คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #70 : DEAD END IN TOKYO ~1/4~
บทนำ
ตั้งแต่จำความได้ เด็กหนุ่มจากบ้านเกิดเมืองนอนทางตอนใต้ อาศัยอยู่ในอดีตเมืองศูนย์กลางทางการค้าซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดมาเป็นเวลานับร้อยๆ ปี กับวันคืนเหล่านั้นที่จะลับดับไปเมื่อสงครามระหว่างทวีปเดือดปะทุ เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ ณ เวลานั้น ไม่หลงเหลือสิ่งใดเว้นแต่ซากปรักหักพังแห่งความทรงจำขะมุกขะมอม และความเป็นอยู่อันสุดแสนจะแร้นแค้น จากบุตรชายเพียงหนึ่งเดียวของเจ้าสัวอสังหาริมทรัพย์ทั้งโรงแรมและศูนย์การค้าจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้เคยเสวยสุขบนกองเงินกองทอง กลับจบสิ้นลงไปในชั่วกะพริบตาเมื่อเศรษฐกิจทั้งประเทศล้มครืนลงไป เขาผู้คาบช้อนเงินมาเกิดเป็นเวลาสิบปีรับรู้ความเครียดขึ้งที่ก่อร่างภายในครอบครัว แม้พวกผู้ใหญ่จะพยายามไม่แสดงมันออกมาต่อหน้าทายาทผู้ร่วงหล่น ซึ่งไม่มีเบาะนุ่มใดมารองรับ เว้นก็แต่เสี้ยนหนามที่ทิ่มแทงให้เขาได้กระอัก ในปีที่สอง ปู่ของเขาเส้นเลือดในสมองแตก ก่อนจะสิ้นชีวิตในปีถัดมา จากนั้นในปีที่สี่ พ่อของเขาก็ฆ่าตัวตายเพื่อล้างหนี้สินนับพันๆ ล้านไม่ให้ตกไปถึงผู้สืบทอด แม่ของเขายอมสู้กัดฟันทำงานตั้งแต่ตอนเช้ามืดในตลาดปลา พอล่วงดึกก็ออกไปทำงานเป็นโฮสเตสในสแนคบาร์เพื่อหาเงินมาส่งเสียเลี้ยงดู และทันทีที่เรียนจบชั้นมัธยมปลาย เขาจึงออกมาจับงานพาร์ทไทม์เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเป็นภาระของแม่ผู้โรยราอีกต่อไป แม้กระทั่งการทนหลังขดหลังแข็งยกสินค้าหนักขึ้นโกดังเรือตลอดทั้งสัปดาห์ มันไม่ใช่ชีวิตที่สุขสบายเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขาจะมีสิทธิ์บ่นว่าอะไรได้ในเมืองที่กลายมาตกต่ำราวกับย้อนหลังไปสู่ยุคสงครามโลกเช่นนี้ และเมื่อเจ็ดปีบรรจบหลังจากการสูญเสียผู้บังเกิดเกล้า ผู้มอบชีวิตก็มาจากไปด้วยฝีมือของลูกค้าซึ่งมาติดพันจากความหึงหวง ทั้งอย่างนั้น เขากลับไม่มีน้ำตาหรือความเสียใจ ไม่มีสิ่งใดเลย แม้ความว่างเปล่า
จากนี้คงเหลือเพียงตัวลำพัง เขาคิดแค่นั้น ก่อนถ้อยเสียงจากมาม่าซังประจำสแนคบาร์ซึ่งแม่ของเขาเคยทำงานด้วยจะเสนาะก้องอยู่ข้างหู ในคืนงานศพที่แสนจะร้อนชื้น และเงียบเหงา
“แกอยากไปทำงานที่นีโอโตเกียวไหม?”
