คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : ANEMOIA CHAPTER 2: The Waltz Of Utopia (III)
บัดนี้...ห้องนั่งเล่นในบ้านเช่าที่รินิคุ้นเคยดีมาตลอดสองปีในเวลานี้กลับดูแปลกหน้า ราวกับว่าเธอกำลังหลงเข้ามาอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ ไม่แน่ว่าอลิซที่โดดลงไปในโพรงกระต่ายเป็นครั้งแรกก็คงจะรู้สึกงุนงงระคนสับสนแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่านะ แต่สำหรับรินิแล้ว มันมาจากเทียนไขเล่มเล็กที่วางเรียงรายอยู่รอบห้องซึ่งโซฟากับโต๊ะเตี้ยถูกย้ายไปกองไว้ที่อีกมุมหนึ่ง ส่วนกลางห้องก็เปลี่ยนมาปูลาดด้วยพรมขนสัตว์สีน้ำตาลผืนใหญ่ที่รินิจำได้ว่าซูจับมันยัดเข้าตู้ทันทีที่พ่อกับแม่ขับรถกลับบ้านเพราะลวดลายที่หล่อนคิดว่าน่าเกลียดและไม่ยอมให้ใครเอามันออกมาใช้ ถึงเธอกับริกิจะประท้วงว่ามันนุ่มสบายแค่ไหนก็ตาม เป็นเพราะความผิดที่ผิดทางของสิ่งต่างๆ เหล่านั้นที่ทำให้รินิได้แต่หยุดฝีก้าวอยู่ตรงโถงหน้าบ้าน พร้อมกับความคิดที่ว่ามันช่างเป็นภาพที่...แปลกประหลาด
อาจแม้แต่กับหญิงสาวเพื่อนร่วมบ้านอย่างริกิ ซึ่งไม่ได้มาจากเหตุผลที่ว่าหล่อนเป็นคนผิดประหลาดอยู่แล้วจากทั้งสีผมและการแต่งหน้าแต่งตัวมากสีสันนับตั้งแต่รู้จักกันมา รินิจะคิดว่าเป็นเพราะแสงไฟจากเปลวเทียนวูบวาบซึ่งหล่อนกำลังก้มลงไปจุดอยู่ที่ทำให้ใบหน้าซึ่งเธอคุ้นเคยดูแปลกไปจากที่เธอเคยคุ้น
รวมถึงชายหนุ่มที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาจากทางประตูหลังบ้านพร้อมกับโทรศัพท์มือถือที่ถูกหย่อนกลับลงไปในกระเป๋ากางเกง เรียกทั้งความประหลาดใจระคนไปกับความขุ่นเคืองใจของหญิงสาวขึ้นมา เมื่อเรื่องราวของเมื่อวานยังคงชัดเจนแจ่มแจ้ง ขนาดที่รินิยังคงจดจำความรู้สึกหงุดหงิดอย่างมากในตอนที่โชริปฏิเสธการรักษาด้วยแอลเอสดีได้ ราวกับว่ามันเพิ่งจะเกิดขึ้นหมาดๆ นี้เอง
และเพราะอย่างนั้นเธอถึงได้ตวัดเสียงห้วนเป็นคำถามกับริกิว่า
“โชริมาทำอะไรที่นี่?”
“ฉันรู้เรื่องจากริกิแล้ว”
แต่ก่อนที่รินิจะได้เปลี่ยนไปตวัดสายตาขุ่นหาหญิงสาวเจ้าของชื่อนั้น โชริที่เป็นฝ่ายตอบก่อนโดยไม่สนใจอารมณ์ที่เธอแสดงออกมาชัดเจนซะขนาดนั้นก็เอ่ยต่อโดยไม่รั้งรอ
“เพราะฉันรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายคนดื้อด้านอย่างเธอก็จะต้องหาทางทำเรื่องนี้จนได้อยู่ดีนั่นแหละ ถ้าเป็นเรื่องยาแล้วแน่นอนว่าคนเดียวที่เธอจะหันไปหาได้ก็คือริกิ เมื่อเช้านี้ฉันเลยตัดสินใจโทร.ไปหา แต่สบายใจได้ รินิ เพื่อนเธอไม่ยอมปริปากบอกอะไรทั้งนั้น เป็นฉันที่เค้นถามเอาเองจนได้เรื่องต่างหาก”
“ก็ดื้อด้านกันทั้งคู่นั่นแหละ” ริกิพึมพำโดยไม่เงยมอง
“บอกตามตรงว่าฉันยังไม่เห็นด้วยอยู่ดีที่เธอจะทำเรื่องนี้ หมายถึงไม่ว่าเธอกับริกิคิดจะทำบ้าอะไรก็ตามเถอะนะ ให้ตายสิ รินิ! เธอรู้หรือเปล่าว่าคนที่ริกิรู้จักคือพวกผลิตยาเถื่อนนะ!”
สีหน้าบูดบึ้งถึงก่อนหน้าของรินิเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มเหยียดหยัน
“อะไร? อยู่ๆ ก็ไม่กลัวโดนเพิกถอนใบอนุญาตแล้วหรือไง?”
“แล้วเธอไม่กลัวตายหรือไง?”
