คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #52 : CALENDULA REQUIEM ✣ II. Song From A Secret Garden
ค่ำคืนแรกในคฤหาสน์ชูเอ็นของริไอราวกับความฝัน แม้ว่าเธอจะนอนหลับสนิทเคล้าคลอไปกับเสียงสายฝนราวบทเพลงขับกล่อมโดยไม่ฝัน และตื่นขึ้นมาด้วยความกระปรี้กระเปร่าในเวลาหกโมงเช้าจากเข็มนาฬิกาทองเหลืองบนผนัง
ครั้งสุดท้ายที่ริไอได้นอนหลับบนเตียงกว้างหลังเดี่ยวที่เป็นของตัวเองอย่างสุขสบาย ไม่มีสิ่งใดให้ต้องพะวักพะวงทั้งยามก่อนและหลังเข้านอนก็ราวกับช่วงเวลาอันไกลโพ้นเสียจนเธอแทบจดจำความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้อีก ริไอเลิกเฝ้าฝันไปแล้วว่าจะมีวันที่คนป่วยอย่างเธอได้หลุดพ้นจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามายังคฤหาสน์ — สรวงสวรรค์ที่เธอจะเรียกขาน — แล้วจะเป็นเพราะใครได้ถ้าไม่ใช่เพื่อนที่เปรียบเสมือนดั่งครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่อย่างโทคิเนะ แม้ใครต่อใครจะพากันเรียกขานหล่อนว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความตายก็ช่างฝีปากพล่อยๆ ของพวกเขาปะไร ในเมื่อสำหรับริไอ โทคิเนะก็คือเทพธิดาผู้มอบชีวิตใหม่ให้แก่เธอ
กับอภิสิทธิ์ที่ทำให้ริไออดใคร่ครวญในตอนที่ยันตัวเองขึ้นมาเป็นท่านั่ง ทอดสายตามองดูห้องนอนที่สวยที่สุดในชีวิตเหมือนกับบ้านตุ๊กตาที่เธอเคยได้รับเป็นของขวัญจากเพื่อนพ่อที่ร่ำรวยมากสมัยยังเล็ก ภายในห้องตกแต่งด้วยสีขาวครีมเรียบหรู แซมด้วยสีเหลืองนวลประดับในสิ่งละอันพันละน้อยอย่างที่เธอชอบ เช่นเดียวกับชุดกระโปรงในตู้เสื้อผ้าที่ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยสีสันสดใส ตรงต้องตามรสนิยมของเด็กสาวที่รักความเบิกบานอย่างน่าประหลาด ริไอนึกขอบคุณต่อความเมตตาของคุณและคุณนายอิวาซากิที่เผื่อแผ่มาให้เธอด้วยอย่างเหลือเฟือ ทั้งที่ตอนแรกพวกเขาต้องการรับอุปการะแค่โทคิเนะคนเดียวแท้ๆ เช่นนั้นแล้วการที่ตัวแถมอย่างเธอได้รับอภิสิทธิ์ไม่ต่างจากผู้อยู่อาศัยเทียมเท่าอีกคนเป็นเรื่องที่เหมาะสมแน่หรือ เธอควรค่ากับสิทธิ์ที่ได้รับนี้จริงหรือ ความคิดเหล่านั้นยังคงตามติดริไออยู่อีกพัก กระทั่งลุกไปอาบน้ำฝักบัวอุ่นสบาย สลัดความหนาวเหน็บจากมวลอากาศเย็นที่ลอดผ่านช่องว่างเข้ามาแม้ว่าฝนจะหยุดตกไปแล้ว จนต้องหยิบชุดคลุมแขนยาวสีน้ำตาลอมส้มเหมือนกับชุดกระโปรงยาวเหนือเข่าขึ้นมาสวมทับ ตามด้วยรองเท้าบู๊ตยาวที่ช่วยให้มิดชิดยิ่งขึ้นสำหรับเด็กขี้หนาวอย่างเธอ
เวลาหกโมงครึ่งยังถือว่าเช้ามากสำหรับโทคิเนะ แม้ว่าสมัยอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ทุกคนจะต้องตื่นนอนตอนหกโมงเป็นกิจวัตรและทำทุกอย่างให้เสร็จสรรพก่อนลงไปรับประทานมื้อเช้าพร้อมกันในเวลาเจ็ดโมง หากริไอก็จะสังเกตเห็นความง่วงงุนของหล่อนที่มักหลบไปหาที่งีบหลับระหว่างวันอยู่บ่อยครั้ง โทคิเนะเคยพูดติดตลกให้ฟังว่าเป็นเพราะนิสัยขี้เกียจตัวเป็นขนที่สลัดยังไงก็ไม่หลุด แต่ริไอกลับคิดว่าเป็นเพราะความรังเกียจเดียดฉันท์ที่ได้รับจากผู้คนรอบข้างทำให้การลืมตาตื่นขึ้นมาในแต่ละวันเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับหล่อนต่างหาก แตกต่างจากริไอที่ขอเพียงแค่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาในทุกๆ วัน ไม่ว่าต้องแลกมาด้วยความรู้สึกเช่นไรก็ตาม
