คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #51 : CALENDULA REQUIEM ✣ I. Beyond My Wildest Dreams
ที่นี่เปรียบได้กับ ‘ยุคสวยงาม’ ที่ทำให้เด็กสาวจากบ้านนอกไม่ว่าคนไหนย่อมต้องตื่นตาตื่นใจเหมือนอย่างที่พวกเธอทั้งสองกำลังเป็นอยู่ นับตั้งแต่ลงจากรถไฟชั้นหนึ่งที่ทั้งสวยงาม หรูหรา และแสนจะสุขสบายยิ่งกว่ากระท่อมหลังเล็ก ห้องใต้หลังคา สถานรับเลี้ยงเด็ก — หรือที่พวกเธอแอบเรียกกันลับหลังว่าสถานแห่งความทรมาน — หลังการเดินทางขึ้นเหนือที่กินเวลายาวนานถึงสี่วันสามคืน ด้วยความเพลิดเพลินบันเทิงใจที่ทำให้เด็กสาวทั้งสองต่างพากันโอดครวญเมื่อต้องละจาก หากเมื่อได้เห็นความโอ่อ่าภายในสถานีรถไฟกลางขนาดใหญ่ที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนขวักไขว่ ก่อนขึ้นมานั่งอยู่บนพาหนะคันโตกับสารถีวัยชราท่าทางใจดีที่ถึงขนาดให้เกียรติเรียกพวกเธอว่า ‘คุณหนู’ พลางทอดมองดูแสงสีส้มนวลตาจากโคมไฟน้อยใหญ่ที่ส่องสว่างให้กับตัวเมืองในยามค่ำคืนซึ่งยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา แม้ว่าสายฝนจะเริ่มลงเม็ดเปาะแปะลงมา ความเสียดายก็เปลี่ยนกลายเป็นความตื่นเต้นระคนด้วยความยินดี
ใช้เวลาไม่นานนัก พาหนะก็เคลื่อนพ้นจากความอึกทึกออกมายังเส้นทางลดเลี้ยวเคี้ยวคดที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากป่ารกเรื้อมืดมิด รวมถึงความรุนแรงของหยดน้ำที่เกาะอยู่นอกหน้าต่างกับไอเย็นที่ลอดผ่านเข้ามา ให้เด็กสาวทั้งสองต้องเขยิบเข้ามานั่งชิดติดกัน กอบกุมมือเพื่อช่วยถ่ายทอดความอบอุ่นให้แก่กัน ถึงแม้ว่าอีกคนหนึ่งจะกำลังสวมถุงมือผ้าสีดำอยู่ก็ตาม
ก่อนอาคารสิ่งก่อสร้างสองชั้นหลังมหึมากับดวงไฟสีส้มที่ลอดผ่านบานหน้าต่างเป็นหย่อมยวงจะปรากฏขึ้นในแววตา เมื่อพ้นจากรั้วเหล็กสีดำอันเป็นปราการกั้นทางเข้าออกสองบาน ผ่านไม้ยืนต้นโกร๋นเกร๋นสูงตระหง่านที่ปลูกอยู่ตลอดสองข้างทางที่ยืดยาวไปอีกหน่อย กับพุ่มสีเขียวขจีที่ได้รับการตัดแต่งดูแลเป็นอย่างดี วนรอบรูปปั้นสิงโตที่สลักเสลาจากหินอ่อนกับลานน้ำพุที่ตั้งอยู่กลางสวนหย่อมวงเวียนเข้ามา ทั้งอย่างนั้นพวกเธอก็ไม่มีโอกาสได้แหงนคอมองดูความยิ่งใหญ่อลังการของคฤหาสน์เก่าคร่ำคร่าทว่าน่าเกรงขามจากภายนอกกันให้ชัดเจน เพราะทันทีที่รถมาจอดเทียบอยู่หน้าเชิงบันไดเจ็ดขั้นขึ้นไปยังเฉลียงซึ่งมีกำบังยื่นออกมาช่วยให้ไม่ต้องเปียกปอนแล้ว หัวหน้าแม่บ้านวัยกลางคนตัวสูงใหญ่ใบหน้าตอบที่ดูเคร่งขรึมจนน่ากลัวซึ่งยืนรอต้อนรับอยู่ก็จะสั่งคนรับใช้ชายที่ยืนขนาบข้างให้ช่วยกันยกสัมภาระของพวกเธอขึ้นไปเก็บ ครั้นตวัดดวงตาเฉี่ยวคมในเบ้าลึกย่นเหมือนกับเหยี่ยวมาหาพวกเธอที่ได้แต่ยืนตัวเกร็งรอ หล่อนก็จะเพียงเอ่ยบอกให้ตามเข้าไปข้างในด้วยน้ำเสียงที่ติดจะห้วนดุ
