คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #267 : Dead Silhouettes (40% บางคนก้ปล่อยให้ dead ไปจากใจดีแล้ว)
U N H A P P Y _ W O M A N
(หญิงไร้สุข)
ความไม่พอใจเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ราเคล โฮโซโนะ รู้ว่าจะต้องเสียเวลาช่วงสปริงเบรกของชั้นปีที่สองนี้ ไปกับการเดินทางไกลกว่าครึ่งค่อนวันมายังประเทศที่ไม่เคยอยู่ในสารบบความชอบ...กับผู้ชายที่ไม่มีวันชอบจนถึงขั้นเกลียด หากเมื่อพาหนะสองคันขับตามกันมาอย่างไม่เร่งรีบจนถึงบ้านของเขาอันเป็นจุดหมายปลายทางในหนึ่งชั่วโมง มันก็กลับระคนไปกับความรู้สึกไม่ชอบมาพากลบางอย่าง
“โอ้โห! นี่น่ะเหรอบ้านของฮิดากะ? สวยจังเลย!”
แม้ว่าราเคลจะไม่ปฏิเสธคำพูดของมิรา โมริชิมะ เพื่อนสนิทที่เปิดประตูข้างคนขับรถตามเธอที่นั่งอยู่ด้านหลังลงมา เมื่อได้เห็นบ้านปูนเปลือยสองชั้นหลังใหญ่ตั้งอยู่อย่างสันโดษ ริมทะเลสาบสีน้ำเงินเข้มตัดกับท้องฟ้าที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ในพื้นที่ห่างไกลซึ่งรายล้อมไปด้วยธรรมชาติสีเขียวชอุ่มยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิแบบนี้ แค่มองผ่านบานหน้าต่างกรุกระจกด้านหน้าเข้าไปก็จะเห็นการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ในโทนสีขาว ดำ น้ำตาล ดูหรูหราแสดงถึงฐานะ ให้ความรู้สึกแบบผู้ดีทุกกระเบียดไม่ต่างจากชายผมสีทองสว่างในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงสแลค และรองเท้าหนังสีดำเนี้ยบกริบราคาแพง ทว่าทั้งหมดเหล่านั้นคือสิ่งที่ทำให้ราเคลอึดอัด เหมือนอย่างที่เจ้าของบ้านนามฮิดากะ อุกิโชก็ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด ไม่ใช่แค่ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในรถกับสายตาคมปลาบที่เมื่อสบโอกาสก็จะหาทางจ้องดูเธอผ่านกระจกมองหลัง หากรวมถึงตลอดเวลาที่เป็นเพื่อนร่วมคณะเดียวกันในมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และราเคลก็รู้ว่าจะเป็นตลอดเวลาที่มาเยี่ยมเยือนบ้านของเขาในดินแดนปรีมอร์เย ประเทศรัสเซียด้วยเช่นกัน
“ไกลปืนเที่ยงตั้งขนาดนี้เลยนะ” ชุนสุเกะ มิจิเอดะที่ลงมาจากหลังรถอีกคันหนึ่งเอ่ยปากทักอย่างติดตลก เรียกรอยยิ้มจากเจ้าบ้านที่หันมองมา ไม่วายผ่านเลยมาทางเธอจนราเคลต้องรีบเดินหลบให้พ้นทาง
“ไม่อยากไปอยู่กับครอบครัวใหม่ของพ่อแม่ที่มอสโกน่ะ” ราเคลได้ยินเสียงของเขาตอบคำถามของชุนสุเกะ “ที่จริงบ้านหลังนี้เคยเป็นบ้านพักตากอากาศของลุง พอลุงตายก็ยกให้เป็นมรดก ทุกครั้งที่กลับรัสเซียฉันก็จะมาอยู่ที่นี่แหละ”
“ยังงี้ฮิดากะไม่เหงาแย่เหรอ?”