เพราะอย่างนั้นริไอถึงได้ปรารถนาให้ชีวิตใหม่ ในบ้านหลังใหม่ กับผู้คนใหม่ๆ เต็มไปด้วยความรักและความสุขที่ทำให้โทคิเนะอยากลืมตาตื่นขึ้นมาในทุกๆ วันเหมือนกับเธอได้เสียที
เมื่อตัดสินใจว่าจะไม่ไปเคาะประตูปลุกโทคิเนะตั้งแต่ไก่โห่แล้ว ริไอที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีเลยแง้มผ้าม่านออกดู สวนดอกไม้หลากสีสันกับอาณาบริเวณกว้างขวางของมันที่คงเหมาะสำหรับการฆ่าเวลาเล่นเป็นอย่างดี ครั้นตกลงใจเลือกที่นั่นเป็นเป้าหมายการสำรวจแรกภายในคฤหาสน์แห่งนี้แล้ว ริไอก็เปิดประตูออกจากห้องไปด้วยหัวใจที่ลิงโลด
ทว่าเส้นทางที่วกไปเวียนมาของคฤหาสน์ทำให้ริไอได้แต่สับสน ขนาดแค่การหาบันไดที่คุณคุโรยานางิพาขึ้นมาเมื่อคืนยังชวนให้เธองุนงง ริไอยิ่งกว่าแน่ใจว่าผ่านจุดเดิมตรงนี้มาแล้วสองครั้งเพราะจำภาพวาดสวนดอกไม้บนผนังได้ ก่อนสมาชิกใหม่ที่เริ่มท้อถอดใจและคิดว่าบางทีการพุ่งหลาวผ่านหน้าต่างลงไปเลยคงง่ายกว่าจะได้สะดุ้งเฮือกจนตัวโยน อันที่จริงเธอหวีดร้องออกมาแล้วด้วยซ้ำเมื่อหมุนตัวกลับไปแล้วเกือบชนเข้าให้กับแผงอกของใครคนหนึ่ง ถ้าไม่ได้เป็นเพราะมือหนาที่เอื้อมมาหยุดไหล่ทั้งสองข้างของเธอเอาไว้ได้ทันเสียก่อน ริไอไม่รู้เลยว่าเขามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกทั้งมันจะเป็นไปได้อย่างไรบนโถงทางเดินเปิดโล่งซึ่งไม่มีซอกมุมไหนให้หลบซ่อน ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใด และไม่มีบานประตูห้องไหนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดหรือเปิดผัวะออกมาให้ได้ยิน นอกจากเสียงหัวเราะขบขันกลั้วไปกับน้ำเสียงแหบฟังดูแปร่งหูยามเอ่ยขอโทษที่เขาทำให้เธอตกใจ ผนวกกับใบหน้าที่อาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบจนชวนให้ลืมหายใจ และริไอก็อาจลืมหายใจได้จริงไปชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง กับรอยยิ้มกว้างที่ทำให้หัวใจของสาวน้อยไหวสั่นขึ้นมาเป็นครั้งแรกในชีวิต
“ไม่คิดว่าจะได้เจอกันตั้งแต่ตอนเช้าตรู่แบบนี้เลยนะ”
เธอรีบก้มหัวขอโทษปะหลก ละล่ำละลักแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักที่คงจะดูน่าขันเอามาก เขาถึงได้ไม่ยอมหุบรอยยิ้มน่ามองนั้นเสียที
“เอ่อ ฉันทาเคียว ริไอค่ะ เป็นเพื่อนสนิทของโทคิเนะที่คุณกับคุณนายอิวาซากิเมตตารับอุปการะมา ถึงตอนแรกพวกเขาจะไม่ได้ตั้งใจรับอุปการะฉันด้วยนอกจากว่าโทคิเนะไปขอไว้ แต่ฉันก็ดีใจและซาบซึ้งใจมากเลยค่ะที่ได้มาอยู่ที่นี่!”
