอ...หรือว่าจริงๆ แล้วคุณอยากล่ะ?”
แก้มของเธอขึ้นสีระเรื่อเมื่อรู้สึกถึงคำพูดยียวนกวนประสาทจากใบหน้าเย้ยเยาะเชิงขบขันแบบนั้น
แต่ก็ยังทำตีเนียนร้องแหวไปว่า “ฉันเปล่าพูดอะไรสักหน่อย!”
“ถ้าเห็นใจนักคุณอยากกลับไปเสียตังค์ให้เค้าหน่อยไหมล่ะ?
คืนอากาศหนาวๆ แบบนี้เค้าจะได้ไม่ต้องออกมายืนหาลูกค้าอีก”
ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มแปลกหน้ายังคงชอบใจที่ได้เย้าแหย่จนหน้าเธอขึ้นสีกว่าเดิม
ไม่รู้เพราะความอายหรือว่าความโกรธกันแน่ หากเขาก็ทำให้เธอรู้สึกฉุนจนต้องเอื้อมไปฉวยหมวกกันน็อคในมือเขามาถือไว้กับตัว
พูดตะกุกตะกักขณะทัดเรือนผมของตัวเองทั้งสองข้างเข้ากับใบหู “ฉันไปกับคุณก็ได้! แต่รับปากนะว่าไม่ได้จะพาไปขายหรือไปฆ่าที่ไหน!”
“สบายใจได้ นั่นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของงานผมอยู่แล้ว”
“งาน?”
“ตามหาของไง”
“เอ๊ะ?” แต่เขาไม่รอให้เธอได้ปริปากถามอะไรอีกเมื่อสวมหมวกกันน็อคเต็มใบอย่างดีแล้ว เธอจึงทำได้เพียงใส่หมวก แล้วตามขึ้นไปซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์รุ่นคลาสสิกที่สภาพใกล้เคียงกับเศษเหล็กในสายตาของคนทั่วไป แต่เธอที่มีเพื่อนนายแบบที่สนใจเรื่องรถและเคยมาโอ้อวดให้ฟังบ้างก็รู้ว่ามันไม่ใช่ราคาที่ใครๆ จะจับต้องกันได้ง่ายๆ ถ้าได้ลองแต่งรถมากกว่านี้ราคาคงสูงลิบลิ่วขึ้นไปอีก คงจะเป็นลูกเศรษฐีที่ไหนล่ะมั้ง แต่ถึงต่อให้ใช่จริงๆ เธอเองก็ไม่ได้สนใจเพราะลำพังเงินของตัวเองก็มีกินมีใช้มากพออยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเธออยากจะคบหาลูกเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในญี่ปุ่นจริงๆ เธอเลือกจีบไม่พี่ชายก็น้องชายของยัยลีแอนน์เอาไม่ดีกว่าหรือ? ยังมีข้อสงสัยอีกมากมายอยู่ในหัวที่คิดว่าจะลองถามเขาดูเมื่อรถพุ่งทะยานออกไป แต่ความเร็วไม่ทันตั้งตัวทันทีที่เธอกอดเอวเขาหลวมๆ ก็จำต้องเปลี่ยนเป็นรัดแน่นขึ้น ได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจของเขาละล่องมา ความรู้สึกแปลกใหม่นี้ทำให้แม้แต่ชิโนะเองก็เผลอหลุดยิ้มกว้างไม่ได้ ถึงไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนับต่อจากนี้ แต่ถ้าเป็นเด็กหนุ่มคนนี้ก็คงจะไม่เป็นไร
_______________
ความคิดเห็น