คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #228 : Tomorrow Song
ฤดูหนาว, 2008
ในเมื่อเขาเป็นคนแรกที่อยู่กับเธอมาตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลกใบนี้
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรที่มัตสึมูระ โฮคุโตะจะรู้จักน้องสาวฝาแฝดอย่างมัตสึมูระ
โอริฮิเมะดีกว่าใคร เขารู้ว่าเธอชอบหรือไม่ชอบอะไร อย่างเช่นว่าเธอชอบฤดูหนาว
แต่ไม่ชอบอากาศหนาว และไม่ชอบในที่นี้ก็คือไม่ถูกด้วย
เพราะอาการหวัดคัดจมูกมักจะรุมเร้าอยู่เป็นประจำ ในช่วงฤดูหนาว
เธอจะเป็นคนแรกที่รีบบึ่งกลับบ้านหลังหมดคาบเรียนก่อนใคร
บางครั้งที่เขากลับถึงบ้านในช่วงหัวค่ำ
ก็จะพบเธอนอนขดตัวอยู่ท่ามกลางผ้านวมผืนหนาบนเตียงชั้นล่างไปแล้ว
ทว่าระยะหลังมานี้ ทุกเย็นในระหว่างเส้นทางกลับบ้าน หลังจากที่เขาเลิกซ้อมกีฬาหรืออาจแวะเที่ยวกับเพื่อนมา
สายตาก็จะทอดมองเห็นร่างที่คุ้นเคยนั่งแกร่วอยู่บนม้านั่งของสวนสาธารณะละแวกบ้านเงียบๆ
เพียงลำพัง เมื่อเขาเอ่ยปากถาม ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะปริปากไขขานเหตุผล
นอกจากเปลี่ยนหัวข้อสนทนาถึงเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย
บางครั้งก็เพียงแค่ชวนนั่งฟังเพลงด้วยท่าทีอ่อนล้าเต็มทน โฮคุโตะเกลียดที่ต้องเห็นเธอเป็นแบบนี้
แต่เขาก็ไม่เคยจะเอาชนะคนดื้อรั้นที่ทำตาแดงๆ
กอดแขนไม่ยอมปล่อยให้พากลับบ้านได้ลงสักที บางวันแสนสั้น แต่บางวันก็ช่างยาวนาน
กว่าที่เธอจะผุดลุกขึ้นยืนพร้อมเปล่งเสียงแผ่วๆ ว่า ”กลับบ้านกันเถอะ”
แล้วเดินนำเขาไปอย่างเชื่องช้าด้วยความเงียบงัน
ภายใต้เสื้อหนาวสองชั้นและผ้าพันคอผืนหนา
ที่ก็ยังทำให้มือบางทั้งสองข้างเย็นเฉียบและจมูกก็กลายเป็นสีแดงอยู่วันยังค่ำ
แล้วร่างกายของโอริฮิเมะที่ไม่เคยทนรับกับอากาศหนาวได้ไหวก็เริ่มอ่อนเพลียลงอย่างเห็นได้ชัด
ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอมักจะง่วงงุนและผล็อยหลับไปในระหว่างคาบเรียนบ่อยๆ แม้กระทั่งวิชาเรียนที่ชอบอย่างภาษาอังกฤษ
ทั้งที่มีอาการปวดหัวตัวร้อน แต่เธอก็ยังดึงดันที่จะมาโรงเรียน
ซึ่งนั่นผิดวิสัยของโอริฮิเมะที่เขารู้จักดี หากไม่ว่าจะใช้ความพยายามแค่ไหน
หรือถึงขั้นโกรธขึ้งใส่เธอสักเพียงไร เขาก็ไม่เคยได้รับฟังเหตุผลของการกระทำบ้าๆ เหล่านั้นอยู่ดี
และนั่นทำให้เขาเกือบจะเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ
โชคดีที่โฮคุโตะไม่จำเป็นต้องอดทนนานขนาดนั้น
เมื่อที่สุดแล้ว อาการของโอริฮิเมะก็จะย่ำแย่ลงไปในช่วงพักเที่ยงที่เธอโงหัวขึ้นจากโต๊ะเรียนไม่พ้น
จนต้องไปนอนซมอยู่ที่ห้องพยาบาล ทั้งที่เป็นความผิดของเจ้าตัว แต่กลับเป็นโฮคุโตะที่ถูกอาจารย์ห้องพยาบาลสวดชุดใหญ่ว่าเหตุใดถึงได้ปล่อยให้น้องสาวเป็นไข้สูงตั้งขนาดนี้ได้ ถ้าเพียงแต่เขาจะตระหนัก และยอมเป็นพี่ชายที่นานๆ ทีจะใจร้ายกับน้องสาวหัวดื้อคนนี้บ้างก็คงดี
แม้จะล่วงถึงระฆังหลังเลิกเรียน
โอริฮิเมะก็ยังคงนอนซมไม่รู้เรื่องอยู่อย่างนั้น อาจเพราะพิษไข้หรือไม่ก็ฤทธิ์ยา
จนเขาที่รบกวนจักรยานของรุ่นน้องต้องพยายามประคองแฮนด์จักรยานด้วยมือข้างที่ไม่ถนัดไปให้ได้
ขณะที่อีกข้างก็จับมือร้อนผ่าวของเธอที่พยายามเกาะเกี่ยวประสานมันด้วยกันไม่ให้ร่วงหล่น
ถึงอยากจะเร่งรีบ
แต่สิ่งที่เขาทำได้กลับเป็นไปอย่างเชื่องช้าเพื่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของเธอ
คนป่วยไข้มาได้สติก็ตอนที่ส้นรองเท้าคู่สีน้ำตาลก้าวลงมาหยัดยืนอยู่บนพื้นหน้ารั้วบ้านหลังเล็กของตนเอง
ภายใต้ท่อนแขนของโฮคุโตะที่กำลังประคองเธอเอาไว้อยู่ เธอค่อยๆ สั่นหัว
พยายามใช้เรี่ยวแรงอันน้อยนิดดึงแขนของโฮคุโตะให้หันหลังกลับ
“โฮคุโตะ! ไม่เอา! อย่าเพิ่ง...กลับบ้าน...เลย...นะ...” น้ำเสียงของเธอแผ่วผิว
พอๆ กับแรงกายที่ไม่อาจต่อสู้กับความเอาแต่ใจในครั้งคราวนี้ของโฮคุโตะได้
แม้ขอบตาแดงๆ คู่นั้นจะกำลังรื้นไปด้วยหยาดน้ำตาและคำที่เธอกล่าวขอร้องเขาว่า
“ได้โปรด”
“อย่าดื้อสิโอริฮิเมะ”
ไม่ว่าเธอจะพยายามแข็งขืนเพียงไรก็ไร้ผล
ยิ่งในสภาวะที่ตัวเองอ่อนแอถึงขีดสุดเช่นนี้
ภาพที่ไม่ชัดเจนอยู่แล้วยิ่งมัวพร่าภายใต้หยาดน้ำตาที่ไหลหลั่งลงมา กับการกระทำที่โฮคุโตะยังไม่อาจจะเข้าใจได้...ณ
วินาทีนั้น
ทันทีที่หมุนลูกบิดบานประตูเข้าไปโดยไม่ทันให้เขาได้อ้าปากส่งเสียง
พวกเขาก็จะได้เห็นภาพของชายคนที่ฝาแฝดบ้านมัตสึมูระเรียกว่าพ่อ กับผู้หญิงที่เคยเป็นครูสอนพิเศษของแฝดผู้น้อง
กำลังเริงรักกันอยู่ในห้องนั่งเล่น โดยไม่แม้แต่จะเลื่อนประตูปิด
ทั้งไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้เมื่อจะมองเห็นพวกเขาสองพี่น้องชะงักค้างอยู่กับที่ โฮคุโตะไม่เสียเวลาที่จะจ้องมองหรือรับฟังความไร้ยางอายจากคนทั้งคู่
เมื่อรีบพยุงร่างที่ก้มหน้าสั่นสะอื้นของน้องสาวกลับเข้าห้องนอนที่บนชั้นสอง
กดล็อกกลอนประตู ก่อนที่โอริฮิเมะจะเป็นคนโอบกอดแผ่นหลังของเขาไว้