เข้าไปสู่ห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ที่มีบันไดทอดยาวตรงกลางขึ้นไปบนชาลาที่มีทางแยกออกไปยังปีกซ้ายขวา ส่วนที่ตรงกลางมีภาพวาดสีน้ำมันในกรอบสีทองแกะสลักเป็นลวดลายวิจิตรชดช้อยขนาดใหญ่ของชายผมสีทองที่มีส่วนผสมแบบชาวตะวันตกกับตะวันออก ขับใบหน้าหล่อเหลาให้ดูทั้งสง่างามและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน ข้างกันนั้นคือหญิงสาวชาวตะวันออกที่สะสวยมาก ผมสีดำสนิทของหล่อนม้วนตลบขึ้นไป ตัดกับผิวสีขาวจัดซึ่งมองเห็นจากไหล่ที่เปิดเปลือยของชุดราตรีสีแดงเลือดนก ราวกับภาพวาดของเทพเจ้าและเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน
ก่อนหัวหน้าแม่บ้านที่แนะนำตัวว่าชื่อคุณคุโรยานางิจะช่วยตอบคำถามผ่านสีหน้าที่ไม่มีใครกล้าเอ่ย ด้วยการบอกว่าท่านทั้งสองก็คือเจ้าบ้านอิวาซากิที่รับอุปการะเด็กกำพร้าอย่างพวกเธอ แต่เนื่องจากว่ามีธุระด่วนเข้ามากะทันหันเลยจำเป็นต้องออกเดินทางไกลกันปุบปับ ไม่มีกำหนดแน่ชัดว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ส่วนสมาชิกคนอื่นในบ้านไปเข้าร่วมงานเลี้ยงนอกเมือง เหลือก็แต่คุณหนูอาซึฮะที่เข้านอนเพราะอาการป่วยไปแล้วตั้งแต่หัววัน รวมถึงความล่าช้าหนึ่งวันของรถไฟที่พวกเธอโดยสารมาด้วยก็มีส่วน ด้วยเหตุฉะนี้จึงมีแค่หล่อนที่อยู่รอต้อนรับสมาชิกใหม่ของคฤหาสน์ ‘ชูเอ็น’ ในยามวิกาล
เป็นอีกครั้งที่พวกเธอไม่มีโอกาสได้เสาะสำรวจอะไรมากไปกว่าแค่กวาดตาดูคร่าวๆ เหมือนกับหูที่ก็รับฟังคำบอกเล่าเกี่ยวกับตัวคฤหาสน์คร่าวๆ จากคุณคุโรยานางิที่เดินนำขึ้นบันไดซึ่งปูลาดด้วยพรมสีแดงตลอดเส้นทางเดินบนระเบียงยาวไปยังห้องพักที่อยู่บนชั้นสอง ผ่านเส้นทางลดเลี้ยวเคี้ยวคดชวนให้เวียนหัว ไม่ต่างจากตอนที่พวกเธอนั่งรถเข้ามายังคฤหาสน์
เด็กสาวทั้งสองคนได้ห้องนอนเดี่ยวที่ปีกตึกตะวันออกเหมือนกันแต่อยู่ห่างกันคนละมุม ความตื่นเต้นระคนยินดีพลันหวนกลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อคิดว่าต่อไปนี้พวกเธอจะไม่ต้องทนเบียดเสียดแออัดอยู่ด้วยกันถึงกว่าหกชีวิตในห้องนอนแคบๆ เพดานต่ำๆ กับเตียงสองชั้นที่ชวนให้อึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออกอีกต่อไป
คุณคุโรยานางิบอกให้พวกเธอที่เดินทางกันมาไกลเข้าไปอาบน้ำอาบท่า นอนหลับพักผ่อนกันให้เต็มที่เสียก่อนสำหรับค่ำคืนนี้ เมื่อพวกเธอยังมีเวลาอีกมากมายที่นี่ อย่างที่แน่ใจได้ว่าหล่อนเอ่ยประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราวกับเย้ยหยัน ด้วยดวงตาที่เป็นประกายวาววับยามจับจ้องมองขึ้นมาวูบหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ขนบนหลังคอของพวกเธอลุกชัน ก่อนที่จะกลับมาเป็นปกติเมื่อแจ้งว่าวันพรุ่งนี้ พวกเธอจะได้แนะนำตัวให้กับสมาชิกคนอื่นที่เหลือซึ่งจะอยู่กันพร้อมหน้าในมื้ออาหารเช้าเวลาแปดโมง
∞
