คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #223 : the world in a cage: 第3話
ปริศนาเรื่องบ้านพักตากอากาศของมัตสึชิมะถูกไขขานอย่างง่ายดายเกินคาด จากการที่นากาจิมะตัดสินใจลองเข้าไปถามพนักงานต้อนรับ ที่ซึ่งเด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบสไตล์ตะวันตกเป็นสูทสีดำ มีป้ายกลัดสีทองบนหน้าอกที่อ่านได้ว่า ‘โทมะ’ เหมือนกับพนักงานวัยกลางคนที่พวกเขาได้พบเมื่อคืนจะให้คำตอบด้วยความกระตือรือร้น ทั้งอย่างนั้น ทสึบาสะก็ไม่ค่อยมั่นใจนักว่าสายตาพราวระยับของเขาในตอนที่เอ่ยถึงมัตสึชิมะแล้วเคลื่อนมาทางเธอนั้นมีความหมายบางอย่างซุกซ่อนอยู่จริงๆ หรือเป็นเพราะเธอแค่หวาดระแวงกับความปกติ จนต้องมองหาความผิดปกติอะไรสักอย่างมาช่วยเติมเต็มกันแน่
โทมะบอกว่าไม่มีแฟนคลับนักอ่านแม้แต่รายเดียวรู้ว่านักเขียนขวัญใจของตนใช้เวลาสรรสร้างผลงานอยู่ที่นี่ (หรือต่อให้จะมี พวกเขาจะหาทางมายังหมู่บ้านลับแลที่ถูกลบการมีอยู่เช่นนี้ได้อย่างไร?) เพราะเคียวคุโจเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบ ชาวบ้านจึงไม่ต้องการให้ใครมาทำลายมันกับการแห่แหน ดังนั้นใครก็ตามที่เอ่ยปากถึงมัน ย่อมต้องมีความเกี่ยวพันกับสำนักพิมพ์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง...หรือไม่ก็เป็นตัวของมัตสึชิมะเอง
โทมะช่วยบอกเส้นทางไปยังบ้านพักตากอากาศที่อยู่ไกลห่างจากเขตเมืองหลักออกไปราวครึ่งชั่วโมงให้ และทั้งเธอกับนากาจิมะต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าจะไปหาเป้าหมายแรกสุดอย่างมัตสึชิมะ โซ ก่อนสิ่งอื่นใดในวันนี้
ก่อนที่ทสึบาสะจะนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แม้หลังจากที่พวกเขาจะเอ่ยขอบคุณพนักงานหนุ่มแล้วเตรียมหันหลังเดินจากไป
“เอ่อ ขอโทษนะคะ แต่ได้ยินว่าวันมะรืนจะมีงานเทศกาลประจำปีของหมู่บ้าน...”
พูดได้แค่นั้น โทมะก็จะโพล่งแทรกขึ้นด้วยพลังงานอันล้นเหลือที่ผสานรวมกันทั้งในแบบของเด็กหนุ่มและพนักงานต้อนรับผู้แข็งขันว่า
“ครับ จัดขึ้นที่ริมแม่น้ำไม่ไกลจากนี่เท่าไหร่ มีการจุดเทียน ร่ายรำ และแสดงละคร ปกติแล้วหมู่บ้านเราไม่ค่อยมีคนนอกเข้ามา แต่เพราะปีนี้เป็นปีที่พิเศษเลยมีแขกจากต่างเมืองมากันเยอะหน่อย วันพรุ่งนี้ที่นี่จะคึกคักกว่านี้มาก และเราก็ถือเป็นเกียรติอย่างสูงที่ปีนี้ได้ต้อนรับคุณนากาจิมะ...และคุณคิคุจินะครับ”
คราวนี้ทสึบาสะแน่ใจได้แล้วว่าสายตาของเขามีความหมายบางอย่างเคลือบแฝงอยู่จริงๆ ในยามที่ขานเรียกชื่อเธออย่างจงใจเนิบช้ากว่านากาจิมะไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง แต่ทสึบาสะก็พยายามทำเป็นเพิกเฉยต่อสายตาคู่นั้นแล้วถามต่อไปว่า
“แล้วทำไมมันถึงเป็นปีที่พิเศษกว่าปีอื่นๆ เหรอคะ?”
