คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #264 : NO SLEEP TILL TOKYO (part 1, หวานเหมือนขนมอินเดียที่ริวกะกินเต้มช้อนแล้วบอก...ก้อร่อยดีหนิ)
เฮียคุตะ รินเนะ ได้รู้ซึ้งถึงคำว่า ‘ชีวิตตกอับ’ พ่วงมาด้วยคำว่า ‘อับอายขายขี้หน้า’ อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุดหลังจากเหตุการณ์อันน่าอดสูในชีวิตเอาก็วันนี้นี่เอง
เธอหมายถึงวันประกาศรางวัลของนิตยสารแฟชั่นวัยรุ่นระดับแนวหน้าของประเทศ ที่รินเนะมั่นใจเลยว่าพวกเขาคงไม่มีทางยอมเชิญเธอมาด้วยแน่ถ้าไม่ใช่เพราะต้นสังกัดไปต่อรองเอาไว้หากอยากให้นางแบบดาวรุ่งพุ่งแรงในสังกัดอย่างฮายานะมาร่วมงานนี้ด้วย ไม่ใช่เพราะเหตุผลที่ว่าเธอเคยเป็นอดีตนางแบบประจำเล่มสมัยที่ยังเรียนอยู่ชัันไฮสคูล แม้จะไม่เคยขึ้นถึงอันดับหนึ่งแต่ความนิยมก็อยู่ในท๊อปห้ามาตลอดสองปีไม่มีตก และดูอย่างไรชีวิตของเธอก็น่าจะไปได้ไกลกว่านี้มาก ถ้าไม่ใช่เพราะภาพหลุดตอนออกจากเลิฟโฮเต็ลกับสมาชิกวงไอดอลชื่อดัง ซึ่งจะตามมาด้วยคำด่าทอสารพันจากแฟนคลับของเขา ต่อให้อยากด่ากลับด้วยนามแฝงแม้แค่หลังคีย์บอร์ดก็ทำไม่ได้ ที่แย่ที่สุดคือรินเนะไม่ได้เป็นอะไรกับเขาเลยด้วยซ้ำนอกจากคู่นอนคืนเดียวหลังจากถ่ายแบบในคอนเซปต์คู่รักด้วยกันแค่เพราะอารมณ์พาไป และข้อความจริงที่อาจเป็นข้อแก้ตัวที่เลวร้ายที่สุดก็ทำให้รินเนะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จำยอมต้องปิดปากเงียบตามคำสั่ง และพวกเขาก็ช่วยยืนยันให้เธอเงียบอีกแรงหนึ่งด้วยการไม่ป้อนงานให้อยู่นานหลายเดือน กระทั่งถูกบีบให้ต้องจบการศึกษาไปทั้งที่ไม่ได้ต้องการเลยในที่สุด
ทั้งอย่างนั้นรินเนะก็ยังพอมีโชคอันน้อยนิดเหลืออยู่ เมื่อมีค่ายเล็กๆ ติดต่อมาหลังหมดสัญญา ช่วยหางานให้เธอได้เล่นเป็นนักแสดงตัวประกอบในละครเล็กๆ (ส่วนใหญ่เป็นละครฉายรอบห้าทุ่มที่ใครมันจะไปดูก่อน) ไม่ก็นางเอกเอ็มวีวงอินดี้ไม่ค่อยจะดัง นานทีปีหนถึงจะมีงานถ่ายแบบอย่างที่เธอรักเข้ามาบ้าง ส่วนตอนไหนที่ไม่มีงานเข้ามาเลยก็ไปรับจ๊อบรับเงินเป็นสาวเสิร์ฟที่ร้านอาหารอิตาเลียนของพี่สาวกับพี่เขย ไม่รับอย่างเดียวคือคำด่าที่เธอจะทำหูทวนลมไม่ก็จึ๊จ๊ะใส่จนโดนโบกเข้าให้ตลอด
หลากหลายความรู้สึกระคนปนเปกันไปในตอนที่รินเนะแหงนคอมองดูการแสดงบนเวทีของวงไอดอลชายล้วน แม้ว่าพวกเขาจะเพิ่งเดบิวต์มาได้แค่สามเดือน แต่ก็กำลังได้รับความนิยมในหมู่เด็กสาววัยรุ่นมาก...เหมือนอย่างที่ครั้งหนึ่งเธอก็เคยเป็น