โทคิวะ โทคิเนะได้แต่นอนพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาอยู่บนเตียงหลังใหญ่ ฟังเสียงสายฝนที่ยังคงไม่ทอนความแรงลงไปเลยแม้เวลาจะผ่านมานานหลายชั่วโมงแล้วอย่างกับฟ้ารั่ว สลับกับเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าครืนครั่นที่จะยิ่งทำให้นอนไม่หลับเข้าไปใหญ่ กระทั่งเด็กสาวที่ได้แต่พลิกตัวตะแคงข้างไปมาจะเปลี่ยนท่าเป็นนอนหงาย นัยน์ตาที่ลืมโพลงจดจ้องอยู่บนเพดานสูงในความมืดมิดที่มีเพียงแสงเรืองรองของดวงจันทร์สาดทอเข้ามา ทว่ากลับเป็นความคิดที่ลอยละล่องไปไกลยังจุดเริ่มต้น...ซึ่งเธอปรารถนาว่าอยากจะลืมเลือน
นับตั้งแต่จำความได้ หรือไม่แน่ว่ามันอาจเริ่มต้นมาตั้งแต่วินาทีที่เธอถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้เลยก็ได้ โทคิเนะก็ได้สัมผัสกับ ‘ความตาย’ มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
คนแรกอาจเป็นพ่อที่โทคิเนะในวัยแบเบาะจดจำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะใบหน้า น้ำเสียง หรือความรักความอบอุ่นใดๆ แม่บอกว่าพ่อถูกโจรปล้นแล้วฆ่าในตอนที่เข้าเมืองเพื่อไปซื้อหยูกยามารักษาเธอ ตามด้วยตากับยายที่แม่พาเธอย้ายไปอยู่ด้วย แม้แต่ญาติสนิทหรือเพื่อนบ้านที่แค่อยู่ในละแวกเดียวกันก็ไม่ว่างเว้น หากแม่ก็ยังคงพาเธอระหกระเหินย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ อาจด้วยความหวังถึงสิ่งที่ดีกว่า เพื่อลูกสาวผู้เป็นที่รักเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใด...หรือในที่นี้ก็คือชีวิตของใคร
จนเมื่อโทคิเนะอายุได้สิบสอง แม่ที่เริ่มเหนื่อยล้าและรู้สึกผิดกับชีวิตแบบนี้ก็ตัดสินใจพาเธอปลีกวิเวกไปอยู่ที่กระท่อมหลังเล็กในหมู่บ้านชนบทอันห่างไกล แม้ความเป็นอยู่ที่นั่นจะห่างไกลจากคำว่าสุขสบาย แต่อย่างน้อยโทคิเนะก็ไม่ต้องอยู่กับความหวาดระแวงว่าจะมีใครตายเพราะตัวเองอีก และนั่นก็อาจเป็นความสุขที่สุดเท่าที่เด็กหญิงซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นตัวกาลกิณี — เป็นปีศาจ — มาตลอดจะมีได้
ก่อนที่โทคิเนะจะได้ตระหนักรู้ถึงขั้วหัวใจว่าความสุขคือสิ่งที่ไม่จีรัง เมื่อเพียงแค่สองปีหลังจากนั้น แม่ของเธอก็จะมาด่วนจากไปอีกคนเพราะโรคระบาดที่คร่าชีวิตคนนับร้อยในหมู่บ้านนี้ไปจนเกือบสิ้น ถึงสาเหตุจะไม่ได้มาจากเธอ แต่การที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เป็นหนึ่งในคนที่รอดชีวิตมาได้นั้นไม่ใช่เพราะเธอขโมยอายุขัยของคนรอบข้างมาหรอกหรือ โทคิเนะได้แต่นึกโทษตัวเองแบบนั้นด้วยความขมขื่น
เหมือนกับที่ ‘ความตาย’ ก็ได้หวนกลับมาเยี่ยมเยือนเพื่อนเก่าอีกครั้ง ยังสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทั้งสามแห่งที่โทคิเนะถูกส่งตัวไป พวกเด็กๆ เริ่มต้นเรียกขานเธอด้วยความหวาดกลัวและรังเกียจว่าเป็น ‘เทพเจ้าแห่งความตาย’ ผู้หมายจะพรากทุกชีวิตที่ได้แตะต้อง แล้วนับตั้งแต่นั้น โทคิเนะก็เริ่มต้นสวมถุงมือเพื่อที่จะได้ไม่ต้องแตะต้องใครอีก แล้วปลีกตัวออกจากสังคมที่ย่อมไม่มีมนุษย์คนไหนอยากปฏิสัมพันธ์กับเทพเจ้าแห่งความตายในยามที่ยังมีลมหายใจ