“ยินดีต้อนรับและยินดีที่ได้รู้จักนะ ริไอ ชื่อของเธอเพราะมากเลย” พร้อมกับคำชมที่จะทำให้เด็กสาวเจ้าของชื่อรู้สึกถึงความร้อนผ่าวทั่วใบหน้า ลามไปถึงสรรพางค์กายอย่างไม่มีเหตุผล “ส่วนฉันอุกิโช ฮิดากะ เป็นเพื่อนสนิทของลูกชายเจ้าของบ้านอิวาซากิที่ก็ยินดีมากกับการมาถึงของพวกเธอทั้งสองคน”
ให้ริไอได้ผงกศีรษะตอบรับด้วยความเก้อเขิน หลุบตาหลบใบหน้าและรอยยิ้มที่เจิดจ้าเสียจนอาจทำให้นัยน์ตาของเธอมัวพร่าไม่ต่างอะไรจากการแหงนมองพระอาทิตย์ในยามเช้า
“แล้วนี่กำลังจะไปไหน?”
“อ๋อ ตั้งใจว่าจะไปสวนดอกไม้ค่ะ แต่คฤหาสน์ที่นี่กว้างมากแถมยังซับซ้อนมากอย่างกับเขาวงกตจนทำเอาหลงทางเลยค่ะ”
เขาเปล่งเสียงหัวเราะเริงร่ากลั้วไปกับคำพูดติดตลกที่จะทำให้ริไอยิ้มกว้างออกมาได้เช่นกัน
“งั้นก็ตามมาเถอะ ฉันรู้ทางออกจากเขาวงกตไปที่สวนดอกไม้ รับรองว่าไม่พาสมาชิกใหม่หลงแน่นอน”
แค่ทิวทัศน์ที่ได้มองเห็นจากมุมสูงบนห้องนอนชั้นสองก็ชวนให้ตื่นตามากพออยู่แล้ว หากการได้มองเห็นมันอยู่เบื้องหน้ากลับชวนให้ตื่นใจยิ่งกว่า สวนสไตล์ยุโรปที่ตั้งอยู่ด้านหลังคฤหาสน์ครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างขวางมาก ประดาประดับไปด้วยพืชพรรณดอกไม้หลากสีสันที่พากันส่งกลิ่นหอมกำจรกำจาย ผืนหญ้าชุ่มฉ่ำอุ้มน้ำฝนที่ตกหนักทั้งคืนจนเป็นสีเขียวขจีเช่นเดียวกับพุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งสวยงามเป็นระเบียบ ทางเดินที่ปูด้วยกรวดสีขาวทำให้ริไอรู้สึกราวกับกำลังโลดแล่นอยู่ในดินแดนเทพนิยายทอดยาวผ่านซุ้มประตูโค้งที่พันด้วยไม้เลื้อยเข้าไปยังน้ำพุหินอ่อนสลักรูปเทพธิดาที่ใจกลางสวน รายล้อมไปด้วยดอกไม้สีเหลืองจัด ส้มสด แซมขาวบริสุทธิ์ที่ฮิดากะบอกกับเธอว่ามันคือดอกดาวเรือง (ชูเอ็น) อันเป็นที่มาของชื่อคฤหาสน์แห่งนี้นั่นเอง
“อันที่จริงเมื่อก่อนที่นี่ไม่ได้ใช้ชื่อนี้หรอก แต่เพราะคุณนายอิวาซากิ...ฉันหมายถึงคุณแม่ของไทโชท่านรักดอกดาวเรืองมาก เลยสั่งให้คนสวนนำมาปลูกกลางสวนดอกไม้นี้แล้วเปลี่ยนชื่อคฤหาสน์เสียใหม่ว่าชูเอ็น”
ฮิดากะบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของสวนดอกไม้รวมถึงพฤกษานานาพรรณที่เขาชี้ชวนให้เธอดูด้วยน้ำเสียงแหบน่าฟังอย่างมีจังหวะจะโคน พลอยให้ริไอเพลิดเพลินตามไปด้วยโดยไม่นึกเบื่อ
