ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #221 : the world in a cage: 第1話

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ย. 66


    the world in a cage
    Inspiration: In The Mouth of Madness (Film, 1994)
    Playlist: sukekiyo – En











    .

    “ผู้ก้าวย่างเข้ามายังที่แห่งนี้ จงละทิ้งความหวังทั้งปวง”

    อินเฟอร์โน, ดันเต้

     

    อาจกล่าวได้ว่ายุคเฮเซคือยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ของนักเขียนนิยายเขย่าขวัญที่มีชื่อว่ามัตสึชิมะ โซ แฟนคลับนักอ่านของเขาไม่ต่างอะไรจากกลุ่มสาวก พากันก่อจลาจลย่อมๆ ทั่วทุกมุมเมืองเพราะจำนวนความต้องการที่ไม่พอดี ในวันวางขายหนังสือเล่มใหม่ที่มีชื่อว่า เสียงเพรียกจากตัวตลกขณะที่สำนักพิมพ์อาร์เคนก็กำลังวุ่นวายเพราะการหายตัวไปของนักเขียนในความดูแลเกินกว่าหนึ่งเดือน ไม่มีใครได้ข่าวคราวจากเขาหรือสามารถติดต่อเขาได้ แม้แต่ที่บ้านพักตากอากาศหลังใหญ่ในชนบทซึ่งนายหน้าของเขาถึงขนาดบึ่งรถข้ามจังหวัดไปหา แต่ก็คว้าน้ำเหลว

    ตามมาด้วยข่าวพาดหัวที่สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้แก่ชาวเมืองโตเกียว เมื่อมีชายสวมชุดตัวตลกและทาหน้าขาวเปรอะออกอาละวาดที่ร้านอาหารใจกลางเมือง ผู้เห็นเหตุการณ์ให้การว่าเขาทุบบานกระจกด้วยขวานจนเศษแก้วแตกกระจาย หญิงสาวคนที่นั่งอยู่ติดหน้าต่างบานนั้นเงยหน้าขึ้นจากเมนูก่อนกรีดเสียงร้องลั่น พยายามถอยร่นจนตกลงมาจากเก้าอี้ ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงส่งผลให้ร่างกายอันสั่นเทาได้แต่นิ่งงันอยู่อย่างนั้น ตัวตลกที่ยืนอยู่บนโต๊ะจ้องหน้าเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แผดเสียงกร้าวในวินาทีที่เงื้อขวานขึ้นเพื่อเสริมรับเจตนาของตนเองว่า “เธอต้องตาย!”

    หากเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงสถานที่เกิดเหตุช้ากว่านี้อีกเพียงแค่วินาทีเดียวแล้วล่ะก็ หญิงสาวผู้นั้นคงจะได้กลายเป็นเหยื่อรายที่สามในคดีฆาตกรรมยกครัวของคิคุจิ ฟูมะ นายหน้าของมัตสึชิมะ โซ และพี่ชายซึ่งเป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่ของเธอ...คิคุจิ ทสึบาสะ ซึ่งต้องสูญเสียพี่สะใภ้กับหลานชายที่อายุเพิ่งจะหกขวบไปด้วยในช่วงเช้าวันเดียวกันนั้นเอง

    และเพียงแค่หนึ่งวันหลังจากนั้น ก็เกิดเหตุการณ์ความบ้าคลั่งจากผู้คนที่แต่งเป็นตัวตลกทั่วทุกมุมเมือง ทั้งปล้น ฆ่า ทำร้ายร่างกาย แทบจะเปลี่ยนให้กรุงโตเกียวกลายเป็นสมรภูมินองเลือด ไม่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ออกมาให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ ทสึบาสะก็รู้ได้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอิทธิพลเลียนแบบจากหนังสือเรื่อง เสียงเพรียกจากตัวตลกที่เพิ่งวางจำหน่าย

    แต่แม้ว่าฟูมะจะเป็นนายหน้าให้กับนักเขียนเจ้าของผลงานรายนั้น ทสึบาสะก็เคยอ่านผลงานของมัตสึชิมะแค่เพียงเรื่องเดียว เป็นผลงานเล่มแรกสุดของเขาที่มีชื่อว่า ฝันร้ายสุดมุมถนนซึ่งมอบฝันร้ายสมดั่งชื่อของมันทันทีที่เธอผล็อยหลับไปหลังอ่านได้เพียงแค่ไม่กี่หน้า ในความฝัน ทสึบาสะไม่ได้พานพบกับสัตว์ประหลาดหรือวิญญาณร้ายเฉกเช่นคำโปรยปกหลังอย่างตัวเอกในหนังสือ หากเป็นตัวเธอที่กำลังเดินอยู่ในหมู่บ้านร้าง ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต กระทั่งสรรพเสียงใดๆ แม้แต่เสียงลมพัดหรือนกร้อง มันเป็นความเงียบงันอันยาวนานราวกับไม่มีจุดสิ้นสุดที่ชวนให้ขนหัวลุก จนเหงื่อกาฬของเธอไหลท่วมตัวเมื่อลืมตาตื่น ทสึบาสะไม่เสียเวลาสักวินาทีในการเอาหนังสือออกไปโยนทิ้งถังขยะ ราวกับไสยเวทย์ที่จะนำพาลางร้ายมาสู่ผู้ที่สัมผัส