กระซิบพร่ำคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมาให้แก่เขาอยู่อย่างนั้น
“ขอโทษนะ...โฮคุโตะ...ฉันขอโทษ”
และเมื่อความจริงทั้งหมดประจักษ์อยู่ตรงหน้า
โฮคุโตะก็ให้สัญญาว่าคนเดียวบนโลกใบนี้ที่เขาจะปกป้องตลอดไปก็คือเธอ
ฤดูใบไม้ผลิ, 2010
เสียงจอแจภายในห้องเรียนชั้นมัธยมปลายปี
3-B พลันค่อยๆ เงียบลงไปราวกับมีใครหมุนปุ่มลดความดัง
ทันทีที่เด็กสาวคนนั้นจะเลื่อนบานประตูเข้ามาในห้อง ก้าวเดินอาดๆ ไปอย่างไร้ซึ่งการใส่ใจต่อปฏิกิริยาของพวกคนเหล่านั้น
พวกคนที่โอริฮิเมะวางไว้ให้เป็นเพียงแค่กองขยะเน่าๆ
ไม่ได้มีค่าอะไรในสายตาหรือความรู้สึกของเธอเลย นับตั้งแต่เข้าเรียนชั้นปีที่สองถึงกระทั่งตอนนี้
ในสังคมอันน่าสังเวชของโรงเรียนเอกชนราคาแพงระยับ ที่ทุกคนต่างวัดค่ากันก็แค่จากเศษเงินและหน้ากากหลากอารมณ์ที่เสแสร้งปั้นแต่งเข้าหากันเท่านั้น
แต่แล้วยังไงล่ะ?
กับไอ้สายตาที่พากันจับจ้องมองมายังเธอที่เดินคอตรงเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัว
หากพื้นที่ตรงนั้นซึ่งควรจะมีโต๊ะและเก้าอี้ของเธออยู่
มาบัดนี้กลับถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า เธอเพียงเปล่งเสียงแผ่วๆ ออกมาเป็นประโยคคำถามว่า
“โต๊ะของฉัน...อยู่ที่ไหน?” กลับเป็นเสียงหัวเราะดังลั่นที่แว่วลอยเข้ามาในโสตประสาท
ก่อนน้ำเสียงของมูราคามิ ผู้เป็นเจ้าของที่นั่งข้างเธอและกำลังนั่งหันหลังให้จะตะโกนส่งน้ำเสียงเสียดเย้ย
“นั่นสิ อยู่ไหนกันน้า?” ก่อนลุกพรวดขึ้นมากอดคอเธออย่างถือดี ด้วยท่าทียโส
“ไหน
ใครที่ไม่อยากให้มัตสึมูระมาโรงเรียนแล้วช่วยยกมือขึ้นทีสิ”
ท่อนแขนของเจ้าตัวยกขึ้นนำเป็นคนแรก ก่อนที่ทุกคนในห้องจะกระทำตามหลังพร้อมเสียงเฮลั่นซึ่งรับกันดีกับเสียงหัวเราะทุเรศๆ เหล่านั้น ขณะที่โอริฮิเมะกวาดสายตาผ่านใบหน้าน่าเกลียดรอบตัว แล้วทันใด เธอก็จะระเบิดเสียงหัวเราะแรกในโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนี้ออกมา ด้วยเพราะไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน สรรพเสียงจึงถูกแทนที่ด้วยความเงียบงัน และใบหน้าอันหวาดระแวง
“ฉันจะไม่มาโรงเรียนอีก”
เธอเอ่ยเสียงเย็น
กลับหลังหันแล้วเดินฝ่าผู้คนที่พร้อมใจกันแหวกทางให้เธอออกไป
“รู้ไว้ซะว่าพวกแกก็แค่สวะ”
หากถ้อยคำสุดท้ายที่โอริฮิเมะเปรยทิ้งไว้โดยไม่หันมอง
จะทำให้มูราคามิวิ่งเข้ามากระชากที่ไหล่เล็กโดยไม่ทอนแรง ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะเดินพ้นจากห้องเรียนไปแล้วก็ตาม
ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของผู้เห็นเหตุการณ์ในช่วงเช้าบนระเบียงทางเดินก่อนเข้าเรียน
ทั้งอย่างนั้น
ร่างของคนที่ถูกผลักจนศีรษะไปกระแทกกับผนังก็ยังกล้าเงยขึ้นมาสบจ้องตากับคู่กรณีอย่างไม่สะทกสะท้าน
เธอคงไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเหตุผลของการกระทำทั้งหมดนั้นเป็นเพราะตัวเอง
ทั้งสายตาเฉยเมยที่ทำเป็นมองไม่เห็นหัวของคนรอบข้าง
ทำเหมือนกับว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นๆ ไม่ใช่ว่าคนที่น่ารังเกียจจริงๆ
คือเธอหรอกหรือ?
คนที่ไม่มีใครต้องการต่างหากที่เป็นเศษสวะ
ก่อนที่ความอดทนของมูราคามิจะสุดสิ้นลงกับสายตาที่ยังคงฉายความว่างเปล่าคู่นั้นเหมือนเมื่อวันแรกที่เจอ
เส้นทางหมัดของเขาก็จะถูกห้ามไว้เสียก่อนด้วยมือหนาที่บีบท่อนแขนของเขาเอาไว้แน่น
“พอได้แล้ว”
นั่นเป็นคำพูดไม่ใช่คำสั่ง
แต่น้ำเสียงและใบหน้าจริงจังก็ทำให้ไม่ว่าใครต่างต้องยอมสยบ เด็กนักเรียนชายคนที่ไม่ว่าใครในโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนี้ก็ต้องรู้จัก
ทั้งหน้าตาดี นิสัยก็ดี จะเรื่องกีฬาหรือกิจกรรมก็โดดเด่น
ไม่มีอะไรจะให้ใครต่อว่าได้
ถึงครอบครัวจะแตกแยกและครอบครัวใหม่ก็เป็นแค่ชนชั้นระดับเกือบล่าง
แต่ก็ไม่มีใครหยิบยกเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นมาล้อเลียนคนอย่างนากามูระ ไคโตะได้ลง
แต่ไม่ใช่กับโอริฮิเมะ
เธอเกลียดความสมบูรณ์แบบซึ่งมากเกินกว่ามนุษย์คนหนึ่งจะมีได้
ไม่ว่าจะแผ่นหลังของเขา หรือสายตาที่คอยแต่จ้องมองมาอย่างเวทนาทั้งตอนนี้...หรือแม้แต่ที่บ้าน
เธอค่อยๆ
ยันตัวเองลุกขึ้น แม้จะรู้สึกปวดแปลบศีรษะตรงจุดที่ถูกกระแทก
หากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ทุกคนกระทำต่อเธอตลอดมาแล้ว
แค่นี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
ไม่มีคำพูดหลุดรอด
แม้กระทั่งคำขอบคุณจากคนที่จะรีบคว้ากระเป๋าขึ้นมาสวมสะพายไหล่แล้ววิ่งออกจากที่ตรงนั้นไปอย่างรวดเร็ว
สวนทางกับเด็กหนุ่มสาวที่เริงร่าและสดใสราวกับฤดูใบไม้ผลิที่แย้มบาน ขณะที่ฤดูใบไม้ผลิของเธอจบสิ้นลง
นับตั้งแต่วันที่พ่อกับแม่ของเธอแยกทางและแยกเธอกับโฮคุโตะให้ห่างกัน โดยไม่มีแม้แต่คำบอกลาใดๆ
และเมื่อเดินผ่านประตูรั้วโรงเรียนออกไป
