ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #228 : Tomorrow Song

    • อัปเดตล่าสุด 23 มี.ค. 64


    Tomorrow Song 「明日の歌」
    Inspiration: Me & 23 Slaves 「奴隷区 僕と23人の奴隷」 (Film, 2014)
    Playlist: Ito Yuna – Precious (Limit of Love: Umizaru Theme Song)












    .

    ฤดูหนาว, 2008

    ในเมื่อเขาเป็นคนแรกที่อยู่กับเธอมาตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลกใบนี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรที่มัตสึมูระ โฮคุโตะจะรู้จักน้องสาวฝาแฝดอย่างมัตสึมูระ โอริฮิเมะดีกว่าใคร เขารู้ว่าเธอชอบหรือไม่ชอบอะไร อย่างเช่นว่าเธอชอบฤดูหนาว แต่ไม่ชอบอากาศหนาว และไม่ชอบในที่นี้ก็คือไม่ถูกด้วย เพราะอาการหวัดคัดจมูกมักจะรุมเร้าอยู่เป็นประจำ ในช่วงฤดูหนาว เธอจะเป็นคนแรกที่รีบบึ่งกลับบ้านหลังหมดคาบเรียนก่อนใคร บางครั้งที่เขากลับถึงบ้านในช่วงหัวค่ำ ก็จะพบเธอนอนขดตัวอยู่ท่ามกลางผ้านวมผืนหนาบนเตียงชั้นล่างไปแล้ว ทว่าระยะหลังมานี้ ทุกเย็นในระหว่างเส้นทางกลับบ้าน หลังจากที่เขาเลิกซ้อมกีฬาหรืออาจแวะเที่ยวกับเพื่อนมา สายตาก็จะทอดมองเห็นร่างที่คุ้นเคยนั่งแกร่วอยู่บนม้านั่งของสวนสาธารณะละแวกบ้านเงียบๆ เพียงลำพัง เมื่อเขาเอ่ยปากถาม ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอจะปริปากไขขานเหตุผล นอกจากเปลี่ยนหัวข้อสนทนาถึงเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย บางครั้งก็เพียงแค่ชวนนั่งฟังเพลงด้วยท่าทีอ่อนล้าเต็มทน โฮคุโตะเกลียดที่ต้องเห็นเธอเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ไม่เคยจะเอาชนะคนดื้อรั้นที่ทำตาแดงๆ กอดแขนไม่ยอมปล่อยให้พากลับบ้านได้ลงสักที บางวันแสนสั้น แต่บางวันก็ช่างยาวนาน กว่าที่เธอจะผุดลุกขึ้นยืนพร้อมเปล่งเสียงแผ่วๆ ว่า ”กลับบ้านกันเถอะ” แล้วเดินนำเขาไปอย่างเชื่องช้าด้วยความเงียบงัน ภายใต้เสื้อหนาวสองชั้นและผ้าพันคอผืนหนา ที่ก็ยังทำให้มือบางทั้งสองข้างเย็นเฉียบและจมูกก็กลายเป็นสีแดงอยู่วันยังค่ำ

    แล้วร่างกายของโอริฮิเมะที่ไม่เคยทนรับกับอากาศหนาวได้ไหวก็เริ่มอ่อนเพลียลงอย่างเห็นได้ชัด ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา เธอมักจะง่วงงุนและผล็อยหลับไปในระหว่างคาบเรียนบ่อยๆ แม้กระทั่งวิชาเรียนที่ชอบอย่างภาษาอังกฤษ ทั้งที่มีอาการปวดหัวตัวร้อน แต่เธอก็ยังดึงดันที่จะมาโรงเรียน ซึ่งนั่นผิดวิสัยของโอริฮิเมะที่เขารู้จักดี หากไม่ว่าจะใช้ความพยายามแค่ไหน หรือถึงขั้นโกรธขึ้งใส่เธอสักเพียงไร เขาก็ไม่เคยได้รับฟังเหตุผลของการกระทำบ้าๆ เหล่านั้นอยู่ดี