ก่อนที่เขาจะพาเธอเดินข้ามสะพานตัดผ่านแม่น้ำสายเล็กมายังศาลาทรงกลม ส่วนของโดมครอบด้านบนก็ทำมาจากหินอ่อนสีขาว สลักเสลาด้วยลวดลายวิจิตรที่ทั้งประณีต อ่อยช้อย และงดงาม ไม่ต่างจากแทบทุกตารางนิ้วของคฤหาสน์ บีบให้ตัวของเด็กสาวบ้านนอกที่ไม่เคยจินตนาการถึงความรุ่มรวยประหนึ่งอยู่ในความฝันยิ่งหดเล็กลงไปอีก หรือไม่...ริไอก็อาจทำเช่นนั้นไปแล้วในตอนที่ทิ้งตัวนั่งลงไป เพราะไม่อย่างนั้นฮิดากะที่ยืนพิงเสากอดอยู่ข้างเธอคงไม่เปล่งเสียงหัวเราะขบขันแล้วพูดว่า
“ทำตัวตามสบายเถอะริไอ จากนี้ไปที่นี่ก็คือบ้านของเธอแล้ว”
ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย — อย่างที่เขาทำให้ทุกอย่างฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย — แต่สำหรับริไอที่เพิ่งจะย้ายเข้ามาได้ไม่ถึงหนึ่งวันเต็มด้วยซ้ำก็ยังคงเป็นเรื่องยากอยู่ดี เพราะอย่างนั้นเธอจึงเริ่มต้นหาเรื่องมาสนทนากับเขาเพื่อช่วยคลายบรรยากาศเก้อเขินว่า “ก่อนหน้านี้คุณอุกิโชบอกว่าเป็นเพื่อนของลูกชายเจ้าของบ้าน ชื่อคุณอิวาซากิ เอ่อ ไท...ไทโชใช่ไหมคะ?”
ฮิดากะพยักหน้า
“อืม ตอนนี้ที่นี่มีสมาชิกบ้านอิวาซากิแค่ไทโชกับน้องสาวที่ชื่ออาซึฮะ ส่วนพวกเราที่เหลือเป็นเพื่อนสนิทไม่ก็ญาติสนิท เพราะเหลือคนอยู่แค่น้อยนิดคฤหาสน์เลยเงียบเหงาลงไปกว่าแต่ก่อนมาก งานเลี้ยงก็ไม่ค่อยมี แขกเหรื่อก็ไม่ค่อยมา พวกเราบางคนเลยแวะเวียนมาอยู่ด้วยเพื่อสร้างความครึกครื้นเป็นการชั่วคราว ส่วนบางคนก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ เอาไว้ถึงมื้อเช้าก็ได้เจอทุกคนพร้อมหน้าแล้วล่ะ”
“คุณอุกิโชก็แวะเวียนมาอยู่ด้วยเหรอคะ?”
“ฉันมีหน้าที่ที่ต้องทำต่างหาก” ด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่เสริมรับความอ่อนโยนของดวงตายามสบประสานกับเธอที่แหงนเงยมอง “ก่อนหน้านี้ฉันเคยทำงานเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลในเมือง พอไทโชเล่าว่ามีเด็กที่รับอุปการะคนหนึ่งป่วย ฉันเลยตัดสินใจลาออกมาช่วยดูแลทางนี้แทน”
“ลาออกเหรอคะ!” ริไอลืมตัวหลุดร้องเสียงดังด้วยความตื่นตกใจ “เป็นเพราะฉันเหรอคะที่ทำให้คุณอุกิโชตัดสินใจลาออก!”
