คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : After Dark: PROLOGUE – Je Ne Sais Quoi
แม้ว่าจะเป็นวันก่อนปีใหม่ แต่กิจวัตรประจำวันของอิวาซากิ ไทโชก็ยังคงไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม อย่างเช่นการตื่นนอนพร้อมคนรักสามเดือนที่ชื่อโมริโซโนะ ซาคุมิในตอนสาย คุ้ยหาของเหลือจากตู้เย็นมาทำยากิโซบะง่ายๆ แล้วนั่งพูดคุยดูหนังจากม้วนวิดีโอด้วยกันในตอนบ่าย ร่วมรักด้วยกันก่อนที่จะผล็อยหลับไปแล้วตื่นนอนขึ้นมาอีกทีในตอนค่ำ จากนั้นก็อาบน้ำเตรียมตัวไปทำงานโดยการขึ้นรถไฟใต้ดิน แล้วเดินเท้าฝ่าอากาศหนาวไปยังคาบาเรต์คลับในกินซ่าที่เขาทำงานอยู่
งานเล่นเปียโนในคาบาเรต์คลับกระจอกๆ ไม่เคยใช่สิ่งที่ไทโชต้องการ ใช่ว่าความฝันอยากเป็นนักเปียโน...นักร้อง...เพลงแจ๊ซของเขาจะยิ่งใหญ่จนไกลเกินเอื้อม อย่างไรก็ดี สิ่งเดียวที่ไทโชในเวลานี้ไขว่คว้ามาได้ก็คืองานที่ไม่มีใครสำนึกหรือว่าซาบซึ้ง ต่อให้เขาจะทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดลงไป หรือต่อให้เขาจะพลาดพลั้งที่บ่อยครั้งคือการจงใจเล่นผิดคีย์ก็ไม่ยักกะมีใครมาสนใจ ความรักอันแสนบริสุทธิ์ที่มีต่อดนตรีทำให้ไทโชนึกเกลียดการต้องทำงานในที่เฮงซวยแบบนี้จนแทบบ้า แต่เขาจะทำอะไรได้กับสังคมที่ขับเคลื่อนไปด้วยเงิน เงิน และเงิน ขณะที่คนมีก็ใช้จ่ายกันมือเติบแบบไม่บันยะบันยัง คนไม่มีก็ได้แต่กระเหม็ดกระแหม่เหมือนอย่างที่เขาเป็นอยู่นี้ เมื่อลำพังแค่งานชงเครื่องดื่มในร้านกาแฟนั้นไม่มากพอที่จะหล่อเลี้ยงความฝัน หรือแม้แต่ชีวิต และสิ่งเดียวที่จะช่วยหล่อเลี้ยงความต้องการ เป็นดั่งใบเบิกทางให้กับเขา ก็คือการแสดงฝีมือให้ผู้คนได้ประจักษ์ ถึงตลอดหกเดือนที่ผ่านมาจะเป็นไปอย่างน่าสิ้นหวัง เสียจนบางครั้งเขาก็เริ่มท้อแท้และหมดหวัง เพราะอย่างนั้นไทโชถึงได้ไม่คาดคิดว่าค่ำคืนนี้จะมีอะไรที่แปรเปลี่ยน
เช่นเดียวกับการเล่นบทเพลงน่าเบื่อหน่ายด้วยความแห้งแล้งอันเป็นกิจวัตร หรืออาจต้องบอกว่าเฮงซวยกว่าที่เคยเป็นกิจวัตร เพราะลูกค้าที่แห่แหนกันมาจนแน่นขนัด ไหนจะเสียงตะโกนโหวกเหวกที่วันนี้ยิ่งฟังหนวกหูน่ารำคาญเป็นบ้า ไทโชคิดว่าหลังเลิกงานเขาจะซื้อเบียร์สักโหลกลับไปดื่มให้เมาไม่รู้เรื่อง เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถสลัดความน่าสมเพชต่อชีวิตของตัวเองเมื่อเทียบกับพวกลูกค้ากระเป๋าหนักที่ยิ่งใจป้ำกันเป็นพิเศษในคืนวันสิ้นปีแบบนี้ ถึงขนาดเผื่อแผ่มาให้เขาที่เล่นดนตรีถูกอกถูกใจ — ทั้งที่ไทโชไม่เห็นว่าจะมีใครตั้งใจฟังสักนิด — โดยไม่ต้องคิดมากด้วยซ้ำ และไทโชก็ไม่อยากต้องนอนร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนาในคืนปีใหม่ที่ซาคุมิซึ่งถือโชคลางจะบอกว่าไม่เป็นมงคลและเขาจะต้องทุกข์ตรมไปตลอดทั้งปี