เว้นก็แต่เด็กสาวในสถานรับเลี้ยงเด็กพร้าแห่งที่สี่สุดท้ายที่มีชื่อว่าทาเคียว ริไอ คนที่โทคิเนะเคยคิดว่าเป็นนางฟ้าเพราะดวงตากลมโต ผิวสีขาวอมชมพูตัดกับเส้นผมสีน้ำตาลเข้มจัดและริมฝีปากสีแดงธรรมชาติ ขับความงามบนใบหน้าจิ้มลิ้มให้เหมือนกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบแสนสวยราคาแพง บางทีชีวิตของหล่อนก็อาจจะเปราะบางแบบนั้น ทั้งจากพ่อแม่ที่เสียไปเพราะอุบัติเหตุจนเด็กสาวต้องถูกส่งไปอยู่กับญาติใจร้ายที่สนใจแต่มรดกแล้วปล่อยให้อดมื้อกินมื้อ บังคับให้นอนอยู่ในห้องใต้หลังคาแคบๆ ไม่ต่างอะไรจากรูหนูอยู่เป็นปีกว่าจะหลุดพ้นมายังสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้ และจากโรคร้ายที่หมอคนไหนก็วินิจฉัยไม่ได้ เพราะอย่างนั้นก็ย่อมไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ ใช่ว่าริไอป่วยกระเสาะกระแสะหรือว่าอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงจนต้องนอนแซ่วติดเตียง สุขพลานามัยของหล่อนยังสมบูรณ์ดี นิสัยใจคอก็ร่าเริงดี ยามปกติก็เหมือนกับเด็กสาวธรรมดาทั่วไป แค่ไม่รู้ว่าอาการป่วยไม่รู้ที่มานี้จะกำเริบขึ้นเมื่อไหร่ ตื่นมาเช้าวันหนึ่งก็จะรู้สึกเจ็บปวดทรมานไปทั่วสรรพางค์กายจนลุกขึ้นทำอะไรไม่ได้ ไม่แม้แต่จะคิดอะไรได้เสียด้วยซ้ำ บ่อยครั้งที่นานเป็นวัน บางครั้งก็เป็นสัปดาห์
แต่ไม่ได้เป็นเพราะริไอปรารถนาที่จะตายถึงได้เข้าหาเทพเจ้าแห่งความตายโดยไม่หวั่นเกรง ในเมื่อความตายคือสิ่งที่หล่อนหวาดกลัวที่สุดในโลกแม้ว่าชีวิตจะทุกข์ทรมานมากแค่ไหน หากเป็นเพราะความกลัวต่อความโดดเดี่ยวลำพังที่ไม่ต่างอะไรจากความตายซึ่งพวกเธอทั้งคู่ต่างก็ได้เผชิญ ณ ที่แห่งนี้ต่างหาก
ดังนั้น เมื่อมีคู่สามีภรรยาจากแดนไกลต้องการรับอุปการะโทคิเนะไปเพียงคนเดียว เธอจึงวิงวอนขอร้องซิสเตอร์ให้ถามว่าพวกเขาจะช่วยรับเพื่อนสนิท...น้องสาว...ของเธอไปด้วยอีกคนจะได้หรือไม่ และโทคิเนะก็ไม่นึกฝันเลยว่าเรื่องราวทุกอย่างจะง่ายดายขนาดนี้เมื่อพวกเขาตอบรับโดยไม่ถามไถ่
ซิสเตอร์คิกิซึ่งอ่อนเยาว์ที่สุดแต่เมตตากับพวกเธอที่สุดในสถานรับเลี้ยงเด็กช่วยขับรถพาไปส่งที่สถานีรถไฟ อวยพรให้พวกเธอได้มีชีวิตที่ดีและเปี่ยมไปด้วยความรักอย่างที่เด็กสาวไร้รักต่างก็เฝ้าปรารถนา ขณะริไอกอดลานางด้วยความอาลัยอาวรณ์พร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำ โทคิเนะซึ่งไม่สามารถแสดงปฏิสัมพันธ์ทางกายกับใครได้ก็จะเพียงผงกศีรษะเอ่ยคำขอบคุณด้วยน้ำตาที่ขังคลอ ก่อนทั้งสองคนจะเริ่มต้นออกเดินทางไปยังที่ที่พวกเธอจะได้เรียกว่า ‘บ้าน’ เริ่มต้นชีวิตใหม่กับครอบครัวใหม่ที่ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตาแม้แต่ในรูปถ่าย ถึงอย่างนั้นพวกเธอก็สามารถสัมผัสถึงความใจกว้างจากคุณและคุณนายอิวาซากิได้