“มันจะไม่สนุกกว่าหรือครับที่คุณจะหาคำตอบเรื่องนั้นเอาเอง เหมือนกับที่เรารอคอยคำเฉลยในนิยายของอาจารย์มัตสึชิมะ”
ทสึบาสะไม่เข้าใจคำเปรียบเทียบนั้นเพราะไม่เคยอ่านนิยายของมัตสึชิมะจนจบเลยแม้แต่เรื่องเดียว กระนั้นเธอก็ไม่ชอบที่โทมะพูดเหมือนกับว่ามันเป็นเกมปริศนาที่เธอเกลียด เพราะหัวสมองที่ไม่ได้ปราดเปรื่องเมื่อเทียบกับพี่ชายหรือผู้คนรายรอบข้างที่รู้จัก และในเวลานี้เธอก็ไม่ต้องการปริศนาอื่นใดให้ขบคิดอีกแล้วนอกจากคำตอบที่ชัดเจน แต่ก็เป็นอีกครั้งที่จังหวะของเธอจะเชื่องช้ากว่าเขา ต่างกันที่ครั้งครานี้มันจะทำให้คำพูดทั้งหมดของเธอกลับกลืนลงคอไป เพราะไม่มีหน้าต่างติดอยู่สักบานเลยในล็อบบี้ พวกเขาจึงต้องพึ่งพาแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาจากส่วนของทางเข้าคับแคบที่ทอดยาว ถึงอย่างนั้นก็ยังมีไม่มากพอจนต้องเปิดโคมไฟสีนวลที่วางอยู่บนโต๊ะในมุมห้องหลังเคาน์เตอร์และข้างโซฟาตัวที่เธอนั่งลงเมื่อคืนไว้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง และขณะนี้มันกำลังสาดส่องใบหน้า ขับคำพูดของพนักงานหนุ่มที่ก่อนหน้านี้ยังเริงร่าดีอยู่ให้ดูเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน
เธอได้มองเห็นใบหน้าของมัตสึชิมะ โซทับซ้อนกับเด็กหนุ่มผู้นั้นในชั่วเสี้ยววินาทีจนเผลอถอยกรูด เกือบสะดุดฝีก้าวบนรองเท้าส้นสูง ให้นากาจิมะที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ต้องรีบรุดมาประคอง
ด้วยคำพูดที่ไม่เพี้ยนผิดไปจากกันว่า
“เมื่อเวลานั้นมาถึง”
∞
“ที่นี่ไม่เหมือนอย่างที่คิดเลยนะครับ”
ในตอนที่พวกเขากลับมานั่งอยู่ด้วยกันบนรถที่ขับเคลื่อนไปบนท้องถนนซึ่งฉายภาพความเป็นไปของหมู่บ้านอันเงียบสงบ นากาจิมะก็เริ่มต้นพูดด้วยประโยคนั้น เรียกสายตาที่ทอดมองตรงไปนอกบานหน้าต่างอย่างเหม่อลอยถึงเมื่อครู่มาหาเขา
“ผมนึกว่าหมู่บ้านลับแล ทางผ่านของประตูนรก หรืออะไรก็ตามแต่อย่างที่คนอื่นเรียกจะน่ากลัวกว่านี้ แต่ที่นี่ก็แค่หมู่บ้านสงบเงียบธรรมดาๆ จนผมนึกสงสัยด้วยซ้ำว่ามันจะมีเรื่องสยองที่เคียวคุโจได้ยังไง”
“จะพูดยังไงฉันก็ไม่ให้คุณนากาจิมะอ่านต้นฉบับเรื่องนั้นหรอกนะคะ” ทสึบาสะที่รู้เท่าทันต่อเจตนาของเขาสวนย้อนกลับไป อีกฝ่ายเลยได้แต่เปล่งเสียงหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“เหมือนในหนังไงคะ” เธอว่า “หมู่บ้านที่คิดว่าเงียบสงบ ล้วนแล้วแต่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวสยองขวัญที่แท้จริง”
นากาจิมะไม่ปฏิเสธข้อความเห็นนั้น ละมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยแล้วยกขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้
“เอาไว้ตอนกลับโรงแรม เราอาจเก็บเรื่องนี้ไปถามพนักงานต้อนรับดู”
หลังทสึบาสะผงกศีรษะตอบรับ บทสนทนาเพียงไม่กี่ประโยคของพวกเขาก็กลับมาแทนที่ด้วยความเชียบงัน ภาพของย่านที่อยู่อาศัยกับผู้คนที่กำลังทำกิจวัตรรายรอบนอก บัดนี้เปลี่ยนกลายมาเป็นถนนคอนกรีตที่มีป่าสีน้ำตาลปนเขียวแก่บนใบยืนต้นดูทึบทึมตลอดสองข้างทาง ท้องฟ้าที่เคยมีแสงเรืองรองทอประกายกลับมืดหม่นลงไปเมื่อพาหนะค่อยๆ ขับเคลื่อนเข้าสู่ความชืดชาของไม้ยืนต้นที่ดูแข็งขืน น่ากลัว แฝงเร้นไปด้วยความแปลกประหลาด มันไม่ใช่ต้นไผ่ ไม่ใช่ต้นอะไรที่ทสึบาสะคิดว่าเคยพบเห็นหรือคิดว่าจะได้พบเห็น ราวกับสิ่งที่มาจากนอกโลกแล้วแพร่พันธุ์แตกหน่ออยู่ในดินแดนอันไกลโพ้น พยายามกลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้างจนไม่มีใครทันได้สังเกตเห็นว่ามันกลืนกินสายพันธุ์ดั้งเดิมไปจนหมดสิ้น ความหวาดกลัวที่จางหายไปคล้ายว่าจะคืบคลานกลับคืนมาให้เธอได้สำเหนียกถึงความจริงแท้ของที่นี่...ที่ที่เสมือนว่าทุกคนและทุกสิ่งล้วนต่างรอต้อนรับเธอ
ทสึบาสะคิดว่าเธอกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ปากทางนรก แม้ว่านรกที่เธอหมายความถึงจะเป็นบ้านพักตากอากาศสองชั้นหลังใหญ่ด้วยสไตล์ที่ผสมผสานทั้งความเป็นญี่ปุ่นและตะวันตกแบบร่วมสมัย เช่นเดียวกับโรงแรมเคียวคุโจที่พวกเขาเพิ่งจะจากมา อีกครั้งที่เหมือนกับว่ามันคือส่วนผสมอันผิดแปลกของหมู่บ้านในเกียวโตที่ควรจะคงความเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมเอาไว้ ยิ่งถ้าหมายความถึงหมู่บ้านที่ถูกตัดขาดกระทั่งไม่มีในแผนที่ให้นักท่องเที่ยวเสาะแสวงด้วยอีก
เช่นนั้นแล้วพวกเขาไปเอาความคิดผิดประหลาดนี้มาจากไหน?