โอริฮิเมะก็รู้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เธอกระชับกระเป๋าสะพายให้มาดมั่นในแต่ละฝีก้าวที่ย่ำเดินไปบนท้องถนนสู่เส้นทางกลับบ้าน
— ที่ไม่เคยจะเป็นบ้าน — กับแม่ พ่อเลี้ยง และพี่ชายที่อายุห่างกันเพียงแค่สองเดือน
แม้จะได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่โต อู้ฟู่ไปกับเงินทองมหาศาลเท่าที่ชีวิตของโอริฮิเมะจะสัมผัสมันได้
แต่ความเหินห่างเย็นชา การปฏิบัติต่อกันราวกับว่าเธอเป็นเพียงผู้อยู่อาศัย
หาใช่ลูกคนหนึ่งเหมือนอย่างใครอีกคนและอีกคนที่กำลังจะเกิดมา
แม่ที่เคยแสดงความรักและห่วงใยเลิกมองหน้าเธอเพราะทำให้นึกถึงสามีผู้ทรยศหักหลัง เลิกเรียกชื่อเธอเพราะว่าคนทรยศคนนั้นเป็นคนตั้ง
หล่อนจึงแสดงความเย็นชาเมื่อโอริฮิเมะคงนามสกุลของคนเลวๆ นั้นเอาไว้ที่ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใดเลยนอกจากโฮคุโตะ
ยิ่งเมื่อจะได้รับรู้ถึงเหตุผลของการรับเลี้ยงเธอแค่เพียงเพราะภรรยาไม่ยินยอมที่จะให้สามีได้สิทธิ์ในตัวลูกทั้งสองคนไป
พ่อเลือกโฮคุโตะ แม่จึงจำต้องเลือกโอริฮิเมะ แต่กลับไม่เคยถามความสมัครใจของพวกเขาสองฝาแฝดที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ยังไม่เกิดเลยสักคำว่าต้องการอะไร
โอริฮิเมะมองดูสิ่งของภายในห้องโล่งๆ
ที่เธอพร้อมจะจากไปได้ทุกเมื่อของตัวเอง
เทกองหนังสือจากในกระเป๋าก่อนเก็บเสื้อผ้าและข้าวของจำเป็นอีกเล็กน้อยลงไปในนั้นแทน
ไม่เคยมีสักความทรงจำหรือสิ่งล้ำค่าหลงเหลืออยู่ในห้องนี้
หรือแม้แต่บ้านใหญ่หลังนี้ เธอฉีกกระดาษสมุดซึ่งเขียนข้อความสั้นๆ ลงไปแค่ว่า ‘ขอบคุณค่ะ แม่’ แล้วทิ้งมันไว้บนโต๊ะกินข้าวที่หล่อนจะมองเห็นเมื่อกลับมาถึงบ้านก่อนคุณนากามูระอย่างแน่นอน
เมื่อพ้นจากบานประตูออกมาแล้ว
เธอก็เงยหน้าขึ้นมองฟ้าครามแล้วสูดลมหายใจเข้าปอด
แสงแดดแผดจ้าสาดส่องลงมาราวกับประกายแสงสว่างของการเริ่มต้นใหม่
หากยังไม่ทันจะได้ก้าวเดิน เธอก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสบางเบาที่แตะระผ่านแผ่นหลัง
ด้วยน้ำเสียงที่เคยคุ้นซึ่งเอ่ย
“ไม่ว่ายังไง
ก็ขอให้เธอโชคดี”
ทั้งร่างพลันชะงักงัน
แต่เธอตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้าต่อไปและไม่หันหลังกลับมาอีก แล้วเธอก็ยิ้ม...ยิ้มกว้างๆ
ออกมาจากใจจริง เช่นเดียวกับคำขอบคุณแรกที่ไคโตะได้รับฟัง
ฤดูร้อน,
2011
เมื่อเอ่ยถึงหัวกะทิประจำโรงเรียนมัธยมปลายชั้นแนวหน้าระดับประเทศแห่งหนึ่งอย่างนากามูระ