ตรงกันข้ามกับเขาที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าและท่าทีเมื่อเอ่ยต่อไปว่า “ความจริงฉันตั้งใจว่าจะลาออกตั้งนานแล้ว แค่ยังหาจังหวะเหมาะๆ ไม่ได้สักที ต้องขอบคุณริไอด้วยซ้ำถึงจะถูก”
“ฉันไม่ได้ป่วยเป็นอะไรร้ายแรงสักหน่อยค่ะ!” เจ้าตัวรีบยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกปัด “อีกอย่าง...ฉันเองก็ชินกับมันแล้วด้วย”
“เธอชินกับความเจ็บปวดไม่ได้หรอกนะ” ฮิดากะสวนย้อนกลับไปแทบจะทันที แม้ริไอจะรู้ดีแก่ใจว่าเขาพูดถูก หากเธอก็เลือกที่จะตอบกลับเขาไปด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าไม่ทำใจให้ชินก็ทนอยู่ร่วมกับมันไม่ได้หรอกค่ะ”
แล้วโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ฮิดากะก็เดินมาคุกเข่าลงตรงหน้า จับมือทั้งสองข้างของเธอขึ้นกุม แล้วเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “เชื่อใจให้ฉันเป็นคนดูแลริไอต่อจากนี้นะ”
ผิวแก้มสีขาวจัดของริไอเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ เนื้อตัวก็รู้สึกถึงความร้อนผ่าวทั้งที่อากาศยามเช้าก็ยังคงหนาวเหน็บ เธอได้แต่นิ่งงันไม่กล้ากระทำสิ่งใดแม้แต่การขยับลูกนัยน์ตาหรือริมฝีปาก ตรงข้ามกับลูกนัยน์ตาวาววับและริมฝีปากที่มีรอยยิ้มกว้างประทับอยู่ของอีกฝ่าย ริไอไม่แน่ใจเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ หากสาวใช้คนหนึ่งไม่เดินมาหยุดยืนอยู่นอกศาลาเพื่อแจ้งว่ามื้อเช้าในอีกสิบนาทีก่อนค้อมศีรษะผละจากไป ไม่ได้แสดงทีท่าใคร่อยากรู้ต่อการกระทำของพวกเขาอย่างที่ริไอนึกม้านอายขึ้นมาแต่ประการใด
ฮิดากะปล่อยมือที่กุมไว้ออก กลับไปลุกขึ้นหยัดยืนอีกครั้ง แล้วเอ่ยปากชักชวนเธอราวกับไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นว่า
“พวกเราก็ไปกันเถอะ”
เป็นเพราะเสียงเคาะประตูที่แว่วดังผ่านโสตประสาทเข้าสู่ภวังค์ล้ำลึกที่ช่วยปลุกโทคิเนะให้ตื่นจากการนอนหลับที่อาจเรียกได้ว่า ‘สนิท’ ที่สุดเป็นครั้งแรกในชีวิต เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะโกโก้ร้อนแก้วนั้นจริงๆ หรือเปล่า และเธอได้ฝันถึงอะไร...หรือว่าใคร...หรือเปล่า ทั้งอย่างนั้น ความคิดคำนึงแม้ในยามตื่นของโทคิเนะก็ยังคงเป็นทายาทเจ้าของคฤหาสน์ผู้สูงศักดิ์ราวออกมาจากความฝันที่ไกลเกินเอื้อม ความรู้สึกตื่นเต้นที่อีกไม่ช้าก็จะได้พบหน้าเขาแล่นปราดคืนมา เกือบเป็นหัวใจที่เต้นโครมครามทุกวินาทีที่เดินตามสาวใช้ซึ่งรอเธอจัดแจงตัวเองอย่างเร่งรีบเพื่อช่วยนำทางไปยังห้องอาหารโดยไม่หลงตามคำสั่งของคุณคุโรยานางิ