    เมื่อเธอเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ฟูมะฟัง เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงติดตลกอย่างติดจะภาคภูมิใจว่า นั่นแหละ...ผลงานของมัตสึชิมะล่ะ แต่ทสึบาสะรู้ว่ามันไม่ใช่แค่นั้น มันต้องมีอะไรบางอย่างอยู่ในผลงานของเขา เช่นเดียวกับตัวตนของเขาที่เธอเคลือบแคลงใจมาโดยตลอด

    มัตสึชิมะ โซคือชายเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาสมบูรณ์แบบที่สุดในสายตาของทสึบาสะ เธอเคยเจอเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้นตอนแวะไปเอาของที่บ้านของพี่ชาย ไม่ได้พูดคุยอะไรมากไปกว่าคำทักทายและแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้มตามมารยาทที่มีให้แก่กัน ทว่าเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ได้มองเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น เธอก็ได้เข้าไปอยู่ในโลกอีกใบที่แสนจะเวิ้งว้าง ว่างเปล่า

    ถึงอย่างนั้นทสึบาสะก็หนีผลงานของมัตสึชิมะไปไม่พ้น เมื่อเธอกลับไปเก็บข้าวของที่บ้านของฟูมะและได้พบกับกระเป๋าหนังสีน้ำตาลใบหนึ่ง ในนั้นมีต้นฉบับของมัตสึชิมะที่ชื่อ เรื่องสยองที่เคียวคุโจ อยู่ บางทีเธออาจควรนำมันไปส่งให้กับสำนักพิมพ์แทนพี่ชายผู้ล่วงลับเป็นครั้งสุดท้าย คิดแล้วจึงตัดสินใจหอบหิ้วมันกลับห้องพักมาด้วย กระนั้นก็ไม่มีความคิดที่จะแตะต้อง หากราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง เมื่อกระเป๋าหนังใบนั้นจะร่วงหล่นลงมาจากโต๊ะ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยกับการที่กระดุมแม่เหล็กด้านหน้าทั้งสองจะเปิดปิดได้เองจากแรงกระแทกเพียงเท่านี้ ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่มีลมพัดมาสักวูบเพราะทสึบาสะยังไม่ทันได้เปิดหน้าต่างเสียด้วยซ้ำ ต้นฉบับที่ถูกเย็บมุมด้านข้างไว้ไม่ได้กระจัดกระจาย หากเป็นแผ่นกระดาษใบเล็กที่สอดอยู่ในนั้นซึ่งปลิวมาอยู่แทบเท้าเปลือยเปล่า มีตัวอักษรสีแดงราวกับเลือดเขียนว่า

    มัตสึชิมะ โซ หมู่บ้านเคียวคุโจ จังหวัดเกียวโต

    ทสึบาสะรู้สึกถึงเงาร่างและเสียงลมหายใจหนักๆ ข้ามไหล่ด้านหลัง เธอได้แต่ยืนตัวแข็งค้าง ไม่มีความกล้าที่จะหันไปมองเพราะความหวาดกลัวที่แล่นปราดเข้ามาจนขนลุกชัน จากนั้นมันก็ตะคอกว่า “เผามันซะ! อย่าไปที่นั่น!” ด้วยเสียงของพี่ชายเธอ

    แล้วทสึบาสะก็สะดุ้งตื่น

     