    และนั่นทำให้เขาเกือบจะเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ

    โชคดีที่โฮคุโตะไม่จำเป็นต้องอดทนนานขนาดนั้น เมื่อที่สุดแล้ว อาการของโอริฮิเมะก็จะย่ำแย่ลงไปในช่วงพักเที่ยงที่เธอโงหัวขึ้นจากโต๊ะเรียนไม่พ้น จนต้องไปนอนซมอยู่ที่ห้องพยาบาล ทั้งที่เป็นความผิดของเจ้าตัว แต่กลับเป็นโฮคุโตะที่ถูกอาจารย์ห้องพยาบาลสวดชุดใหญ่ว่าเหตุใดถึงได้ปล่อยให้น้องสาวเป็นไข้สูงตั้งขนาดนี้ได้ ถ้าเพียงแต่เขาจะตระหนัก และยอมเป็นพี่ชายที่นานๆ ทีจะใจร้ายกับน้องสาวหัวดื้อคนนี้บ้างก็คงดี

    แม้จะล่วงถึงระฆังหลังเลิกเรียน โอริฮิเมะก็ยังคงนอนซมไม่รู้เรื่องอยู่อย่างนั้น อาจเพราะพิษไข้หรือไม่ก็ฤทธิ์ยา จนเขาที่รบกวนจักรยานของรุ่นน้องต้องพยายามประคองแฮนด์จักรยานด้วยมือข้างที่ไม่ถนัดไปให้ได้ ขณะที่อีกข้างก็จับมือร้อนผ่าวของเธอที่พยายามเกาะเกี่ยวประสานมันด้วยกันไม่ให้ร่วงหล่น ถึงอยากจะเร่งรีบ แต่สิ่งที่เขาทำได้กลับเป็นไปอย่างเชื่องช้าเพื่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของเธอ

    คนป่วยไข้มาได้สติก็ตอนที่ส้นรองเท้าคู่สีน้ำตาลก้าวลงมาหยัดยืนอยู่บนพื้นหน้ารั้วบ้านหลังเล็กของตนเอง ภายใต้ท่อนแขนของโฮคุโตะที่กำลังประคองเธอเอาไว้อยู่ เธอค่อยๆ สั่นหัว พยายามใช้เรี่ยวแรงอันน้อยนิดดึงแขนของโฮคุโตะให้หันหลังกลับ

    “โฮคุโตะ! ไม่เอา! อย่าเพิ่ง...กลับบ้าน...เลย...นะ...” น้ำเสียงของเธอแผ่วผิว พอๆ กับแรงกายที่ไม่อาจต่อสู้กับความเอาแต่ใจในครั้งคราวนี้ของโฮคุโตะได้ แม้ขอบตาแดงๆ คู่นั้นจะกำลังรื้นไปด้วยหยาดน้ำตาและคำที่เธอกล่าวขอร้องเขาว่า “ได้โปรด”

    “อย่าดื้อสิโอริฮิเมะ”

    ไม่ว่าเธอจะพยายามแข็งขืนเพียงไรก็ไร้ผล ยิ่งในสภาวะที่ตัวเองอ่อนแอถึงขีดสุดเช่นนี้ ภาพที่ไม่ชัดเจนอยู่แล้วยิ่งมัวพร่าภายใต้หยาดน้ำตาที่ไหลหลั่งลงมา กับการกระทำที่โฮคุโตะยังไม่อาจจะเข้าใจได้...ณ วินาทีนั้น

    ทันทีที่หมุนลูกบิดบานประตูเข้าไปโดยไม่ทันให้เขาได้อ้าปากส่งเสียง พวกเขาก็จะได้เห็นภาพของชายคนที่ฝาแฝดบ้านมัตสึมูระเรียกว่าพ่อ กับผู้หญิงที่เคยเป็นครูสอนพิเศษของแฝดผู้น้อง กำลังเริงรักกันอยู่ในห้องนั่งเล่น โดยไม่แม้แต่จะเลื่อนประตูปิด ทั้งไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้เมื่อจะมองเห็นพวกเขาสองพี่น้องชะงักค้างอยู่กับที่ โฮคุโตะไม่เสียเวลาที่จะจ้องมองหรือรับฟังความไร้ยางอายจากคนทั้งคู่ เมื่อรีบพยุงร่างที่ก้มหน้าสั่นสะอื้นของน้องสาวกลับเข้าห้องนอนที่บนชั้นสอง กดล็อกกลอนประตู ก่อนที่โอริฮิเมะจะเป็นคนโอบกอดแผ่นหลังของเขาไว้ กระซิบพร่ำคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมาให้แก่เขาอยู่อย่างนั้น