“ต่อให้ฉันตายก็ไม่ใช่กงการอะไรของพี่สักหน่อย” เธอยอกย้อน “จิตแพทย์ไม่ต้องใส่ใจเรื่องของอดีตคนไข้นอกเวลาบำบัดให้มันมากนักหรอก”
“ฉันเป็นห่วงเธอในฐานะพี่ต่างหาก”
“ไม่ได้ต้องการ”
“ทำไมถึงดื้อด้านอย่างนี้นะรินิ!”
“ทำไมถึงน่ารำคาญอย่างนี้นะโชริ!”
“รินิ!”
แต่เป็นริกิที่ตะโกนห้ามทัพในตอนที่ลุกพรวดพราดขึ้นมาหลังจากเทียนไขที่ถูกวางล้อมเป็นวงกลมเล่มสุดท้ายสว่างไสวว่า “พอได้แล้ว! ทั้งสองคน! สงบจิตสงบใจหน่อย! มาถึงขั้นนี้แล้วเราต้องร่วมมือร่วมใจกันสิ! และคืนนี้จะไม่มีใครตายทั้งนั้นแหละ!”
“พิษของมันเข้มข้นกว่าแอลเอสดี”
ถึงประโยคที่หล่อนกำลังพูดกับสองพี่น้องซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ฝั่งตรงกันข้ามขณะยื่นยาแคปซูลสีแดงให้คนละเม็ดจะไม่ได้เสริมรับกับสิ่งที่ตัวเองว่าไว้เลยก็ตาม
“ยาเม็ดสีแดง...จะพาเธอไปสู่ดินแดนมหัศจรรย์ และฉันจะแสดงให้เธอเห็นว่าโพรงกระต่ายนั้นลึกแค่ไหน”
รินิหัวเราะขบขันทั้งจากบทพูดที่ริกิถอดมาจากเรื่องเดอะ เมทริกซ์ และจากความบังเอิญจนน่าตกใจที่เธอเองก็นึกถึงโพรงกระต่ายตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาในบ้าน ซึ่งก็ย่อมแน่นอนว่าโชริ — จิตแพทย์ผู้ซึ่งจริงจังไปกับทุกสิ่งอย่าง — จะไม่เห็นเป็นเรื่องน่าอภิรมย์ไปด้วย ถึงได้โพล่งขัดขึ้นว่า “แน่ใจเหรอว่ามันปลอดภัย?” ด้วยความหงุดหงิดระคนหมั่นไส้ที่มีอยู่เป็นทุนเดิม รินิจึงโยนมันเข้าปากโดยไม่รั้งรอริกิที่จะเอ่ยปากห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว
“โธ่เอ๊ย รินิ ฉันยังไม่ทันได้พูดถึงวิธีการให้เธอฟังเลย แต่ถ้าอย่างนั้นโชริก็รีบๆ กลืนตามไปเลย เพราะวิธีนี้เราทุกคนจะต้องทำด้วยกัน”
“ยังไง?” รินิรับขวดบรั่นดีที่ริกิยื่นให้มาดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง สีหน้าของเธอเหยเกไปเล็กน้อยเพราะรสชาติที่แรงเกินไปหน่อย โดยไม่สนใจสายตาขุ่นเขียวของโชริ ในเมื่อเธอต่างหากคือคนที่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น
“เพราะทุกคนจะเข้าไปในความคิด...ความฝัน...ของเธอ”
หนนี้เป็นทีของโชริให้ได้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“พูดอะไรไร้สาระน่า ริกิ เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้! ถึงต่อให้ยาของเธอจะแรงแค่ไหน หรือพวกเราจะเมาไม่รู้เรื่องด้วยกันหมดยังไง แต่ไม่มีทาง...ฉันย้ำเลยนะว่าไม่มีทางที่ทุกคนจะแบ่งปันความฝันร่วมกันได้! มันไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์อะไรทั้งนั้นมารองรับ เพราะฉะนั้นในทางวิทยาศาสตร์แล้ว ฉันบอกเลยว่าไม่”
และเป็นครั้งแรกในรอบวันที่รินิซึ่งขัดแย้งกับเขามาตลอดจะเห็นพ้องตรงกัน “ฉันก็เห็นด้วยว่าไม่”
“ความฝันของเธอก็เป็นไปไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์ แล้วทำไมถึงอยู่ๆ คิดว่าเรื่องที่ฉันพูดจะเป็นไปไม่ได้ขึ้นมาล่ะรินิ?” ริกิสวนย้อนกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย หาได้ถือสาอะไรกับคำพูดของพวกเขา “โลกเรายังมีเรื่องเหลือเชื่อที่ให้คำตอบไม่ได้อยู่ตั้งมากมาย ฉัน เธอ ซู ยังเคยนั่งดูทไวไลท์โซนแล้วถกกันตั้งบ่อยไม่ใช่หรือไง รินิ? ไม่แน่นะ บางทีอาจเป็นวิทยาศาสตร์เองก็ได้ที่สามารถให้คำตอบเหล่านั้นได้”
