คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #261 : Parallels and Interiors (66% โมนาร์คฟินาเล่แล้วเจ้าข้า โกๆ เกาะกะโหลก)
1.
เหตุผลที่โทรี่ อิวาซากิ ยอมบินข้ามน้ำข้ามทะเลจากซานฟรานซิสโก บ้านเกิดเมืองนอนที่อยู่มาตลอดทั้งชีวิตและไม่เคยคิดที่จะออกนอกประเทศไปไหน มายังมหานครแปลกหน้าที่มีชื่อว่า ‘โตเกียว’ เป็นครั้งแรก เริ่มต้นขึ้นจากการตายขณะออกปฏิบัติภารกิจสำรวจอลาสก้าเมื่อสามเดือนที่แล้วของบิดาผู้ให้กำเนิด เมื่อโทรี่ที่เข้าไปจัดการกับข้าวของในห้องทำงานของพ่อจะได้เจอกับสัญญาเช่าอพาร์ตเมนต์ในประเทศญี่ปุ่นที่เป็นชื่อของเขา...โทกิจิโร่ อิวาซากิ
โทรี่รู้ว่าโตเกียวเป็นบ้านเกิดของพ่อ แต่เรื่องนั้นก็ผ่านมานานมากแล้วเมื่อคุณย่าพยายามหางานในบริษัทดีๆ ทำจนสามารถพาเขาย้ายมาแสวงหาโอกาสยังดินแดนเสรีตั้งแต่ยังไม่รู้ความเสียด้วยซ้ำไป ขณะที่พ่อซี่งทำงานเป็นนักสำรวจต้องออกเดินทางบ่อยเสียจนแทบไม่ได้อยู่ติดบ้าน กระนั้นโทรี่ก็ยิ่งกว่าแน่ใจว่าหนึ่งในนั้นไม่เคยมีประเทศญี่ปุ่น หรืออย่างน้อยๆ พ่อของเธอก็ทำให้เชื่อว่าอย่างนั้น และการได้เห็นหลักฐานของการปักหลักที่อื่นนอกเหนือจากบ้านหลังเล็กในย่านชานเมืองของครอบครัวก็เป็นเรื่องที่ชวนให้สับสน ระคนไปกับความหวาดหวั่นราวกับมีสังหรณ์บางอย่าง เพราะอย่างนั้นเธอจึงตัดสินใจมาที่นี่โดยไม่บอกเหตุผลที่แท้จริงกับแม่ นอกจากว่าอยากมาเห็นที่ที่ครั้งหนึ่งพ่อได้เคยใช้ชีวิตดู มันก็เท่านั้น
กุญแจที่โทรี่พบอยู่ในลิ้นชักกับสัญญาเช่าสามารถไขเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ห้อง 504 ที่อยู่ชั้นบนสุดได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าข้างในใจของโทรี่จะภาวนาให้ทุกอย่างเป็นแค่เรื่องผิดพลาด อพาร์ตเมนต์หลังเล็กน่ารักอบอุ่นที่มีรองเท้าส้นสูงของผู้หญิงกับรองเท้าผ้าใบของผู้ชายเรียงรายอยู่บนชั้นวางหน้าทางเข้าคือเรื่องผิดพลาด ทว่าการได้เห็นภาพถ่ายครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกติดอยู่เต็มฝาผนังด้านหนึ่ง ได้เผชิญหน้ากับหญิงสูงวัยหากยังสะสวยมากกับลูกชายอายุไล่เลี่ยกับเธอที่หล่อนตะโกนเรียกว่า ‘ไทโช’ จากอารามตกใจที่ได้เห็นคนแปลกหน้าบุกรุกเข้ามา คนที่ทั้งรูปลักษณ์และหน้าตาถอดแบบพ่อของเธอในวัยหนุ่มออกมาแทบทุกกระเบียดไม่มีเพี้ยนผิด แค่เพียงเท่านั้นโทรี่ก็เข้าใจได้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร เพราะสังหรณ์ของเธอไม่เคยผิดพลาด ห้องนี้ก็คืออพาร์ตเมนต์ที่พ่อเช่าให้ภรรยากับลูกอีกคนที่นี่อย่างที่โทรี่คิดเอาไว้จริงๆ ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นหรือแม่ของเธอ หรือเธอกับผู้ชายคนนั้น ใครจะเป็นฝ่ายที่มาก่อนก็ไม่สำคัญอะไรอีกแล้ว ในเมื่อความจริงที่ค้นพบเหล่านี้ได้ทำลายความเชื่อใจต่อพ่อที่โทรี่เคยให้ความศรัทธามาตลอดทั้งชีวิตจนยับเยิน
2.
