คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #242 : WE ARE YOUNG ~PAINT~
โชคดีที่แม่เจ้ากี้เจ้าการให้เธอขนข้าวของที่จำเป็นทั้งหมดล่วงหน้ามาก่อนแล้ว โคโคโรกิ มิวะที่เพิ่งลงจากเครื่องจึงสามารถเดินตัวปลิวออกมาจากสนามบินที่แออัดไปด้วยผู้คนในยามสายของวันสุดสัปดาห์ได้อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องลากกระเป๋าเดินทางใบเขื่องหรือหอบข้าวของพะรุงพะรังออกไปโบกแท็กซี่ยังจุดหมายปลายทางคืออพาร์ตเมนต์รอบนอก ที่แม้ว่าราคาจะสูงไปสักหน่อยสำหรับอพาร์ตเมนต์ห้าชั้นเมื่อเทียบกับในตัวเมือง แต่มิวะก็ยังตัดสินใจเลือกที่นี่เพราะทำเลริมอ่าวที่ทอดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา แน่นอนว่าเธอยังคงชอบแสงสีและความมีชีวิตชีวาของเมืองหลวงที่ไม่ได้ต่างจากบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองอยู่ หากการได้เห็นสิ่งแปลกใหม่อย่างผืนน้ำสีฟ้าที่สะท้อนแสงแดดระยิบระยับในตอนกลางวัน หรือแสงจากดวงไฟบนสะพานและสุดเส้นขอบฟ้าปรากฏขึ้นในตอนกลางคืน ก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้ไม่แพ้กัน
และเมื่อก้าวฝีเท้าบนผืนผ้าใบลงมาหยัดยืนอยู่เบื้องหน้าลอฟท์อพาร์ตเมนต์สีขาวแซมลายอิฐที่มีชื่ออันน่าประทับใจไม่ต่างกันว่า ‘มูนไนท์’ รับสายลมทะเลที่พัดโพยมาหอบใหญ่ในช่วงต้นฤดูร้อนแล้ว มิวะก็รู้สึกได้ว่าชีวิตใหม่ของเธอจะต้องดีกว่าที่เคย
ห้องพักของเธออยู่ตรงกลางของชั้นสูงสุด มิวะคิดว่ามันคือพรหมลิขิตเมื่อมีห้องพักว่างในวันที่โทรศัพท์เข้าไปสอบถาม หลังเสิร์ชหาข้อมูลของเมืองใหญ่ที่ไม่คุ้นเคยในอินเทอร์เน็ตพอดิบพอดี การออกแบบที่ผสมผสานกันของสีสันในโทนธรรมชาติทั้งปูนเปลือย ลายอิฐ และไม้เนื้อหนาให้ความรู้สึกที่ไม่แข็งกระด้างของสีขาวสะอาดซึ่งเธอไม่นิยม มีเฟอร์นิเจอร์เข้าชุดกันมาให้ ทั้งโซฟา ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของ เคาน์เตอร์คั่นระหว่างส่วนเก็บอุปกรณ์ทำครัวที่รวดเลยใช้เป็นโต๊ะกินข้าวด้วยเพื่อประหยัดพื้นที่ใช้สอย เป็นห้อง 1R ที่ไม่มีผนังกั้นกลางระหว่างส่วนของห้องครัวและห้องนั่งเล่น เว้นก็แต่ห้องน้ำรวมห้องอาบน้ำริมทางเดินซึ่งมีสัดส่วนเป็นของตัวเอง เมื่อเดินเลยเข้าไปจึงจะพบบันไดขึ้นไปยังฟูกนอนบนชั้นลอย มันยังกว้างขวางมากพอที่จะวางโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กๆ สำหรับเล่นแล็ปท็อปลงไปโดยไม่ต้องกลัวว่าจะเผลอนอนดิ้นแล้วปาดป่ายไปโดน ส่วนกล่องเก็บข้าวของที่แม่จ้างขนส่งมาล่วงหน้าตั้งแต่สามวันก่อนวางกองรวมกันอยู่ที่มุมห้องอย่างเป็นระเบียบ แต่มิวะก็ยังไม่มีแก่ใจจะทำอะไรกับพวกมัน นอกจากเดินไปรูดผ้าม่านผืนสีน้ำตาลเข้มให้เปิดอ้าออก เหลือแต่ผ้าม่านลูกไม้สีครีมบางเพื่อไม่ให้แสงแดดสะท้อนจ้าเกินไปนักแล้วยกบานพับบานหนึ่งขึ้น คงเพราะลมที่พัดเข้ามานี้เอง เธอจึงได้เห็นเศษกระดาษแผ่นหนึ่งปลิวมาอยู่ที่ปลายเท้า