    กระนั้นทสึบาสะก็ไม่ได้ทำตามคำพูดในฝันแม้แต่อย่างเดียว หลังกลับจากห้องสมุดชุมชนในตอนเที่ยงโดยไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กลับมา ทสึบาสะก็เกิดความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะจับรถไฟไปยังเกียวโตเองคนเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะนากาจิมะ เคนโตะ ชายหนุ่มเพื่อนร่วมงานที่สำนักพิมพ์ของฟูมะซึ่งทสึบาสะก็คุ้นเคยดีจะมากดกริ่งห้องพักเพื่อแสดงความเสียใจกับเธอโดยตรงอีกครั้งหลังจากงานศพที่เพิ่งผ่านพ้น เพราะเขาไม่ใช่คนอื่นคนไกลทั้งกับเธอ พี่ชาย หรือแม้แต่ตัวนักเขียนเอง ทสึบาสะเลยอดใจพูดถึงเรื่องต้นฉบับของมัตสึชิมะให้เขาฟังไม่ไหว โดยละเรื่องสยองขวัญที่ไม่คิดว่าควรจะเล่าให้ใครฟังพร่ำเพรื่อ ก่อนที่จะให้เขาดูแผ่นกระดาษที่มีชื่อของมัตสึชิมะกับที่อยู่สั้นๆ นั้น ทสึบาสะบอกว่าหาข้อมูลของหมู่บ้านที่ชื่อเคียวคุโจไม่เจอเลย แม้รายละเอียดเพียงเล็กน้อยก็ไม่ ถึงจะใช้เวลาทั้งคืนไปกับการค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ตและใช้เวลาทั้งเช้าหมกตัวอยู่กับกองหนังสือพิมพ์เก่ากับหนังสือประวัติศาสตร์ กระทั่งตำนานปรัมปราในห้องสมุดแล้วก็ตาม

    แน่นอนที่พวกเขาต่างก็รู้ว่าบ้านพักตากอากาศของมัตสึชิมะที่ว่าอยู่ในเกียวโต หากดูเหมือนจะไม่มีใครรู้ที่อยู่แน่ชัด...อาจยกเว้นก็แต่พี่ชายของเธอ แต่เขาตายไปแล้ว และทสึบาสะที่ค้นดูสมุดบันทึกทุกเล่มของพี่ชายก่อนเจอต้นฉบับนี้ก็จำได้ว่าไม่พบที่อยู่ใดๆ หรือกระทั่งคำว่าเคียวคุโจบนหน้ากระดาษไหนแม้สักแผ่นเดียว นากาจิมะมีสีหน้าครุ่นคิด ขอตัวลากลับก่อนพร้อมบอกว่าอาจรู้จักคนที่ช่วยหาคำตอบให้ได้ ถึงทสึบาสะจะไม่ได้คาดหวังอะไรนักก็ตาม

    น่าแปลกที่เธอไม่ได้ส่งต้นฉบับให้เขานำกลับไปส่งสำนักพิมพ์ด้วยอย่างที่คิดว่าจะทำ ขณะที่นากาจิมะเองก็ไม่ได้ร้องขอ เมื่อสิ่งเดียวที่เขาสนใจคือกระดาษแผ่นเล็กใบนั้น...ใบที่ทสึบาสะเฝ้าดูมันด้วยความฉงน ยิ่งจ้องมองมันมากเท่าไหร่ ตัวคันจิที่เรียบง่ายแต่เป็นระเบียบของชื่อมัตสึชิมะ โซก็ยิ่งดูพิศวงราวกับเขาวงกตสีแดงก่ำ ก่อนที่จะเปลี่ยนกลายเป็นความพรั่นพรึง ทุกอย่างที่เกี่ยวกับมัตสึชิมะทำให้เนื้อตัวของทสึบาสะสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่น เธออยากเผากระดาษแผ่นนี้ทิ้ง เผาต้นฉบับของเขาให้มอดไหม้จะได้ไม่มีเรื่องสยองต้องสาปใดๆ ถูกเผยแพร่ออกไปจนทำให้ผู้คนวิปลาสอีก แต่อะไรบางอย่างก็หยุดเธอไว้ อาจเป็นเพราะเธอต้องการคำตอบว่าทำไมในวินาทีสุดท้าย พี่ชายถึงได้ตะโกนว่า “เธอต้องตาย!” กับน้องสาวที่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาก่อนตลอดทั้งชีวิต ทสึบาสะมั่นใจว่าทั้งต้นฉบับเรื่องนี้หรือการไปที่เคียวคุโจเพื่อพบกับมัตสึชิมะ โซผู้นั้นจะต้องให้คำตอบเรื่องการตายของพี่ชายได้

     

    ค่ำวันนั้นหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ทสึบาสะก็ได้รับสายจากนากาจิมะที่เรียกมายังโทรศัพท์บ้านด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

    “ผมไปถามอาจารย์ภาคประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันมา ผมรู้แล้วนะว่าหมู่บ้านลับแลนั่นอยู่ที่ไหน”

    “หมู่บ้านลับแล...เหรอคะ?”