มันช่วยไม่ได้ที่ทสึบาสะจะคิดถึงความเกี่ยวข้องต่อมัตสึชิมะ โซ นักเขียนนิยายเขย่าขวัญ ผู้ที่อาจนำพาเรื่องสยองขวัญจากโลกอื่นมาสู่โลกของเรา
และเธอคล้ายว่าจะกำลังเหยียบย่างเข้าไปในโลกอื่นที่ว่านั้น เหมือนที่เคยเข้าไปเยี่ยมเยือนในความฝันหลังอ่านหนังสือของมัตสึชิมะเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว...อีกครั้ง
คนที่ผลักบานประตูออกมาก่อนที่พวกเขาจะได้ทันมองหากริ่ง คือชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับพี่ชายเธอในชุดสูทสีดำ หากเพราะริบบิ้นเส้นยาวที่ผูกอยู่แทนที่จะเป็นเนคไทเหมือนอย่างพนักงานต้อนรับในโรงแรมเคียวคุโจ ทำให้บรรยากาศที่ล้อมรอบตัวเขาดูไม่เคร่งขรึมอย่างที่คิดว่าควรจะเป็น หรืออาจเป็นเพราะริมฝีปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มไปจนถึงดวงตาที่แสดงความจริงใจ ทสึบาสะจึงอดยิ้มตอบกลับไปให้เขาในตอนที่ค้อมศีรษะลงเพื่อทักทายไม่ได้
“เชิญครับ คุณนากาจิมะ คุณคิคุจิ” น้ำเสียง ถ้อยคำ กิริยา ไปจนถึงการกระทำ ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความสุภาพนอบน้อมอย่างคนที่ได้รับการฝึกอบรมมาดี เธอแน่ใจถึงสถานะก่อนเขาจะแนะนำตัวว่า “ผมชื่ออาเบะ เป็นพ่อบ้านของอาจารย์มัตสึชิมะครับ” เสียอีก
“เขารู้ได้ยังไงคะว่าเราจะมา?”
ต่างกับเรื่องที่เธอไม่แน่ใจจนไม่รีรอที่จะเอ่ยปากถาม ขณะเดินตามพ่อบ้านที่นำทางเข้าไปในบ้านพักตากอากาศที่โอ่โถง ทั้งผนัง พื้น และเพดานที่ล้วนแล้วแต่เป็นเนื้อไม้ขัดเงากึ่งด้านสีน้ำตาลอ่อนสลับครีมสว่างในแต่ละห้องให้ความรู้สึกสบายตา แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกสบายใจ ยามมองแผ่นหน้าต่างกรุกระจกออกไปเห็นธรรมชาติ...ที่ดูผิดธรรมชาติ...ชวนให้พรั่นพรึงเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย มันคือความงดงามราวสรวงสวรรค์ที่เธอนิยามได้ แต่ยิ่งมองลึกลงไปเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเห็นความลับดำมืดที่ซุกซ่อนอยู่ไม่ต่างอะไรจากเจ้าของบ้านหลังนี้
หากอาเบะจะเพียงแค่ยิ้ม ทั้งอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ทำให้ทสึบาสะนึกขุ่นเคืองใจ กระทั่งเคลือบแคลงสงสัย เหมือนอย่างที่มัตสึชิมะหรือโทมะทำให้เธอรู้สึก
และนั่นคือตอนที่มัตสึชิมะกระทำกับเธอผ่านคำบอกเล่าของอาเบะที่ว่า
“คุณคิคุจิรบกวนรออยู่ในห้องนั่งเล่นก่อนนะครับ ส่วนคุณนากาจิมะเชิญตามผมมา”
“เขาสั่งมาแบบนั้นเหรอคะ?” จนเธอเผลอตัวเน้นย้ำ กระชากน้ำเสียงไม่พอใจใส่ ทั้งที่อาเบะก็ใช่ว่าจะทำอะไรผิดนอกจากแค่เป็นสื่อกลาง
“อาจารย์บอกมาแบบนั้นครับ” อาเบะแก้คำพูดของเธออย่างใจเย็น