ตามด้วยน้ำเสียงแหลมเล็กซึ่งถูกดัดให้เกินจริงจนฟังดูน่าขันมากกว่าน่ารัก ขนาดที่ราเคลไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมองยังนึกภาพออกเลยว่าสีหน้าท่าทางของยัยอลิกิ ยานากะจะเป็นแบบไหน ส่วนมิราที่ยืนอยู่ข้างฮิดากะก็จะเบะปากมองบนโดยไม่ปิดบัง ในเมื่อยัยอลิกิเองต่างหากที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเธอโดยไม่มีเหตุผล ก่อนเพิ่มเติมมาเป็นศัตรูหัวใจด้วยเหตุผลที่ว่าหล่อนดันเกิดตกหลุมรักฮิดากะ และการที่หล่อนไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกับเขาเหมือนอย่างพวกเธอก็ย่อมแปลว่าไม่ได้รับเชิญมาด้วย แต่ยัยอลิกิก็ฉลาดไม่เบาที่เลือกบีบน้ำตาร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าเพื่อนสาวหัวอ่อนในกลุ่มอย่างลีล่า ทากาฮาชิ ยกแม่น้ำมาอ้างว่าถูกแฟนทิ้งเลยอยากหลบไปพักใจ โถ ทำไมราเคลจะไม่รู้ว่ายัยอลิกิต่างหากที่เป็นฝ่ายทิ้งเขาก่อนเพราะหวังว่าจะได้สานสัมพันธ์ทั้งทางใจ...หรือแค่ทางกายก็ยังดี...กับฮิดากะในทริปนี้
ยิ่งน่าหงุดหงิดเป็นบ้าเมื่อยัยอลิกินั่นแหละที่ทำให้ราเคลจำยอมต้องติดสอยห้อยตามมาด้วยทั้งที่ไม่ได้อยาก แต่ราเคลจะปล่อยให้เพื่อนสนิทต้องเผชิญหน้ากับคนที่เธอเชื่อว่าหล่อนกล้าพอจะจับคู่แข่งกดน้ำเพื่อกำจัดไปให้พ้นทางคนเดียวได้ยังไง!
“ฉันไม่เหงาหรอก”
ให้ราเคลต้องข่มอกข่มใจไม่ตะโกนสวนไปด้วยความหมั่นไส้ว่า “เพราะพาสาวๆ มาคั่วไม่ซ้ำหน้าทุกครั้งเลยสิท่า!” เมื่อมันจะไม่ได้กระทบกระเทือนแค่จิตใจของยัยอลิกิ (ที่เธออยากทำชะมัดยาด!) แต่โดยเฉพาะมิราที่ก็ตกหลุมรักฮิดากะหัวปักหัวปำ ทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าตัวไม่ยักกะเคยจริงจังกับผู้หญิงคนไหนแท้ๆ
ก็เพราะอย่างนั้นราเคลจะไปเป็นหนึ่งในผู้หญิงคนไหนของเขาให้ได้อะไรขึ้นมา
“แต่คราวนี้นายคงไม่เหงาแล้วแหละ พวกเรายกพลกันมาถล่มตั้งขนาดนี้” พอชุนสุเกะเย้ามา มิราเลยได้ทีรีบเปิดปากก่อนยัยอลิกิอย่างเร็วรี่ว่า “น่าเสียดายที่พี่ยูโตะไม่ได้มาด้วยกัน เนอะ ลีล่า” เอ่ยโยงไปถึงพี่ชายเจ้าของชื่อที่จะเพียงหันมายิ้มน้อยๆ เป็นการตอบรับ “ตอนแรกราเคลก็เกือบบินกลับบ้านไปด้วยอีกคนแล้วเหมือนกัน ค่อยยังชั่วหน่อยที่สุดท้ายเธอก็เลือกมากับเรา”