ถ้าไม่ใช่เพราะไทโชจะได้รับคำขอที่โฮสเตสรับฝากข้อความจากลูกค้ามาให้ แม้เขาจะไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนขอบทเพลง ‘ตีม ฟรอม นิวยอร์ก นิวยอร์ก’ เช่นเดียวกับที่คนคนนั้นก็คงไม่รู้หรอกว่ามันคือบทเพลงที่มีความผูกพันแนบแน่นกับเขาซึ่งเฝ้าฝันถึงมาโดยตลอด แต่มันก็ได้มอบแรงฮึดอย่างที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมีมัน พร้อมกับการปลดปล่อยความมุ่งมั่นอันร้อนแรงออกไปในทุกวินาทีที่ปลายนิ้วพร่างพรม
ถ้าหากวันหนึ่งเขาตื่นนอนขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองได้เป็นราชาแห่งขุนเขาผู้ยิ่งใหญ่ มันจะเป็นความรู้สึกที่ดีสักแค่ไหนกันนะ?
“คุณเล่นเปียโนเพราะมากเลย”
ฝีเท้าในรองเท้าผ้าใบคู่เก่าของไทโชชะงักงัน เมื่อได้ยินน้ำเสียงสดใสเอ่ยประโยคที่ฟังอย่างไรก็เป็นการเจาะจงพูดกับเขาในตอนที่เดินออกจากคลับ ครั้นหันมองตามต้นเสียงก็ได้เห็นหญิงสาวแปลกหน้าที่ไทโชไม่แม้แต่จะเคยเห็นหน้ากำลังยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ เธอสวมเสื้อกันหนาวขนสัตว์ตัวหนาทับชุดกระโปรงเหนือเข่ากับรองเท้าบู๊ตยาวครึ่งน่อง ถึงอาจไม่ใช่เสื้อผ้าภูมิฐานอย่างสาววัยทำงานในตอนกลางวันหรืออวดหรูฟู่ฟ่าในตอนกลางคืน กระนั้นคนที่ไม่ได้สนใจเรื่องแฟชั่นอย่างเขาก็ยังดูออกว่าเธอเป็นของจริง ไทโชไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนแบบเธอจะกำลังรอคอยเขาอยู่ แต่ก็อดไม่ได้ เพราะใบหน้าขาวที่ขึ้นสีแดงจากอากาศหนาวที่ย่อมไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในไม่กี่วินาที
“ฉันคือคนที่ขอเพลงไปเองแหละ” เธอก้าวฝีเท้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าเขาที่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้วกล่าวต่อ แม้ว่าด้วยระยะห่างที่พอเหมาะพอดีแล้วก็ยังต้องแหงนคอมองเขาที่ตัวสูงกว่ามากอยู่ดี “ว่ากันตามตรง ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นความมุ่งมั่นขนาดนั้นจากคนที่เล่นแบบตายซากมาตลอดทั้งคืน แต่คุณก็ทำให้ฉันประทับใจมากจนอยากกลับไปนิวยอร์กทั้งที่ก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์อะไรนักหนาตอนที่จากมาเลยด้วยซ้ำ เป็นเอามากถึงขนาดนั้นเลยนั่นแหละ!” พอพูดมาถึงตรงนี้เธอก็เปล่งเสียงหัวเราะรวนร่า ก่อนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างทั้งจากริมฝีปากและดวงตา “รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณยิ้มด้วยนะตอนที่เล่น พอคิดว่าเป็นเพราะฉันที่ทำให้คุณยิ้มได้ทั้งที่ก่อนหน้านั้นคุณแทบจะไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาสักอย่าง ก็ทำเอาหัวใจเต้นรัวแรงขึ้นมาเลยล่ะ!”