“มันคือจินตนาการ ริกิ” โชริยังคงยืนยันความเห็นของตัวเองอยู่อย่างนั้น
ด้วยคร้านที่จะโต้เถียงอะไรอีก เมื่อสิ่งเดียวที่สามารถทำให้คนหัวแข็งที่ปักใจเชื่อแต่ในสิ่งที่ตัวเองเชื่อก็คือการแสดงให้เห็น ริกิเอื้อมไปแย่งขวดบรั่นดีจากโชริที่รับต่อจากรินิมาดื่มตามยาเม็ดที่เพิ่งจะกลืนลงคอไปอึกใหญ่ๆ จากนั้นยื่นมือทั้งสองออกไปข้างหน้าแล้วว่า “ให้ทุกคนจับมือกันเป็นวงกลมแล้วหลับตา ฉันกับโชริจะเฝ้าดูจากวงนอก พยายามไม่เข้าไปก้าวก่าย แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นให้ตามเสียงของฉันมา จำไว้ให้ดีนะ รินิ กุญแจเข้าสู่ความฝันคือต้องจดจำว่าเธอเป็นคนควบคุมมัน ไม่ว่าจะความคิด ความฝัน เธอต้องรู้สึกเป็นอิสระที่จะสำรวจมัน ใจกลางจิตไร้สำนึกจะพยายามบอกความจริงกับเธอ แต่เธอต้องข้ามผ่านอุปสรรคที่จะขัดขวางไม่ให้ไปถึงให้ได้ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร เธอต้องเชื่อว่าตัวเองทำได้”
ขณะที่โชริได้แต่ส่ายหัวกับเรื่องที่เขาคิดว่าเพ้อเจ้อสิ้นดี หากก็ยอมทำตามที่หล่อนว่าแต่โดยดี รินิที่อยู่กึ่งกลางระหว่างนั้น — เอนเอียงไปทางริกิเมื่อที่หล่อนพูดก็ไม่ผิด — ก็พยักหน้าตอบรับ วางมือที่เริ่มจะชื้นไปด้วยเหงื่อทั้งที่ยังไม่ทันทำอะไรลงบนฝ่ามือที่หงายขึ้นของพวกเขาทั้งคู่
“ฉันทำได้”
“ดีมาก เอาล่ะ งั้นหลับตาได้”
มันไม่ใช่อาการหลอนประสาท เคลิ้มฝัน ที่ทำให้รินิมองเห็นภาพเป็นสีสันฉูดฉาดเหมือนอย่างการสูบแอลเอสดี ว่ากันแล้วมันไม่มีอะไรที่ชวนให้เธอรู้สึกสับสนมึนงงราวกับหลุดเข้ามายังดินแดนพิศวงด้วยซ้ำไป เมื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้ารินิซึ่งหลับตาลงในโลกความเป็นจริง ก่อนลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในโลกแห่งความฝัน — หรือจิตไร้สำนึกตามแต่ที่ริกิจะเรียก — ก็คือห้องหนังสือของเอสเคปรูมเหมือนกับในความฝันของคืนที่สิบ ความฝันที่เร้นเรียกความปรารถนาที่ซุกซ่อนอยู่ต่อไทโช อิวาซากิออกมาเป็นครั้งแรกจากสัมผัสและถ้อยคำที่เขากระซิบว่า
“แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกัน”
“แต่...ฉันต้องทำยังไง?”
เป็นเสียงนำทางของริกิที่ตอบกลับมาว่า “ตามหากุญแจ” เพื่อชี้แนะเธอ
ภายในห้องกว้างซึ่งอัดแอไปด้วยชั้นหนังสือสูงจรดเพดานกับชั้นเต็มเอี๊ยดที่เคยแน่นขนัดไปด้วยผู้คนกับเสียงเจื้อยแจ้วเมื่อต่างต้องช่วยกันไขปริศนาหาทางออก ขณะนี้มีแค่ตัวเธอลำพังกับความเชียบงันที่ลอยวนอยู่ทั่วชั้นบรรยากาศ ไม่มีแม้แต่เงาร่างของริกิหรือว่าโชริให้เธอได้รู้สึกวางใจ แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง รินิก็รู้สึกถึงการมีอยู่ของพวกเขาในความฝันที่แบ่งปันกันอยู่นี้ แต่รินิก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใครอยู่แล้ว เมื่อเธอจดจำตำแหน่งของหนังสือเล่มนั้นที่ซ่อนกุญแจทางออกเอาไว้ในช่องตรงกลางได้ เว้นก็แต่การที่เธอต้องปีนบันไดขึ้นไปหยิบเอาจากชั้นด้านบนเพราะส่วนสูงที่ไม่เอื้ออำนวย ถึงต่อให้จะยื่นมือออกไปจนสุดแล้วก็ตาม
สิ่งที่รินิหยิบออกมาจากช่องตรงกลางก็ยังคงเป็นกุญแจสีเงินปั๊มรูปกระต่ายดอกเดิม แต่สัมผัสที่เย็นเยียบของมันต่างหากที่แตกต่างไปจากเดิม อาจเพราะอย่างนั้น มือของเธอถึงได้สั่นเทาขณะพยายามเสียบกุญแจให้ลงช่อง
“เธอแน่ใจแล้วเหรอว่าอยากไขมันจริงๆ?”