“ฉันจะพลาดโอกาสมาเที่ยวบ้านเกิดของเพื่อนพร้อมหน้าพร้อมตากับทุกคนแบบนี้ได้ยังไงกันล่ะ!” ราเคลตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มเริงร่าที่ปั้นแต่งอย่างเต็มที่ ไม่ลืมเน้นย้ำสถานะกับเจ้าบ้านที่เธอไม่อยากมองหน้าด้วยซ้ำให้ชัดเจน แล้วจึงหันกลับมาให้ความสนใจกับกระเป๋าเดินทางที่อยู่ท้ายรถโดยไม่สนใจต่อเสียงสนทนาที่ดังแว่วมาอีก กระนั้นก็ไม่ทันมือใหญ่ของใครคนหนึ่งที่จะตัดหน้ายกกระเป๋าเดินทางทั้งของเธอกับมิราลงมาให้
อาจเป็นครั้งแรกในรอบวันที่ราเคลยิ้มกว้างหลังจากเอ่ยคำขอบคุณออกมาได้โดยไม่มีการปั้นแต่ง เพราะอิวาซากิ ไทโชคือคนที่ทำให้ราเคลรู้สึกแบบนี้ได้เสมอ เขาอาจไม่ใช่คนช่างพูดช่างสังสรรค์เหมือนอย่างคนอื่นๆ ในกลุ่ม อันที่จริงเขาเข้ามาอยู่ในกลุ่มนี้ได้แค่เพราะเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็กของสองพี่น้องบ้านทากาฮาชิที่ลีล่าชักพามา แต่เขาก็เป็นเพื่อนผู้ชายในกลุ่มที่ราเคลชอบมากที่สุด ทั้งความใจดีมีน้ำใจผิดกับใบหน้าซึ่งมักจะนิ่งเฉย รอยยิ้มที่นานครั้งจะปรากฏหากก็ทำให้ใจของเธอสั่น แม้ว่ารูปร่างหน้าตาเขาอาจเป็นรองทั้งฮิดากะ ชุนสุเกะ และยูโตะ แต่ถึงอย่างนั้นราเคลก็ยังชอบไทโชมากที่สุด
และเธอไม่ได้หมายถึงแค่ในฐานะเพื่อนเพียงเท่านั้น
มิราตกหลุมรักเพื่อนผู้ชายในกลุ่มที่เธอก็รู้ดีมาตลอดว่าเขาตกหลุมรักเพื่อนสนิทของเธอเอง
ไม่ใช่สิ...สำหรับฮิดากะแล้วมันไม่ควรเป็นคำที่ลึกซึ้งขนาดนั้น ในเมื่อมิราไม่เคยเห็นเขาจริงจังกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน นับตั้งแต่ราเคลเป็นตัวตั้งตัวตีเข้าไปทำความรู้จักกับเขาหลังประกาศคะแนนสอบย่อยที่ออกมาดีมากเผื่อว่าจะได้ให้มาเป็นครูช่วยติว ส่วนมิรากลับสนใจรูปร่างหน้าตาที่ดีมากและคิดว่าอยากให้เขามาเป็นอย่างอื่นมากกว่า แต่การที่ฮิดากะเอาแต่คบควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าตลอดเวลาเหล่านั้นก็จะทำให้มิราได้แต่น้ำตาตกใน กระนั้นก็ยังไม่มีอะไรน่าเจ็บปวดใจเท่ากับข้อความจริงที่ว่าเขา ‘สนใจ’ เพื่อนสนิทของเธอ ซึ่งจะตีตัวออกหากอย่างจงใจไปเข้ากลุ่มกับพวกลีล่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เจอหน้า ไม่ใช่แค่เพียงเพราะว่าราเคลชอบผู้ชายหน้าตาธรรมดาซ้ำนิสัยยังน่าเบื่อหน่ายสำหรับมิราอย่างไทโช แต่เป็นเพราะหล่อนไม่อยากเข้าใกล้ฮิดากะที่เธอรักทุกเวลาที่เจอหน้าด้วยต่างหาก
ราเคลเกลียดนิสัยมั่วไม่เลือกของฮิดากะมากเสียจนพาลไปถึงเรื่องอื่นๆ ถึงขนาดเอามานินทากับเธอว่าบุคลิกลักษณะของเขาดูไม่เหมือนคนปกติเลยด้วยซ้ำ “เคยได้ยินข่าวผู้หญิงหายตัวไปที่ปรีมอร์เยบ้างไหมล่ะ? ไม่แน่ว่าบางทีเขาอาจเป็นคนลักพาตัวพวกเธอไปฆ่าก็ได้ ใครจะไปรู้” ให้มิราได้ฟาดแขนเพื่อนไปหนึ่งเผียะโทษฐานปากไม่ดี เพราะอย่างนั้นมิราถึงยอมรับว่าอดแปลกใจไม่ได้ที่ราเคลกลับยอมลงรับง่ายๆ เมื่อเธอก้มหน้าบอกเสียงอ่อนอ่อยว่า “ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังอยากเป็นคนรักของฮิดากะอยู่ดี”