แต่ตอนนี้อาจเป็นหัวใจของไทโชเองต่างหากที่กำลังเต้นรัวแรงอยู่ ทั้งจากใบหน้าที่สะสวย รอยยิ้มที่สดใส และคำพูดที่นักเปียโนตกอับอย่างเขาเฝ้ารอที่จะได้ยินจากใครสักคนมาโดยตลอด ไม่ใช่แค่คำชมเลื่อนเปื้อนจากลูกค้าที่เมาแอ๋ คำเยินยอจนน่าสะเอียนจากผู้หญิงที่อยากโดดขึ้นเตียงด้วย หรือแม้แต่คำพูดพล่ามของซาคุมิที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรไกลเกินกว่าปลายจมูกของตัวเอง
“คุณอยากไปเล่นที่คลับของฉันไหม? เอ...หรือฉันต้องบอกว่าไปร้องดีล่ะ?”
“ครับ?”
“ฉันจะให้มากกว่าที่นี่สองเท่า ไม่สิ! คลับกระจอกแบบนี้คงให้คุณได้แค่เศษเงินจนต้องไปรับจ๊อบตอนกลางวันที่ร้านกาแฟสินะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้คุณห้าเท่า...สิบเท่าไปเลยก็ได้ถ้าเพื่อให้ได้ตัวคุณมา! คุณจะได้ใส่ชุดสูทแพงๆ อยู่ในคลับหรูๆ กับลูกค้าที่ตั้งใจมาฟังคุณกับวงดนตรีแจ๊ซของเรา ความฝันถึงนิวยอร์กและบอสตันของคุณจะกลายเป็นจริง ไม่ใช่แค่ในบทเพลงที่มีชื่อว่านิวยอร์ก หรือร้านกาแฟที่มีชื่อว่าบอสตัน”
เธอรู้เรื่องของเขาได้อย่างไรไม่ใช่ความสนใจของไทโชในตอนนี้ เมื่อสิ่งเดียวที่เขาสนใจคือการได้มองดูริมฝีปากสีแดงที่ขยับขึ้นลงตลอดเวลาเหล่านั้นต่างหาก
“งั้นฉันจะถือว่าความเงียบเป็นการตกลงนะ”
ทั้งที่เวลาเพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่วินาที แต่เธอก็ดันทึกทักเอาเองเสร็จสรรพ
“ง่ายๆ แค่นี้เลยเหรอครับ?”