    “มันมีตำนานที่เล่าลือต่อๆ กันมา เรื่องของหมู่บ้านลับแลที่ผู้คนพยายามลบการมีอยู่ของมันเพราะเป็นทางผ่านของประตูนรก” คำว่า นรก ทำให้ขนของทสึบาสะลุกชัน น้ำเสียงที่ผ่านคลื่นสัญญาณของเขาบัดนี้ก็ฟังดูแหลมสูงบาดหู แปร่งประหลาดอย่างไรพิกล “บังเอิญมากเลยที่อาจารย์ท่านเป็นคนเกียวโต เขาบอกว่าเคยได้ยินเรื่องของหมู่บ้านนี้มาจากปู่ย่า อันที่จริงอาจารย์เองก็เจาะจงลงไปแน่ชัดไม่ได้ว่าอยู่ตรงไหน นอกจากว่าอยู่ในเมืองมุโค”

    “มุโค?”

    “พรุ่งนี้เราไปด้วยกันนะครับ ผมจะขับรถไปรับคุณทสึบาสะเอง ถ้าอาจารย์มัตสึชิมะอยู่ที่นั่นจริง ผมก็อยากจะพบเขาเหมือนกัน”

    ความโล่งใจแล่นปราดเข้ามาแทนที่แม้เป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เธอไม่คิดที่จะปฏิเสธความหวังดีของนากาจิมะ เมื่อนับตั้งแต่ได้ยินเรื่องทางผ่านของประตูนรก ทสึบาสะก็แน่ใจว่าต้องการเพื่อนร่วมทาง หลังจากกล่าวขอบคุณ นัดแนะเรื่องเวลาเดินทางตอนสิบโมงตรงแล้ว อีกฝ่ายก็วางสายไป

    แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้หมุนตัวจาก เสียงโทรศัพท์ก็แผดดังลั่นขึ้นมาอีกครั้ง เป็นเพราะระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีดีด้วยซ้ำเลยคิดว่าอาจเป็นคู่สนทนารายเดิม หากเมื่อยกมันขึ้นแนบใบหู เตรียมขยับริมฝีปากเพื่อส่งเป็นคำถาม เธอก็ได้ยิน...มัน

    “ทสึบาสะ”

    แม้คำทักทายระหว่างกันจะผ่านมาเนิ่นนานมากแล้ว เธอก็ยังคงจดจำน้ำเสียงของเขาได้เป็นอย่างดี

    เสียงลมหายใจที่ได้ยินตามมาหลังจากนั้นทำให้ร่างกายของเธอสั่นสะท้าน พลันเรี่ยวแรงก็คล้ายกับเหือดหายลงไปจนปล่อยโทรศัพท์ที่กำไว้ในมือให้ร่วงหล่น และเมื่อหญิงสาวกะพริบตาปริบ รอบข้างก็กลายเป็นสีดำสนิทเหมือนกับหยดหมึกเข้มข้นที่ถูกป้ายลงไปซ้ำๆ ไม่ทันให้ทสึบาสะได้กระทำสิ่งใด ทันนั้นเองตัวตลกก็จะพุ่งกระโจนเข้าใส่จากในความมืดมิดเบื้องหน้า ร่างของเธอล้มลงไปกระแทกกับพื้นอย่างแรง หัวสมองมึนชาเพราะขอบโต๊ะที่ทำให้ของเหลวไหลซึมลงอาบใบหน้าฟากหนึ่งเป็นทางยาว ตัวตลกเงื้อขวานขึ้น แผดตะโกนว่า “เธอต้องตาย!” เหมือนกับเหตุการณ์ในวันนั้น ทั้งน้ำเสียงและใบหน้าที่กราดเกรี้ยวนั้นเป็นของพี่ชายเธอไม่มีเพี้ยนผิด ต่างกันตรงที่ในครั้งครานี้ทสึบาสะจะยกท่อนแขนข้างหนึ่งขึ้นป้องบัง ในวินาทีที่ทสึบาสะคิดว่าตัวเองกำลังจะตายด้วยสภาพท่อนแขนที่ถูกจามขาดเป็นสองส่วน แรงเขย่าบนไหล่ลาดและเสียงเรียกชื่อของเธอก็จะดังแว่วมาจากดินแดนอันไกลโพ้น ก่อนผัสสะจะรับทุกอย่างได้ชัดเจนขึ้นเมื่อค่อยๆ ลืมนัยน์ตาตื่นบนพื้นห้องรับแขก แสงอาทิตย์ลอดผ่านบานหน้าต่างมอบความสว่างไสวไปทั่วทั้งอาณาบริเวณจนต้องหรี่ตา หันใบหน้าหลบไปยังทิศทางอื่น เธอเห็นหูโทรศัพท์ที่ยังไม่ถูกยกเก็บเข้าที่ และสีหน้าที่ดูวิตกกังวลของนากาจิมะซึ่งช่วยประคองร่างของเธอไว้