เพียงประโยคเดียวที่เปลี่ยนชีวิตนับจากนั้นของเขาไปตลอดกาล
๑
นีโอโตเกียวนั้นแสนจะศิวิไลซ์ — คิดถึงประโยคนี้ขึ้นมาทีไร เขาก็อดหัวเราะขันกับตัวเองไม่ได้ทุกที เมื่อเดินออกจากอพาร์ตเมนต์คับแคบราคาถูกซึ่งมาม่าซังช่วยจัดหาให้เขาใช้เป็นที่ซุกหัวนอนตั้งแต่เข้ามาใช้ชีวิตยังเมืองหลวงใหม่ บนพื้นที่เดิม หลังสงครามระหว่างทวีปครั้งใหญ่ที่สุดที่ทำให้ญี่ปุ่นแทบหลงเหลือเพียงชื่อและประวัติศาสตร์ ก่อนรัฐบาลจะดึงเม็ดเงินจากทุกภาคส่วนในการทุ่มสร้างเมืองหลวงใหม่ เพื่อหวังสร้างและขับดันเศรษฐกิจของประเทศให้รุดหน้า กลับคืนสู่ความเจริญอันเป็นเอกลักษณ์ลือเลื่องอีกครั้ง ใช้เวลาไม่ถึงสิบปี นครโตเกียวเดิมก็ได้กลายเป็นนีโอโตเกียวใหม่ที่ประดาไปด้วยตึกสูงเสียดฟ้า เทคโนโลยีล้ำสมัย บิลบอร์ดอิเล็กทรอนิกส์ขนาดยักษ์และโฮโลแกรมโฆษณาบริษัท ผลิตภัณฑ์ หรือกระทั่งเพลงใหม่ล่าสุดซึ่งขยันทำงานทุกวันไม่มีว่างเว้น จะกลางวันหรือกลางคืนก็ไม่เคยหลับใหล ความเจริญรุ่งเรืองอันรวดเร็วถึงขีดสุดในกระจุกเดียวนั้นเสมือนโอเอซิสกลางทะเลทรายร้าง เขาซึ่งขึ้นรถบัสมาจากเมืองรอบนอกเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย ทุกคนล้วนแสวงหาความเจริญทางวัตถุ จนความโสมมเริ่มแผ่ขยายเข้ามาพร้อมๆ กับทะเลไฟนีออน การควบคุมของทางการเริ่มเป็นไปได้ยาก พวกที่แต่งตั้งตัวเองเป็นนักเลงหรือยากูซ่าขาใหญ่เริ่มเข้ามามีบทบาทในพื้นที่โดยพยายามไม่เหยียบเท้ากันเอง ถึงแม้ว่าจะมีเหตุนองเลือดหรือตอตะโกหลายครั้งหลายหนในช่วงไม่ถึงสิบปีดีดักนี้ก็ตาม นีโอโตเกียวที่เคยเรืองศิวิไลซ์ไปทั่วทุกตารางนิ้ว บัดนี้กลับเป็นเพียงคำโฆษณา คือภาพลวงตาในดินแดนแห่งความฝันที่ไม่เคยจะมีอยู่จริง
นั่นเป็นเรื่องที่เขาได้ยินมาจากการทำงานเป็นคนชงเหล้าในคลับที่ชื่อเซเรนดิพิตี้ เป็นเวลาครึ่งปีแล้วที่เขาเดินทางเข้ามาที่นีโอโตเกียวตามคำชักชวนของมาม่าซัง หล่อนว่าหาตำแหน่งว่างในคลับที่คนรู้จักเป็นผู้จัดการอยู่ให้ได้ เขาตอบตกลงโดยไม่ลังเลใจ โอซาก้าเดิมไม่หลงเหลือสิ่งใดให้เขาถวิลหาอีกแล้ว เขาได้งานทำความสะอาดและขนของทั่วไปภายในร้าน ก่อนจะเลื่อนขั้นเป็นบาร์เทนเดอร์ในอีกสองเดือนถัดมาเพราะการขาดแคลนคนงานอย่างเร่งด่วนมาก จากการที่บาร์เทนเดอร์สองคนจะถูกพวกปล่อยกู้นอกระบบหิ้วปีกออกไป จำได้ดีว่าตอนนั้นเขากำลังตรวจเช็กสินค้ากับคนขับรถบรรทุกอยู่ ก่อนบาร์เทนเดอร์ที่ชื่อว่านากามูระจะเผ่นพรวดเข้ามาถามว่าชงเครื่องดื่มเป็นไหม? เขาตอบว่าพอทำได้ เพราะเคยไปช่วยงานแม่ที่สแนคบาร์มาบ้าง ผลงานในวันฉุกละหุกเป็นที่น่าพอใจ นากามูระจึงเป็นธุระยื่นเรื่องการเลื่อนขั้นเขาต่อผู้จัดการและสอนหลักสูตรการชงเครื่องดื่มอย่างเร่งรัดให้ เขาเรียนรู้ได้เร็ว ทำงานได้ดี ทั้งในด้านการพูดคุยหรือรสชาติเครื่องดื่ม คำว่า ‘เซเรนดิพิตี้’ น่าจะกล่าวแทนตัวเขา — เมกุโระ เร็น — ในตอนนี้ได้ดีที่สุด