“ก็แล้วทำไมต้องทำให้มันยากด้วยล่ะ?” ก่อนเสียงหัวเราะรวนร่าของเธอกับคำพูดหยอกเย้าล้อกับประกายวาววับในดวงตาที่จ้องสบว่า “เพราะฉันตกหลุมรักคุณตั้งแต่แรกพบ มันก็ง่ายๆ แค่นั้นแหละ ยิ่งพอได้มาเห็นความสามารถและความมุ่งมั่นร้อนแรงของคุณที่มีให้กับดนตรีในค่ำคืนนี้ด้วยแล้วก็คิดว่าไม่อยากปล่อยไปเลย ร้านของฉันต้องการคุณนะ ว่าแต่ความร้อนแรงของคุณมีให้แค่กับดนตรีอย่างเดียวหรือเปล่า?” ก็จะทำให้ความอดทนของไทโชหมดลง ณ วินาทีนั้น
ริมฝีปากของเธอเย็นเยียบ ทว่าลมหายใจที่รดรินนั้นร้อนผ่าว เฉกเช่นเดียวกับอุณหภูมิในร่างกายเมื่อลิ้นของเธอเกาะเกี่ยวกับเขาเพื่อพิสูจน์คำตอบของคำถามนั้นให้ได้กระจ่าง แต่ทันทีที่มือข้างหนึ่งซึ่งประคองใบหน้าเอาไว้เปลี่ยนไปสอดเข้าใต้เรือนผมสีดำที่ปล่อยสยาย เธอก็กลับผละห่างออกไป ทว่าริมฝีปากที่สีลิปสติกยังคงไม่เลือนหายอย่างที่ไทโชปรารถนาว่าจะทำก็เปลี่ยนไปยกยิ้ม ยามเอ่ยถ้อยประโยคที่จงใจยั่วเย้ายิ่งกว่าเดิมว่า
“แล้วนิ้วของคุณล่ะ เก่งแค่เรื่องเปียโนด้วยหรือเปล่า?”
ทั้งความเสียดายระคนไปกับความหงุดหงิดเพราะจังหวะที่ถูกขัด ไทโชเลยยอกย้อนกลับไปโดยไม่รักษามารยาทว่า
“แล้วปากของคุณล่ะ เก่งแต่พูดหรือเปล่า?”
เธอระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่ถือสา ซ้ำยังไม่ได้มีทีท่าว่าเขินอาย และไทโชก็คิดว่าอยากจะปิดปากเธอแล้วหาคำตอบมันด้วยตัวเองเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอก็จะเพียงพูดว่า “งั้นไปพิสูจน์ด้วยกันสิ” ปล่อยมือทั้งสองข้างที่ยึดเสื้อโค้ตตัวนอกของเขาออก เพื่อเปลี่ยนมาสอดแขนข้างหนึ่งควงกับเขาด้วยท่าทีที่เหมือนกับคนรัก...มากกว่าคนรักตัวจริงที่เขาไม่ได้รักนอกจากแค่หาที่พึ่งพิงในยามยาก แต่ตอนนี้เขาจะต้องคิดถึงซาคุมิไปทำไมในเมื่อเธอคนนี้มีทุกสิ่งที่ไทโชต้องการ อย่างเช่นเพนต์เฮาส์ชั้นยี่สิบสามในรปปงงิที่ต่อให้ใช้ทั้งชีวิตเขาก็ไม่มีปัญญาแม้แต่จะได้เข้ามาย่างกราย ไม่ต้องพูดถึงการได้ครอบครองเป็นเจ้าของ หรือความรู้สึกบางอย่างข้างในอกที่ใกล้เคียงกับการตกหลุมรัก แม้ไทโชจะไม่อาจชี้ชัดลงไปได้ว่ามันใช่สิ่งนั้นจริงหรือเปล่า แต่สิ่งหนึ่งที่ไทโชแน่ใจได้คือความปรารถนาที่จะได้หลอมละลายกลายเป็นส่วนหนึ่งกับเธอในค่ำคืนอันหนาวเหน็บนี้