ดวงตาของโทคิเนะเบิกกว้าง ริมฝีปากก็อ้าค้าง ตั้งแต่เปิดประตูเข้ามาในห้องนอน — เหมือนอย่างที่ริไอก็คงเป็น — ที่อาจไม่ได้กว้างขวางใหญ่โตที่สุด แต่ก็สวยงามที่สุดเท่าที่โทคิเนะเคยได้เห็นและเป็นเจ้าของ ผ่านแสงสลัวสีนวลตาจากโคมระย้าตรงกลางห้องที่ห้อยลงมาจากเพดาน วอลเปเปอร์ปิดฝาผนังเป็นสีขาวครีมเรียบหรู แซมด้วยสีม่วงเข้มในผ้าห่ม หมอนเล็ก เครื่องเรือนอย่างโซฟากับชุดเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง รวมถึงผ้าม่านหนาหนักของบานหน้าต่างทรงสูงที่ถูกรวบเข้าหากัน นอกจากนั้นก็ยังมีตู้เสื้อผ้าบานเล็ก กระจกตั้งพื้นแบบเต็มตัว โต๊ะเครื่องแป้ง และโต๊ะวางโคมไฟข้างหัวเตียงทั้งสองด้าน ทว่าสิ่งที่โทคิเนะชอบมากที่สุดในห้องนี้ก็คือหน้าต่างทรงสูงสองบานตรงฝั่งหัวเตียงที่สามารถมองออกไปเห็นบรรยากาศของสวนดอกไม้ด้านหลังคฤหาสน์ได้ น่าเสียดายที่ไม่สามารถมองเห็นฝั่งทะเลได้ แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเมื่อเธออยากไปดูมันเมื่อไหร่ก็ได้ตลอดเวลาที่มีอีกมากมายนับจากนี้มิใช่หรอกหรือ
เสื้อผ้าที่มีอยู่เพียงน้อยชิ้นถูกนำออกจากกระเป๋าเดินทางมาแขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าแล้วตอนที่เธอขึ้นมาถึง รวมอยู่กับชุดกระโปรงตัวสวยมากมายที่โทคิเนะแทบไม่กล้าแตะต้องแม้รู้ว่าพวกเขาจัดเตรียมไว้ให้ ทั้งจากขนาดที่เมื่อนำมาลองทาบอยู่หน้ากระจกก็ล้วนแล้วแต่พอดีตัว ไหนจะโทนสีดำที่เธอชอบใส่ เหมือนกับข้าวของสีม่วงที่ก็เป็นสีโปรดของเธอ ความคิดที่ว่าคุณและคุณนายอิวาซากินั้นช่างเมตตาและเอาใจใส่เรียกรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า พร้อมกับความคิดที่ว่าบางทีเธอกับริไออาจจะได้พบกับความสุขที่แท้จริง ณ คฤหาสน์แห่งนี้ก็ได้
เป็นเพราะกระแสความเย็นที่ไหลผ่านเข้ามาทำให้โทคิเนะที่ตั้งใจว่าจะเข้านอนเลยในทีแรกเปลี่ยนใจเข้าไปอาบน้ำอุ่นก่อนเพื่อขจัดความเมื่อยล้าและหนาวเหน็บแทน ทว่าความอุ่นสบายไม่ช่วยให้โทคิเนะข่มตานอนหลับได้อย่างที่ตั้งใจ หลังจากความพยายามที่ไม่เป็นผลและอาจทำให้เธอสะโหลสะเหลในตอนเช้าซึ่งโทคิเนะไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น ถึงไม่รู้ว่าจะเป็นการยุ่มย่ามทั้งที่เธอเพิ่งจะมาถึงหรือเปล่า แต่โทคิเนะก็ตัดสินใจผุดลุกขึ้นจากเตียง พร้อมกับความคิดที่ว่าจะลองลงไปหายานอนหลับหรือไม่ก็นมอุ่นๆ ดื่มสักแก้ว
เวลาเกือบตีสองที่มองเห็นจากเข็มของนาฬิกาทองเหลืองติดผนังฝั่งตรงกันข้ามกับเตียงนอน ทำให้โทคิเนะไม่คิดว่าเธอจำเป็นต้องสวมถุงมือเพื่อหลีกเลี่ยงการแตะเนื้อต้องตัวใคร มันอาจฟังดูเป็นเรื่องเหลวไหล แต่การที่ทุกคนในสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งสุดท้ายยังอยู่รอดปลอดภัยมาได้...ยิ่งโดยเฉพาะริไอที่ตัวติดกับเธอมากที่สุดแทบจะตลอดเวลา โทคิเนะจึงปักใจเชื่อว่าเธอพบวิธีหลีกเลี่ยง ‘ความตาย’ ของคนรอบข้างที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของตัวเองได้ในที่สุด