ก่อนถ้อยเสียงที่ดังชัดเจนจากทางด้านหลัง — ไม่เหมือนกับเสียงก้องที่สะท้อนอยู่แค่ในหัวอย่างของริกิ — จะรั้งเรียกเธอให้ขวับมอง เพื่อที่จะได้พบกับร่างเล็กของหญิงสาวผมสั้นที่แสร้งเอียงคอทำท่าฉงนฉงาย ดวงตากลมโตใสแจ๋วจับจ้องอยู่ที่กุญแจในมือเธอ
“เธอแน่ใจจริงๆ เหรอว่าอยากจะรู้คำตอบ?”
ความฉุนกึกแล่นปราดเข้ามาทันทีที่รินิได้เห็นใบหน้าของคนที่เกลียดที่สุดในโลก บนดินแดนส่วนตัวที่หล่อนไม่มีสิทธิ์ย่างก้าวเข้ามาด้วยซ้ำ โดยไม่ปิดบังสีหน้ากับหล่อนที่ยังคงเอ่ยต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน “เธอควรเก็บความต้องการแต่เพียงฝ่ายเดียวกับผู้ชายที่ไม่ควรค่าไว้ดีกว่านะรินิ ในเมื่อเธอเคยพูดเองไม่ใช่เหรอว่าเขาไม่คู่ควรกับเธอ ถึงไม่เคย ไม่คิด ไม่มีวันชอบ แล้วนี่อะไร? แค่เพราะเธอฝันถึงเขาขึ้นมาก็เลยชอบ ไม่สิ...รัก...ผู้ชายพรรค์อย่างนั้นถึงขนาดยอมเสี่ยงทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของตัวเองได้เลยเหรอ? พูดเป็นเล่นน่า ไม่คิดว่ามันแปลกหรือไง รินิ ที่คนอย่างเธอจะยอมเสี่ยงตัวเองเพื่อ...” เมอริน่าเว้นจังหวะเพื่อเน้นย้ำถ้อยคำบาดหูน่ารังเกียจผ่านเสียงที่ลดให้เบาลงราวเสียงกระซิบ ผ่านริมฝีปากที่ฉีกกว้าง ผ่านท่าทางที่โน้มตัวยื่นใบหน้าเข้ามาถึงหล่อนจะยืนห่างออกไป ที่ดูอย่างไรก็เป็นการเย้ยเยาะความฝันเดิมของเธอต่อ... “ไทโชที่เป็นของฉัน”
แต่เมื่อรินิยกแขนขึ้นเงื้อง่า ทำท่าว่าจะพุ่งตัวเข้าหาพร้อมกับกุญแจที่คงจะทิ่มแทงหล่อนให้เจ็บแสบได้เหมือนคำพูดที่กรีดแทงจิตใจเธอ เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นแค่ความฝันที่ไม่ส่งผลกับความเป็นจริงอยู่แล้วไม่ใช่หรอกหรือ? ทว่าทันใดนั้นเอง เถาวัลย์สีดำที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ก็จะพุ่งเข้ามารัดข้อมือและตรึงฝีเท้าของเธอไว้ ปล่อยให้กุญแจที่ถืออยู่ร่วงหล่นลงไปบนพื้น กระเด้งกระดอนไปหาเมอริน่าที่ก้มตัวลงแล้วหยิบมันขึ้นมา และเมื่อหล่อนแหงนเงยใบหน้ากลับขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตากลมโตคู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ส่วนที่เป็นสีขาวก็ถูกเส้นเลือดฝอยสีดำเหมือนกับเถาวัลย์โยงใยเข้ากลืนกิน เฉกเช่นเดียวกับภาพของห้องหนังสือที่อยู่เบื้องหลังหล่อนซึ่งจะถูกความมืดมิดไม่ต่างอะไรจากหลุมดำเข้าแทนที่
“หนึ่งชีวิตแลกกับนับอนันต์ เธอคิดว่ามันคุ้มจริงๆ เหรอ?”
“เพื่อ...ไทโช...ที่เป็นของฉัน” รินิสวนย้อนคำพูดเดียวกันของเมอริน่ากลับไปอย่างยากเย็น ขณะพยายามยื้อยุดกับเถาวัลย์ที่ยิ่งกดลงไปลึกขึ้นราวกับจะกรีดเฉือน แต่ต่อให้แขนขาของเธอจะขาดสะบั้น ตราบที่ยังมีร่างกายให้เสือกไส มีปากให้ใช้คาบ รินิก็ต้องได้กุญแจดอกนั้นมา เธอต้องได้ไขประตูบานนี้ออกไปสู่ความจริงอะไรก็ตามที่ถูกเก็บซ่อนอยู่
“ชีวิตนั้นไม่ได้ควรค่า!”
ในจังหวะเดียวกับที่เสียงขาดๆ หายๆ ของริกิจะเรียกสติเธอกลับมาด้วยประโยคที่ว่า
“รินิ...เธอ...ควบคุม...มัน!”