งานบาร์เทนเดอร์ช่วยให้เขาได้รับฟังปัญหาหลายหลาก รู้จักผู้คนมากหน้าหลายตา พวกเขาส่วนใหญ่แสร้งทำเป็นว่ามีความสุขกับชีวิตดั่งฝันอันปลอมเปลือกภายในเมืองใหญ่ที่แสนเปลี่ยวเหงา หากเขาไม่เคยเปลี่ยวเหงา ไม่เคยรู้สึกถึงความหมายของคำนั้นมาแต่ไหนแต่ไร แต่ทว่าเป็นเพราะความเปลี่ยวเหงาของผู้คนที่ทำให้เขาได้รู้จักกับ...เธอ
เธอผู้นั้นอาศัยอยู่ข้างห้องของเขา ใบขับขี่ที่เจ้าตัวทำตกอยู่หน้าห้องพักซึ่งเขาหยิบมันมา ก่อนได้มีโอกาสคืนให้ในอีกหลายวันให้หลังระบุชื่อยาสึราโอกะ ซาราระ จากบ้านเกิดเข้ามาตามหาความฝันในนีโอโตเกียวหลังจากเรียนจบมัธยมปลาย เกือบถูกเอเจนซี่หลอกให้เล่นหนังผู้ใหญ่แต่ก็หนีรอดมาได้หวุดหวิด ความฝันที่จะได้เป็นดารานักแสดงชื่อดังเป็นเพียงการไขว่คว้าดวงดาวที่ไกลเกินเอื้อม ตอนนี้ทำงานอยู่ในโรงภาพยนตร์พอประทังชีวิตไปวันๆ เนื่องจากไม่สามารถบากหน้ากลับบ้านเกิดไปหาครอบครัวได้ เรื่องที่เธอเล่าไม่มีทางใช่ความจริงทั้งหมด และเขาก็รู้แน่แก่ใจว่าส่วนไหนที่เป็นนิทานซึ่งถูกแต่งเสริมขึ้นใหม่ คำยืนยันมาถึงไวกว่าที่คิดเมื่อไอ้หนุ่มมหา’ลัยห้องข้างบนชวนเขาขึ้นไปดูหนัง บอกว่ามีเรื่องเด็ดๆ จะให้ดู ตัวแสดงในหนังเรื่องนั้นก็คือเธอ แม้จะไม่ได้ใช้ชื่อว่าซาราระและผมของเธอก็ยังสั้นกว่าตอนนี้มาก แต่น้ำเสียงและใบหน้านั้นเป็นของเธอไม่มีผิดเพี้ยนอย่างแน่นอน สายตาที่เขามองเธอเปลี่ยนไป ชัดเจนเสียจนเธอเองก็รู้สึกได้ในคืนวันเดียวกันนั้น เป็นวันที่อากาศเริ่มเย็นสบาย บนราวบันไดสนิมเกรอะ
เธอเอ่ยถามสั้นๆ แค่ว่า
“ดูแล้วเหรอ?”
เขามองเห็นหน้าใบหน้าของเธอได้ไม่ค่อยชัดเจนเพราะดวงไฟตรงปลายทางเดินที่ติดๆ ดับๆ ที แต่ก็จ้องอยู่อย่างนั้น พยักหน้า
“แล้วจะเอายังไงดีล่ะ?” เธอหยุดยืนมองหน้าเขาจากบันไดสองขั้นต่ำกว่า หากก็จะทำให้ส่วนสูงของเธอเทียมเท่ากับระยะสายตาของเขาที่นั่งอยู่เกือบพอดิบพอดี
อีกครั้งที่เขาไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่ยื่นกระป๋องเบียร์ข้างตัวส่งพลางบุ้ยใบ้ให้เธอนั่งลง
แน่นอนว่าเบียร์แค่กระป๋องเดียวไม่สามารถทำให้ทั้งเขาหรือเธอเมาได้ ไม่แม้แต่จะกรึ่มๆ ด้วยซ้ำ แต่เมื่อหนึ่งกระป๋องหมดลงโดยไม่มีใครเปิดปากพูดอะไร เว้นแต่เสียงลมหายใจของกันและกันและรถราที่นานครั้งจะผ่านมาสักทีหนึ่ง อยู่ๆ เธอก็ลุกขึ้นไปสวมกอดร่างเขาจากข้างหลัง อย่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยกระทั่งในความคิดของตัวเอง เงียบงันกันอีกครู่หนึ่ง เขาจึงเอ่ย “หน้าอกของเธอมาโดนหลังฉัน” เธอสวนกลับด้วยน้ำเสียงอู้อี้จากใบหน้าที่ซบลงไปกับแผ่นหลังของเขาว่า “นี่...อยากทำหรือเปล่า?”