โทคิเนะไม่ใช่คนที่กลัวความมืด ถึงที่นี่จะเป็นคฤหาสน์เก่าแก่ดูน่าเกรงขาม และถึงเธอจะไม่ได้ถือตะเกียงติดมือมาด้วย แต่แสงสลัวจากเชิงเทียนติดผนังกับดวงจันทร์ที่ส่องผ่านบานหน้าต่างสูงตามแต่ละจุดต่างๆ เข้ามา บ่อยครั้งก็รวมถึงแสงสว่างวาบจากฟ้าแลบฟ้าผ่าที่ทำให้สะดุ้งโหยงเพราะความตกใจมากกว่าหวาดกลัวก็ช่วยพาเธอลงมาถึงชั้นล่างได้โดยสวัสดิภาพ แม้จะเป็นการคลำทางแบบมะงุมมะงาหราต่อ ด้วยไม่รู้เลยว่าเธอควรจะต้องผลักบานประตูบานไหนเข้าไป
กระทั่งตอนที่เดินเลี้ยวโค้งหนึ่งมา โทคิเนะถึงได้เห็นเงาร่างของใครบางคนในชุดนอนสีขาวยาวกรอมเท้ากำลังเดินอย่างเชื่องช้าอยู่บนโถงทางเดิน เป็นเพราะเรือนผมสีทองสว่างของหล่อนที่ทำให้โทคิเนะมั่นใจว่าไม่ใช่เพื่อนของตัวเอง เช่นนั้นหล่อนก็คงเป็น ‘คุณหนูอาซึฮะ’ ที่คุณคุโรยานางิกล่าวถึง แต่หล่อนลุกมาทำอะไรในยามวิกาลเช่นนี้ ไหนจะท่าเดินแข็งทื่อที่ดูผิดปกติวิสัยคนทั่วไปด้วยอีก โทคิเนะไม่ปล่อยให้ความสงสัยครอบงำอยู่นานนักในตอนที่เร่งฝีก้าวตามไปแล้วทำท่าว่าจะเอื้อมมือไปแตะไหล่ ลืมเรื่องถุงมือไปเสียสนิท
“อย่าปลุกคนละเมอเดิน”
โชคดีที่มีมือคู่ใหญ่เอื้อมมาจับข้อมือของเธอเอาไว้ก่อน สัมผัสที่โทคิเนะหลงลืมมันไปนานแล้วทำให้เธอรู้สึกตัว เผลอสะบัดมือออกราวกับโดนของร้อนจัดทั้งที่มันก็แค่...อุ่น
“ขอโทษค่ะ! ฉันไม่ได้ตั้งใจ!” โทคิเนะรีบค้อมหัวปะหลกๆ ละล่ำละลักเอ่ยคำขอโทษทั้งจากกิริยาที่เพิ่งกระทำและสิ่งที่หวาดกลัวว่าจะเกิดขึ้น ถึงสิ่งนั้นจะไม่ได้เกิดขึ้นอย่างง่ายดายแค่การแตะตัวเพียงครั้งสองครั้งก็ตามแต่ ก่อนเสียงดังลั่นของท้องฟ้าที่ผ่าสนั่นจะทำให้เธอตกใจจนต้องแหงนเงยใบหน้าขึ้นมา เป็นตอนนั้นเองที่โทคิเนะจะได้มองเห็นคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเต็มตา
เขาเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ขนาดทำให้เธอที่ถอยห่างออกมาเกือบช่วงแขนแล้วยังต้องแหงนคอมอง ผิวสีขาวซีดประหนึ่งว่าจะส่องสว่างได้ในความมืดแต่ไม่ได้ดูเซียว ใบหน้าเรียบนิ่งไร้รอยยิ้มที่ดูเคร่งขรึมมีส่วนผสมของทั้งชาวตะวันตกและตะวันออกจนชวนให้รู้สึกถึงความแปลกประหลาดในวินาทีแรก ก่อนแปรเปลี่ยนไปเป็นความสะดุดตาในวินาทีถัดมา เมื่อพิจารณาว่าเขาน่าจะเป็นลูกชายของเจ้าบ้านอิวาซากิ แม้ว่ารูปโฉมของเขาจะไม่ได้งดงามราวเทพเจ้าลงมาจุติอย่างชายหญิงในภาพวาดที่ได้เห็นและทำให้เธอกับริไอต่างพากันตื่นตะลึง แต่ความไม่สมบูรณ์แบบก็คือความสมบูรณ์แบบในตัวมันแล้วต่างหากหรือเปล่า ความคิดนั้นสะดุดใจโทคิเนะยามสบประสานกับนัยน์ตาสีดำสนิทที่เหมือนกับมีมนตร์สะกดบางอย่างคู่นั้น
ไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ก่อนที่น้ำเสียงห้วนกระด้างซึ่งโทคิเนะคุ้นเคยดีอยู่แล้วจะเรียกสติของเธอให้หวนคืนมา
“ฉันจัดการเรื่องเด็กคนนี้ให้เองค่ะ คุณชาย”
“ไม่ต้อง คุณคุโรยานางิไปดูอาซึฮะเถอะ ทางนี้ผมจัดการเอง”
“แต่ว่า...”