เป็นเพราะสถานะที่พลิกกลับหัวกลับหางกันนี้เอง รินเนะถึงได้ขุ่นข้องระคายใจเหมือนกับมีเสี้ยนหนามมาทิ่มแทง นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นใบหน้าของ...เขา
คนที่เป็นเจ้าของชื่อนามสกุลเต็มว่าอิวาซากิ ไทโช คนที่ฝากฝังคำด่าให้เธอเมื่อสองปีก่อนอย่างเจ็บแสบเข้าไปถึงทรวงจนน้ำตาร่วงเผาะด้วยความคับแค้นใจพร้อมกับข้าวของในห้องของเขาที่ก็ร่วงระเนระนาด คนที่เป็นแฟนคนแรกตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นปีที่สามจนถึงก่อนขึ้นชั้นไฮสคูลปีที่สอง คนที่รินเนะเคยตกหลุมรักรอยยิ้มน่ารักและความใจดีมากกว่ารูปร่างหน้าตาหมดทั้งใจ ทว่าสุดท้ายมันก็เปลี่ยนกลายเป็นความน่าเบื่อหน่าย ไม่ว่าจะท่าทางเหยาะๆ แหยะๆ หรือหน้าตาจืดๆ ชืดๆ ถึงอาจไกลห่างจากคำว่าแย่ แต่ก็ไม่ได้ดูดีเหมาะสมกับนางแบบวัยรุ่นหน้าตาน่ารักอย่างเธอ ให้รินเนะที่อยากสลัดทิ้งแทบแย่แต่ใจไม่กล้าพอเพราะกลัวถูกคนอื่นมองไม่ดีได้ทีสบโอกาสในตอนที่ใช้ความมีชื่อเสียงไปขอบอกเลิก ด้วยเหตุผลที่ว่าการได้เข้าวงการบันเทิงคือความฝันของเธอและการมีแฟนก็อาจไม่ส่งผลดีกับความนิยม แน่นอนว่าผู้ชายแสนดีอย่างไทโชย่อมยอมหลีกทางให้โดยไม่เรียกร้อง นอกจากขอคบเป็นเพื่อนกับเธอต่อไปแค่เพียงเพื่อให้ได้อยู่เคียงข้างแม้จะไม่ได้อะไรเลยก็ยังดี เพราะไทโชรักเธอตั้งมากมายขนาดนั้น รินเนะถึงได้คิดว่าเขาจะต้องเป็นฝ่ายยอมรับและคอยปลอบใจเธอเหมือนอย่างที่เป็นมาตลอด
เด็กสาวที่คิดถึงแต่เรื่องของตัวเองในตอนนั้นไม่เคยสนใจว่าความอดทนของคนเราย่อมมีขีดจำกัด อย่างการที่ไทโชจะแสดงด้านที่รินเนะไม่เคยเห็นตลอดสี่ปีที่รู้จักกันมาอย่างการตะโกนคำหยาบคายใส่หน้าเธอคืนกลับไป แล้วเตะโต๊ะที่เธอกวาดข้าวของไปทั่วห้องจนมันล้มเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดการกระทำหยาบคายที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนต่างหาก คำพูดทิ้งท้ายที่ว่า “จากนี้อยากไปคบกับใครไปเอากับใครที่ไหนก็ไปเลย ริน ฉันพอแล้ว ฉันเลิกโง่งมงายกับคนเห็นแก่ตัวอย่างเธอแล้ว!” ก็จะได้แต่ทำให้รินเนะกำหมัด กัดริมฝีปาก เดินปึงปังผลักหน้าอกของเขาที่ยืนขวางทางแล้วออกจากห้องไปโดยไม่คิดเหลียวหลังกลับมาอีก เหมือนกับที่ไทโชเองก็ไม่แม้แต่จะมองหน้าเธออีก ทั้งที่ก็ยังต้องเรียนร่วมห้องเดียวกันในช่วงชั้นปีสุดท้ายต่อไปอีกสามเดือน