    “ขอโทษนะ...โฮคุโตะ...ฉันขอโทษ”

    และเมื่อความจริงทั้งหมดประจักษ์อยู่ตรงหน้า โฮคุโตะก็ให้สัญญาว่าคนเดียวบนโลกใบนี้ที่เขาจะปกป้องตลอดไปก็คือเธอ

     


     

    ฤดูใบไม้ผลิ, 2010

    เสียงจอแจภายในห้องเรียนชั้นมัธยมปลายปี 3-B พลันค่อยๆ เงียบลงไปราวกับมีใครหมุนปุ่มลดความดัง ทันทีที่เด็กสาวคนนั้นจะเลื่อนบานประตูเข้ามาในห้อง ก้าวเดินอาดๆ ไปอย่างไร้ซึ่งการใส่ใจต่อปฏิกิริยาของพวกคนเหล่านั้น พวกคนที่โอริฮิเมะวางไว้ให้เป็นเพียงแค่กองขยะเน่าๆ ไม่ได้มีค่าอะไรในสายตาหรือความรู้สึกของเธอเลย นับตั้งแต่เข้าเรียนชั้นปีที่สองถึงกระทั่งตอนนี้ ในสังคมอันน่าสังเวชของโรงเรียนเอกชนราคาแพงระยับ ที่ทุกคนต่างวัดค่ากันก็แค่จากเศษเงินและหน้ากากหลากอารมณ์ที่เสแสร้งปั้นแต่งเข้าหากันเท่านั้น แต่แล้วยังไงล่ะ? กับไอ้สายตาที่พากันจับจ้องมองมายังเธอที่เดินคอตรงเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัว หากพื้นที่ตรงนั้นซึ่งควรจะมีโต๊ะและเก้าอี้ของเธออยู่ มาบัดนี้กลับถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า เธอเพียงเปล่งเสียงแผ่วๆ ออกมาเป็นประโยคคำถามว่า “โต๊ะของฉัน...อยู่ที่ไหน?” กลับเป็นเสียงหัวเราะดังลั่นที่แว่วลอยเข้ามาในโสตประสาท ก่อนน้ำเสียงของมูราคามิ ผู้เป็นเจ้าของที่นั่งข้างเธอและกำลังนั่งหันหลังให้จะตะโกนส่งน้ำเสียงเสียดเย้ย “นั่นสิ อยู่ไหนกันน้า?” ก่อนลุกพรวดขึ้นมากอดคอเธออย่างถือดี ด้วยท่าทียโส

    “ไหน ใครที่ไม่อยากให้มัตสึมูระมาโรงเรียนแล้วช่วยยกมือขึ้นทีสิ”

    ท่อนแขนของเจ้าตัวยกขึ้นนำเป็นคนแรก ก่อนที่ทุกคนในห้องจะกระทำตามหลังพร้อมเสียงเฮลั่นซึ่งรับกันดีกับเสียงหัวเราะทุเรศๆ เหล่านั้น ขณะที่โอริฮิเมะกวาดสายตาผ่านใบหน้าน่าเกลียดรอบตัว แล้วทันใด เธอก็จะระเบิดเสียงหัวเราะแรกในโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนี้ออกมา ด้วยเพราะไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน สรรพเสียงจึงถูกแทนที่ด้วยความเงียบงัน และใบหน้าอันหวาดระแวง

    “ฉันจะไม่มาโรงเรียนอีก”

    เธอเอ่ยเสียงเย็น กลับหลังหันแล้วเดินฝ่าผู้คนที่พร้อมใจกันแหวกทางให้เธอออกไป

    “รู้ไว้ซะว่าพวกแกก็แค่สวะ”