“ฉันเป็นคนควบคุมมัน!” รินิย้ำซ้ำคำพูดของริกิด้วยเสียงแผดตะโกนดังลั่น ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเหมือนกับอะดรีนาลีนเฮือกสุดท้ายหลั่งไหลออกมา ก่อนพุ่งกระโจนเข้าหาร่างที่บิดเบี้ยวเหมือนกับกลิตช์ในคอมพิวเตอร์ซึ่งจะวับหายไปทันทีที่เข้าถึงตัว เสียงโลหะทันได้กระทบพื้นแค่เพียงแกร๊งเดียวเท่านั้น รินิจะรีบฉวยคว้าแล้วหมุนตัวกลับไปไขมันกับช่องประตูด้วยมือไม้ที่ยังคงสั่นเทา ทว่าไม่ใช่กับเจตนาอันแน่วแน่มั่นคง และก่อนที่ความมืดมิดจะเคลื่อนเข้าใกล้เพื่อดูดกลืนเธอให้เป็นส่วนหนึ่งของมัน บานประตูที่เปิดออกในที่สุดก็จะกระชากร่างของรินิออกมาสู่แสงสว่างที่เจิดจ้า
บนโถงทางเดินของสถานที่ที่เธอแน่ใจว่าเป็น...โรงแรม
รินิไม่ทันได้เสาะสำรวจดูบานประตูสีขาวที่มีอยู่มากมายเหล่านั้นอย่างที่ใจคิด เมื่อเธอที่หันไปมองตรงสุดทางเดินที่ทอดยาวเสียก่อนจะได้เห็นบางอย่าง...บางคน...ยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น
“ฉันต้องทำยังไง?”
รินิไม่รู้ว่าคำถามแผ่วเบาที่หลุดออกจากริมฝีปากนั้นเธอตั้งใจเอ่ยกับใคร ริกิ หรือว่าคนสวมชุดมาสคอสกระต่ายที่เธอจดจ้องมองอยู่อย่างไม่ลดละ ทว่าไม่ยอมขยับฝีก้าวเข้ามาหากันแน่
หากแต่คำตอบที่เธอได้รับกลับไม่ได้มาจากใครที่ว่าเลย หรือไม่บางทีกระต่ายตัวนั้นอาจเป็นสื่อกลางเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหรือเปล่า? เมื่อเป็นอีกครั้งที่ถ้อยเสียงของไทโชจะดังอยู่ข้างใบหู ครานี้ไม่ใช่ด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน แต่เป็นความเร่งเร้าที่มากเสียจนรินิมั่นใจว่าลมหายใจอุ่นร้อนบนผิวหนังนั้นไม่ได้เป็นเพราะเธอคิดไปเอง
“ตามหาฉัน รินิ ฉันอยู่ที่นี่ ไม่ช้าเราจะได้อยู่ด้วยกัน”
กระต่ายตัวนั้นยังคงอยู่ที่เดิม เธอก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่สิ่งที่ยืดยาวออกไปคือโถงทางเดิน กระทั่งร่างของเธอค่อยๆ ลอยขึ้นไปอยู่ในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงจนต้องปาดป่ายมือออกไปเบื้องหน้าที่ไร้ซึ่งสิ่งอื่นใดให้ยึดเกาะ ความมืดมิดหลุดออกมาจากบานประตูของห้องหนังสือที่เปิดกว้างออกแล้วเข้ากลืนกินแสงสว่างจนหมดสิ้น กระทั่งไม่หลงเหลือสิ่งใดอยู่ในแววตาของรินิอีกนอกจากความเวิ้งว้างว่างเปล่า แต่เมื่อเธอกะพริบนัยน์ตาปริบ ภาพเหตุการณ์ตัดสลับไปมาที่เธอปะติดปะต่อไม่ได้ก็ปรากฏอยู่ท่ามกลางวงสีสันนับล้านเหมือนกับฟองสบู่ มันไม่ใช่ภาพความหลังทั้งชีวิตที่ย้อนกลับมาเมื่อถึงวาระสุดท้าย เพราะทุกสิ่งที่รินิได้เห็นผ่านดวงตาที่เปิดกว้างและไม่ได้มัวพร่านั้นไม่มีอะไรที่เธอพูดได้ว่า ‘คุ้นเคย’ เลยแม้แต่อย่างเดียว
อาจยกเว้นก็แต่ผู้ชายคนเดียวในนั้นอย่างไทโชที่กำลังก้มหน้ามองดูอะไรสักอย่าง รินิไม่จำเป็นต้องรั้งรอคอยคำตอบเนิ่นนานนักจากภาพที่ตัดสลับไปเป็นหญิงสาวบนเตียงผ่าตัด
หญิงสาวที่มีใบหน้าเหมือนกับเธอไม่มีผิดเพี้ยน!