เมื่อก้มลงไปหยิบขึ้นมาดู จึงได้เห็นว่าเป็นตั๋วคอนเสิร์ตของวงร็อคที่เธอเคยได้ยินแค่ชื่อและฟังเพลงผ่านๆ จากกลุ่มเพื่อนผู้หญิงในสาขาที่นิยมชมชอบนักร้องนำมากกว่าตัวเพลงอย่างไอด๊นท์ไลค์มันเดย์ส. ทีแรกมิวะคิดว่าเจ้าของห้องคนเก่าอาจจะลืมมันไว้ที่นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะร่องรอยยับย่นและรอยฉีกที่หัวมุมหนึ่งถึงจะเพียงเล็กน้อย เช่นนั้นก็คงแทนเป็นความตั้งใจมากกว่า วันที่ระบุวันนี้ เวลาหนึ่งทุ่มตรง คงน่าเสียดายถ้ามันจะถูกทิ้งไว้อย่างนั้น
มิวะตัดสินใจเปิดกล่องใหญ่ใบที่ไม่มีอะไรซ้อนทับ คว้าแล็ปท็อปกระโจนขึ้นไปนอนบนโซฟาตัวยาว เปิดแอปสปอติฟายหารายชื่อศิลปินแล้วเล่นเพลงแบบสุ่ม ขณะเดียวกันก็หาสถานที่จัดงานพร้อมวิธีเดินทางในค่ำคืนนี้ไปด้วย ครั้งล่าสุดที่เคยไปดูไลฟ์ก็ตั้งแต่สมัยเข้าเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ๆ ที่เพื่อนร่วมสาขาเฮละโลชวนกันไปกระโดดเย้วๆ เคล้าเหล้าเบียร์ในผับไม่อั้นเป็นกลุ่มใหญ่ ใช่ว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีหรืออะไร มิวะก็แค่ไม่ชอบสถานที่ที่แออัดและพลุกพล่านแบบนั้น ไม่ต้องพูดถึงการไปสนุกคนเดียวกับวงที่แทบจะไม่ได้รู้จักเลยก็ตาม แต่หลังพานพบกับพรหมลิขิตครั้งแรกที่ชักพาเธอมาที่นี่แล้ว มิวะก็คิดว่าบางที...นี่อาจจะเป็นพรหมลิขิตครั้งที่สองถึงเรื่องดีๆ อะไรสักอย่างก็ได้
∞
เพราะกลัวว่าจะหลงทางหากใช้บริการขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟใต้ดินที่เส้นทางยั้วเยี้ยยุบยับเต็มไปหมด มิวะจึงตัดสินใจเลือกใช้วิธีที่ปลอดภัยกว่าอย่างการจับแท็กซี่แล้วบอกจุดหมายปลายทางมายังคลับเอดจ์แทนในเวลาหกโมงนิดๆ ความโล่งอกแล่นปราดเข้ามาในตอนที่ได้เห็นว่าพื้นที่จัดงานในไนท์คลับไม่ได้กว้างมากอย่างที่ได้เห็นในเว็บไซต์ของร้าน ขณะที่คนอื่นต่างจับกันเป็นกลุ่มก้อน มิวะจะเพียงยืนชิดติดผนังกับเมลอนจินเจอร์ที่เพิ่งสั่งมาจากบาร์เครื่องดื่ม ทำเลตรงนี้จัดว่าไม่เลว แม้จะอยู่หลังสุดก็ยังสามารถมองเห็นบนเวทีได้ชัดเจน ขณะดูดเครื่องดื่มรสซ่าเข้าไปและมองผู้คนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่จับจดนั้นเอง มิวะก็จะได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อต้นจนต้องรีบเลื่อนสายตากลับมายังบาร์เครื่องดื่ม เพื่อจะได้พบกับชายหนุ่มผมสีทองที่กำลังยืนหันหลัง พิงข้อศอกกับเคาน์เตอร์ มือข้างหนึ่งถือขวดเบียร์ไฮเนเก้น และส่งยิ้มมาให้...เป็นรอยยิ้มที่มิวะคุ้นเคยดี เมื่อนั้นเธอจึงร้องเรียกนามสกุลของเขาคืนกลับไป ตอบรับด้วยปฏิกิริยาเดียวกันบนใบหน้าที่กว้างกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า
“โอ้โห! เมืองก็ตั้งกว้าง แต่เรากลับได้มาเจอกันในคลับเล็กๆ แถมต้องตบตีแย่งชิงตั๋วไม่ถึงห้าร้อยใบด้วยซ้ำแบบนี้ เหลือเชื่อไปเลย!”