ทั้งใบหน้าและบุคลิกของไทโชในตอนนี้เปลี่ยนไปจากเด็กหนุ่มน่ารักใสซื่อที่รินเนะคุ้นเคยดีจนดูราวกับเป็นคนละคน เขาดูโตขึ้นมาก เท่ขึ้นมาก แมนขึ้นมาก เป็นเพราะเสื้อผ้าแฟชั่นทันสมัยที่ดูดีกว่าเสื้อยืดกางเกงขายาวธรรมดาและทรงผมแสกกลางที่ไม่ใช่หน้าม้ายาวจนเกือบปรกตาเหมือนตอนที่ยังเด็กหรือเปล่านะ? — แม้ว่านัยน์ตาจะกำลังจดจ้องมองดู หากความคิดมากมายกลับวนเวียนอยู่ในหัวของรินเนะตลอดเวลาเหล่านั้น
กระทั่งบทเพลงดำเนินมาถึงท่อนหลัง กับท่าเต้นเตะขาตั้งไมค์จนแฟนคลับหวีดร้องกันแทบทั้งฮอลล์ พาให้รินเนะหวนย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์ที่เธอปณิธานว่าชาตินี้ชาติไหนก็จะไม่มีวันอภัยให้ผู้ชายที่ทำร้ายจิตใจเธอคนนี้เป็นอันขาด!
แต่เพราะอวัยวะที่เรียกว่าหัวใจไม่ได้มีเหตุผลเหมือนกับสมอง รินเนะถึงไม่สามารถห้ามจังหวะการเต้นที่รัวแรงขึ้นมาเพราะความเท่เป็นบ้าอย่างไม่น่าให้อภัยนั่นได้
และในวินาทีที่มุมริมฝีปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อมองลงมาสบตากับเธอหลังจากนั้น รินเนะก็จำจดวินาทีแรกสุดที่รอยยิ้มของไทโชเคยทำให้เธอตกหลุมรักขึ้นมาได้
อย่างที่กำลังรู้สึกอีกครั้ง ณ วินาทีนี้
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะ ริน”
มือไม้ของรินเนะที่กำลังยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจ่อริมฝีปากสีแดงเผลอสั่นเทาไปเล็กน้อย หลังจากได้ยินคำทักทายผ่านน้ำเสียงที่คุ้นเคยดีถึงดีมากโดยไม่จำเป็นต้องหันมองดูเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งไทโชยังเป็นคนเดียวบนโลกที่เรียกชื่อเธอแบบนั้นเพราะไม่อยากเรียกชื่อต้นที่เหมือนกับเพื่อนผู้ชายสมัยเด็กของเขา (ผู้ชายชื่อรินเนะฟังดูน่าตงิดอยู่ไม่น้อยสำหรับเธอ) ตามมาด้วยรอยยิ้มกว้างของเจ้าตัวที่จะเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกันที่โต๊ะสุดมุมหนึ่งซึ่งมีแค่เธอกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศลำพัง เพราะฮายานะที่มาด้วยกันถูกเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอางเรียกตัวไปคุยด้วยตั้งแต่เมื่อหลายนาทีก่อนแล้ว
ด้วยความที่เป็นงานอาฟเตอร์ปาร์ตี้เฉพาะคนใน พวกเขาจึงสามารถพูดคุยกันได้ตามสบายโดยไม่มีนักข่าวมาแอบถ่ายหรือแฟนคลับมาจับผิด หากรินเนะก็ไม่คิดว่าตัวเองมีความกล้าพอที่จะไปทักทายอดีตคนรักที่จบกันด้วยไม่ดี เหมือนกับที่ก็ไม่คิดว่าเขาซึ่งเคยโกรธเกลียดเธอพอๆ กับที่เคยรักเธอตั้งมากมายขนาดนั้นจะเป็นฝ่ายมาทักทายก่อน