หาก ‘คุณชาย’ ก็ขัดจังหวะคำพูดของหล่อนด้วยการหันมาเอ่ยกับว่า “มาเถอะ” ขณะก้าวนำไปก่อน โทคิเนะที่ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงค้อมหัวขออภัย แล้วรีบจ้ำอ้าวตามเขาออกไปจากโถงทางเดิน เพราะอย่างนั้นเธอถึงไม่ทันได้เห็นสายตาคมกริบที่วาววับขึ้นมาด้วยความไม่พอใจของหล่อน
สมาชิกใหม่ของคฤหาสน์ไม่กล้าปริปากพูดอะไรแม้แต่คำถามง่ายๆ อย่าง “เราจะไปไหนกันหรือคะ?” นอกจากเดินตามชายหนุ่มที่ไม่แม้แต่จะหันมองดูด้วยซ้ำไปเงียบๆ ตรงกันข้ามกับความคิดมากมายที่กำลังตีรวนอยู่ในหัว หากแม้ว่าเขาจะนำเธอขึ้นบันไดกลับมาบนชั้นสอง โทคิเนะก็ยังไม่กล้าเรียกร้องบอกความตั้งใจเดิมของตัวเอง แต่เด็กสาวที่ยังไม่รู้จักเส้นทางภายในคฤหาสน์รโหฐานที่เพิ่งเข้ามาอยู่เป็นคืนแรกย่อมไม่มีทางรู้ว่านี่คือปีกตึกอีกด้านหนึ่ง และที่ที่เขาเปิดประตูพาเธอเข้าไปก็คือห้องสีเขียวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ หรืออาจเพราะมันเต็มไปด้วยชั้นวางของสูงเกือบจรดเพดานที่เต็มไปด้วยข้าวของเรียงรายเลยทำให้ดูคับแคบกว่าที่ควรจะเป็น ด้านหลังเคาน์เตอร์คือขวดบรรจุเครื่องดื่มต่างๆ นานา อีกฟากหนึ่งคือกระป๋องสำเร็จรูปหลากหลายชนิด พรักพร้อมไปด้วยตู้เย็น กาน้ำ เตา และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายในการทำเครื่องดื่มราวกับบาร์ขนาดย่อมๆ ไม่ใช่ห้องนอนของตัวเองอย่างที่เธอคิด
“นั่งก่อนสิ”
“ค่ะ” โทคิเนะขานรับเสียงค่อย ขึ้นไปนั่งทำตัวเกร็งลีบบนเก้าอี้ทรงกลม ขณะมองดูเขาหยิบกระป๋องวัตถุดิบจากบนชั้นนำมาชงเครื่องดื่มด้วยความคล่องแคล่ว แล้วความหวั่นพรั่นก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความเพลิดเพลิน ตลอดเวลาที่มองดูมือของเขาขยับเคลื่อนไหวไปมาราวกับเริงระบำ
“ดื่มสิ โกโก้ร้อนน่ะ มันจะช่วยให้เธอหลับ”
แม้จะไม่แน่ใจเลยว่าเขารู้ได้อย่างไรว่านั่นคือสิ่งที่เธอต้องการ แต่โทคิเนะก็รับถ้วยกระเบื้องควันฉุยส่งกลิ่นหอมฟุ้งมาถือไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง แน่นอนอยู่แล้วที่เด็กสาวยากจนอย่างโทคิเนะย่อมไม่เคยลิ้มรสเครื่องดื่มจากวัตถุดิบราคาแพงลิ่วเช่นนี้ เครื่องดื่มสีน้ำตาลแก่ในถ้วยดูแปลกตา แม้แต่ความหวานปนขมของส่วนผสมที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนก็รสชาติแปลกลิ้น กระนั้นมันก็ช่วยให้ร่างกายและจิตใจของเธออุ่นซ่านขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด เป็นความอบอุ่นซึ่งทำให้เธอรู้สึก...ดี เหมือนกับที่โทคิเนะรู้สึกต่อชายคนที่หันไปหยิบขวดแอลกอฮอล์จากชั้นมาเทลงไปในแก้วคริสตัล ก่อนเดินออกจากเคาน์เตอร์มานั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ แล้วมองดูเธอเงียบๆ สลับกับยกแก้วเครื่องดื่มอยู่อย่างนั้น ให้มันกลายเป็นความร้อนผ่าวที่แล่นริ้วขึ้นมาจนโทคิเนะต้องแสร้งทำเป็นเบือนหน้าไปทางอื่น แล้วเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า
“เอ่อ คือว่าเรื่องเมื่อกี้...”