“ไม่เป็นไรครับ คุณทสึบาสะ” นากาจิมะวางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่เล็ก บีบมันเบาๆ เพื่อช่วยทอนอารมณ์ที่กำลังปะทุให้กับหญิงสาวคนที่เดินอยู่เคียงกัน เขารู้ว่าทสึบาสะอยากพบหน้ามัตสึชิมะเพื่อหาคำตอบในคำถามที่มีอยู่มากมาย ยิ่งโดยเฉพาะเรื่องของพี่ชายที่หมายเอาชีวิตเธอ แต่ไม่ใช่...ไม่เลย ซาโต้ไม่ได้ล่วงรู้ถึงข้อความจริงที่มัตสึชิมะบอกกับเธอเมื่อคืนนี้ รวมถึงฝากผ่านมากับถ้อยคำของโทมะในตอนเช้า แน่นอนว่าทสึบาสะไม่ไว้ใจมัตสึชิมะ เรื่องนั้นยังคงไม่แปรเปลี่ยน หากสังหรณ์บอกว่าเธอสามารถเชื่อใจคำพูดของเขาได้ถึงมันจะดูหลอกลวงแค่ไหนก็ตาม ฉะนั้นแล้วสิ่งที่ทำให้เธอแสดงออกมาแบบนั้นก็คือความครั่นคร้ามหวาดหวั่นแทนนากาจิมะที่ต้องอยู่ตามลำพังกับชายผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องเขย่าขวัญสั่นประสาททั้งมวล ถึงผลงานของมัตสึชิมะอาจทำอะไรนากาจิมะไม่ได้ ก็ใช่ว่าตัวตนของเขาจะเป็นเช่นนั้น
เธอหยุดฝีเท้า ขยับทั้งตัวเพื่อแหงนเงยใบหน้าขึ้นไปจ้องสบนัยน์ตาสีเข้มที่สั่นไหวกับชายหนุ่ม
“ฉันกลัวค่ะ”
หนนี้นากาจิมะรับรู้และเข้าใจความหมายได้โดยทันที เขาไม่แสดงความเหนื่อยหน่ายใดด้วยเข้าใจดีต่อความวิตกจริตของหญิงสาวที่ผ่านเรื่องน่ากลัวทั้งในความฝันและความเป็นจริงมา นากาจิมะยิ้มปลอบประโลมให้เธอ แตะท่อนแขนแผ่วเบา จากนั้นย้ำคำพูดหนักแน่นที่ตนเองมั่นใจให้อีกฝ่ายได้รู้สึกถึงเฉกเช่นกัน
“ผมจะไม่เป็นไร ถึงต่อให้อาจารย์จะทำอย่างที่คุณทสึบาสะคิดได้จริง...” เธอรู้ว่าเขาจงใจไม่พูดมันออกมาตรงๆ เพื่อหลบเลี่ยงคนที่หยุดยืนรอพวกเขาอยู่ไม่ไกล “ผมก็จะไม่เป็นไร” ถึงใช่ว่ามันจะได้ผลชะงัด แต่อย่างน้อยเขาก็ทำให้เธอสงบใจลงได้
“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นตะโกนเรียกได้เลยนะคะ แล้วฉันจะเข้าไปช่วยคุณนากาจิมะเอง”
เสียงหัวเราะน้อยๆ ของเขาช่วยเรียกบรรยากาศความสดใสให้กลับคืนมาอย่างบางเบา นากาจิมะตอบรับคำขอ ทิ้งให้ทสึบาสะมองตามหลังเขาที่เดินขึ้นบันไดไปกับพ่อบ้านจนลับสายตา ก่อนทุกอย่างจะเป็นเพียงภาพเลือนลางที่ไม่ปรากฏอยู่ในแววตาอีก ไม่รู้ตัวเลยว่าปล่อยความคิดให้ลอยเหม่อจนร่างกายตอกตรึงอยู่กับที่นานเท่าไหร่ กระทั่งเสียงร้องเรียกนามสกุลของเธอจะดึงรั้งสติโบกโบยให้หวนกลับคืน คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเธอในยามนี้ก็คือพ่อบ้านกับรอยยิ้มอันเป็นแบบฉบับของเขา และทสึบาสะก็ไม่ต้องการเสียเวลาเปล่าไปกับการเฝ้ารอคอยเพียงอย่างเดียว
“ฉันอยากรู้เรื่องของหมู่บ้านนี้ คุณอาเบะพอจะให้คำตอบฉันได้ไหมคะ?”