    “คุณทสึบาสะ วันนี้พักก่อนดีไหมครับ เราค่อยไปกันวันอื่นก็ได้”

    “ฉันรอไม่ได้แล้วค่ะ”

    เพราะเธอไม่อาจทนอยู่กับความจริงที่ทับซ้อนกับความฝันอันน่าสะพรึงถึงพี่ชายเธอได้อีกต่อไป

     

     

    การเดินทางเป็นไปอย่างสงบและราบรื่น ความกังวลถึงก่อนหน้าของทสึบาสะมลายหายไปจากบทเพลงป็อปสมัยนิยมทางวิทยุและบทสนทนาที่เป็นกันเองในเรื่องสัพเพเหระทั่วไปจากนากาจิมะ โดยไม่เฉียดกรายเข้าไปใกล้เรื่องสยองขวัญใดๆ ไม่ว่าจะเป็นพี่ชายเธอหรือมัตสึชิมะ บรรยากาศของท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งก็พลอยทำให้หญิงสาวรู้สึกโล่งสบายไปด้วย ไม่มีความหวาดหวั่น มึนชา หรือง่วงงุนผ่านเข้ามาให้ได้รู้สึกเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นวันที่แจ่มใสเสียจนเธอเกือบจะลืมเลือนต้นฉบับเล่มนั้น แผ่นกระดาษแผ่นนั้น และจุดหมายปลายทางที่มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า หมู่บ้านลับแลที่กำลังจะไปได้เลยด้วยซ้ำ

    เป็นเพราะการเดินทางแบบไม่เร่งรีบทำให้พวกเขามาถึงมุโคในอีกราวๆ เจ็ดชั่วโมงให้หลัง ขณะนี้เป็นเวลาย่ำค่ำที่ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงไปตรงเส้นขอบฟ้า พร้อมกับแสงเรืองรองสีส้มที่กำลังจะถูกสีน้ำเงินเข้มโอบล้อมในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า นากาจิมะจึงเอื้อมมือไปกดปิดวิทยุเมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศอันเชียบงันที่พวกเขาต่างก็รู้สึกได้โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก เฉกเช่นเดียวกับบทสนทนาและเสียงหัวเราะรื่นเริงถึงก่อนหน้านั้นที่ค่อยๆ เบาลงจนกลายเป็นเงียบสนิท หลงเหลือเพียงเสียงเครื่องยนต์กับล้อรถที่บดลงไปบนพื้นถนนคอนกรีต

    ขณะที่นากาจิมะจอดรถเข้าข้างทาง หยิบแผนที่ขึ้นมาหาตำแหน่งของหมู่บ้านลับแลที่ได้มาอย่างคร่าวๆ จากอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เขาพูดถึง ทสึบาสะก็เอาแต่จมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง เพราะนับตั้งแต่ข้ามสะพานมาเธอยังไม่พบสิ่งมีชีวิตใดผ่านเข้ามาในแววตา มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อนี่คือเขตเมืองที่มีบ้านเรือนและร้านค้าอยู่ตลอดสองข้างทาง โคมไฟก็ยังส่องสว่าง ข้าวของในร้านค้าต่างๆ ก็ยังวางอยู่ แม้แต่จักรยานที่ล้มอยู่หน้าร้านขายขนมหรือประตูรถที่เปิดอ้าไว้อยู่ริมถนน ไม่ต่างจากกิจกรรมทั่วไปที่ดำเนินตามครรลอง หากสิ่งเดียวที่ขาดหายไปก็คือผู้ดำเนินกิจกรรมนั้น ราวกับว่าจู่ๆ ผู้คนก็หายวับไปในตอนที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ หรือไม่ก็อาจเป็นเธอที่หลงเข้ามาผิดช่วง ผิดเวลา เรื่องลึกลับหลากหลายประเดประดังเข้ามาในห้วงความคิดของเธอ ไม่ว่าจะปอมเปอี สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา หรือเหตุการณ์มนุษย์ต่างดาวลักพาตัวจากนอกโลก แต่เรื่องเหล่านั้นที่เคยทำให้ทสึบาสะต้องขนลุกวาบกับความสยองขวัญหรือปริศนาอันดำมืด กลับเทียบกันไม่ได้เลยกับเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นี้

    “ผมจะลงไปถามชาวบ้านดูนะ”

    “เอ๊ะ?”