ต่างกันก็ตรงที่เส้นผมของเธอคนนั้นเป็นสีเข้มจัด ส่วนดวงตาเป็นสีแดงก่ำที่ถูกทับถมด้วยเส้นเลือดสีดำราวกับเถาวัลย์ที่แตกกิ่งก้านออกไปอย่างที่ได้เห็นจากเมอริน่า ซึ่งจะค่อยๆ ขยับมาหาตัวเองอีกคน
ครั้นเธอคนนั้นฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันสีขาวที่เป็นระเบียบให้แล้ว รินิก็ลอยละล่องออกไปในอวกาศอันไกลโพ้นโดยไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรย
รินิรับรู้ได้ว่าขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายจัดแล้วก็จากแสงแดดโรยราที่ลอดผ่านช่องว่างของผ้าม่านซึ่งไหวพะเยิบไปตามแรงลม เพราะห้องนอนของเธอไม่มีทั้งนาฬิกาติดผนัง ตั้งโต๊ะ หรือมือถือที่ควานไขว่จากใต้หมอนไม่พบ รินิจึงไม่สามารถชี้ชัดช่วงเวลาที่แน่นอนลงไปได้ ทว่าสิ่งที่แน่ชัดคืออาการปวดหัวตุบในตอนที่ยันตัวเองลุกขึ้นนั่งอยู่อีกพักก่อนลุกไปเปิดประตูห้อง ดูท่าว่าอาการตกค้างจากฤทธิ์ยาที่ริกิบอกว่าเข้มข้นกว่าแอลเอสดีจะเป็นความจริง
“ไชโย! รินิ เลอวิตต์ยังไม่ตาย!” ครั้นได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดจานบานประตู ซูก็เงยหน้าขึ้นจากตำราเรียนที่อ่านอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นเงียบๆ แต่เสียงตะโกนของหล่อนนั้นไม่ใกล้เคียงกับคำว่าเงียบเลยจนรินิต้องนิ่วหน้า “เธอหลับไปตั้งสองวันเต็มๆ เลยนะรู้ไหม! ให้ตายสิ รินิ! คิดบ้าอะไรอยู่ถึงได้เล่นยาเถื่อนจากยัยริกิแบบนั้น! โชคดีไปนะที่ครั้งนี้เธอไม่เป็นไร แต่ครั้งหน้าเธออาจไม่ได้โชคดีแบบนี้ก็ได้ แต่ฉันก็สวดยัยริกิไปยกใหญ่แล้วล่ะนะ ถึงแน่นอนว่ายัยนั่นจะทำเป็นหูทวนลม...”
รินิไม่สนใจฟังคำพล่ามพูดที่คงจะเหยียดยาวต่อไปไม่รู้จบของเพื่อนร่วมบ้านอีกคนเมื่อทะลุขึ้นกลางป้องว่า “สองวันเหรอ?” แล้วเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำออกมาดื่มอั้กๆ
“ก็ใช่น่ะสิ! ฉันกลับบ้านมาเมื่อวานแล้วตกอกตกใจแทบแย่ที่เห็นสภาพห้องนั่งเล่นของเราเหมือนกับห้องทำพิธีของพวกลัทธิน่าขนลุกยังไงยังงั้น! ริกิบอกว่าเธอจะไม่เป็นไร แค่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานนิดหน่อยเพราะนี่เป็นครั้งแรก ฉันที่เป็นห่วงกลัวเธอจะตายเลยตัดสินใจโดดร่มไม่ไปรงไปเรียนมันแล้ว! กะว่าถ้าตอนเย็นเธอยังไม่ตื่นอีกฉันจะเรียกรถพยาบาลมารับ แล้วเรียกตำรวจมาจับยัยริกิด้วยเอ้า!”
ถ้าเป็นเวลาปกติ รินิคงเห็นเป็นเรื่องตลกแล้วหัวเราะขำไปกับนิสัยเล่นใหญ่ช่างตื่นตูมของหล่อนไปแล้ว แต่ไม่ใช่สำหรับวันที่สติยังคงมึนงงไม่เต็มร้อยเพราะอาการปวดตุบที่จะมากหรือน้อยก็ไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์เสียจนต้องเดินดุ่มไปคุ้ยยาแก้ปวดในห้องน้ำมากรอกปากไปสองเม็ด แล้วกลับมานอนขดตัวห่มผ้าผืนบางบนโซฟาให้ซูต้องระเห็จลงไปนั่งบนพื้น ปากก็บ่นพึมพำโน่นนี่นั่นไปเรื่อยเปื่อยอย่างกับบทสวดตามประสาคนช่างสอนที่รินิได้แต่ปล่อยให้มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
แต่รินิก็ไม่ทันได้จมดิ่งกลับลงไปในห้วงภวังค์ล้ำลึกอีกครั้ง เมื่อเสียงเปิดประตูปึงปังตามด้วยแรงเขย่ากับเสียงตะโกนเรียกชื่อจากเพื่อนร่วมบ้านอีกคนที่ซูเปลี่ยนเป้าหมายโจมตีไปหาหล่อนแล้วจะกระชากลากเธอให้เปลี่ยนมาลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าของรินิยับยู่ กระนั้นก็ยังไม่มีแก่ใจที่จะอ้าปากหรือลืมนัยน์ตาเปิด ตรงกันข้ามกับเพื่อนร่วมบ้านทั้งสองที่อ้าปากเถียงกันฉอดๆ อยู่อีกพัก ก่อนที่ซูจะถูกไล่กลับเข้าห้องนอนของตัวเองไป
เมื่อนั้นริกิจึงเปลี่ยนเป้าหมายกลับมาหาเธอ เขย่าแขนปลุกให้ลืมตาตื่นพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า
“ฉันเจอโรงแรมนั้นแล้วนะ!”