ไคโตะแล้วนั้น ไม่ว่าใครต่างก็คิดว่ามหาวิทยาลัยโตเกียวดูน่าจะเป็นทางเลือกแรกสุดหลังสำเร็จการศึกษาของเขา
ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าตัวเองก็คิดเห็นไปในทางเดียวกัน ด้วยความใฝ่ฝันที่จะเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่งเช่นเดียวกับบิดา
ถ้าไม่บังเอิญว่าจะมีเหตุการณ์หนึ่งนั้นเกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ฤดูที่เขาควรจะได้เตรียมตัวและตื่นเต้นกับชีวิตใหม่ซึ่งใกล้จะเริ่มต้นขึ้น
หากมันกลับเป็นฝันสลาย
ผันเปลี่ยนทั้งชีวิตของเขาราวกับร่วงหล่นลงจากบนผาสูงในชั่วพริบตาก็ไม่ปาน
ข่าวที่สร้างความพรั่นพรึงให้แก่ผู้คนในเขตเมืองนั้นมีอยู่ว่า
‘นายศัลยแพทย์และบุตรสาวถูกฆาตกรรมภายในบ้าน
คาดเกิดจากปัญหาความแค้นส่วนตัว’
นากามูระ
ไคโตะในวัยสิบแปดปี
สูญเสียสายเลือดเดียวกันทั้งพ่อและน้องสาวที่เพิ่งจะลืมตาดูโลกได้แค่ห้าเดือนเท่านั้นอย่างไม่มีวันกลับ
ทุกสิ่งรอบข้างพลันเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า
เหมือนกับร่างกายที่ไร้จุดศูนย์ถ่วงจนแม้แต่การทรงตัวยังยากเย็น ในระหว่างงานศพ
แม่เลี้ยงของเขาปล่อยน้ำตานองหน้าด้วยหัวใจแหลกสลาย
ขณะที่เขาไม่มีน้ำตาไหลหลั่งลงมาแม้สักหยด ที่จริงแล้ว
เขาไม่ได้ร้องไห้ในตอนที่รับรู้ข่าวนั้นด้วยซ้ำ ไคโตะทำได้เพียงปั้นแต่งสีหน้าและกล่าวแสดงความขอบคุณต่อคำพูดแสดงความเสียใจที่พวกคนเหล่านั้นเปล่งออกมาเพียงเพราะมารยาท
หากตราบเท่าที่พวกเขาไม่เคยได้เผชิญ ก็ไม่มีทางที่ใครจะมาเข้าใจ
เช่นเดียวกับเค้าหน้าที่แสดงความสมเพชเวทนาราวกับว่าเขาเป็นคนน่าสงสารเสียเต็มประดา
เป็นตอนนั้นเองที่เขานึกถึงสิ่งซึ่งตนได้เคยกระทำต่อเธอตลอดสองปีที่อยู่ร่วมอาศัยเป็นครอบครัวเดียวกันขึ้นมา
แล้วในที่สุด ไคโตะจึงได้ตระหนักว่าโอริฮิเมะรู้สึกต่อสายตาที่ฉายแต่ความสังเวชของเขาเช่นไร
หากเธอคนเดิมที่กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งหลังพิธีศพผ่านพ้นในระหว่างเส้นทางกลับบ้านยามค่ำคืน
จะเพียงแค่เข้ามาสวมกอดร่างของเขาที่ตรึงค้างเมื่อประสานสายตาเข้าด้วยกัน
เธอกระซิบเอ่ย “เดี๋ยวฝนก็จะตกแล้ว”
ด้วยเส้นเสียงที่อาจไม่ได้ไพเราะหรือว่าอบอุ่นอย่างใครๆ
หากก็เป็นความจริงใจแรกสุดที่เขาเพิ่งจะเคยได้ยินมันจากเธอ
และหลังจากพิธีศพกับผู้คนที่แสร้งทำเป็นว่าเห็นอกเห็นใจเหล่านั้น
ก่อนที่สภาวะท้องฟ้าจะแปรเปลี่ยนไปตามคำพยากรณ์ของเธอ น้ำตาที่เขากักเก็บมันไว้มาตลอดทั้งอาทิตย์ก็ระเบิดแตกออก