เขานั่งนิ่ง มองดูดวงไฟติดๆ ดับๆ ที่กำลังคิดว่าพรุ่งนี้เอาไม้มาตีให้มันพังไปเลยน่าจะดีกว่าหรือเปล่านะ? ความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ อย่างนั้นรังแต่จะคาราคาซัง ชวนให้หงุดหงิดใจสิ้นดี เพราะอย่างนั้นก็เลยบอกกับเธอว่า “งั้นลองดูก็ได้” แล้วขยับตัวหันไปประกบริมฝีปากที่เจือด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ กันทั้งคู่ มือหนาล้วงเข้าไปใต้เสื้อไหมพรมแขนยาวพร้อมกับเสียงครางเบาๆ ที่จะทำให้เขาหยุดชะงัก ซบหน้าลงกับลำคอของเธอและปล่อยลมหายใจอุ่นๆ รดริน จากนั้นก็เอ่ยบอกเธอด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
“เข้าไปในห้องดีกว่า”
เขาไม่ได้สนใจว่าจะเป็นห้องของเขาหรือเธอ แต่เพราะไม่มีใครอยากเสียเวลาล้วงกุญแจมาไขเปิดประตู จึงลงเอยที่ห้องซึ่งไม่ได้ล็อกประตูของเขา การตอบสนองของเธอนั้นดีกว่าภาพที่ได้เห็นบนจอทีวีรุ่นเก่าเมื่อตอนบ่ายเสียอีก เธอไม่ปฏิเสธความต้องการของตัวเองและเติมเต็มให้แก่เขาได้ทุกอย่าง วิดีโอเรื่องนั้น เธอเล่าให้ฟังว่าเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ถ่าย เพราะอยากได้เงินมาให้คนรักไปซื้อเสื้อผ้ารองเท้าลิมิเต็ดราคาแพงระยับ แต่หลังจากได้เงินก้อนทั้งหมดไป ไอ้หมอนั่นก็บอกเลิกเธอแถมควงเด็กผู้หญิงที่เป็นนางแบบผู้อ่านมาเย้ยเสียอีก “ใครจะเอาคนถ่ายเอวีมาเป็นแฟนลง! เขาพูดใส่หน้าฉันแบบนั้นเลยนะ ทั้งที่เป็นคนยุยงให้ฉันทำแท้ๆ” ด้วยความที่เรื่องอะไรจะยอมเจ็บใจคนเดียว เธอเลยใช้มีดพกกรีดเสื้อผ้าและรองเท้าลิมิเต็ดของเขามันซะตรงนั้นเป็นการทิ้งท้าย จบความสัมพันธ์ที่ทิ้งมลทินให้แก่ชีวิตเธอตลอดกาล เป็นเรื่องที่ทำให้เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาได้จากใจจริงเป็นครั้งแรกหลังจากเข้ามาในนีโอโตเกียวที่กลวงเปล่า คืนนั้น เขาจูบเธออีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากนั้น และวันต่อๆ ไป ไม่ใช่เพียงความสัมพันธ์ประเดี๋ยวประด๋าว แต่ฉันคนรักในหลังจากนั้น
เขาหยุดยืนรอสัญญาณข้ามถนน ห่อตัวเล็กน้อยจากอากาศเย็นของช่วงต้นฤดูหนาว และเมื่อไฟสัญญาณเปลี่ยนเป็นสีเขียว ฝีก้าวในรองเท้าหนังมือสองมียี่ห้อของเขาก็ออกเดิน
ท่ามกลางผู้คนที่ขวักไขว่กันนั้น พลันท่อนแขนข้างหนึ่งของเขาที่ซุกอยู่กับกระเป๋าเสื้อโค้ทสีดำสนิทตัวยาวจะถูกคว้าดึง ที่แยกนี้มีพวกผู้หญิงออกมาเรียกลูกค้า ทั้งประเภทชวนเข้าร้าน หรือเข้าโรงแรมทันใจ ปกติเขาจะแสดงท่าทีไม่สนใจและเดินผ่านพวกหล่อนไปเฉยๆ แม้จะถูกร้องเรียกอยู่บ่อยครั้งก็ตาม แต่ก็มีบ้างที่ถูกตื๊อ พอเจอเช่นนั้นเขาจะหันไปพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ถ้าคุณจ่าย ผมก็โอเค” ซึ่งได้ผลทุกครั้ง พวกหล่อนหาเงินจากผู้ชาย ไม่ใช่หาเงินให้ผู้ชาย แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะถูกกระทำแบบไร้มารยาทเช่นนี้ วันนี้เขารีบ จึงไม่ได้ปิดบังใบหน้าหงุดหงิดใจขณะหันขวับกลับไปมอง เตรียมเหวี่ยงท่อนแขนตัวเองแรงๆ ให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม ถ้าหล่อนไม่ขอโทษกันดีๆ ก็มีคำด่าอีกนิดหน่อยเตรียมไว้ให้เหมือนกัน หากทันทีที่ได้สบประสานสายตากับนัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้น ทุกอย่างก็พลันกลับกลืน
ท่ามกลางแสงนีออนที่มัวพร่า หรือนี่จะเป็นอีกหนึ่งภาพลวงตากันแน่
๒
ชีวิตของทาจิบานะ อาเกฮะไม่เคยประสบพบความสุขจากสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวอีกเลย เมื่อพ่อเสียไปในปีที่สี่หลังจากสงครามระหว่างทวีปดำเนิน แม้ว่าแม่ของเธอจะยังยืนหยัดอยู่เคียงข้างเธอในอพาร์ตเมนต์ที่คับแคบยิ่งกว่ารูหนู แถมยังมีกลิ่นเน่าเหม็นจากน้ำเสียในละแวกแถวนั้นอีกก็ตาม แต่ไหนแต่ไร เธอไม่คิดว่าแม่เห็นค่าของเธอมากไปกว่าหมูหมาที่เลี้ยงไว้ไปวันๆ เพื่อหวังผลประโยชน์ในวินาทีสุดท้าย จริงอยู่ที่หล่อนไม่เคยพูดจาด่าทอว่าร้าย หากก็ไม่เคยแสดงความรักใคร่ให้ได้รู้สึกเลยแม้สักครั้ง ฉะนั้นเธอจึงหวาดกลัวเป็นนักหนาว่าวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อพ่อไม่อยู่คุ้มหัวให้อีก ก็จะถึงคราวที่ผู้เป็นแม่จะได้กอบโกยผลประโยชน์ที่รั้งรอคอยมาแสนนานจากลูกสาวในไส้เสียทีไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เธอยอมรับว่าระแวงแม่แท้ๆ ของตนยิ่งกว่าใครคนใดในโลก เมื่อหล่อนจะพาเธอระหกระเหินจากโอซาก้าไปยังนีโอโตเกียวในอีกหนึ่งปีถัดมา
ถึงจะได้เงินประกันก้อนโตจากการเสียชีวิตของหัวหน้าครอบครัว แต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดให้สองแม่ลูกเอามาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้อย่างสิ้นเปลือง เธอจึงรู้สึกไม่ค่อยดีเมื่อหล่อนจับแท็กซี่พามาพักที่โรงแรมหรูใจกลางเมืองเช่นนี้ หากก็พอโล่งใจได้บ้างเมื่อหล่อนอ้างชื่อคนรู้จักสมัยที่ครอบครัวเธอยังทำธุรกิจส่งออกว่าเขายินดีจะแบ่งห้องพักในโรงแรมให้เป็นที่พักพิงชั่วคราวระหว่างสองแม่ลูกตั้งตัวในเมืองหลวงใหม่ ชื่อของคุณโซโนะซึ่งเคยให้ความเอ็นดูเด็กน้อยด้วยตุ๊กตาแต่งตัวสวยๆ อยู่เสมอจะทำให้เธอถอดเกราะป้องกันตัวแน่นหนาออก เดินลากกระเป๋าตามหล่อนไปยังห้องสูทชั้นหกสิบสามด้วยความทึ่งใจกับทิวทัศน์ของทะเลนีออนงดงามที่ได้พบเห็นบนบานหน้าต่างกระจกระหว่างทางเดิน ทุกอย่างดูช่างน่าอัศจรรย์สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในซากปรักหักพังมานานนับปี จนเหมือนกับว่าช่วงเวลาที่เคยพูนสุขนั้นเป็นโลกอีกใบในความฝัน เพราะมัวแต่ยืนเหม่อไม่ขยับตัวไปไหน หล่อนจึงตะโกนร้องเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงเจือแววตำหนิเป็นครั้งแรก นั่นทำให้เธอประหลาดใจไม่น้อย ด้วยหล่อนไม่เคยปรากฏอารมณ์ใดในยามร้องเรียกชื่อของเธอเลย จึงรีบกล่าวขอโทษแล้วก้าวไวๆ ไปถึงตัว