โทคิเนะละล่ำละลักเอ่ยคำขอโทษพร้อมกับศีรษะที่ก้มปะหลก เมื่อเห็นทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าในห้องอาหารที่จุคนได้สิบสองคนสบายๆ แล้วปรี่เข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ว่างคนละฝั่งกับริไอที่ยิ้มกว้างให้เธอได้เปิดยิ้มกลับคืนไป ก่อนชายหนุ่มหน้าตาน่ารักที่นั่งอยู่ทางขวามือของเธอจะเป็นคนเปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงแจ่มใสว่า “ยินดีต้อนรับสองสมาชิกใหม่ โทคิวะ โทคิเนะจัง และทาเคียว ริไอจัง เข้าสู่คฤหาสน์ชูเอ็นของเรา!” ให้สองสมาชิกใหม่ที่ว่าหันไปค้อมหัวตอบรับพร้อมกับรอยยิ้มกว้างดุจกัน
“เมื่อคืนพวกเรากลับมากันไม่ทันเลยไม่ได้อยู่ต้อนรับทั้งสองคน แต่ไม่มีอะไรสายเกินไปหรอก เนอะ! เริ่มจากคนไม่สำคัญอย่างฉันก่อนก็แล้วกัน ฉันฟูจิอิ นาโอกิ เป็นลูกพี่ลูกน้องของบ้านอิวาซากิที่กำลังว่างงาน และอยากเจอหน้าสมาชิกใหม่ใจจะขาด เลยขอมาพักอาศัยอยู่ด้วยเป็นการชั่วคราว...”
“หรือจะถาวรก็ยินดีนะคะ”
โทคิเนะได้เห็นใบหน้าของหญิงสาวผมสีทองภายใต้แสงสว่างจากธรรมชาติที่ลอดผ่านกรอบหน้าต่างทรงสูงเข้ามาอย่างชัดเจนก็ตอนนี้เอง ถ้อยคำยามเย้าหยอกกลั้วไปกับเสียงหัวเราะของหล่อนฟังแล้วรื่นหู ไม่ต่างจากใบหน้าหมดจดแต้มรอยยิ้มที่ดูแล้วรื่นตา ก่อนหล่อนที่นั่งอยู่คนละฝั่งตรงกันข้ามกับนาโอกิจะหันมาหาสมาชิกใหม่ทั้งสองแล้วแนะนำตัวเองว่า “อิวาซากิ อาซึฮะค่ะ น้องสาวของพี่ไทโช ดีใจที่มีเด็กผู้หญิงอยู่ในคฤหาสน์เหมือนกัน อาซึฮะจะได้มีเพื่อนคุย”
“ว่าแต่อาการป่วยเมื่อวานหายดีแล้วหรือคะ?” ริไออดไม่ได้ที่จะถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงตามประสา
“ขอบคุณนะคะ แต่อาซึฮะเป็นไข้เพราะอากาศเปลี่ยนเฉยๆ ที่นี่อากาศค่อนข้างแปรปรวนค่ะ อึมครึมมากกว่าสดใส ฝนตกมากกว่าแดดออก คงเพราะว่าอยู่ติดทะเลมั้งคะ หรือไม่ก็...ก็เพราะอะไรก็ช่างเถอะค่ะ! แต่หวังว่าพอรู้แบบนี้เข้า ทั้งสองคนคงไม่ผิดหวังกับคฤหาสน์ของเราขึ้นมาหรอกนะคะ”
“ไม่เลยค่ะ!” ริไอรีบสั่นศีรษะ “ฉันชอบฝน โทคิเนะก็ชอบเวลากลางคืน เนอะ!”