ทั้งความรู้สึกเศร้าโศก เสียใจ และผิดหวังต่างผสานพร่างพรูรวมกันราวเกลียวคลื่นที่หมุนวน
อ้อมกอดของเธอกระชับแน่นขึ้นในทุกคราวที่ร่างของเขาสั่นสะอื้นไหว
เขายกมือขึ้นมาโอบกอดเธอกลับ ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอะไร แค่เพียงความอบอุ่นจากเลือดเนื้อและหัวใจของใครสักคนที่กำลังเต้นอย่างปลอบประโลมก็มากพอแล้ว
แล้วไคโตะก็แน่ใจว่านับจากนี้ทุกสิ่งจะต้องไม่เป็นไร
มัตสึมูระ
โอริฮิเมะแทบไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากคนที่เขาเคยได้ร่วมอยู่อาศัยและใช้ชีวิตแบบพี่น้องถึงเกือบสองปีเลยแม้แต่น้อย
เธอไม่ได้ทักทาย เปิดปากพูด หรือกระทั่งแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาเมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนั้น
แค่เดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาข้างกันกับเขาเงียบๆ แล้วมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างไม่จับจดสายตาด้วยความเลื่อนลอย
ขณะที่เขาเองก็ยังคงปล่อยน้ำตาร่วงหล่นลงอาบแก้มอยู่อย่างนั้น ตลอดระยะเวลาที่เขาปล่อยทุกความรู้สึกออกไปกับหยาดหยดของน้ำตาเหล่านั้น
เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ มีแค่เพียงการขยับตัว
และเสียงลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกให้เขาได้รับรู้ว่ายังมีเธออยู่ด้วยกันตรงนี้ไม่ไปไหน
เมื่อสุ้มเสียงเริ่มเบาลงและน้ำตาของเขาก็ดูท่าว่าใกล้จะเหือดหาย มือเรียวบางก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนสีชมพูอ่อนมาให้ เขาเงยหน้าขึ้นมอง แต่โอริฮิเมะก็ยังคงไม่หันมองมาทางเขา ให้ไคโตะรับมันมาปาดเช็ดใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาของตัวเองอย่างเงียบๆ ก่อนเขาจะเอ่ยปากถามขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแปลกแปร่งไปจนต้องกระแอมไอหลังคำถาม “เจอพี่ชายของเธอหรือยัง?”
เป็นครั้งแรกที่เธอหันใบหน้ากลับมา
ส่งยิ้มจางๆ ให้แก่เขา แม้จะเป็นรอยยิ้มในสถานการณ์แบบนี้
แต่กลับทำให้เขารู้สึกดีกว่าการได้รับสีหน้าเห็นอกเห็นใจซึ่งล้วนแต่เสแสร้งตลอดงานศพของคนในครอบครัว
เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นความจริงใจแรกที่เขาได้รับมัน
“ตอนนี้”
แล้วเธอก็เอื้อมมือมาแตะกับเขาอย่างแผ่วเบา
“ฉันเจอแล้ว”
_______________
? cactus
ความคิดเห็น