นับตั้งแต่การมาถึงของหญิงสาวแปลกหน้าที่บุกรุกเข้ามาในอพาร์ตเมนต์ของครอบครัวเขา (หรือเขาอาจไม่ควรใช้คำนั้นเมื่อเธอมีกุญแจสำรองที่เป็นของจริงอยู่) และแนะนำตัวเองด้วยนามสกุลเดียวกันกับเขา ความเคารพนับถือที่ไทโช อิวาซากิมีต่อบิดาผู้ให้กำเนิด พ่อที่อุทิศตนเพื่อครอบครัว แม้ว่าจะต้องเทียวไปเทียวมาเพราะหน้าที่การงานอยู่บ่อยครั้งจนพวกเขาได้พบหน้ากันแค่ปีละไม่กี่ครั้งก็พลันเปลี่ยนไปเป็นความผิดหวัง กำแพงของความสัมพันธ์อันแน่นหนาที่ใช้เวลายาวนานในการก่อร่างสร้างตัวได้พังทลายลงไปในชั่วกะพริบตา ต่อให้แม่จะพยายามหาข้อแก้ตัวให้ว่าพ่อย่อมมีเหตุผลของตัวเอง แต่มันจะมีเหตุผลดีๆ อะไรที่ทำให้พ่อเลือกที่จะมีโลกสองใบแบบนี้ ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือไทโชจะไม่มีวันได้รู้เหตุผลนั้นที่พ่อของเขากอดลงหลุมไปด้วยกันได้อีก
การต้องทนอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่เต็มไปด้วยร่องรอยของพ่อที่ขี้ขลาดหลอกลวงพรรค์นั้นทำให้ไทโชนึกสะเอียน ใบหน้าของผู้หญิงชื่อโทรี่ซึ่งไม่มีอะไรเหมือนกับพ่อเลยคนนั้นก็ทำให้ไทโชหงุดหงิด แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอ เมื่อพวกเขาต่างก็เป็นฝ่ายที่ต้องสูญเสียเหมือนๆ กัน แต่ไทโชที่เป็นพวกใช้อารมณ์มาก่อนเหตุผลก็แค่ต้องการชี้นิ้วโทษใครสักคน และการตะคอกใส่หน้าเธอ บอกให้ไสหัวออกไปแล้วอย่ากลับมาที่นี่อีกก็เป็นทางออกเดียวที่เขาเลือกจะทำ
เหมือนกับที่ไทโชเลือกที่จะผลุนผลันออกมาโดยไม่สนใจฟังเสียงทัดทานของแม่ทั้งที่เป็นเวลาดึกมากแล้ว
3.
เมย์ลีน ชอว์ เกือบจะคิดว่าเธอหูฝาดไปเองเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อจากน้ำเสียงนั้น ทั้งที่ครั้งสุดท้ายมันก็ผ่านมาตั้งหลายเดือนได้แล้ว กระนั้นเธอก็ยังคงจดจำมันได้อย่างชัดเจน ไม่ต่างจากใบหน้า ท่าทาง หรืออาจหมายความถึงทุกอย่างของเขา...อิวาซากิ ไทโช...ที่ถือวิสาสะนั่งลงตรงกันข้ามกับเธอที่หน้าร้านราเมง โดยไม่สนใจต่อสีหน้ามึนตึงหรือเสียงกระแทกตะเกียบลงบนชามแสดงความขุ่นข้องใจ ก่อนเปลี่ยนไปยกแก้วน้ำเย็นขึ้นดื่มเพื่อดับความร้อนรุ่มในใจเลยแม้แต่น้อย
“ช่วยอะไรฉันหน่อยสิ เมย์”
ไทโชเริ่มต้นบทสนทนาแรกสุดเป็นภาษาแม่ของเธอว่าอย่างนั้น ไม่ใช่ทั้งคำขอโทษหรือแม้แต่จะบอกว่าสำนึกเสียใจ และน้ำเสียงยามเอ่ยขอให้ ‘ช่วย’ ก็ฟังดูเหมือนเป็นคำสั่งมากกว่าคำขอ หากเมย์ลีนก็ยังพยายามสงบสติอารมณ์ด้วยการนับหนึ่งถึงสิบในใจ เบือนใบหน้าหลบไปทางอื่นโดยไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ ตรงกันข้ามกับไทโชที่ยังคงเอ่ยต่อไปว่า “ฉันอยากรู้เรื่องของพ่อ อีเมล การงาน การเดินทาง คนรอบข้าง ตลอดทั้งชีวิตของเขาทุกอย่าง ฉันรู้ว่าเธอทำได้”
และนั่นก็จะทำให้เมย์ลีนโอนอ่อนลงไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องพ่อที่เหินห่างจากครอบครัวเพราะอาชีพนักสำรวจ แต่ก็แค่นั้น ในเมื่อเรื่องราวของเขาไม่ใช่กงการอะไรของเธอที่จบกันไปตั้งนานแล้ว
“ฉันจะทิ้งทุกอย่างเพื่อมาช่วยนายไม่ได้ ไทโช ชีวิตคนเราต้องเดินหน้าต่อ” — เหมือนอย่างที่นายเดินหน้าไปโดยไม่มีฉัน ขณะที่ฉันได้แต่ติดแหง็กอยู่แบบนี้ไงล่ะ!