และเมื่อริมฝีปากที่บดเบียดกันด้วยความโหยกระหาย ราวกับการสานต่อเรื่องราวที่คั่งค้างของพวกเขาไปยังโซฟาบนห้องรับแขกที่สามารถมองเห็นวิวของโตเกียวทาวเวอร์ได้ผละออกจากกัน เพราะแรงผลักที่หน้าอกซึ่งเธอกระทำกับเขาจากการขาดอากาศหายใจที่นานเกินไปหน่อย เมื่อนั้นไทโชถึงได้แน่ใจว่าปากของเธอเก่งแต่พูดจริงๆ ขนาดแค่จูบยังอ่อนหัด ไม่จำเป็นต้องไปถึงเรื่องอื่นที่มากกว่านั้นอย่างการปรนเปรอให้อีกฝ่าย ทั้งอย่างนั้นไทโชก็พึงพอใจที่ได้เห็นรอยลิปสติกสีแดงที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนเพราะของเหลวที่แลกเปลี่ยนกัน รวมถึงการได้เป็นฝ่ายควบคุมเธอที่มีทุกอย่างเหนือกว่าสักทางหนึ่ง เหมือนกับที่เขากำลังทำอยู่จากปลายนิ้วที่ขยับขับเคลื่อนพร้อมกับควานไขว่กระตุ้นย้ำจุดอ่อนไหวอยู่ในตัวเธอที่อยู่ใต้ร่าง และไทโชก็คิดว่าเธอคงได้คำตอบของคำถามก่อนหน้านั้นอย่างดีมากแล้วผ่านเสียงร้องเรียกชื่อเขาที่ไทโชไม่รู้ว่าเธอไปรู้ได้ยังไงในตอนที่เสร็จ
แต่ก่อนที่จะถึงตาของเขาบ้าง ทันใดเธอก็จะพรวดขึ้นมากระชากแขนทั้งสองข้างผ่านเสื้อเชิ้ตที่เขากำลังจะถอดลงมาใกล้ น้ำเสียงของเธอสั่นพร่า ลมหายใจของเธอหอบแรง ใบหน้าของเธอแดงก่ำ ทั้งอย่างนั้นก็ยังไม่เท่ากับถ้อยประโยคที่เธอเอ่ยว่า
“ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกของฉัน และฉันไม่อยากได้ความอ่อนโยนอะไรทั้งนั้น ช่วยเป็นคนแรกของฉัน ช่วยมอบความเร่าร้อนเหมือนอย่างที่คุณมีกับดนตรีให้ฉัน ช่วยทำให้ฉันต้องการคุณมากจนไม่อยากปล่อยไปเลยที นะ ไทโช”
แค่เพียงเท่านั้น ความอดทนที่ไม่ได้มีมากมายอีกครั้งของไทโชก็จะสิ้นสุดลงไป
ทั้งที่เป็นวันก่อนปีใหม่ แต่แผนการที่อุกิโช ฮิดากะอุตส่าห์วางไว้ตลอดทั้งวันร่วมกับโนโระ มันโย คนรักสามปีที่เพิ่งจะขยับฐานะมาเป็นคู่หมั้นได้สามเดือนก็มีอันต้องพังครืนลงไป เมื่อตื่นเช้ามาหล่อนก็ดันเกิดปวดหัวตัวร้อนขึ้นมา ด้วยเหตุผลที่ฮิดากะถึงกับแน่ใจเลยว่าเป็นเพราะการออกไปเอ้อระเหยอยู่ข้างนอกตอนดึกๆ ดื่นๆ เพื่อหาแรงบันดาลใจในการเขียนนิยายเล่มใหม่อยู่นานสองนาน
ฮิดากะนึกโกรธความสะเพร่าของตัวเองที่ปล่อยปละละเลยหล่อน ถึงหล่อนจะเป็นฝ่ายปล่อยปละละเลยเขาก่อนก็ไม่ใช่เรื่องที่คนรักควรต้องหาทางเอาชนะกัน หากเมื่อฮิดากะบอกว่าจะช่วยอยู่ดูแลหล่อนตลอดทั้งวันนี้ มันโยที่ไม่ได้ป่วยหนักขนาดทำอะไรเองไม่ได้เลยสักหน่อยก็จะไล่เขาออกไปหากิจกรรมอย่างอื่นที่สนุกกว่าการเป็นพยาบาลจำเป็นที่น่าเบื่อหน่ายให้หล่อนในวันส่งท้ายปีใหม่แทน