แต่ก็ดีที่มิราไม่ต้องมาระแวงว่าวันหนึ่งเพื่อนรักจะมาแย่งคนที่เธอรัก แม้ว่าการได้เห็นสายตาของเขายามที่มองดูราเคลจะทำให้หัวใจของเธอปวดแปลบยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหน ไม่แม้แต่ยัยอลิกิที่ฮิดากะแทบไม่ได้ให้ความสนใจเลยด้วยซ้ำไป
ตรงกันข้ามกับหล่อนที่พยายามเรียกร้องความสนใจสุดชีวิต
นอกจากห้องนอนหลักบนชั้นสองที่มีแค่กล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างๆ ตั้งอยู่อย่างโดดๆ แล้ว ก็ยังมีห้องนอนแขกอยู่ด้านล่างอีกสองห้อง ทั้งที่พวกผู้ชายควรได้พักรวมกันหมดในห้องนอนใหญ่ของเจ้าบ้าน แต่คนนอกอย่างยัยอลิกิก็หน้าด้านเหลือใจด้วยการพุ่งตัวเข้าไปควงแขนขอนอนห้องหลักกับลีล่า แถเหตุผลข้างๆ คูๆ ที่ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลยว่า “เพราะเราสองคนเป็นผู้หญิง” อย่างกับว่าเธอกับราเคลที่ยืนหัวโด่อยู่นี่ไม่ใช่ผู้หญิง! ถึงแม้ว่ามิราอยากด่าสวนไปใจจะขาด แต่สีหน้าเนือยหน่ายของราเคลก็แปลว่าหล่อนอยากพักผ่อนเต็มแก่แล้วจนคร้านจะเปิดปากเถียง เพราะอย่างนั้นลูกคู่อย่างเธอเลยทำได้แค่ถลึงตาใส่และเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันต่อรอยยิ้มเยาะของนางแม่มดน่าเกลียด — ที่หล่อนจะหัวเราะได้แค่ตอนนี้แหละ — อยู่ในใจ
เพราะจำไว้เถอะว่าหัวเราะทีหลังย่อมดังกว่า
F A V O R I T E _ L O V E R
(คู่รักคนโปรด)
มันเป็นความโดดเดี่ยวขนาดที่ทำให้ราเคลซึ่งไม่ใช่คนขี้เหงา และเธอไม่ควรต้องเหงาท่ามกลางกลุ่มเพื่อนมากมายด้วยซ้ำ ยังรู้สึกพิกล
ถึงเธอจะไม่อยากชี้นิ้วโทษทุกอย่างใส่ฮิดากะที่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการหาโอกาสลอบมองดูเธอเหมือนอย่างที่เป็นมาตลอด แต่เหตุผลหนึ่งในนั้นก็เป็นเพราะเขา เพราะนี่คือบ้านของเขา และความกว้างขวางทั้งในตัวบ้านรวมถึงอาณาบริเวณรอบด้านไปจนถึงริมทะเลสาบก็ชวนให้ราเคลอดคิดถึงข่าวฆาตกรรมอันน่าพรั่นพรึงขึ้นมาไม่ได้ ในเมื่อบ้านเกิดของเธออยู่ไม่ไกลจากรัสเซีย ไหนจะแม่ที่ทำงานอยู่ในสถานีข่าว ราเคลจึงได้รู้เรื่องข่าวสารทั้งในและนอกประเทศอยู่เนืองๆ รวมถึงข่าวการหายตัวไปของหญิงสาวหลายรายที่ปรีมอร์เย ต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ตอนเธออยู่ชั้นประถม กระทั่งข่าวคราวจะเงียบหายไปตอนเธอขึ้นชั้นไฮสคูล ราวกับว่าฆาตกรหายตัวไปเฉยๆ หรือไม่เขาก็อาจลงมือได้อย่างแนบเนียนขึ้นแล้วเลือกเหยื่อที่จะไม่มีใครสงสัย