กระทั่งไทโชเอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่เอาน่า เมย์ ฉันจ่ายให้เธอก็ได้ รับรองว่าคุ้มค่ากับเวลาของเธอแน่นอน” เมื่อนั้นเมย์ลีนที่ถึงได้หันไปจ้องสบกับอดีตคนรักเต็มตาเป็นครั้งแรก
“จ่ายฉันเหรอ?” เมย์ลีนแค่นเสียงหัวเราะ ย้ำซ้ำคำพูดของเขาเหมือนกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน “นายอยากจ่ายเงินให้ฉันเหรอไทโช?” ก่อนที่เธอจะกระแทกแก้วเครื่องดื่มกลับลงไปบนโต๊ะ หยิบธนบัตรวางลงเป็นค่าอาหารแล้วลุกปึงปังออกไป พร้อมกับน้ำหนักของส้นรองเท้าผ้าใบที่เธอกระแทกไปในแต่ละก้าวเดิน
“เมย์! เดี๋ยว! หยุดก่อน!”
ทว่าการถูกขวางทางเดินในตรอกแคบๆ เอาไว้ก็ทำให้เธอต้องจำใจหยุดยืนประจันหน้ากับเขาอย่างเสียไม่ได้
“อะไร!”
“เราทำเรื่องนี้แบบมืออาชีพไม่ได้เหรอ?”
เมย์ลีนพ่นลมหายใจออกมา ยอกย้อนกลับไปโดยไม่ปิดบังความเย้ยหยันในน้ำเสียง
“อ๋อ ความสัมพันธ์ของเรามันเป็นแบบนี้ไปแล้วเหรอ ไทโช เป็นการแลกเปลี่ยน?”
“เมย์ ฉันไม่...”
“หรือว่ามันเป็นแบบนั้นมาตลอด แค่ฉันมองไม่เห็นเองต่างหาก?”
“เมย์ ฉันบอกเธอแล้วไงว่าต้องการเวลา”
“เออ! และฉันก็ให้นายไปแล้วเว้ยไทโช! ให้มากจนเกินพอด้วยซ้ำ!” ในที่สุดเมย์ลีนก็แผดตะโกนออกมา ผลักไหล่ของเขาที่ยืนขวางหน้าเต็มแรงแม้อีกฝ่ายจะเพียงแค่ซวดเซไปเล็กน้อยก็ตาม “นายหายหัวไปไม่รู้จะกี่เดือน! ไม่เคยแม้แต่จะติดต่อกลับมาหาฉันเลยสักครั้ง! แล้วอยู่มาวันหนึ่งนายก็โผล่หัวมา ไม่มีคำขอโทษ ไม่มีคำอธิบาย ทำเหมือนกับว่าฉันเป็นแค่เทคซัพพอร์ตของนาย แค่นั้นใช่ไหมที่นายต้องการจากฉัน? โอเค ได้ ไทโช ฉันจะทำให้นายก็ได้ แล้วจ่ายเงินมาให้ฉันด้วยเพราะฉันไม่อยากมีอะไรติดค้างกับนายอีก แต่ว่าจบเรื่องนี้เมื่อไหร่เราก็จบกัน ออกไปให้พ้นจากชีวิตของฉันแล้วอย่ามายุ่งวุ่นวายกับฉันอีก!”
4.