ก่อนความประหลาดใจจะเปลี่ยนโยงใยไปเป็นข้อสงสัย เมื่อได้เห็นชายวัยไม่เกินสี่สิบในชุดสูทมียี่ห้อ — แน่นอนว่าไม่มีส่วนไหนใช่คุณโซโนะที่เธอรู้จักเลยแม้แต่น้อย — กำลังยืนรอคอยอยู่กับหล่อนที่หน้าบานประตู เขาเอ่ยทักทายเธอและใช้สายตาโลมเลียตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่มีการปิดบังเจตนา ไม่ทันได้อ้าปากถามว่านี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น? ร่างของเธอก็จะถูกกระชากเข้าไปในห้องด้วยพละกำลังที่มากกว่า บานประตูงับปิดไล่หลังราวกับรู้จังหวะเวลา เธอรู้ดีว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของหล่อน แต่กว่าสมองจะประมวลเรื่องราวได้ทัน เขาก็ผลักเธอลงไปบนเตียงและเริ่มโลมไล้
“ได้ยินว่าเป็นเด็กลูกครึ่ง ไอ้เราน่ะก็อยากลองสักครั้ง แต่ไม่คิดเลยว่าจะหน้าตาสวยขนาดนี้”
“ย...อย่านะ!”
เธอดิ้นขลุกขลัก พยายามจะขืนตัวเพื่อให้หลุดพ้น แต่ดูเหมือนว่านั่นจะทำให้ไอ้เลวยิ่งชอบใจและเริ่มสอดมือเข้าไปใต้เดรสกระโปรง อาเกฮะไม่แปลกใจในสิ่งที่ผู้เป็นมารดาทำเลยแม้แต่น้อย เธอวาดภาพเหตุการณ์ทำนองนี้อยู่ในหัวเสมอว่ามันจะต้องเกิดขึ้นสักวันหนึ่ง เพียงแต่สิ่งหนึ่งแน่นอนคือเธอจะไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้นเป็นอันขาด! ทว่าสถานการณ์ไม่คาดฝันจากการเผลอไว้เนื้อเชื่อใจนั้นกลับยิ่งตอกย้ำความโง่เง่าและไม่ประสาในโลกนี้ให้แก่ตัวเอง เธอไม่คิดเลยว่าครั้งแรกจะน่ารังเกียจได้ถึงเพียงนี้ ทั้งสัมผัสและลมหายใจที่กำลังรดริน ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น พอยิ่งแค้นก็เลยมีแรงฮึดขึ้นมาเหมือนอะดรีนาลีนหลั่งแล่นไปทั่วร่าง ตัดสินใจรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเตะเข่าเข้าหน้าอกของไอ้เลวที่ไม่ทันตั้งตัวอยู่กับท่อนล่างของเธอ แล้วลุกพรวดลงจากเตียงเตรียมเผ่นหนีไปให้สุดไกล หากไม่ทันการณ์เมื่อข้อมือเล็กถูกคว้ากลับไปได้ รู้สึกถึงแรงบีบรัดเจ็บปวดจนคล้ายกับว่ากระดูกจะหักละเอียดคามือถ้าขืนยังไม่ถูกปล่อยพันธนาการ เขาส่งสบถด่า ตบหน้า และชกเข้าให้ที่ท้องหลายต่อหลายครั้งจนเธอกระอัก ถูกฉุดกลับคว่ำหน้าลงไปบนเตียงอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง ปล่อยน้ำตาให้รินไหล ในทุกขณะที่สัมผัสน่ารังเกียจเหล่านั้นแปดเปื้อนตัวเธอ
เดรสกระโปรงสีแดงถูกเลิกขึ้นจนเผยให้เห็นชั้นในและเนื้อหนังภายใต้นั้น ความหวังที่จะรอดเป็นศูนย์ อาเกฮะให้สัตย์สาบานกับตัวเองว่าถ้าเรื่องอุบาทว์นี้จบสิ้นเมื่อไหร่ เธอจะฆ่ามัน ฆ่าแม่ แล้วก็ฆ่าตัวตายตกไปตามกันทั้งหมด!