อีกทั้งบ้านพักตากอากาศไกลปืนเที่ยงของฮิดากะที่เคยเป็นของลุงวัยฉกาจฉกรรจ์ ทั้งใบหน้าหล่อเหลากับหุ่นกำยำซึ่งเธอเห็นมาแล้วในรูปถ่ายที่ห้องรับแขก ไม่ใช่เรื่องยากหากเขา...และฮิดากะ...จะล่อลวงหญิงสาวมาที่นี่แล้วใช้กำลังทำร้ายพวกหล่อน ถึงต่อให้กรีดร้องออกมาจนสุดปอดก็ไม่มีใครหน้าไหนจะมาได้ยิน จริงอยู่ที่จินตนาการของเธออาจกว้างไกลไปหน่อยในการกล่าวหาคนที่ก็ไม่ได้รู้จักดีด้วยซ้ำว่าเป็นฆาตกร แต่ลางสังหรณ์ที่ค่อยๆ ชัดเจนเข้มข้นเมื่อได้รู้จักฮิดากะดีขึ้นก็ทำให้ราเคลแน่ใจได้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนอย่างพวกเธอ
และเขาก็ไม่ใช่คนที่ผู้หญิงอ่อนหัดไม่รู้เท่าทันคนอย่างมิราควรจะจริงจังด้วย
แต่เพราะเรื่องหัวใจไม่ใช่อะไรที่ใครจะมากะเกณฑ์ได้ ราเคลถึงได้ไม่คิดทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักให้มิรากับผู้ชายที่เหมาะสมกับหล่อนมากกว่าอย่างยูโตะ หรือแม้แต่ไปห้ามไม่ให้มิราชอบ รัก หลง หรืออะไรก็ช่างกับฮิดากะ ไม่ว่าเธอจะมองเห็นเขาเป็นคนไม่ดี หรือซ้ำร้ายกว่านั้น...เป็นฆาตกร...ก็ตาม
แต่อย่างน้อยๆ ก็ยังมีช่วงเวลาที่ราเคลได้มีความสุขในบ้านหลังนี้
ไม่ใช่การนั่งนินทายัยอลิกิทุกเช้าค่ำกับมิราที่ไม่หน้าด้านพอจะไปเกาะแกะฮิดากะเป็นปลิงเหมือนหล่อน ไม่ใช่การเดินเล่นเลียบทะเลสาบกับลีล่าหรือนั่งปล่อยใจฟังเสียงร้องคลอกีตาร์เบาสบายของชุนสุเกะ แต่เป็นตอนที่เธอได้ทำอาหารกับไทโช ได้นั่งมองหน้าเขาตอนมื้อค่ำที่ทุกคนจะอยู่พร้อมหน้ากันหมดจากฝั่งตรงกันข้าม แม้ว่าพวกเขาจะแทบไม่ได้เปิดปากสนทนาอะไรกันมากนักก็ตาม แต่ทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่กับคนที่เธอรักก็ทำให้ราเคลแสนสุขใจ
ราเคลนั่งกอดเข่าเหม่อมองทะเลสาบอันกว้างใหญ่ พร้อมกับความคิดที่ล่องลอยไปไกลถึงไหนต่อไหนก็ไม่รู้อยู่คนเดียวลำพัง หลังจากที่ลีล่ากับชุนสุเกะขอแยกตัวไปใช้เวลาตามประสาคู่รักได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว กระทั่งเธอจะรู้สึกถึงเงาร่างของใครคนหนึ่งที่ทิ้งตัวนั่งลงบนผืนทรายข้างๆ หากเมื่อราเคลหันไปเห็นว่าเป็นใคร ใบหน้าที่อาบไปด้วยรอยยิ้มด้วยความดีใจเพราะนึกว่าเป็นเพื่อนสนิทคนใดคนหนึ่งก็จะหุบกลับลงไป
ทั้งอย่างนั้นฮิดากะก็หัวเราะออกมาอย่างไม่ถือสา
“ทำไม? เพราะฉันไม่ใช่ไทโชเหรอ?”