นิทรรศการศิลปะในค่ำคืนนี้จะเป็นตัวชี้ชะตาของเขา อุกิโช ฮิดากะรู้เรื่องนั้นดีโดยไม่จำเป็นต้องให้ใครมาบอกซ้ำๆ กราฟชีวิตของเขาจะพุ่งทะยานขึ้นไปเลยถ้าเขาสามารถตอบคำถามที่อาจฟังดูสามัญ แต่แท้จริงแล้วกลับเต็มไปด้วยความซับซ้อนมากมายที่ว่า “ทำไมต้องเป็นสิ่งนี้? ทำไมต้องเป็นตอนนี้?” อย่างที่คิมิกำลังไล่ต้อนเขาอยู่ เหมือนอย่างที่หล่อนไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะตอกย้ำว่า “เราทั้งคู่มีเดิมพันสูงมากนะ ฮิดากะ” ไม่รู้จะกี่ครั้งกี่หนตลอดหลายเดือนที่หล่อนให้โอกาสเขาหาคำตอบ ทั้งอย่างนั้นฮิดากะก็ยังไม่พบมัน เพราะศิลปะมาจากสิ่งที่เราไม่อยากสื่อเป็นถ้อยคำ และสำหรับฮิดากะแล้ว มันมาจากสัญชาตญาณ
แน่นอนว่าคิมิรู้วิธีการทำงานของเขาและบอกจากใจจริงว่าหล่อนเคารพนับถือกระบวนการเหล่านั้น แต่หล่อนไม่ใช่ผู้ซื้อ หล่อนเป็นเจ้าของแกลเลอรี่ที่ผลประโยชน์ทางด้านการเงินย่อมต้องมาก่อน ดังนั้นหล่อนจึงรู้เรื่องในแวดวงการค้างานศิลปะดีพอที่จะบอกว่า “ผู้คนไม่ได้เลือกซื้อจากงานศิลป์ แต่เลือกซื้อจากศิลปิน” และนั่นก็เป็นอีกข้อเท็จจริงที่หล่อนพยายามย้ำเตือน ไม่ว่าฮิดากะจะเห็นด้วยหรือว่าชอบใจไหมก็ตาม
คิมิให้เวลาเขาสองชั่วโมงก่อนที่ประตูจะเปิดในการหาคำตอบ และถ้าเขาไม่พยายามเค้นสมองตามหามันให้พบ ประตูสู่อนาคตที่รุ่งโรจน์ก็คงจะปิดตายไปเลยตลอดกาล
ฮิดากะยืนกอดอกอยู่หน้าแผ่นป้ายบรรยายสองภาษาที่เขียนถึงผลงานการจัดแสดงนี้รวมถึงประวัติส่วนตัวคร่าวๆ ที่เขาไม่เห็นว่ามันจะจำเป็นตรงไหน แต่เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับมัน ทุกอย่าง...แน่อยู่แล้ว...เป็นผลงานของคิมิที่ต้องหาทางสนับสนุนผลงานของเขาอย่างเต็มที่ในฐานะตัวกลางการซื้อขาย แค่เพียงกวาดตาดูเขายังรู้สึกเต็มกลืนจนหลุดพ่นลมหายใจออกมา แต่ไม่ใช่กับแม่ที่อ่านคำโปรยภาษาญี่ปุ่นออกมาดังๆ ด้วยน้ำเสียงที่แสดงความภาคภูมิใจในตัวลูกชายคนเดียวอย่างเต็มที่
“'บทสำรวจโลกคู่ขนานและความนัย ขอเชิญผู้ชมทุกท่านท้าทายความเข้าใจเรื่องตัวตนของมนุษย์' โอ้โห ใครจะคิดว่าลูกแม่กล้าแหวกขนบขนาดนี้”
“ผมเปล่าสักหน่อย”
“ทุกคนต้องชอบงานลูกแน่ๆ จ้ะ”
“ถ้าทุกคนชอบก็เรียกว่าแหวกขนบไม่ได้สิ”
แม่แกล้งเบะปากทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ และนั่นก็พอจะเรียกรอยยิ้มจากฮิดากะขึ้นมาได้
“แต่แม่ภูมิใจในตัวลูกจริงๆ นะจ๊ะ”
ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะหุบลงไปกับประโยคถัดไปของแม่ที่ว่า “พ่อเค้าก็เหมือนกัน”
“พ่อยังไม่ได้เห็นงานผมเลยด้วยซ้ำ”
“คืนนี้ไงจ๊ะ ลงเครื่องเมื่อไหร่พ่อเค้าจะรีบบึ่งมาที่นี่เลย”
รอยยิ้มที่ดูเชื่อมั่นมากของแม่ทำให้ฮิดากะตัดสินใจไม่ต่อความยาวสาวความยืดอะไรอีก แล้วขอตัวออกไปสูดอากาศข้างนอก ไม่แน่ว่ามันอาจช่วยให้หัวสมองที่มึนตื้อกับหลายสิ่งอย่างที่ประดังประเดเข้ามารู้สึกโล่ง และช่วยหาทางออก — คำตอบ — ให้กับเขาได้
5.