“นั่นอาซึฮะ น้องสาวฉัน เธอเป็นโรคละเมอเดินมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว” เขาเอ่ยแทรกขึ้นมา โดยไม่รอให้เธอเรียบเรียงคำถามให้จบแม้แต่ในหัวด้วยซ้ำ “แต่อาการไม่ได้ร้ายแรงอะไร แค่ว่านานๆ ครั้ง อาซึฮะจะลุกออกมาเดินทั่วคฤหาสน์ สักพักก็กลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง พอตื่นมาเธอจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย ฉันกับคนอื่นๆ คอยช่วยกันดูแลอาซึฮะอยู่ตลอด หวังว่าเรื่องนี้คงจะไม่ทำให้เธอรู้สึกแปลกหรือว่า...กลัวที่นี่”
“ไม่ค่ะ! ไม่เลย!” โทคิเนะสั่นศีรษะรัวเร็ว แค่อาการละเมอเดินนั้นถือว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับเรื่องของเธอและริไอ
“ความจริงฉันไม่อยากเอาอาการของน้องมาพูดแบบนี้ แต่ช่วยไม่ได้ที่เธอดันมาเห็นเข้าพอดี ถ้ายังไงฉันขอได้ไหมว่าอย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดกับอาซึฮะ หรือว่ากับใคร”
น้ำเสียงท้ายประโยคที่เป็นไปในเชิงขอร้อง ไม่ใช่คำสั่ง จากชายที่ย่อมมีอำนาจเหนือกว่าใครในคฤหาสน์นี้ ไหนจะน้ำเสียงที่ไพเราะน่าฟังมากยามเปิดปากพูดประโยคยาวยืดทำให้โทคิเนะที่พยักหน้าหงึกได้แต่ก้มใบหน้าสีแดงเรื่องุดลงไปไม่กล้าแหงนเงยขึ้นมาอีก ไม่นานก็ดื่มโกโก้ร้อนที่จะกลายมาเป็นเครื่องดื่มโปรดของเธอนับจากนี้จนหมด เมื่อนั้นเขาจึงลุกขึ้น เอ่ยย้ำประโยคซ้ำเดิมของก่อนหน้านั้นอีกครั้งว่า
“มาเถอะ”
หนนี้เขาไม่ได้เดินนำหน้า แต่ว่าเคียงข้างไปกับเธอด้วยจังหวะที่ช้าลง และระยะทางที่โทคิเนะอยากให้ทอดยาวไปไกลกว่านี้เป็นไม่รู้จบ
เมื่อกลับมาถึงหน้าห้องนอนของเธอ โทคิเนะก็ไม่ลืมที่จะค้อมหัวเอ่ยคำขอบคุณให้แก่ผู้มีพระคุณ
“ขอบคุณมากเลยนะคะ เอ่อ คุณชายอิวาซากิ”
พลันนั้นเองที่หัวใจของโทคิเนะจะเต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมาเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อใบหน้าที่เคยนิ่งเฉยเย็นชาของเขามีรอยยิ้มบางๆ แม้มันจะปรากฏอยู่แค่เสี้ยววินาที แต่โทคิเนะก็มั่นใจว่าเธอไม่ได้ตาฝาดไปเอง ถึงแสงสว่างบนโถงทางเดินตรงสุดหัวมุมนั้นจะมีเพียงน้อยนิด ยามที่เขาตอบกลับมาว่า
“เรียกฉันว่าไทโช”
และเด็กสาวก็แน่ใจว่าเธอจะนอนหลับสนิทได้จริง หลังจากคำพูดที่เป็นดั่งเวทมนตร์ซึ่งช่วยมอบความอบอุ่นให้ในค่ำคืนที่หนาวเหน็บ คลอเคล้าไปกับเสียงดนตรีจากธรรมชาติซึ่งบรรเลงท่วงทำนองกล่อมฝันว่า
“ราตรีสวัสดิ์ โทคิเนะ”
_______________
_______________
_______________
ความคิดเห็น