เขาผายมือไปยังส่วนของห้องนั่งเล่นที่เพียงเธอหันไปก็จะพบ
“ถ้าอย่างนั้นเราไปนั่งคุยกันดีกว่านะครับ”
∞
“เราเป็นรุ่นที่สี่ที่อยู่ในหมู่บ้านนี้” อาเบะเริ่มต้นเล่าเรื่องทันทีโดยไม่รีรอ หลังจากที่เขาชงชามาให้คนที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ได้รู้สึกตัวแล้วกล่าวขอบคุณ กระนั้นก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะยกมันขึ้นดื่ม นอกจากจับจ้องมองตามเขาที่ทิ้งตัวนั่งลงไปบนเก้าอี้ไม้สีขาวฝั่งตรงกันข้าม ด้วยระยะห่างและท่าทีที่ยังคงรักษาไว้ในแบบฉบับของพ่อบ้านซึ่งไม่พยายามทำตัวตีสนิทกับแขกของเจ้าของบ้านมากเกินไปนัก
และเขาหมายถึง...แขกคนพิเศษ
“เดิมทีครอบครัวเราทำเกษตรกรมาก่อน จนกระทั่งพ่อของผมได้งานดูแลบ้านพักตากอากาศหลังนี้ ก็น่าจะราวๆ ยี่สิบปีมาแล้วได้”
“ยี่สิบปีเหรอคะ?” คิ้วของเธอขมวดเข้าหากัน ด้วยระยะเวลาที่เนิ่นนานขนาดนั้น ย่อมไม่มีทางใช่มัตสึชิมะที่อยู่ในวัยเดียวกับพี่ชายของเธออย่างแน่นอน “ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นเหรอคะ? แล้วเขามีความเกี่ยวข้องอะไรกับคุณมัตสึชิมะหรือเปล่า?”
“ไม่เลยครับ อาจารย์เพิ่งจะเข้ามาอยู่ที่นี่เมื่อไม่กี่ปีก่อนนี้เอง” อาเบะเลือกตอบคำถามข้อหลังก่อนเป็นอย่างแรก “คุณคิคุจิคงสงสัยเพราะโครงสร้างของบ้านพักตากอากาศที่ดู...แตกต่าง...ใช่ไหมครับ?” ทสึบาสะนึกทึ่งกับการเลือกสรรถ้อยคำของเขาที่ทำให้ทุกอย่างดูลดทอนความผิดเพี้ยนลงไปได้ หรือไม่ นั่นอาจเป็นธรรมชาติของเขาเองก็ได้ “แต่ไม่ครับ เจ้าของที่สร้างมันขึ้นมาไม่ใช่ชาวต่างชาติ แต่เป็นนักธุรกิจจากโตเกียวที่เทียวไปเทียวมาระหว่างญี่ปุ่นและต่างประเทศ คงเพราะอย่างนั้นที่นี่เลยได้อิทธิพลตะวันตกมาตามรสนิยมของเขา รวมถึงโรงแรมก็ด้วย”
“น่าแปลกดีนะคะที่สร้างโรงแรมขึ้นในหมู่บ้านลับแล”
“ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนหาเจอนี่ครับ” เป็นอีกครั้ง — ในอีกนับครั้งไม่ถ้วน — ที่รอยยิ้มผ่านคำยอกย้อนของอาเบะไม่ได้ทำให้ทสึบาสะรู้สึกไม่พอใจ ทั้งที่เมื่อคืนเธอยังโกรธจะเป็นจะตายตอนถูกมัตสึชิมะกระทำ แต่กลับไม่มีความรู้สึกแบบนั้นต่อชายผู้นี้ผ่านเลยเข้ามาในหัวสมองเลยแม้สักเสี้ยวเศษ
“แล้วเรื่องที่ถูกเล่าขานต่อๆ กันมาล่ะคะว่าที่นี่เป็นทางผ่านของประตูนรก”
ครั้นเอ่ยคำว่า ‘นรก’ ออกมาดังๆ ในสภาพแวดล้อมภายนอกบ้านพักตากอากาศที่เต็มไปด้วยรูปทรงของต้นไม้ในป่าพิสดารเช่นนี้ ทสึบาสะก็ให้รู้สึกว่าขนที่หลังคอของเธอจะลุกชัน
“ตำนานของหมู่บ้านเรา...” ตรงกันข้ามกับอาเบะที่ยังคงอยู่ในท่าทีเบาสบาย ริมฝีปากยังคงวาดโค้งเป็นรอยยิ้มขณะเริ่มต้นเล่าเรื่อง หรือตลอดช่วงระยะเวลาเหล่านั้น “เกิดขึ้นนานมากแล้วครับตั้งแต่ตอนที่พ่อของผมยังเด็ก ตอนนั้นหมู่บ้านของเราก็ยังเป็นหมู่บ้านปกติทั่วไป จนกระทั่งมีกลุ่มคนพเนจรเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในป่า เรียกตัวเองว่าเป็นศาสนาที่ชื่อมาเสะ พวกเขาเป็นศาสนาแปลกๆ ใส่ชุดคลุมตัวยาวสีขาวตลอดเวลา ท่าทางน่ากลัวและไม่น่าไว้วางใจ มักจะชอบรวมกลุ่มสวดมนต์ทำพิธีในตอนกลางคืน แต่ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาได้พบความจริงอะไรของโลกใบนี้อย่างที่ต้องการหรือเปล่า เพราะหลังจากผ่านไปได้ไม่นาน ก็เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทำให้ดินถล่ม ปิดทางเข้าออกของถ้ำที่มีชาวบ้านพบเห็นกลุ่มศาสนานับสิบๆ คนเข้าไปพร้อมกันทั้งหมดในค่ำคืนหนึ่ง”
“แล้วได้เข้าไปตามหาพวกเขาไหมคะ?”