ใช่ว่าฮิดากะอยากทำแบบนั้น ในเมื่อเขาจะมีแก่ใจไปสนุกคนเดียวทั้งที่คนรักกำลังนอนซมเพราะพิษไข้อยู่ได้ยังไง แต่เมื่อรู้ว่าหล่อนไม่สบายจากโทรศัพท์ภายในที่เขาติดต่อไปแจ้ง ฮาชิโมโตะ เรียว ญาติผู้พี่ของมันโย ควบตำแหน่งหัวหน้าบริษัทนำเข้าส่งออกและเพื่อนซี้ตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยของเขา ตัวตั้งตัวตีเรื่องทริปปีใหม่ แถมยังเป็นคนออกค่าใช้จ่ายราคาแพงระยับในโรงแรมสี่ดาวที่มีชื่อว่ามิกาซึกิแห่งนี้ ก็จะรีบมาลากตัวพาเขาออกไปสร้างความสนิทสนมกับว่าที่นักลงทุนจากต่างประเทศด้วยกัน
เป็นอย่างที่ฮิดากะคิดไว้ไม่มีผิด เมื่อนักลงทุนจากต่างประเทศที่ว่าคือชายวัยกลางคนซึ่งมาพักผ่อนกับลูกสาววัยไล่เลี่ยกับพวกเขา และสิ่งที่เรียวซึ่งถนัดการใช้หัวล่างพอๆ กับหัวบนอยากลงทุนด้วยจริงๆ ก็คือสาวลูกครึ่งผมแดงหน้าตาสะสวยอย่างกับดาราจอเงินรายนั้นต่างหาก เป็นความฉุนกึกในทีแรก เมื่อฮิดากะอดคิดไม่ได้ว่าทำไมเขาต้องถูกลากตัวมาทำงานในวันหยุดเพื่อให้บริษัทได้นักลงทุนรายใหญ่แทนรายเก่าที่ถอนตัวออกไป ขณะที่เรียวกลับได้แอ้มสาวอยู่คนเดียวสบายใจเฉิบ ตรงกันข้ามกับฮิดากะที่ถูกมันโยปฏิเสธไม่ให้หลับนอนด้วยตั้งแต่พวกเขามาถึงโรงแรมเมื่อห้าวันก่อน เสียจนบ่อยครั้งฮิดากะซึ่งไม่เคยขัดใจคนรักเลยสักครั้งก็นึกเกลียดอาชีพการงานของหล่อน ยิ่งโดยเฉพาะเวลาที่หล่อนเริ่มต้นเขียนเรื่องใหม่ — อย่างในตอนนี้ — หรือก่อนที่จะปิดต้นฉบับเรื่องเก่าอย่างบ้าคลั่ง หากเมื่อแม่สาวผมแดงควงแขนขอแยกตัวไปกับเรียวหลังมื้อเช้าเพราะไม่อยากเดินขึ้นเขาไปกับพ่อ ฮิดากะที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้งอยู่แล้วจึงขันอาสาเป็นไกด์นำทางให้คุณลีด้วยความเต็มใจ เป็นเพราะอากาศที่แม้จะหนาวบาดผิวแต่ก็ปลอดโปร่งสดชื่นจากแสงอาทิตย์อบอุ่นที่สาดทอลงมา ไหนจะการได้แลกเปลี่ยนบทสนทนาในเรื่องสัพเพเหระโดยไม่เฉียดกรายไปยังธุรกิจหรือเงินทอง เมื่อนั้นอารมณ์ของฮิดากะจึงชื่นบานขึ้นกว่าเดิมมาก ถึงขนาดนึกขอบคุณเรียวที่ทำให้เขาไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในโรงแรมเสียด้วยซ้ำไป