แต่ไทโชก็ทำแบบนั้น
“ก็...ราวๆ สองปีได้แล้วมั้ง” รินเนะงึมงำตอบรับด้วยเสียงแผ่วค่อย
“ดูเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ สวยขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะ ผมสีทองแบบนั้นก็เข้ากับรินมากเลย”
“ไทโชเองก็ดูเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ” รินเนะสวนย้อนด้วยคำพูดเดียวกันกลับคืนไป พยายามข่มอกไม่ให้พูดว่าเขาเองก็หล่อขึ้นกว่าเดิมมาก! และทรงผมนี้ก็เข้ากับเขามาก! เหมือนกับที่ต้องข่มใจตัวเองไม่ให้ยกมือขึ้นลูบผมสีทองยาวดัดเป็นลอนสลวยที่เขาเพิ่งจะออกปากชมเป็นการแก้เก้อ เพราะไม่อย่างนั้นมันจะดูโจ่งแจ้งเกินไปจนส่อพิรุธ รินเนะเลยได้แต่เสยกแก้วเครื่องดื่มไปอีกหนแทน
“ก็ถ้าฉันยังเป็นคนเดิมอยู่ เธอคงเดินหนีไม่อยากคุยด้วยตั้งแต่แรกแล้วมั้ง”
คิ้วของเธอเลิกขึ้น ทั้งอย่างนั้นก็ไม่ได้ขยับริมฝีปากที่กำลังซ่อนอยู่หลังแก้วเครื่องดื่มเป็นคำถาม
“ตอนนี้ฉันเป็นไอดอลแล้ว มีชื่อเสียงแล้ว ไม่ได้ท่าทางปวกๆ เปียกๆ หน้าตาก็ซื่อๆ บื้อๆ เหมือนเมื่อก่อนที่เธอไม่ชอบแล้ว จริงไหมล่ะ?”
ให้รินเนะที่ตกใจสะดุ้งเฮือกสำลักเครื่องดื่มแล้วไอค่อกแค่กออกมาเล็กน้อย ขณะที่ไทโชก็จะฉีกยิ้มกว้างด้วยความขบขัน ก่อนเปลี่ยนเป็นความเย้ยหยันในตอนที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เอ่ยประโยคต่อไปผ่านระยะห่างเพียงแค่คืบว่า
“ตอนนี้ฉันคู่ควรกับนางแบบตกอับอย่างเธอเแล้วนะ ริน หรือควรต้องบอกว่าเกินกว่าจะคู่ควรดี?”
ทั้งใบหน้าและใบหูของเธอขึ้นเป็นสีแดงก่ำเพราะคำพูดตอกย้ำซ้ำเติมของเขา ส่วนหนึ่งมาจากความอับอายที่ย่อมต้องมีความโกรธเจืออยู่ด้วย แต่รินเนะจะไม่ปฏิเสธว่ามันมีความน่าตื่นเต้นบางอย่างในสีหน้า ท่าทาง คำพูดของเขาที่ทำให้อกใจสั่นไหวได้เคลือบแฝงอยู่ เหมือนอย่างที่รินเนะแอบคาดหวังจากอิวาซากิ ไทโชบนเวที...คนนั้น
“ฉันดูละครที่เธอเล่นหมดทั้งสามเรื่องเลยนะ กี่เรื่องๆ ก็มีแต่ฉากเปลืองตัวน่าดู อยากรู้จังเลยนะว่าอารมณ์ของเธอจะพาไปจนต้องชวนกันไปต่อเหมือนอย่างตอนที่มีข่าวกับคุณฟุคุโมโตะทุกครั้งไหม?”
ไทโชยังคงทำไขสือกับสายตาเย็นเยียบที่เธอทำเป็นแสดงออกมา แล้วพูดต่อไปด้วยรอยยิ้มในระดับเดิมไม่มีตกหล่นว่า
“ตื่นเต้นเหรอตอนที่โดนฉันพูดจาดูถูก? หน้าแดง มือสั่น หัวใจก็เต้นดังมาถึงฉันที่อยู่ตรงนี้ซะขนาดนั้น”
“หลงตัวเองชะมัดยาด!”