    ทสึบาสะอ้าปากห้ามไม่ทันชายหนุ่มที่เปิดประตูรถลงไปพร้อมกับแผนที่ในมือแล้ว เธอไม่เข้าใจเลย เขามองไม่เห็นความผิดปกติทั้งหมดนี้เหมือนกับเธอหรอกหรือ ขนของเธอยังคงลุกวาบและมันไม่ได้มาจากเครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบ เมืองที่ว่างเปล่าทำให้เธอนึกถึงความฝันหลังอ่าน ฝันร้ายสุดมุมถนนเว้นก็แต่ว่าในความฝันนั้นไม่มีสิ่งใดให้หวนระลึกถึงประวัติศาสตร์เก่าแก่ของประเทศที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมเช่นนี้ แต่เธอจะกลัวไปทำไมในเมื่อโลกความเป็นจริงตอนนี้มีนากาจิมะอยู่ด้วย คิดแล้วก็ตัดสินใจเปิดประตูรถเพื่อจะวิ่งตามเขาที่คงไปได้ไม่ไกล หากเมื่อเธอลงมาหยัดยืนด้วยขาทั้งสองข้าง ก็กลับไม่พบแม้แต่เงาร่างของเขา

    ความฝัน...นี่ต้องเป็นความฝัน!

    เรื่องราวสยองขวัญทั้งหมดเกิดขึ้นนับตั้งแต่เธอเจอต้นฉบับเล่มนั้น เธอไม่ควรหยิบมันติดมือมาด้วยตั้งแต่แรกแล้ว หรือไม่เธอก็ควรจะรีบทำลายมันอย่างที่พี่ชายเธอว่าไว้ก่อนที่จะสติวิปลาสตามเขาไปอีกคน และที่สำคัญที่สุดคือเธอไม่ควรมาที่นี่ถึงต่อให้จะได้พานพบกับคำตอบทุกสิ่งอย่าง

    ก่อนเสียงหัวเราะคิกคักจะรั้งเรียกสติของเธอให้หวนกลับคืนมา

    เมื่อหันไปตามทิศทางของเสียงนั้น ทสึบาสะก็จะได้พบกับเด็กผู้ชายที่ยืนแหงนคอจดจ้องกับอะไรบางอย่างบนกำแพง เป็นเพราะแสงจากโคมไฟสลัวทำให้เธอมองไม่เห็นว่าคือสิ่งใด แต่การได้พบว่ามีอีกหนึ่งชีวิตร่วมหายใจอยู่ด้วยกันบนโลกใบนี้ และเสียงหัวเราะที่ฟังดูเหมือนมนุษย์ปกติก็จะทำให้เธอค่อยวางใจ สาวฝีเท้าที่ยังคงสั่นเทาอยู่เล็กน้อยเข้าไปหาเขา

    “เธอ...”

    หากเสียงอันแผ่วเบาของเธอจะถูกกลบกลืนไปกับเสียงหัวเราะที่คล้ายว่าจะดังขึ้น...ดังขึ้น...ดังขึ้น...ดังขึ้น และเมื่อทสึบาสะเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ เธอก็จะได้เห็นภาพที่เด็กชายกำลังมองดูด้วยความหฤหรรษ์อยู่อย่างชัดเจน

    เธอรู้ว่ามันคือผีเสื้อกลางวันจากปีกสีฟ้าสดใส เหมือนกับสีผมของเธอ ซึ่งกำลังตะเกียกตะกายอยู่บนใยของแมงมุมตัวใหญ่ ไม่ว่าผีเสื้อตัวน้อยจะพยายามดิ้นหนีจากพันธนาการมากเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ก่อนที่แมงมุมจะค่อยๆ เดินเข้าหาตัวเหยื่อ กัดเข้าที่ท้องเพื่อส่งพิษร้ายเข้าไปให้หมดเรี่ยวแรง จากนั้นเริ่มต้นวนเวียน ครั้นพอใจแล้วจึงค่อยแทะเล็มแต่ละชิ้นส่วนของผีเสื้อที่พังพาบอยู่ หากทสึบาสะไม่เห็นการขยับไหวของปีกระโหยเพียงมิลลิเมตรก็อาจจะคิดว่ามันตายไปแล้ว เธอได้แต่ยืนจดจ้องมองดูภาพเบื้องหน้าด้วยความพิศวง เสียงหัวเราะของเด็กชายก็ยังคงดังอยู่อย่างนั้น...ดังอยู่อย่างนั้น...ดังอยู่อย่างนั้น...ดังอยู่อย่างนั้น จนโทนเสียงของเด็กชายเปลี่ยนกลายเป็นชายหนุ่มในตอนที่แมงมุมกลืนกินปีกและขาข้างหนึ่งของผีเสื้อไปจนหมดสิ้น ทสึบาสะรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ในฉับพลัน ความตื่นตระหนกพลันสร้างปฏิกิริยาเร่งเร้าให้ทั้งร่างกายผละห่างขณะหันใบหน้าขวับไปมอง ตำแหน่งที่เด็กชายเคยยืนอยู่บัดนี้ได้ถูกแทนที่ด้วยชายหนุ่ม ทันนั้นเองเสียงหัวเราะก็หยุดลง เธอรู้ว่าเป็นใครก่อนที่ใบหน้านั้นจะหันมาอย่างเชื่องช้า ก้าวย่างมาหา สบนัยน์ตาสีดำสนิทเข้ากับเธอ แต่ครั้งนี้ทสึบาสะไม่ได้รู้สึกถึงความเวิ้งว้างเหมือนอย่างที่เคยเผชิญอีกแล้ว ใบหน้าของเขาฉายชัดอยู่ในแววตา กระทั่งจะมาหยุดฝีเท้าลงตรงหน้า