ริกิดึงเธอที่ยังคงสับสนกับชีวิตอยู่ลงมานั่งบนพื้นหน้าโต๊ะเตี้ยด้วยกัน จากนั้นเปิดแล็ปท็อปของตัวเองที่วางทิ้งไว้มาพิมพ์ชื่อเว็บไซต์หนึ่งลงไป ภาพของโรงแรมหรูหรากับเทือกเขาปกคลุมหิมะลูกมหึมาที่ตั้งตระหง่านเป็นฉากหลังไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่าคุ้นตารินิเลยแม้แต่น้อย กระทั่งตอนที่ได้เห็นภาพถ่ายของโถงทางเดินที่ปูลาดด้วยผืนพรมสีเขียวเข้มกับวอลเปเปอร์ลายดอกไม้สีขาวสไตล์วินเทจ ลมหายใจของรินิก็คล้ายว่าจะสะดุดลงไป
“ใช่ใช่ไหม รินิ?” น้ำเสียงของริกิแผ่วกระซิบ “ตอนแรกฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าฉากในความฝันของเธอมันมีอยู่จริงหรือเปล่า แต่ฉันก็ลองสเกตช์รูปโถงทางเดินที่เห็นแล้วเอาไปถามเพื่อนที่มีญาติเป็นนักเขียนสายท่องเที่ยวดู ตอนที่ฉันเห็นรูปโรงแรมนี้เป็นครั้งแรกก็เล่นเอาช็อกเหมือนกับเธอนี่แหละ”
รินิเลื่อนเมาส์ลงไปที่ด้านล่างสุดของหน้าเพจ “โรงแรมซิลเวอร์มูน เทลลูไรด์” เธอพึมพำก่อนหันไปจ้องสบกับริกิด้วยสีหน้าแสดงความมุ่งมั่น เฉกเช่นเดียวกับน้ำเสียงอันหนักแน่นว่า “ฉันจะไปที่นั่น”
“เรื่องนั้นฉันก็รู้อยู่แล้วแหละ เพราะอย่างนั้นฉันก็เลยไปชวนไทโช...ที่ก็แน่นอนว่าเมอริน่าต้องไปด้วยในเมื่อสองคนนั้นเป็นคนรักกัน ไม่ๆ ฟังฉันก่อนรินิ อย่าเพิ่งทำหน้าเมื่อยแบบนั้น ต่อให้เขาจะไม่ใช่ไทโชคนเดียวกับในฝันของเธอก็จริง แต่เราที่ก็ยังไม่รู้อะไรเลยไม่คิดว่าควรจะพาเขาไปด้วยเหรอ?”
“พาเขาไปพลอดรักกับแฟนสิไม่ว่า”
“เผื่อว่าเขาอาจเป็นกุญแจสำคัญ เป็นเปลือกให้กับไทโชตัวจริงของเธอ หรือไม่เราก็อาจต้องกำจัดเขาทิ้งเพราะโลกนี้จะมีไทโชสองคนไม่ได้ อะไรแบบนั้นไง ไทโชของโลกนี้อาจน่ารักนิสัยดีก็จริงนะ แต่ฉันก็ไม่ได้ผูกพันอะไรกับเขามากเท่าเพื่อนรักอย่างเธอหรอกจ้ะ รินิ”
คำพูดสมอ้างของหล่อนไม่ได้ทำให้ ‘เพื่อนรัก’ รู้สึกปลาบปลื้มตามไปด้วยเลยนอกจากแสยง
“ที่พักนี้เธอเลิกเข้าโบสถ์เพราะไปนับถือลัทธิใหม่อีกแล้วสินะริกิ คราวนี้บูชาอะไรแผลงๆ เข้าล่ะ ถึงได้พูดเรื่องน่ากลัวอย่างการฆ่าคนแบบนั้น?”
ทว่าหล่อนก็ไม่ได้ตอบคำถามนั้นนอกจากเปล่งเสียงหัวเราะขบขัน เปลี่ยนหัวเรื่องไปหาใครอีกคนที่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ช่วยคลายอารมณ์ขุ่นข้องให้รินิเลยอย่าง “อ้อ โชริก็จะไปด้วยนะ”
“โอ๊ย! ริกิ! เธอไปสรรหาคณะเดินทางยอดแย่มาจากไหนเนี่ย!”