หากคนที่ถูกถามก็จะเพียงยิ้ม
“อย่างนั้นก็ดีไปค่ะ”
“ส่วนสุภาพบุรุษตรงนั้น...” นาโอกิผายมือไปยังชายหนุ่มอีกคนที่นั่งข้างกับโทคิเนะ ใบหน้าที่เรียกได้ว่าหล่อเหลาดูดีมากของเขานิ่งเฉย แต่ไม่ถึงกับเย็นชาจนน่ากลัวยามผงกศีรษะหน่อยหนึ่งเป็นการตอบรับ “เขามีชื่อว่านาสุ ยูโตะ และจะเป็นครูสอนหนังสือให้กับทั้งสองคน”
“ครูเหรอคะ?” ริไอถามย้ำด้วยความไม่แน่ใจ
“อื้อ” นาโอกิพยักหน้า “ซิสเตอร์บอกว่าทั้งสองคนอยากเรียนหนังสือ แต่ในเมื่อทั้งสองคนมีปัญหาที่ช่วยไม่ได้อยู่ ฉันก็เลยเสนอว่างั้นทำไมไม่จัดการเรียนการสอนที่บ้านไปเลยล่ะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ ห้องสมุดที่นี่มีทุกอย่างครบครัน นาสุคุงเองก็ปราดเปรื่องสมเป็นอัจฉริยะ ถึงอาจจะดูเย็นชาไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่คนไม่น่าคบหาอะไร”
เสียงพ่นลมหายใจที่ไม่ปิดบังการเยาะหยันของอาซึฮะดังแทรกขึ้นมาก่อนนาโอกิจะได้พูดจนจบประโยคดีด้วยซ้ำ ครั้นหล่อนเสริมต่อไปว่า “ก็ไม่แน่หรอกนะคะ” แล้ว โทคิเนะก็อดใช้หางตาเหลือบแลไปทางคนที่ถูกพาดพิงขึ้นมาไม่ได้ กระนั้นยูโตะก็ไม่ได้โต้ตอบกลับไปเป็นคำพูด นอกจากจ้องหน้าหล่อนแล้วยกริมฝีปากข้างหนึ่งขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน แต่ก่อนที่สงครามจะปะทุขึ้นจากใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นงอง้ำของอาซึฮะ นาโอกิก็จะรีบตะโกนห้ามทัพอย่างรู้งาน แล้วเริ่มต้นแนะนำสมาชิกร่วมโต๊ะคนที่เหลือต่อ
“ส่วนนั่น อุกิโช ฮิดากะ เขาจะมาเป็นหมอประจำคฤหาสน์ชูเอ็นนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
เป็นเพราะสถานะที่ได้ยิน ทำให้โทคิเนะอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น “ดีจังเลยนะริไอ!”
รอยยิ้มของริไอทั้งกระจ่างสดใสหากก็ดูขัดเขินไปด้วยในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่าระหว่างที่เธอมัวแต่นอนหลับอุตุอยู่ เพื่อนสนิทของเธอก็น่าจะผูกมิตรกับคุณหมอไปแล้วเรียบร้อย แม้ว่าโทคิเนะจะไม่คาดหวังถึงการรักษาโรคที่ไม่มีใครรู้จักให้หายขาดเมื่อเรื่องนั้นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ แต่การมีหมออยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา ไม่เหมือนกับตอนอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งทำได้แค่ปล่อยให้ริไอต้องทนทรมานก็ดีมากแล้ว
ก่อนนาโอกิจะส่งเสียงเลียนแบบแตรวงเมื่อมาถึง ‘คนสำคัญที่สุด’ ซึ่งนั่งเงียบอยู่ตรงหัวโต๊ะทางฝั่งขวามือของเขา ขณะที่สมาชิกผู้ร่าเริงทั้งสามคนของฝั่งตรงกันข้ามจะพากันเปล่งเสียงหัวเราะขบขัน เสียงเดียวของโทคิเนะที่ดังอาจเป็นหัวใจยามรวบรวมความกล้าหันไปมอง
ใบหน้าของเขาไม่มีรอยยิ้มแม้เพียงน้อยเหมือนกับคนอื่น หรือแค่จะหันมองสบตากับเธอสักเสี้ยววินาทีหนึ่งเสียด้วยซ้ำไป ชั่วขณะนั้นเอง โทคิเนะอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องที่เธอได้พบกับอิวาซากิ ไทโชนั้นเกิดขึ้นจริงหรือเป็นแค่ความฝันกันแน่?
_______________
_______________
ความคิดเห็น