    หากถ้อยคำสุดท้ายที่โอริฮิเมะเปรยทิ้งไว้โดยไม่หันมอง จะทำให้มูราคามิวิ่งเข้ามากระชากที่ไหล่เล็กโดยไม่ทอนแรง ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะเดินพ้นจากห้องเรียนไปแล้วก็ตาม ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของผู้เห็นเหตุการณ์ในช่วงเช้าบนระเบียงทางเดินก่อนเข้าเรียน ทั้งอย่างนั้น ร่างของคนที่ถูกผลักจนศีรษะไปกระแทกกับผนังก็ยังกล้าเงยขึ้นมาสบจ้องตากับคู่กรณีอย่างไม่สะทกสะท้าน  เธอคงไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเหตุผลของการกระทำทั้งหมดนั้นเป็นเพราะตัวเอง ทั้งสายตาเฉยเมยที่ทำเป็นมองไม่เห็นหัวของคนรอบข้าง ทำเหมือนกับว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นๆ ไม่ใช่ว่าคนที่น่ารังเกียจจริงๆ คือเธอหรอกหรือ?

    คนที่ไม่มีใครต้องการต่างหากที่เป็นเศษสวะ

    ก่อนที่ความอดทนของมูราคามิจะสุดสิ้นลงกับสายตาที่ยังคงฉายความว่างเปล่าคู่นั้นเหมือนเมื่อวันแรกที่เจอ เส้นทางหมัดของเขาก็จะถูกห้ามไว้เสียก่อนด้วยมือหนาที่บีบท่อนแขนของเขาเอาไว้แน่น

    “พอได้แล้ว”

    นั่นเป็นคำพูดไม่ใช่คำสั่ง แต่น้ำเสียงและใบหน้าจริงจังก็ทำให้ไม่ว่าใครต่างต้องยอมสยบ เด็กนักเรียนชายคนที่ไม่ว่าใครในโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนี้ก็ต้องรู้จัก ทั้งหน้าตาดี นิสัยก็ดี จะเรื่องกีฬาหรือกิจกรรมก็โดดเด่น ไม่มีอะไรจะให้ใครต่อว่าได้ ถึงครอบครัวจะแตกแยกและครอบครัวใหม่ก็เป็นแค่ชนชั้นระดับเกือบล่าง แต่ก็ไม่มีใครหยิบยกเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นมาล้อเลียนคนอย่างนากามูระ ไคโตะได้ลง แต่ไม่ใช่กับโอริฮิเมะ เธอเกลียดความสมบูรณ์แบบซึ่งมากเกินกว่ามนุษย์คนหนึ่งจะมีได้ ไม่ว่าจะแผ่นหลังของเขา หรือสายตาที่คอยแต่จ้องมองมาอย่างเวทนาทั้งตอนนี้...หรือแม้แต่ที่บ้าน

    เธอค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้น แม้จะรู้สึกปวดแปลบศีรษะตรงจุดที่ถูกกระแทก หากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ทุกคนกระทำต่อเธอตลอดมาแล้ว แค่นี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

    ไม่มีคำพูดหลุดรอด แม้กระทั่งคำขอบคุณจากคนที่จะรีบคว้ากระเป๋าขึ้นมาสวมสะพายไหล่แล้ววิ่งออกจากที่ตรงนั้นไปอย่างรวดเร็ว สวนทางกับเด็กหนุ่มสาวที่เริงร่าและสดใสราวกับฤดูใบไม้ผลิที่แย้มบาน ขณะที่ฤดูใบไม้ผลิของเธอจบสิ้นลง นับตั้งแต่วันที่พ่อกับแม่ของเธอแยกทางและแยกเธอกับโฮคุโตะให้ห่างกัน โดยไม่มีแม้แต่คำบอกลาใดๆ

    และเมื่อเดินผ่านประตูรั้วโรงเรียนออกไป โอริฮิเมะก็รู้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