แต่ไม่ทันไร เธอก็จะได้ยินเสียงร้องลั่นของเขา น้ำหนักที่กดลงมาผ่อนลงจนไม่รู้สึก เมื่อกะพริบตาไล่หยาดหยด ดึงเสื้อลงและพลิกร่างกลับมาหงายตรงจึงได้มองเห็นคนที่กำลังก้มหน้ามองดูเธอ ไอ้สารเลวนั่นยังคงกรีดร้องไม่เป็นภาษา ทว่าเสียงที่ผ่านเข้าโสตประสาทของเธอชัดแจ้งที่สุดกลับมาจากถ้อยคำแผ่วเบาของคนตรงหน้า
“เธออยากฆ่ามันหรือเปล่า?”
ทีแรก อาเกฮะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดนั้น หากเมื่อต่อสู้กับความจุกที่ท้องและค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง จึงได้มองเห็นปืนสีเงินเงาวาววับกำลังจ่ออยู่บนขมับของไอ้สารเลวนั่นที่ถดร่างตัวเองจนชิดบานหน้าต่างซึ่งมองเห็นวิวภายนอกของเมืองซึ่งไม่เคยหลับใหล สวยสด แต่แสนโสมม เธอไม่มีความหวาดกลัวต่อภาพที่เห็น หรือชายแปลกหน้าทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างตัวเธอหนึ่ง และกำลังจ่อปืนอยู่ข้างไอ้สารเลวนั่นอีกหนึ่ง ทุกอย่างช่างราวกับฉากในละครเวทีที่กำลังเล่นสมจริงอยู่เบื้องหน้า กระทั่งเสี้ยววินาทีที่เด็กหนุ่มขยับสายตามาทางเธอ มันจึงได้ทีเห็นจังหวะกระโจนเข้าใส่ ด้วยความพยายามจะยื้อแย่งปืนจากคนที่ตัวผอมบางกว่า สัมผัสถึงความเป็นจริงกลับคืน จนเผลอถอยกรูดไปเมื่อคิดว่าไอ้สารเลวนั่นอาจจะเป็นฝ่ายกรำชัยในครานี้และกลับมาจัดการกับเธอต่อ แต่เขาที่ยืนอยู่ข้างเธอถึงเมื่อครู่จะทิ้งตัวลงนั่ง ค่อยโอบกอดร่าง จับคางของเธอเอาไว้ เสียงของเขานุ่มนวลพอๆ กับสัมผัสที่อ่อนโยน
“มองซะ”
ลูกนัยน์ตาสีฟ้าของเธอเพ่งจ้องภาพเบื้องหน้าโดยไม่อาจเบือนหนี ปืนสีเงินกระเด็นหลุดมือไปจากเด็กหนุ่มคนนั้น พร้อมกับหมัดหนึ่งที่กระแทกเข้าหน้าจนเลือดไหลซึมผ่านมุมริมฝีปากแตก เขาเดาะลิ้น ยกมือขึ้นป้าย ปล่อยให้มันกระเสือกกระสนวิ่งไปเอาปืนและหมายจะเอาชีวิตก่อนของตนจะถูกพรากไปอยู่ครู่ขณะเดียวเท่านั้นจึงบังเกิดฉากต่อมา รวดเร็วจนเหมือนกับมีใครกดปุ่มเร่งวิดีโอไปข้างหน้า ทั้งที่เธอแทบไม่ได้กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ แต่ก็มองไม่เห็นเลยว่าเด็กหนุ่มฉวยหยิบมีดพกออกมาจากไหนหรือตั้งแต่เมื่อไหร่ มือที่เคยลากไล้ผ่านผิวของเธอบัดนี้ถูกกรีดไปหลายแผล เลือดสีแดงพุ่งกระฉูดออกมาจนเปื้อนเปรอะ เช่นเดียวกับลมปากของมันที่ได้แต่สาปแช่งกรีดร้อง ทรุดฮวบร่วงหล่น
เขากระซิบข้างใบหูของเธออีกครั้ง
“ตอบมาสิว่าอยากฆ่ามันหรือเปล่า?”