ซึ่งจะเรียกเสียงหัวเราะจากเขาที่รินเนะก็อยากบอกว่า โอ๊ย! น่าฟังชะมัดยาด!
“ฉันรู้จักเธอดีกว่าตัวเธอเองอีกนะ ริน”
“น้ำหน้าอย่างนายจะมารู้อะไรเหอะ!”
“ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเธอใจเต้นตอนที่ฉันเตะขาตั้งไมค์ เพราะมันทำให้เธอนึกถึงตอนที่เราทะเลาะกันเมื่อสองปีก่อน ทั้งที่อยากเกลียดแทบตายเพราะเธอโกรธฉันในตอนนั้นมาก แต่ก็ดันทำใจไม่ได้เพราะฉันในตอนนี้น่ะเท่เป็นบ้า จริงไหมล่ะ?”
ครั้นหย่อนระเบิดเรียบร้อยแล้วก็ขยับตัวผละไปหยิบแก้วโคล่าจากบริกรแล้วยกขึ้นดื่มอึก ด้วยไม่เห็นว่าการตอบรับหรือปฏิเสธให้ยิ่งเข้าเนื้อตัวเองจะเป็นเรื่องดี เพราะถึงยังไงเขาก็อ่านเธอออกอยู่วันยังค่ำจริงๆ นั่นแหละ รินเนะจึงไม่ได้เปิดปากพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว นอกจากเบือนหน้าหลบสายตาไปทางอื่นที่ก็ไม่ยักจะเป็นการพรวดพราดเผ่นหนีไปอย่างที่ไทโชแอบคิดว่าจะเป็น ให้เขาที่ก้มหน้ามองดูเธออดไม่ได้ที่จะหลุดยิ้มออกมา
“ยังจำเกมเซนเตอร์ที่เราเคยชอบไปได้อยู่ไหม?”
ใบหน้าที่ยังเป็นสีเรื่ออ่อนของรินเนะหันกลับมา เมื่อตอบกลับเสียงเรียบเรื่อยราวกับไม่ใส่ใจทั้งที่ไม่ใช่สักหน่อยไปว่า “จำได้ แล้วยังไง?”
“เราไปรื้อฟื้นความหลังด้วยกันเถอะ!”
“ใครจะไป...”
ทว่ารินเนะก็หลุดปากพูดออกมาได้แค่นั้น เมื่อไทโชจะคว้ามือของเธอแล้วพาฝ่าแขกเหรื่อในงานออกไปด้วยกัน มันเย็นเพราะไอจากแก้วเครื่องดื่ม แต่สัมผัสที่คุ้นเคยของมือที่ใหญ่กว่าซึ่งเลื่อนมาสอดปลายนิ้วกระชับจับกับเธอไว้แน่นไม่ช้ามันจะกลายเป็นความอบอุ่น หรืออาจเปลี่ยนกลายเป็นความร้อนฉ่าอย่างที่ผิวหน้าของรินเนะกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ เช่นเดียวกับหัวใจที่ทำท่าว่าจะระเบิดออกมาก็ได้
รินเนะคิดว่ามันเป็นเรื่องบ้าบอมากที่เกมเซนเตอร์เล็กๆ ขนาดไม่กี่คูหา ซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบของชั้นใต้ดินอย่างกับร้านลับ มีแต่ตู้เกมเก่ารุ่นพระเจ้าเหาซึ่งล้าสมัยไปแล้ว แถมลูกค้าก็ใช่ว่าจะมากมายอะไรขนาดที่บางคืนมีแค่เธอกับไทโชด้วยซ้ำ — อย่างเช่นในคืนนี้ — จะสามารถอยู่ยั้งยืนยงมาได้จนถึงทุกวันนี้ ทั้งที่บรรยากาศมืดสลัวของแสงนีออนสีม่วงน้ำเงินนั้นออกจะเป็นใจ แต่เธอกับไทโชก็ไม่เคยมาเพื่อเป้าหมายอื่นใด นอกจากการเล่นเกมตู้ด้วยกันบ้าง ช่วยกันบ้าง มากกว่าคือแข่งกันบ้าง และเขาที่เล่นเกมเก่งกว่าก็จะยอมอ่อนให้เธอชนะแทบทุกครั้งไป
รินเนะได้หวนรำลึกถึงช่วงเวลาเดิมๆ กับคู่หูคนเดิม เว้นก็แต่เขาที่เป็นคู่แข่งในเกมไฟท์ติ้งจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เหมือนเดิม แถมยังหัวเราะชอบใจเมื่อได้เห็นเธอฟึดฟัดเพราะกดท่าไม้ตายไม่เคยทันจนแพ้เรียบตลอด!