“และฉันก็ไม่ใช่อลิกิ” ราเคลยอกย้อนกลับไป ถึงรู้ดีว่ามันไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอะไรนอกจากขบขันก็ตาม
“อย่าทำเป็นพูดเหมือนไม่รู้อะไรหน่อยเลย ราเคล”
แต่อาจเป็นเพราะน้ำเสียงของเขาที่ทำให้เธออดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป
“แต่เผื่อว่านายจะไม่รู้นะ ฮิดากะ ฉันไม่ไว้ใจนาย ไม่ไว้ใจบ้านของนายเลยแม้แต่นิดเดียวด้วย! อย่าลืมสิว่าแม่ของฉันเป็นนักข่าวต่างประเทศ และในหมู่เพื่อนของเราทุกคน บ้านเกิดของฉันอยู่ใกล้กับที่นี่มากที่สุด แน่นอนว่าฉันย่อมต้องรู้ข่าวดังๆ ที่เกิดในปรีมอร์เยอยู่แล้ว อย่างเช่น...การลักพาตัวผู้หญิง”
ฮิดากะไม่ได้ระเบิดเสียงหัวร่องอหายอย่างที่ราเคลคิดว่าจะเป็น หากเขาเพียงยิ้มให้เธอขณะย้อนถามว่า
“คิดว่าฉันเป็นคนลักพาตัวผู้หญิงพวกนั้นเหรอ?”
หากราเคลก็เพียงแค่จ้องหน้าเขา
แต่ไม่มีทางที่คนฉลาดอย่างเขาจะไม่เข้าใจ เมื่อฮิดากะจะเป็นฝ่ายเสริมต่อไปว่า “หรือไม่บางที ฉันอาจเรียนรู้วิธีการเชิญชวน ลักพาตัว แล้วฆ่าสาวๆ พวกนั้นจากลุงที่เป็นคนทำตั้งแต่ตอนที่ฉันยังเด็ก รวมถึงรับมรดกเป็นบ้านไกลปืนเที่ยงหลังนี้เพื่อสะดวกต่อการทำเรื่องชั่วช้าทั้งหลายแหล่ เธอคงจะคิดอย่างนี้สินะ แต่ฉันก็ไม่โทษจินตนาการของเธอหรอก อันที่จริงมันทำให้ฉันคิดว่า...”
แต่ราเคลก็ไม่อาจทนรอฟังน้ำเสียงที่แผ่วลงจนเกือบเป็นกระซิบของเขาจนจบประโยคได้ เพราะใบหน้าเจ้าเล่ห์กับรอยยิ้มเคลือบยาพิษที่ยื่นเข้ามาใกล้ ให้ราเคลต้องรีบผุดลุกขึ้นยืน หากก็ไม่ทันมือหนาที่เอื้อมมาจับท่อนแขนเล็กของเธอไว้แล้วกระชากมันกลับลงไปด้วยเรี่ยวแรงที่ทำให้ราเคลเจ็บมาก และมั่นใจว่ามันต้องทิ้งรอยสีแดงเข้มมาก จนต้องหลุดร้องออกมา
“ทำบ้าอะไรของนาย!”