ความหวาดกลัวของมันบัดนี้สาดสะท้อนอยู่ในแววตาของเธอ ยิ่งเมื่อเด็กหนุ่มจะจ่อปลายมีดแหลมคมเข้าลำคอพร้อมแทงทะลุได้ทุกเมื่อ แม้มองไม่เห็น อาเกฮะก็รู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าของตนกำลังกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เธอคิดว่าได้ยินเสียงหัวเราะของตัวเองหรือเปล่านะ? ไม่ต้องมีคำตอบใด เขาก็จะดันตัวเธอให้ลุกขึ้นเดินโซเซไปยืนอยู่เหนือร่างของไอ้สารเลวที่ทำร้ายและเกือบจะข่มขืนเธอ ปืนสีเงินอีกกระบอกหนึ่งถูกยื่นส่งให้ เพราะมือที่สั่นเทา เขาจึงช่วยจับท่อนแขนคู่นั้นให้ตั้งขนานมั่นคง
“ไอ้สารเลวนี่ซื้อเด็กแบบเธอมาข่มขืนตั้งไม่รู้กี่คนแล้ว”
ลมหายใจของเธอขาดห้วง
“และเธอจะไม่ใช่คนสุดท้ายด้วย”
“ฉ...ฉันไม่เคยข่มขืนใคร! มันเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยน! พวกหล่อนสมยอมเองทั้งนั้น! นี่เธอ...อาเกฮะจังใช่ไหม? ขอร้องล่ะ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเธอเลยนี่นา ปล่อยฉันไปเถอะนะ หรืออยากได้เงินเท่าไหร่ฉันก็จะให้”
มันละล่ำละลักอ้อนวอนร้องขอชีวิตราวกับเธอคือแม่พระผู้มาโปรด ช่างกล้าพูดเหลือเกินว่ายังไม่ได้ทำอะไร แล้วความเจ็บปวดที่ยังหลงเหลืออยู่จากการถูกทุบตีนี้จะให้เธอลืมมันไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ? ถ้าพวกเขาไม่เข้ามาป่านนี้เธอคงจะต้องเสียความบริสุทธิ์ครั้งแรกให้กับคนน่ารังเกียจที่มีรสนิยมชอบเด็กอย่างไอ้สารเลวนี่ไปแล้ว มือของเธอสั่นเทาจากหลากความรู้สึกที่ประดังประเดเข้ามายิ่งกว่าเดิมจนคนที่แตะประกบมันอยู่รู้สึกได้ เขาส่งน้ำเสียงอ่อนโยน “หายใจเข้า” อยู่ริมใบหู เมื่อไอ้สารเลวนั่นเห็นว่าเธอยังลังเล มันก็พลันพุ่งตัวเข้ามาหมายยื้อแย่งปืนจากเด็กสาวไม่ก็จับเจ้าหล่อนเป็นตัวประกันเสีย ทั้งอย่างนั้น เด็กหนุ่มกลับลดมือที่ถือมีดอยู่ลง ราวไม่สนใจต่อการกระทำอันอุกอาจเช่นนี้แม้เพียงนิด ริมฝีปากเปื้อนเลือดยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ขณะที่นิ้วของชายผู้นั้นจะเป็นตัวดันปลายนิ้วของเธอให้กดไกปืนไปเต็มแรง เพียงนัดเดียว เจาะทะลุเข้ากลางหน้าผากอย่างแม่นยำง่ายดาย รอยเลือดสาดกระเซ็นไปยังบานกระจก และตัวเธอที่ยืนนิ่งค้างอยู่เบื้องหน้ามันก่อนสิ้นลม ได้ยินเขาสั่งให้เด็กหนุ่มออกไปก่อนพร้อมกับปืนกระบอกที่ตกพื้นด้วย เสียงเนือยๆ ขานตอบรับคำ ทิ้งร่างเดรัจฉานไร้วิญญาณไว้กับยมทูตสองตนที่ยังมีลมหายใจ
มีเพียงความว่างเปล่าทุกขณะจิตที่เธอจับจ้องมองร่างนั้นอย่างเชียบงัน
ก่อนพิธีกรรมอันเงียบสงัดจะถูกทำลายลงเมื่อเขาจะผละจากการสำรวจร่างศพ เดินมาจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอ โน้มใบหน้าลงมาจนเกือบชิดแค่เพียงคืบและเอ่ยถามขึ้นว่า
“เธออยากไปอยู่ในกรงกับฉันไหม?”
และยิ่งใกล้...
“อาเกฮะ”
_______________
ความคิดเห็น