    เธอกระชับกระเป๋าสะพายให้มาดมั่นในแต่ละฝีก้าวที่ย่ำเดินไปบนท้องถนนสู่เส้นทางกลับบ้าน ที่ไม่เคยจะเป็นบ้าน กับแม่ พ่อเลี้ยง และพี่ชายที่อายุห่างกันเพียงแค่สองเดือน แม้จะได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่โต อู้ฟู่ไปกับเงินทองมหาศาลเท่าที่ชีวิตของโอริฮิเมะจะสัมผัสมันได้ แต่ความเหินห่างเย็นชา การปฏิบัติต่อกันราวกับว่าเธอเป็นเพียงผู้อยู่อาศัย หาใช่ลูกคนหนึ่งเหมือนอย่างใครอีกคนและอีกคนที่กำลังจะเกิดมา แม่ที่เคยแสดงความรักและห่วงใยเลิกมองหน้าเธอเพราะทำให้นึกถึงสามีผู้ทรยศหักหลัง เลิกเรียกชื่อเธอเพราะว่าคนทรยศคนนั้นเป็นคนตั้ง หล่อนจึงแสดงความเย็นชาเมื่อโอริฮิเมะคงนามสกุลของคนเลวๆ นั้นเอาไว้ที่ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใดเลยนอกจากโฮคุโตะ ยิ่งเมื่อจะได้รับรู้ถึงเหตุผลของการรับเลี้ยงเธอแค่เพียงเพราะภรรยาไม่ยินยอมที่จะให้สามีได้สิทธิ์ในตัวลูกทั้งสองคนไป พ่อเลือกโฮคุโตะ แม่จึงจำต้องเลือกโอริฮิเมะ แต่กลับไม่เคยถามความสมัครใจของพวกเขาสองฝาแฝดที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ยังไม่เกิดเลยสักคำว่าต้องการอะไร

    โอริฮิเมะมองดูสิ่งของภายในห้องโล่งๆ ที่เธอพร้อมจะจากไปได้ทุกเมื่อของตัวเอง เทกองหนังสือจากในกระเป๋าก่อนเก็บเสื้อผ้าและข้าวของจำเป็นอีกเล็กน้อยลงไปในนั้นแทน ไม่เคยมีสักความทรงจำหรือสิ่งล้ำค่าหลงเหลืออยู่ในห้องนี้ หรือแม้แต่บ้านใหญ่หลังนี้ เธอฉีกกระดาษสมุดซึ่งเขียนข้อความสั้นๆ ลงไปแค่ว่า ขอบคุณค่ะ แม่ แล้วทิ้งมันไว้บนโต๊ะกินข้าวที่หล่อนจะมองเห็นเมื่อกลับมาถึงบ้านก่อนคุณนากามูระอย่างแน่นอน

    เมื่อพ้นจากบานประตูออกมาแล้ว เธอก็เงยหน้าขึ้นมองฟ้าครามแล้วสูดลมหายใจเข้าปอด แสงแดดแผดจ้าสาดส่องลงมาราวกับประกายแสงสว่างของการเริ่มต้นใหม่ หากยังไม่ทันจะได้ก้าวเดิน เธอก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสบางเบาที่แตะระผ่านแผ่นหลัง ด้วยน้ำเสียงที่เคยคุ้นซึ่งเอ่ย

    “ไม่ว่ายังไง ก็ขอให้เธอโชคดี”

    ทั้งร่างพลันชะงักงัน แต่เธอตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้าต่อไปและไม่หันหลังกลับมาอีก แล้วเธอก็ยิ้ม...ยิ้มกว้างๆ ออกมาจากใจจริง เช่นเดียวกับคำขอบคุณแรกที่ไคโตะได้รับฟัง

     


     