“น่าๆ ช่างเรื่องอื่นแล้วมาคุยเรื่องวันนั้นกันดีกว่า”
“เอางั้นก็ได้”
เมื่อนั้นพวกเธอทั้งสองก็เปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากันแทน
“แรกสุดฉันก็เห็นภาพทุกอย่างเหมือนกับที่เธอเห็นนั่นแหละ รินิ แต่หลังจากที่เธอได้กุญแจมาแล้ว ฉันกับโชริก็ถูกเถาวัลย์บ้านั่นดึงออกไปจากที่ตรงนั้น เหมือนกับว่ามันไม่อยากให้เราเข้าไปช่วยเธอ เหมือนกับว่ามันไม่อยากให้เธอเปิดประตูออกไป ฉันคิดว่าจิตไร้สำนึกพยายามจะบอกความจริงกับเธอ แต่จิตใต้สำนึกพยายามจะหยุดเธอ และแสดงมันออกมาด้วยรูปลักษณ์ของคนที่เธอเกลียดเพื่อยั่วยุ”
“ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า...” รินิเว้นจังหวะครุ่นคิด ไม่มีแม้สักเสี้ยวความคิดที่อยากเอ่ยชื่อของหล่อน — คนที่เธอเกลียด — ออกมา “หนึ่งชีวิตแลกกับนับอนันต์ ชีวิตเดียวนั้นไม่ได้ควรค่า”
ถึงทีของริกิได้เป็นฝ่ายครวญคิด ไม่นานหลังจากนั้นก็จะถอนหายใจออกมา
“พอฟังเธอเล่าแล้วฉันก็ยิ่งมั่นใจว่าไทโชคนนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดา ไม่แน่ว่าเขาอาจเป็นปีศาจจำแลงที่หลอกให้เธอทำบางอย่างเพื่อที่จะได้มายังโลกใบนี้ของเราก็ได้ แต่ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงของเขาจะเป็นอะไร ฉันก็รู้ว่าเธอจะไม่มีวันหยุดตามหาเขาต่อให้ต้องเสี่ยงอันตรายแค่ไหน” มือของหล่อนเอื้อมมาจับกับของรินิแล้วตบที่หลังมือเบาๆ เป็นการปลอบโยน “ไหนๆ เราก็ร่วมหัวจมท้ายกันมาตั้งขนาดนี้แล้ว ฉันเองก็ทนค้างคาใจไม่ไหวเหมือนกันนั่นแหละ”
“ถ้าเป็นอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นพูดจริงๆ ทุกคนบนโลกของเราอาจต้องตายกันหมดเพราะฉันดึงดันเพื่อผู้ชายคนเดียวก็ได้นะ”
“งั้นก็ฝากบอกให้เขาไว้ชีวิตฉันในฐานะเพื่อนสนิทของเธอทีละกันนะ” ริกิยังมีอารมณ์เล่นมุกตลกอยู่ได้แม้จะอย่างแห้งแล้งเต็มที เรียกสายตาค้อนควักจากรินิที่ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องขบขันไปหนึ่งดอก
“ทีนี้นะ พอตอนที่เธอเปิดประตูออกไปจากห้อง ก็กลับเหลือแค่ตัวฉันคนเดียวบนโถงทางเดินนั่น ไม่มีทั้งเธอ ไม่มีทั้งโชริ ไม่ว่าฉันจะตะโกนร้องเรียกหาหรือพยายามเปิดประตูบานไหนๆ ก็ไม่ออก แต่ฉันก็หาทางออกไปไม่ได้เหมือนกัน เหมือนกับว่าฉันติดแหง็กอยู่ที่โถงทางเดินนั้น แล้วพอฉันตัดสินใจว่าจะกลับไปตั้งหลักในเอสเคปรูมอีกครั้ง ตอนนั้นแหละฉันถึงได้สะดุ้งตื่น!”
รินิตั้งใจฟังเรื่องราวที่แตกต่างจากที่เธอได้เผชิญด้วยความสนใจใคร่รู้
“ตอนที่ตื่นขึ้นมาฉันก็เห็นโชรินั่งจ้องหน้าฉันอยู่ พอฉันถามเขาว่าไปเจออะไรมาเขาก็ไม่ยอมตอบ บอกแค่ว่าเราต้องไปที่โรงแรมนั่น ไม่สิ! ที่จริงโชริพูดเลยต่างหากว่าเธอต้องไปที่โรงแรมนั่น แต่หลังจากที่เขาช่วยอุ้มเธอกลับไปนอนที่ห้องแล้วก็ผลุนผลันกลับไปเลย ไม่ทันให้ฉันได้ถามอะไรต่อสักคำ”
“หรือว่าโชริจะเจออะไรในจิตใต้สำนึกของฉัน?”
“มีแค่เจ้าตัวเท่านั้นแหละที่ให้คำตอบได้” ริกิยักไหล่ไหว ใช่ว่าเป็นเพราะหล่อนไม่สนใจ แค่ไม่อยากคาดเดาเรื่องที่ให้ตายก็คงไม่มีวันทายถูก “ว่าแต่เธอเถอะรินิ ตอนที่ออกไปตรงโถงทางเดินนั่นแล้วเธอเจออะไรงั้นเหรอ?”
“ไทโชบอกว่าให้ตามหาเขา บอกว่าเขาอยู่ที่นั่น...ที่ที่ตอนนี้ฉันมั่นใจแล้วล่ะว่ามันต้องหมายถึงโรงแรมซิลเวอร์มูน” รินิซึ่งคร้านจะเล่าเหตุการณ์ยาวยืดทั้งหมดตัดสินใจรวบรัดตัดความให้ริกิฟังเพียงเท่านั้น “แล้วเราจะไปกันได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่?”
ริกิหันไปยิ้มกว้างให้กับรินิ
“เธอคงเอาแต่หมกมุ่นกับเรื่องของไทโชจนลืมไปแล้วว่าวิทยาลัยของเรากำลังจะปิดยาวช่วงสุดสัปดาห์นี้เอง”
_______________
_______________
_______________
ความคิดเห็น