มันโยยังคงนอนหลับสนิทในตอนที่ฮิดากะกลับมาถึงโรงแรมตอนเย็นย่ำ มีโน้ตที่เขียนว่า ‘เชิญคุณฮิดากะดื่มเหล้าเมาแอ๋ฉลองปีใหม่กับพี่เรียวได้ตามสบายเลยค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงฉันนะคะ สัญญาว่าจะไม่โกรธ’ อยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงที่หล่อนคงลุกมาเขียน ฮิดากะอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เพราะอย่างกับว่าหล่อนเคยโกรธอะไรเขาหรือแม้แต่ในทางกลับกันเสียที่ไหน น่าเสียดายที่ฮิดากะไม่อาจแตะริมฝีปากหรือจะแค่หน้าผากที่เขาวางหลังมือทาบลงไปได้ดั่งใจ แม้ว่าอาการไข้ของหล่อนจะทุเลาลงจากตอนเช้ามากแล้วก็ตาม ฮิดากะตัดสินใจปล่อยให้หล่อนนอนหลับพักผ่อนต่อ ขณะที่ตัวเองก็ออกไปใช้ห้องอาบน้ำในโรงแรมตามคำชักชวนของคุณลีแทนที่จะเป็นในห้องนอน และไม่อิดออดกับการไปกินดื่มที่บาร์ด้วยกันต่อจากนั้น
ทว่าฮิดากะไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีแขกกลุ่มหนึ่งมาร่วมโต๊ะด้วยในตอนที่นักดนตรีกำลังร้องเพลง ‘ยู สเต็ปป์ เอาท์ ออฟ อะ ดรีม’ (เธอเดินออกมาจากความฝัน) และหญิงสาวผมสีน้ำตาลทองตัดกับใบหน้าขาวจัดและริมฝีปากสีแดงสดในชุดกระโปรงรัดรูปถึงเข่าตัวสีเขียวเข้มก็ทำให้ลมหายใจของฮิดากะคล้ายว่าจะขาดห้วงลงไป เมื่อเขากำลังรู้สึกแบบนั้น...อย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน ไม่แม้แต่คู่หมั้นสามปีที่คบหากันมาโดยไม่เคยปันใจไปให้ใครสักครั้ง ครั้นเธอส่งยิ้มกว้างจากทั้งดวงตาและริมฝีปากแล้วยื่นมือข้างหนึ่งออกมาให้จับ ฮิดากะก็บังเกิดความคิดคล้อยตามบทเพลงขึ้นมาว่าอยากพาเธอวิ่งหนีออกไปจากฝูงชนมันเสียเดี๋ยวนั้น!
“ไอโซเมะ อามิริค่ะ”
แปลกดีที่น้ำเสียงของเธอไม่ได้ไพเราะกังวานอย่างที่เขาจินตนาการไว้เมื่อแรกเห็น กระนั้นมันก็ดูเข้ากับความเป็นคนเปิดเผยและก๋ากั่นในแบบเด็กสาวมากกว่าหญิงสาว เหมือนอย่างที่มันโยเป็น เหมือนอย่างที่เขาเคยคิดว่าชอบ หรือแท้จริงแล้วความรักก็อาจเป็นแค่สิ่งที่ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีคำว่าถูกผิด
ฮิดากะแทบละความสนใจจากใบหน้าอันงดงามของเธอไม่ได้เลยราวกับแม่เหล็กที่ถูกดูดดึง ถึงเพื่อนร่วมโต๊ะอีกคนหนึ่งจะมีชื่อว่าคานาซาชิ อิซเซย์ เจ้าของฐานะและนามสกุลที่คงทำให้เรียวตาลุกตาวาว เพราะเขาคือเจ้าของโรงแรมมิกาซึกิคนปัจจุบันหลังบิดาเสียชีวิตกะทันหัน ทว่าคนที่ทำให้ฮิดากะตาลุกตาร้อนได้มากกว่ากลับเป็นผู้จัดการโรงแรมที่คนอื่นเรียกอย่างมีมารยาทว่าคุณซาคุมะ หากเธอเรียกอย่างสนิทสนมว่าริวโตะ ชายผู้มีใบหน้าหล่อเหลาดูดี