    ฤดูร้อน, 2011

    เมื่อเอ่ยถึงหัวกะทิประจำโรงเรียนมัธยมปลายชั้นแนวหน้าระดับประเทศแห่งหนึ่งอย่างนากามูระ ไคโตะแล้วนั้น ไม่ว่าใครต่างก็คิดว่ามหาวิทยาลัยโตเกียวดูน่าจะเป็นทางเลือกแรกสุดหลังสำเร็จการศึกษาของเขา ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าตัวเองก็คิดเห็นไปในทางเดียวกัน ด้วยความใฝ่ฝันที่จะเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่งเช่นเดียวกับบิดา ถ้าไม่บังเอิญว่าจะมีเหตุการณ์หนึ่งนั้นเกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ฤดูที่เขาควรจะได้เตรียมตัวและตื่นเต้นกับชีวิตใหม่ซึ่งใกล้จะเริ่มต้นขึ้น หากมันกลับเป็นฝันสลาย ผันเปลี่ยนทั้งชีวิตของเขาราวกับร่วงหล่นลงจากบนผาสูงในชั่วพริบตาก็ไม่ปาน

    ข่าวที่สร้างความพรั่นพรึงให้แก่ผู้คนในเขตเมืองนั้นมีอยู่ว่า

     

    นายศัลยแพทย์และบุตรสาวถูกฆาตกรรมภายในบ้าน

    คาดเกิดจากปัญหาความแค้นส่วนตัว

     

    นากามูระ ไคโตะในวัยสิบแปดปี สูญเสียสายเลือดเดียวกันทั้งพ่อและน้องสาวที่เพิ่งจะลืมตาดูโลกได้แค่ห้าเดือนเท่านั้นอย่างไม่มีวันกลับ

    ทุกสิ่งรอบข้างพลันเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า เหมือนกับร่างกายที่ไร้จุดศูนย์ถ่วงจนแม้แต่การทรงตัวยังยากเย็น ในระหว่างงานศพ แม่เลี้ยงของเขาปล่อยน้ำตานองหน้าด้วยหัวใจแหลกสลาย ขณะที่เขาไม่มีน้ำตาไหลหลั่งลงมาแม้สักหยด ที่จริงแล้ว เขาไม่ได้ร้องไห้ในตอนที่รับรู้ข่าวนั้นด้วยซ้ำ ไคโตะทำได้เพียงปั้นแต่งสีหน้าและกล่าวแสดงความขอบคุณต่อคำพูดแสดงความเสียใจที่พวกคนเหล่านั้นเปล่งออกมาเพียงเพราะมารยาท หากตราบเท่าที่พวกเขาไม่เคยได้เผชิญ ก็ไม่มีทางที่ใครจะมาเข้าใจ เช่นเดียวกับเค้าหน้าที่แสดงความสมเพชเวทนาราวกับว่าเขาเป็นคนน่าสงสารเสียเต็มประดา เป็นตอนนั้นเองที่เขานึกถึงสิ่งซึ่งตนได้เคยกระทำต่อเธอตลอดสองปีที่อยู่ร่วมอาศัยเป็นครอบครัวเดียวกันขึ้นมา แล้วในที่สุด ไคโตะจึงได้ตระหนักว่าโอริฮิเมะรู้สึกต่อสายตาที่ฉายแต่ความสังเวชของเขาเช่นไร

    หากเธอคนเดิมที่กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งหลังพิธีศพผ่านพ้นในระหว่างเส้นทางกลับบ้านยามค่ำคืน จะเพียงแค่เข้ามาสวมกอดร่างของเขาที่ตรึงค้างเมื่อประสานสายตาเข้าด้วยกัน เธอกระซิบเอ่ย “เดี๋ยวฝนก็จะตกแล้ว” ด้วยเส้นเสียงที่อาจไม่ได้ไพเราะหรือว่าอบอุ่นอย่างใครๆ หากก็เป็นความจริงใจแรกสุดที่เขาเพิ่งจะเคยได้ยินมันจากเธอ และหลังจากพิธีศพกับผู้คนที่แสร้งทำเป็นว่าเห็นอกเห็นใจเหล่านั้น ก่อนที่สภาวะท้องฟ้าจะแปรเปลี่ยนไปตามคำพยากรณ์ของเธอ น้ำตาที่เขากักเก็บมันไว้มาตลอดทั้งอาทิตย์ก็ระเบิดแตกออก ทั้งความรู้สึกเศร้าโศก เสียใจ และผิดหวังต่างผสานพร่างพรูรวมกันราวเกลียวคลื่นที่หมุนวน อ้อมกอดของเธอกระชับแน่นขึ้นในทุกคราวที่ร่างของเขาสั่นสะอื้นไหว เขายกมือขึ้นมาโอบกอดเธอกลับ ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอะไร แค่เพียงความอบอุ่นจากเลือดเนื้อและหัวใจของใครสักคนที่กำลังเต้นอย่างปลอบประโลมก็มากพอแล้ว