ริมฝีปากของเขายังคงไม่ได้ทำหน้าที่อะไรมากไปกว่านั้น เมื่อเธอจะยังคงถือครองบทสนทนาเจื้อยแจ้วตามประสาอยู่เช่นเดิม
“อ๊ะ! แล้วก็ตอนนี้ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่จริงๆ แล้วนะ!”
“ได้ยินมาจากคุณมิอะแล้วล่ะ” เขาหมายถึงพี่สาวของเธอที่รู้จักกันตั้งแต่สี่ปีก่อนที่เขากับครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนช่วงวันหยุดยาวที่โอซาก้า แต่เพิ่งจะได้มาสนิทสนมกับมิวะเมื่อปีที่แล้วหลังเธอหลบเมืองกรุงไปพักใจที่บ้านเกิด กระนั้นความสัมพันธ์ระหว่างกันก็ยังคงไม่ได้มากไปกว่าคนรู้จักธรรมดาจากการพบปะพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปที่ร้านอาหารของพี่มิอะ เพราะบาดแผลภายในใจยังคงตกสะเก็ด มิวะจึงมักจะปลีกตัวไปเดินเล่นในเมือง พลางครุ่นคิดถึงภาพอดีตที่เคยใช้ร่วมกันกับคนรักเก่า ทำตัวเป็นนางเอกโง่เง่าที่มักจะก่นด่าในหนังรักเสียเอง
ดังนั้นในตอนที่เธอตัดสินใจแบบปุบปับว่าจะย้ายมาอยู่ที่นี่โดยไม่ปรึกษาแม่และพี่สาวล่วงหน้า ชื่อของนาสุ ยูโตะจึงไม่ผ่านเข้ามาในหัวเลยแม้แต่น้อย
“แล้วนี่ย้ายมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เมื่อเช้านี้เองแหละ!” ด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นซึ่งยังคงไม่จางหายไปขณะเอ่ยต่อ “นาสุรู้ไหม ที่จริงแล้วฉันไม่ใช่แฟนคลับของวงนี้หรอก แต่เผอิญว่าเจอตั๋วคอนเสิร์ตถูกทิ้งอยู่ในห้องพัก ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยดีที่ไปเอาของของคนอื่นมา แต่ถ้ามันจะต้องถูกทิ้งไว้เฉยๆ ก็น่าเสียดายออก แล้วก็ลัคกี้! โชคดีชะมัดเลยที่ได้เจอนาสุ! ไม่แน่ว่ามันอาจเป็นพรหมลิขิตก็ได้”
“งั้นฉันก็คงต้องขอบคุณพรหมลิขิตที่ทำให้ได้เจอเธอ”
いざ手を伸ばして 風を切り裂いて 暗闇を蹴っ飛ばして
ยื่นมือออกไป ฝ่าสายลม ขับไล่ความมืดมิด
僕らは何処までもゆける 涙も迷いもいっそ引き連れて
เราจะไปที่ไหนก็ได้ที่อยากจะไป พาน้ำตาและความลังเลใจไปด้วย
己の色で描いてゆけ
มาระบายให้เป็นสีสันของเรากันเถอะ
_______________
? cactus
ความคิดเห็น