สวมชุดสูทสีดำเรียบกริบซึ่งขับความภูมิฐานแบบผู้ชายมากกว่าเด็กหนุ่มเหมือนอย่างที่คานาซาชิเป็น คนที่เธอพยายามกระแซะกระเซ้าโดยไม่ปิดบังเจตนาต่อทุกคนในที่นี้เลยแม้แต่น้อย ถึงสิ่งเดียวที่เธอได้รับจะเป็นสีหน้าแสดงความหงุดหงิดรำคาญใจ หากก็อาจเปรียบได้กับความบันเทิงเริงใจที่เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจจากเธอ
กระทั่งการมาถึงของหญิงสาวในชุดสูทอีกคนหนึ่งที่ก้าวฉับมายังโต๊ะที่อยู่ติดเวทีของพวกเขา เมื่อค้อมหัวแสดงมารยาทแล้วก็ก้มลงไปกระซิบบางอย่างกับซาคุมะด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เป็นเพราะส้นรองเท้าห้านิ้วที่ทำให้ส่วนสูงของเธอแทบจะทัดเทียมกับหัวหน้าที่รีบร้อนเดินออกจากบาร์ไปด้วยกัน พวกเขาดูเหมาะสมกันมากขนาดทำให้ฮิดากะที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องของคนแปลกหน้ายังอดคิดขึ้นมาไม่ได้ เธอเองก็คงคิดเหมือนกัน มุมริมฝีปากคู่นั้นถึงได้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม อาจเย้ยหยันด้วยความสมเพชต่อตัวเอง หรือไม่ก็เหยียดหยันด้วยความอิจฉาต่อสองคนนั้น หลังจากยกค็อกเทลเต็มแก้วขึ้นซดรวดเดียวจนหมดแล้ว เธอก็ขอตัวกลับห้องก่อนโดยไม่สนใจที่จะหาคำแก้ตัวเลยด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามกับฮิดากะที่ยกแม่น้ำทั้งห้ามาอ้างว่าเพราะเป็นห่วงคู่หมั้นที่ไม่สบายได้อย่างลื่นไหล ทั้งที่เขาแทบไม่ได้คิดถึงมันโยเลยสักเสี้ยวเศษ
แต่เขาจะคาดหวังอะไรจากเธอได้ ไม่ต้องคิดไปไกลถึงความพยายามสานสัมพันธ์ ในเมื่อก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเธอตกหลุมรักผู้ชายคนนั้น และแหวนเกลี้ยงสีเงินบนนิ้วนางข้างซ้ายของเขากับผู้หญิงอีกคนก็ชัดเจนทนโท่
ทั้งอย่างนั้นฮิดากะก็ยังบ้าพอที่จะตามเธอออกมา บ้ายิ่งกว่าที่พูดจาเหมือนว่ารู้ดีใส่หน้าเธอที่เพิ่งจะรู้จักกันแท้ๆ ว่า
“ปีใหม่ทั้งที จะกลับไปนอนเหงาอยู่ในห้องแค่เพราะผู้ชายคนเดียวเหรอครับ คุณไอโซเมะ?”
เธอไม่ได้หยุดฝีเท้าในส้นสูงหรือแม้แต่จะหันมองเขาที่เดินขึ้นมาอยู่ข้างกันด้วยซ้ำ ขณะยอกย้อนกลั้วไปกับเสียงหัวเราะที่ราวกับจะทำลายเส้นคั่นบางๆ ของศีลธรรมอันน้อยนิดให้ขาดผึง
“ไม่เหงาหรอกค่ะ ก็ที่คุณตามฉันมาแบบนี้เพราะไม่อยากให้ฉันอยู่คนเดียวไม่ใช่หรือคะ คุณอุกิโช?”
_______________
_______________
ความคิดเห็น