    แล้วไคโตะก็แน่ใจว่านับจากนี้ทุกสิ่งจะต้องไม่เป็นไร

     

    มัตสึมูระ โอริฮิเมะแทบไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากคนที่เขาเคยได้ร่วมอยู่อาศัยและใช้ชีวิตแบบพี่น้องถึงเกือบสองปีเลยแม้แต่น้อย เธอไม่ได้ทักทาย เปิดปากพูด หรือกระทั่งแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาเมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนั้น แค่เดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาข้างกันกับเขาเงียบๆ แล้วมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างไม่จับจดสายตาด้วยความเลื่อนลอย ขณะที่เขาเองก็ยังคงปล่อยน้ำตาร่วงหล่นลงอาบแก้มอยู่อย่างนั้น ตลอดระยะเวลาที่เขาปล่อยทุกความรู้สึกออกไปกับหยาดหยดของน้ำตาเหล่านั้น เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ มีแค่เพียงการขยับตัว และเสียงลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกให้เขาได้รับรู้ว่ายังมีเธออยู่ด้วยกันตรงนี้ไม่ไปไหน

    เมื่อสุ้มเสียงเริ่มเบาลงและน้ำตาของเขาก็ดูท่าว่าใกล้จะเหือดหาย มือเรียวบางก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนสีชมพูอ่อนมาให้ เขาเงยหน้าขึ้นมอง แต่โอริฮิเมะก็ยังคงไม่หันมองมาทางเขา ให้ไคโตะรับมันมาปาดเช็ดใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาของตัวเองอย่างเงียบๆ ก่อนเขาจะเอ่ยปากถามขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแปลกแปร่งไปจนต้องกระแอมไอหลังคำถาม “เจอพี่ชายของเธอหรือยัง?”

    เป็นครั้งแรกที่เธอหันใบหน้ากลับมา ส่งยิ้มจางๆ ให้แก่เขา แม้จะเป็นรอยยิ้มในสถานการณ์แบบนี้ แต่กลับทำให้เขารู้สึกดีกว่าการได้รับสีหน้าเห็นอกเห็นใจซึ่งล้วนแต่เสแสร้งตลอดงานศพของคนในครอบครัว เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นความจริงใจแรกที่เขาได้รับมัน

    “ตอนนี้”

    แล้วเธอก็เอื้อมมือมาแตะกับเขาอย่างแผ่วเบา

    “ฉันเจอแล้ว”

     