    และเมื่อเขาเอื้อมมือมาแตะกับแขนข้างซ้าย...ข้างเดียวกับปีกผีเสื้อที่ถูกกลืนกินตัวนั้น ร่างกายของเธอก็แข็งเกร็งเหมือนกับเป็นอัมพาต กล้ามเนื้อเดียวที่ใช้งานได้อาจมีแค่ลูกนัยน์ตาสั่นระริกที่จดจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า

    มือที่เย็นเยียบของเขาลากสัมผัสไปตามใบหน้าอย่างเชื่องช้า เหมือนตอนที่แมงมุมหยอกล้อกับเหยื่อหน้าโง่ที่หลงเข้ามาติดใยของมัน และในตอนนี้เหยื่อของเขาก็คือเธอ

    “ทสึบาสะ”

    ด้วยน้ำเสียงเดียวกับค่ำคืนของเมื่อวาน แต่คราวนี้เธอรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่รดรินอยู่ริมใบหูโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้นอีก วินาทีที่เขากดประทับริมฝีปากซึ่งเยียบเย็นยิ่งกว่าสัมผัสลงไปบนลำคอ กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายเธอก็คลายลง พร้อมกับการร่วงหล่น










     

    2023年09月13日
    _______________
     บันทึกไว้ว่ากูลงเวอร์ต้นฉบับเรื่องนี้ครั้งแรกวันที่ 2020/11/21 จนถึงวันนี้พล็อตเรื่องก็ยังอยู่ (เพราะจดไว้) ถึงพระเอกเดิมจะไม่อยู่ (เพราะอะไรมึงรู้ดี) ที่จริงแปลงทิ้งไว้นานแล้วแต่ไม่ว่างทำรูปสักที แต่ถ้าให้พูดจริงๆ ตอนว่างกุก็ลืมเรื่องนี้อยู่ดีนั่นแหละ 55555 เหี้ยจริงตัวกู กระทั่งวันโน้นที่เราดูคลิปโซจังในเกมมิ่งรูมกับเมื่อวันนั้นที่เราดูคลิปเกมเก่าแล้วก็มีไซเรน...อันเป็นแรงบันดาลใจใหญ่มากของฟิคเรื่องนี้ ขอบคุณมึงมากที่เปิดนะ T/|\T
     หาชื่อเรื่องใหม่อยู่นานมากแต่ก็ไม่เปิงใจสักที อันนี้ก็ไม่เปิงใจถ้าให้พูดตามตรงเพราะอยากใช้ชื่อญี่ปุ่นมากกว่า แต่ไม่งั้นชาตินี้คงไม่ได้ลงแน่เลยเลือกอันที่ถูกใจที่สุด (จากที่ไม่ถูกใจเลย) ไป ได้มาจากชื่อเพลงของวง D'espair Ray ถึงกรงเดียวที่มีจะเป็นกรงรักของกูที่มีต่อโซจังนั่นเองจ้า >_< / ชื่อหมู่บ้าน 旭蝶 ใช้คันจิคำว่าพระอาทิตย์ยามเช้ากับผีเสื้อ ส่วนชื่อทสึบาสะแปลว่าปีก ไม่ได้ตั้งใจให้มันโยงกันหมด แต่มาอ่านทวนคือดันเป๊ะหมดจริง เห้ออ เราฉลาดมาตั้งแต่ตอนนั้นและยังต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้ เริ่ดจริงๆ ว่ะ ยิ่งแก่ยิ่งเก๋า >_< นางเอกตอนโน้นทำผมสีๆ เพราะกูไปอ่านเจอว่าผีเสื้อกลางวันสีสันจะสดใสกว่า แต่เพราะกูเบื่อสีม่วงแล้วง่ะเลยหาสีใหม่ดีกว่า ตอนแรกหาอยู่นานมากเพราะคนที่กูชอบแทบไม่ทำสีเจ๋งๆ เลย เซ็งมาก มีแต่ชมพู ส้ม แดง ไม่ค่อยเปิงใจ จะหาสีเขียวก็ไม่มีเลย กระทั่งรำลึกได้ตอนลูเสมเบิลจะรีเดบิวต์ว่ากูก็มีคนที่ชอบแล้วทำผมเขียวอยู่นี่หว่า ลืมจริง ที่บังเอิญคือสีประจำตัวโกวอรก็เป็นสีเขียวและสัตว์ก็เป็นผีเสื้อ! วู้วว! แต่เพราะผีเสื้อปีกสีฟ้าสวยกว่าเลยเลือกเป็นฟ้าแทนนะพี่นะ เพราะจะฟ้าหรือเขียวมันก็สีเดียวกันนั่นแหละเนาะ