“ก็ลองจินตนาการเอาสิ เธอถนัดเรื่องแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
ราเคลพยายามยื้อยุดให้เขาปล่อยมือที่บีบแน่นเหมือนกับคีมเหล็กออก แต่ยิ่งขืนขัด เขาก็จะยิ่งกดเพิ่มแรงที่มีเหลือเฟือลงไปราวกับการลงโทษ และน้ำตาของหญิงสาวที่ถูกลงโทษทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไหลงลงมาอาบใบหน้าสีแดงก่ำจากทั้งความเจ็บ ความโกรธ แต่ที่มากกว่าคือความสิ้นหวัง
ก่อนที่ความหวังของราเคลจะถูกจุดประกายกลับคืนมา ผ่านเสียงตะโกนเรียกชื่อเธอของผู้ชายคนเดียวบนโลกที่ราเคลยินยอมให้เขาทำเธอเจ็บ แต่ไทโชก็ไม่ได้...ไม่มีวัน...ทำแบบนั้น สัมผัสที่จับท่อนแขนของเธอซึ่งฮิดากะสะบัดมันออกด้วยความหงุดหงิดเฉกเช่นเดียวกับสีหน้าที่ไม่ปิดบังอีกต่อไปของไทโชเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ที่เพียงแต่ถ้าราเคลเงยมองก็จะได้เห็นสายตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธจัดอย่างที่ไม่มีใครเคยเห็นจากผู้ชายคนนี้ที่จ้องสบกับอีกฝ่าย
และเมื่อไทโชพาราเคลกลับไปแล้ว ฮิดากะที่กำหมัดแน่นก็ได้แต่สบถออกมาด้วยความหัวเสีย
ทั้งที่คิดเอาไว้อยู่แล้ว แต่ราเคลก็ยังตกใจไม่น้อยที่ได้เห็นรอยช้ำบนข้อมือผอมบางของตัวเองชัดเจนขนาดนี้ ขนาดว่าเขาชอบเธอแท้ๆ แต่ฮิดากะกลับไม่มีความลังเลใจเลยแม้แต่น้อยในการทำให้เธอเจ็บ
ราเคลได้มั่นใจแล้วว่านี่ก็คือโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้ชายที่เธอเคลือบแคลงสงสัยมาโดยตลอด
ไม่เหมือนกับผู้ชายอีกคนที่พลิกท้องแขนของเธอขึ้นดูร่องรอยบนนั้น แล้วเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วงจากใจจริงเหมือนอย่างที่เขาเป็นมาตลอด ให้ราเคลได้เงยหน้าขึ้นสั่นหัวพร้อมกับรอยยิ้มบาง
“แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก ประคบเย็นเดี๋ยวก็หายแล้ว”
ทว่าจู่ๆ ร่างของเธอก็จะถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของคนตรงหน้า ราเคลได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อกับสิ่งที่อยู่แต่ในความนึกคิด ตรงกันข้ามกับไทโชที่เอาแต่พูดพร่ำขอโทษเธอซ้ำไปซ้ำมาทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ขณะที่มือใหญ่ที่ก็ลูบผ่านเส้นผมสีม่วงอ่อนของเธอไปมา อวัยวะเดียวของราเคลที่เคลื่อนไหวอาจมีเพียงหัวใจของเธอที่เต้นรัวแรงอย่างกับมีใครกำลังมารัวกลองอย่างไรอย่างนั้น
ราเคลไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว อาจเนิ่นนานหรือไม่ก็แสนสั้น หากในความคิดของเธอนั้นราวกับนิจนิรันดร์ ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงพูดคุยของลีล่ากับชุนสุเกะที่แว่วดังมาให้ไทโชได้ผละจากก่อนพวกเขาจะเดินมาถึงตัว
“ฉันขอตัวก่อนนะ”
ไทโชพูดทิ้งท้ายเพียงแค่นั้นก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินจากไป ทิ้งราเคลเอาไว้กับความสับสนและวุ่นวาย กระนั้นเธอก็ไม่อาจหยุดหัวใจที่เต้นตุบและรอยยิ้มที่ผุดพรายขึ้นมาได้เลย
_______________
_______________
ความคิดเห็น