    2021年03月22日
    _______________
    ★ ระลึกได้ว่ายังมีฟิคเรื่องนี้ที่ลืมเอามาแปลง และอย่างที่บอกว่ามันคือช่วงที่เราบ้าเรื่องโดเรคุเลยมีแต่บทพี่น้องจริง พล็อตแยกจากกันกับนิสัยยังเหมือนกันเลยเว้ย! เพราะฉะนั้นเราก็เลยเอาตัวละครจากเรื่องมาโบโรชิมา เพิ่งสำเหนียกด้วยว่าช่วงนี้ไม่ได้แต่งให้สโตนส์เท่าไหร่แล้วเพราะเบื่อๆ อ่ะหยอกๆ จ้า แต่ตอนแรกบทล่างสุดเป็นเจสซี่เพราะจริงๆ จะมีนางเอกอีกคนใช่มะ แต่ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นไคโตะ ฟัง! ที่จริงตอนแรกเราจะใช้เพลงของอุทาดะแต่ก็คิดว่ายังไม่ตรงใจ ทีนี้ยังไงไม่รู้ไปหาเพลงเก่าๆ  ฟังแล้วเจอเพลงของยูนะ ที่เล่นเป็นเรระ ที่อุมิเคยบอกว่าชอบร้องเพลง GLAMOROUS SKY ทำไม กูจะเชื่อมโยงยังไงก็เรื่องของกู อันที่จริงบทของโฮคุโตะกับอุมิควรสลับกันไหมวะ แต่เรื่องนั้นคนที่เป็นพี่น้องคือโฮคุโตะก็เลยเอาแบบนี้แหละนะ อุมิเป็นคนฉลาดบ้างไรบ้างนะ (เรื่องแรกและเรื่องสุดท้ายป่ะ)
    ★ ว่าบาป ไปเจอพล็อตเรื่องนี้ที่เราจดไว้ เชื่อไหมว่ามันคือเรื่องเกี่ยวกับวงแบนด์ อย่าขำ เข้าใจกูด้วยว่าช่วงนั้นพล็อตวงดนตรีมันเฟื่องฟูมาก (กูเข้าใจมึงเลยว่าทำไมถึงชอบแต่งเรื่องยุคเก่า เพราะมันสนุกกว่าปัจจุบันเนอะ แบบพวกวงดนตรี มือถือฝาพับไรงี้ เพลง หนัง ละครยุคนั้นก็เอามาแต่งได้เพลินมาก คงเพราะมันคือช่วงชีวิตวัยรุ่นของเราด้วยป่ะว่ะเลยอิน) หลังจากนี้ไคโตะก็จะไม่เรียนต่อแล้วไปเข้าวงเดียวกับโฮคุโตะ สามคนนี้ก็จะสนิทกัน อยู่หอพักห้องข้างๆ กันเลยขนาดนั้น แล้วพูดจริง วางให้นางเอกไม่ได้ชอบพี่ แต่พี่ชอบอีกแล้ว เหมือนนางเอกจะไปชอบวงผู้ชายคู่แข่งแทน ส่วนบทของไคโตะที่วางไว้จริงๆ ก็คือจะคอยปกป้องโอริฮิเมะจากนี้ไป แต่ไม่ได้ชอบในเชิงชู้สาวเลย ในพล็อตดั้งเดิมกูเขียนแบบนี้จริงๆ นะ ส่วนนางเอกอีกคนจะอยู่วงคู่แข่งและเกลียดไคโตะกับโอริฮิเมะมากด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง แบบคอยตามหาเรื่อง ตามด่า จนทำเรื่องเลวร้ายลงไปกับโอริฮิเมะ (อีดอก แล้วทำอะไรก็เสือกไม่เขียน กูจะรู้ไหม) แต่ในบทของไคโตะกูเขียนว่าไม่เคยใส่ใจเรื่องของนางเอกอีกคนเลย แบบจะตามด่าอะไรก็ไม่สนใจจนดึงโอริฮิเมะเข้ามาเกี่ยว และเพราะอยากให้โอริฮิเมะมีความสุขตลอดไป ถ้าโอริฮิเมะต้องตกนรก นางเอกอีกคนก็จะต้องลงไปด้วย เฮ้ย! บทนี้มันพระเอกตัวจริงแล้วไหมวะ! ฉะนั้นกูก็จะถือว่าเค้าเป็นพระเอกตัวจริงแล้วกันนะ ลาแล้วโฮคุโตะ หลังจากติดตามแล้วถึงรู้ว่านิสัยจริงไม่ใช่อย่างที่เราชอบ ขณะที่เราจะไม่ผิดหวังกับอุมิแน่นอน ศึกษามาดีพอแล้ว มั่นใจในความนิสัยไม่ดีที่เรารักของเค้าโว้ย 55555
    ★ ฉากของไคโตะที่เจอนางเอกตอนเดินกลับบ้านเอามาจากเรื่อง Mirai Nikki แต่ฉากตอนคุยกันที่บ้านไม่แน่ใจว่ะ เหมือนเห็นภาพของโอคาดะกับโกริคิทับซ้อน แต่ก็มึนๆ เบลอๆ ดูนานมากแล้ว จำไม่ได้ จำได้แค่กูรักโอคาดะกับฮนโงมาก สวัสดี

    ? cactus
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×