โทรี่ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยวเหงาและเดียวดายนับแต่ค่ำคืนแรกของมหานครแปลกหน้าที่กว้างใหญ่ หัวใจของเธอถูกฉีกกระชากเพราะความจริงเรื่องพ่อที่ได้รับรู้จนแทบไม่มีชิ้นดี แต่ความลับนั้นคือสิ่งที่ควรอยู่แต่กับเธอและลูกชายอีกคนของพ่อที่สนทนาโต้ตอบกันเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น ทั้งแม่ของเธอและเขาที่สูญเสียคนรักทั้งชีวิตไปแล้วไม่ควรต้องมาสูญสิ้นศรัทธาตลอดทั้งชีวิตที่เหลือและครุ่นคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่าเขาถึงได้ไปมีคนรักอีกคน และเพราะอย่างนั้นเธอถึงยังกลับไปที่บ้านไม่ได้ เมื่อเธอคงปั้นหน้าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับแม่ไม่ได้
ขณะที่ได้แต่เดินไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่มีจุดหมายปลายทางนั้นเอง โทรี่ก็ได้มองเห็นโปสเตอร์ใบหนึ่งที่แปะอยู่ข้างฝาผนัง รูปประติมากรรมแนวแอบสแตรกบนนั้นดูโดดเด่นสะดุดตา ไหนจะประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ภาษาเกินกว่าคำสามัญทั่วไปก็ทำให้โทรี่อดไม่ได้ที่จะหยุดยืนดู ครั้นเอ่ยมันออกมาดังๆ แล้วเธอก็เปล่งเสียงหัวเราะเยาะจนถึงกับหยันออกมา
“มีอะไรน่าขำเหรอครับ?”
ให้เธอได้ขวับมองคนที่เปิดปากสนทนาด้วยภาษาเดียวกัน ใช่ว่าโทรี่จะไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นที่พ่อเคยสอนให้ใช้เป็นภาษาลับที่รู้กันสองคน แต่เธอไม่ต้องการนึกถึงสิ่งที่เชื่อมโยงกับพ่อ อย่างน้อยๆ ก็ในเวลานี้ และเพราะภาษาบ้านเกิดของเธอที่มาจากน้ำเสียงแสดงความขบขัน ไม่ใช่ดุด่าหรือตัดสินอย่างที่ลูกชายอีกคนขว้างใส่หน้าทั้งที่ก็เป็นเหยื่อในเรื่องนี้เหมือนๆ กัน เพราะรอยยิ้มบนใบหน้าที่แสดงความเป็นมิตรของเขา เธอจึงสบายใจมากพอที่จะแสดงความเป็นตัวเองออกมา ขณะชี้นิ้วไปยังโปสเตอร์ใบนั้น
“'คู่ขนานและความนัย' มันฟังดู...ดัดจริต”
“ผมก็คิดว่างั้น” เขาพยักหน้าตอบรับแทบจะทันทีโดยไม่รีรอ “ผมฮิดากะ เป็นเจ้าของงานนี้”
โทรี่มั่นใจว่าริมฝีปากของเธอเผยอค้าง แต่กลับไม่มีอะไรหลุดรอดออกมาผ่านลำคอ
“หวังว่าผมคงไม่ได้ดูโอ้อวด”
“เอ่อ แต่...คุณดูไม่เหมือน...”
“ศิลปิน” ฮิดากะต่อคำพูดตะกุกตะกักของเธอให้ด้วยรอยยิ้มที่ไม่เลือนหายไปจากใบหน้าเลยตลอดเวลาเหล่านั้น “ผมเกลียดไวน์ดัดจริตในงานนิทรรศการที่มีชื่อดัดจริต ถ้ายังไงคุณอยากไปหาเบียร์ถูกๆ ดื่มด้วยกันไหม?”
_______________
_______________
ความคิดเห็น