เพราะอย่างนั้นพอหมดเหรียญที่สามปุ๊บ รินเนะก็จะเดินสะบัดหน้าพรืดหนีไปที่โซนพักผ่อนตรงสุดมุมปั๊บ แม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกกระหาย แต่เธอก็กดเครื่องดื่มกระป๋องเย็นเฉียบจากในตู้มาเผื่อว่ามันจะช่วยดับร้อนในหัวให้ได้บ้าง ก่อนทิ้งตัวนั่งแหมะลงไปบนโซฟาคร่ำคร่าตัวยาวใกล้กันนั้น หากดูเหมือนว่าความต้องการของเธอจะไม่เป็นผล เมื่อไทโชจะตามมานั่งลงข้างกัน มือหนึ่งก็ฉวยคว้ากระป๋องโคล่าขึ้นดื่มจ่อปาก...ต่อจากเธอ!
ความร้อนในหัวดับของเธออาจดับลงไปแล้ว แต่ไม่ใช่กับเนื้อตัวที่กลับมาร้อนวูบวาบจนต้องเบือนใบหน้าเสมองดูบรรยากาศภายในร้านแทน
“รู้ไหมว่าเวลามาที่นี่ ฉันจะคิดว่าอยากจูบเธอตลอดเลย”
จังหวะของรินเนะเชื่องช้ากว่าไทโชที่ขยับเข้ามาใกล้ เช่นเดียวกับลมหายใจอุ่นร้อนของเขาที่รดลงมาใกล้กับริมฝีปากของเธอซึ่งแหงนเงยขึ้น
“ทั้งที่เราสองคนเป็นแฟนกันแท้ๆ แต่ดันเคยแค่จูบแตะปากกันไม่กี่ครั้ง แล้วตอนนั้นเธอคาดหวังจะให้ฉันรับได้ยังไงที่เธอไปนอนกับผู้ชายที่ไม่ได้เป็นคนรักด้วยซ้ำนอกจากแค่อารมณ์พาไป?”
“ก็นายไม่กล้าเริ่มเองนี่” รินเนะย้อน
“พูดอย่างกับว่าเธอกล้า” ไทโชเองก็สวน “หรือเพราะจูบของฉันมันแย่จนเธอคิดว่าเราคงไปต่อไม่ได้?”
“เพราะตอนนั้นฉันมีความรักที่บริสุทธิ์กับนายต่างหาก!” หนนี้รินเนะขึ้นเสียงกลับไปด้วยความพยายามบังคับไม่ให้สั่น แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากเย็นเต็มทีเช่นเดียวกับแววตาที่จ้องสบกับเขาโดยไม่หลุบหลบ “อีกอย่างนะ แค่จูบแตะปากจะเอาอะไรมาพิสูจน์ได้!”
และในวินาทีที่ไทโชเปล่งเสียงหัวเราะออกมา ทั้งที่แค่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้นก่อนเขาจะจับท่อนแขนข้างหนึ่งของเธอเอาไว้แล้วกดริมฝีปากลงมา รินเนะก็รู้สึกว่าเวลาช่างแสนเชื่องช้า หากจูบแรกกับรักแรกที่มากกว่าแค่การแตะปาก ด้วยปลายลิ้นที่เกาะเกี่ยวและมอบรสชาตินับพันให้เธอซับซาบจากจูบที่หวานล้ำและลึกซึ้งราวกับโหยหาต่อช่วงเวลาที่ขาดหายไปนั้นอยากให้เป็นนิรันดร์
_______________
_______________
ความคิดเห็น