     ตอนแรกลังเลว่าพี่จะเป็นฟูมะหรือโชริ แต่พอมานั่งนึกว่าบทเป็นนายหน้าให้โซ แถมทาหน้าเป็นตัวตลกจะมาไล่ฆ่าน้องอีกมันก็ต้องฟูมะแล้วว่ะ เพราะโชริสำหรับเราคือพระเจ้า จะเอามาเล่นอะไรแบบนี้ไม่ได้ นรกจะกินกบาลเหมือนที่ธรณีสูบมึงไปแล้ว เป็นต้ร บทโคจิเดิมกูก็วางไว้ให้เคนโตะตั้งแต่แรกแล้วจริง ไม่เปลี่ยน เปลี่ยนไม่ได้ ใจมันเรียกร้อง เพราะงั้นเรื่องนี้โชริไม่ได้มาคนเดียวนะ แหะๆๆ เพราะที่เหลือมีแค่พนักงานโรงแรม...ก็ไม่ได้ไหมวะ หรือให้เป็นบัตเลอร์โซ...ก็ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่ ถ้าบทไหนจะเหมาะสุดก็คือนักเขียนนี่แหละ อิอิ แต่ที่กูตกใจสุดคือกูวางบทยังไงให้มีผู้หญิงคนเดียวทั้งเรื่องแต่ผู้ชายเต็มเรื่องวะ มันทำได้อย่างใดนิ คันหัว
     บอกเลยว่านี่คือหนึ่งในฟิคที่ดีที่สุดและกูรักที่สุดในชีวิต สุเคคิโยะก็เป็นวงวิชวลเคย์ท๊อปทรีที่กูรักเท่าชีวิตตีคู่มากับเดอะกาเซตต์พ่อทุกสถาบัน เพราะอย่างที่รู้ว่าสมัยสโตรกับทราวิสคือยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ของการแต่งแนวสยองขวัญญี่ปุ่นสำหรับกูแล้ว กูเองแหละอาจารย์มัตสึชิมะน่ะ T_T ภาษาสมัยนั้นก็ดีกว่าตอนนี้จังวะ จำได้เลยว่าแต่งแบบชิวมาก สมัยไปอยู่เชียงรายที่มึงไปเดินห้างกับแม่ส่วนกูนั่งแต่งอยู่ที่คอนโด T_T เอามาแก้มาเกลาแค่นิดเดียวก็ยังดีงาม แต่ก็อย่างที่บอกว่าตัวกูในตอนนั้นได้ตายไปแล้ว ถึงพล็อตทั้งหมดจะยังอยู่ในหัวและอยากแต่งมากแค่ไหน แต่ถ้าไฟมันไม่มียังไงมันก็ทำไม่ได้ เห้ออ คิดถึงวันวาน ก็เอาเป็นว่าสักวันหนึ่งกูอาจจะกลับมากับอีกสองสามตอนเท่านั้นก็จะจบแล้ว หรือถ้าสุดท้ายแล้วมันจะเข็นไม่ออกจริงๆ สักวันกูก็จะมาสปอยล์ให้ฟังเองเพราะมันดีมาก เริ่ดมาก ประทับใจตัวกูมาก ถึงพล็อตอาจจะดาษดื่นทั่วไปแต่กูก็กล้าพูดเลยว่าแม่งโคตรญี่ปุ่น! ตรองดูเถิดนะ แรงบันดาลใจแรกมาจากหนังฝรั่ง พอกูปรับมาเป็นหมู่บ้านญี่ปุ่นก็ฟีลญี่ปุ่นแนวไซเรน ฟาทัลเฟรมจริง หึ บอกเลย สักวันกูจะกลับมาแนวสยองญี่ปุ่นอีกให้ได้ อาจจะต้องรอไซเลนต์ฮิลล์ f มาก่อน แต่มันต้องไม่หยุดอยู่แค่นี้!
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×