เขาพยักหน้า
“ครับ หลายวันให้หลังตอนที่เหตุการณ์เริ่มสงบ แต่สิ่งที่ชาวบ้านได้เห็นกลับน่าสยดสยองเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด ที่เกิดเหตุเต็มไปด้วยเลือดและชิ้นเนื้อกระจัดกระจาย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข่นฆ่ากันเองอย่างทารุณ เกินกว่าที่มนุษย์ปกติจะทำได้ คนที่ได้ไปเห็นบอกว่ามันเหมือนกับนรกบนดิน มีบางคนเชื่อว่าพวกเขาทำพิธีเปิดประตูนรกได้จริงและได้ไปเห็นนรกของจริงมาแล้วจนทำให้กลายเป็นบ้า ด้วยความกลัว ชาวบ้านก็เลยลบเลือนการมีอยู่ของหมู่บ้านด้วยสิ่งที่พวกเขาเชื่อ ไม่ต้อนรับคนนอกอีกต่อไป”
ทสึบาสะไม่ทันได้รู้สึกตัวเลยว่าเธอเผลอกอดอกบีบท่อนแขนตัวเองแน่นจากเลือดในกายที่เย็นเฉียบ เมื่อวาดภาพเหตุการณ์สยองขวัญพรั่นพรึง ไม่ต่างอะไรจากความบ้าคลั่งในโตเกียวที่แฟนหนังสือของมัตสึชิมะและพี่ชายเธอได้ประสบ ทสึบาสะแน่ใจเลยว่ามัตสึชิมะต้องมีอะไรเกี่ยวโยงกับศาสนาประหลาดที่ชื่อมาเสะ — ความจริงของโลก ความจริงในทุกสิ่งอย่างที่เธอยังไม่อาจล่วงรู้ แต่เธอจะได้รู้...เมื่อเวลานั้นมาถึง
มือของเธอค่อยคลายออกจากกัน นัยน์ตาที่เหลือบมองลงไปเห็นผิวสีขาวที่ถูกกดเป็นรอยแดง ก่อนที่ลมหายใจของเธอจะพรูพร่าง “ไม่เหมือนอย่างที่ฉันได้ยินมาเลยนะคะ”
“ไม่มีใครรู้เรื่องจริงหรอกครับ นอกจากคนในหมู่บ้านที่แทบไม่เคยบอกเล่าให้ใครฟัง”
“ถ้าอย่างนั้น มีอะไรที่ฉันควรต้องรู้เกี่ยวกับหมู่บ้านของคุณอีกไหมคะ?”
“ผมเต็มใจตอบทุกข้อสงสัยของคุณคิคุจิครับ” อาเบะสวนย้อนกลับไปด้วยคำพูด
“คุณอาเบะเคยอ่านหนังสือของคุณมัตสึชิมะไหมคะ?” กระนั้นคำถามของเธอก็หาได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของหมู่บ้านแต่อย่างใด
“พวกเราทุกคนที่นี่เป็นแฟนผลงานของอาจารย์มัตสึชิมะครับ” เขาตอบด้วยรอยยิ้ม ไม่ผิดไปจากที่ทสึบาสะคิดไว้เท่าใดนักเมื่อเธอได้รับรู้มาจากเด็กหนุ่มโทมะแล้ว แต่ในเมื่อหมู่บ้านเคียวคุโจก็ยังคงสุขสงบ ไม่ได้มีเรื่องราวสยองขวัญชวนหัวเกิดขึ้นอย่างที่พ่อของอาเบะได้เคยร่วมเป็นสักขีพยานในช่วงเวลานั้น ทสึบาสะจึงไม่คิดว่าควรกวนน้ำให้ขุ่นจากเหตุการณ์ที่เธอประสบพบเจอมาตลอดสามวันและยังคงค้างเป็นตะกอนอยู่ภายในใจ เธอไม่อาจสลัดดวงตาสีดำสนิทเหมือนกับจักรวาลมืดมิดอันลึกสุดหยั่งที่ตอกตรึงอยู่ในห้วงความคิดได้ กระนั้นเธอก็ยังเชื่อว่าผลงานของมัตสึชิมะมันต้องมีอะไรบางอย่าง แม้ผลลัพธ์ที่แต่ละคนประสบอาจจะแตกต่างกันไป แต่มันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบอยู่ในนั้น ถึงเธอจะยังไม่อาจล่วงรู้คำตอบของมันในเวลานี้ได้ก็ตาม
ครั้นเมื่อนึกถึงคนใกล้ตัวของเธอที่ได้รับผลกระทบจากมันอย่างรุนแรงที่สุด ทสึบาสะจึงเริ่มต้นเอ่ยปากถาม
“ครั้งสุดท้ายที่พี่ชายฉันมาที่นี่ เขาไม่ได้พบคุณมัตสึชิมะใช่ไหมคะ?”
“ครับ แต่อาจารย์ฝากต้นฉบับให้ผมส่งมอบมันให้เขา”
“เรื่องสยองที่เคียวคุโจ” เธอทวนชื่อเรื่อง และอาเบะก็จะพยักหน้ารับ “ไม่กลัวว่าถ้าผลงานตีพิมพ์ออกไปแล้วคนจะแห่กันมาที่นี่เหรอคะ?”
“ก็ใช่ว่าทุกคนจะหาเจอนี่ครับ”
คำตอบที่ใกล้เคียงกับคำพูดก่อนหน้านั้นของเขาจะทำให้ทสึบาสะตัดสินใจยกธงขาวยอมแพ้ในเรื่องนี้
“ยังไงก็ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ”
เธอกล่าวขอบคุณสั้นๆ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาจากพี่ชายเพื่อจะได้ไม่รู้สึกอะไร “แล้วก่อนหน้านั้นที่คุณมัตสึชิมะหายตัวไป เขาไปอยู่ที่ไหนคะ?”
“ไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะตอบครับ”
ทสึบาสะตัดสินใจไม่เซ้าซี้อีก อย่างน้อยๆ ในตอนนี้ปมเชือกที่ผูกกันยุ่งเหยิงก็ได้รับการคลี่คลายไปบ้างแล้ว ถึงจะยังคงหลงเหลือส่วนที่แก้ไม่ออกอยู่อีกมาก หากในตอนที่เธอกำลังจะหยิบถ้วยชาที่เย็นชืดลงไปแล้วขึ้นดื่มแทนน้ำลายเหนียวหนืด อาเบะก็ร้องห้ามแล้วบอกว่าจะไปชงให้ใหม่ ขณะที่เขาผุดลุกขึ้นยืน เอื้อมไปหยิบถ้วยชาตรงหน้าเธอนั้นเอง ทันใดนั้น เขาก็จะก้มลงมาจ้องสบดวงตากับเธอที่แหงนเงยขึ้นไปด้วยความนิ่งสนิทอย่างที่ทสึบาสะเคยได้รับจากชายผู้นี้เป็นครั้งแรก
“เมื่อดวงตาของคุณเปิดกว้าง จะไม่มีคำถามใดหลงเหลือให้คุณเคลือบแคลงหรือรู้สึกหวาดกลัวอีกต่อไป”
∞
ไม่นานหลังจากนั้น อาเบะก็ออกมาหาเธอที่นั่งเหม่อลอยปล่อยความคิดอยู่คนเดียวและบอกว่าให้เธอกลับโรงแรมไปก่อน น่าตลกดีเหมือนกันที่เมื่อได้ยินเรื่องเล่าของหมู่บ้านนี้ที่ปรากฏเป็นมโนภาพในห้วงความคิดอย่างแจ่มชัดจากเขาแล้ว ทสึบาสะก็ไม่คิดว่าอยากพบกับเรื่องสั่นประสาทอื่นใดอีก — แน่นอนว่าเธอหมายถึงการพบเจอกับมัตสึชิมะ — ทสึบาสะเพียงถามย้ำให้มั่นใจว่า
“คุณมัตสึชิมะไม่ได้ทำให้คุณนากาจิมะรู้สึกคลุ้มคลั่งจริงๆ ใช่ไหมคะ?”
“ผมก็ยังเป็นนากาจิมะ เคนโตะคนเดิมกับที่คุณทสึบาสะรู้จักไม่เปลี่ยน” ด้วยรอยยิ้มและคำพูดที่เป็นตัวเขาให้เธอได้วางใจ “คุณอาเบะจะเป็นคนขับรถไปส่งคุณทสึบาสะ แล้วยังไงผมจะติดต่อกลับไปที่โรงแรมนะครับ”
ด้วยเหตุนั้น เธอจึงได้มานั่งโดยสารอยู่เคียงข้างสารถีรายใหม่ซึ่งไม่ได้ขยับริมฝีปากที่รอยยิ้มไม่เคยจางหายเป็นถ้อยคำใด เป็นความเงียบโอบล้อมที่ทำให้ทสึบาสะรู้สึกอบอุ่นใจ เหมือนกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาในยามบ่าย จนทสึบาสะไม่อาจต้านทานความต้องการที่จะบดปิดเปลือกตาของตัวเองลงไปในความอุ่นสบายนั้นได้ลง
ท้องฟ้าข้างนอกมืดลงไปแล้วในตอนที่ทสึบาสะลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องพักโรงแรมของตัวเอง ครั้นไม่พบสัญญาณตอบรับจากห้องข้างๆ ที่เธอตัดสินใจไปเคาะเรียก ทสึบาสะจึงลงไปหาพนักงานต้อนรับที่เด็กหนุ่มโทมะยังคงแสดงความกระตือรือร้นอย่างไม่ลดน้อยถอยลงไปเลย ในตอนที่แจ้งข่าวฝากจากนากาจิมะว่าคืนนี้จะค้างที่บ้านของมัตสึชิมะ ทั้งยังแนะนำให้เธอออกไปเที่ยวชมเมืองที่กำลังจัดเตรียมงานเทศกาลในวันพรุ่งนี้ด้วย ทสึบาสะกล่าวขอบคุณ ยิ้มให้กับความเป็นนักประชาสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมของเขา คิดว่าถ้านากาจิมะกลับมาแล้วอาจจะลองชวนไปด้วยกัน
แต่ค่ำคืนนี้เธอจะใช้เวลาตามลำพังในห้องอาบน้ำของโรงแรม...ถึงตามลำพังที่ว่าจะหมายถึงการไม่ได้พบเจอคนรู้จักอย่างนากาจิมะเพียงเท่านั้น เพราะคงเป็นไปไม่ได้ที่ห้องอาบน้ำกลางแจ้งในโรงแรมซึ่งแขกผู้เข้าพักเริ่มขวักไขว่แล้วจะว่างเปล่า
ทว่ามันก็เป็นไปแล้ว และทสึบาสะก็ตัดสินใจไม่เสียเวลาใคร่ครวญถึงความปกติหรือผิดปกติใดๆ ในเคียวคุโจให้รกสมองอีก เธอใช้เวลาผ่อนคลายทั้งความคิด จิตใจ และร่างกายไปกับบ่อน้ำพุร้อนภายใต้แสงสีส้มจากโคมไฟในมุมหนึ่งที่สาดกระทบกับผนังไม้ไผ่ ส่องสะท้อนเงาของดวงจันทร์บนผืนน้ำใสที่ไร้ซึ่งการกระเพื่อมเมื่อเธอไม่ได้ขยับเคลื่อนไหว มีเพียงนัยน์ตาที่กะพริบปริบเป็นระยะกับภาพความมืดมิดของราตรีกาลที่ทอดมองไปสุดไกลอย่างลอยละเลื่อน เฉกเช่นเดียวกับหัวสมองของเธอที่ไม่ได้คิดถึงสิ่งใดทั้งนั้นในห้วงเวลานี้ ไม่มีทั้งเรื่องราวของฟูมะ ความเป็นไปของนากาจิมะ เรื่องเล่าของอาเบะ หรือความคิดคำนึงถึงมัตสึชิมะ ราวกับการละจากความบ้าคลั่งวุ่นวายทั้งปวงบนโลกใบนี้เพื่อพานพบกับความเงียบสงบในจักรวาลอื่นที่มีแค่เธอ
ก่อนสัมผัสชื้นแฉะและเย็นเยียบที่แตะลงบนไหล่จะรั้งเรียกจิตวิญญาณของเธอให้หวนกลับคืนมา เธอสะดุ้งไปเล็กน้อยจนดวงจันทร์ที่ลอยนิ่งอยู่นานพลันแกว่งไกว ครั้นหันขวับไปมองทางด้านหลังก็ไม่เห็นใคร และไม่มีทางที่จะมีใครอยู่ด้านหลังเธอได้จากแนวหินสูงและผนังไม้ไผ่ที่ชิดติด
แต่สิ่งที่เธอได้เห็นคือผีเสื้อตัวน้อยที่บินมาเกาะบนก้อนหินห่างจากเธอแค่คืบเดียว ปีกของมันเป็นสีฟ้าสดใสเหมือนกับสีผมของเธอ ไม่ต่างอะไรจากในความฝันก่อนหน้าที่จะมายังหมู่บ้านแห่งนี้ ความรู้สึกที่คล้ายว่ากำลังเธอจ้องตากับมันทั้งที่ไม่มีทางจะเป็นความจริงก็ทำให้ทสึบาสะเอื้อมมือออกไปเพื่อจะต้องแตะ หากความปรารถนาก็มลายหายไปจากปีกที่พัดกระพือ มันไม่ได้โผบินขึ้นไปบนฟ้าอย่างที่เธอคิดว่าจะเป็น ภาพพิศวงของร่างที่ดิ้นพราดด้วยความทุกข์ทรมานจากเหตุผลที่เธอเองก็ไม่รู้ปรากฏอยู่ในแววตา อีกชั่ววินาทีถัดมา มันก็สลายหายไปไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย
_______________
ความคิดเห็น