ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #51 : CALENDULA REQUIEM ✣ I. Beyond My Wildest Dreams

    • อัปเดตล่าสุด 31 ก.ค. 67


    CALENDULA REQUIEM
    Playlist: Lies of P – Main Menu / MONOGATARI Series – Shinsou no Reijou「深窓の令嬢」 (Bakemonogatari Soundtrack)













    .

    ที่นี่เปรียบได้กับ ยุคสวยงามที่ทำให้เด็กสาวจากบ้านนอกไม่ว่าคนไหนย่อมต้องตื่นตาตื่นใจเหมือนอย่างที่พวกเธอทั้งสองกำลังเป็นอยู่ นับตั้งแต่ลงจากรถไฟชั้นหนึ่งที่ทั้งสวยงาม หรูหรา และแสนจะสุขสบายยิ่งกว่ากระท่อมหลังเล็ก ห้องใต้หลังคา สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือที่พวกเธอแอบเรียกกันลับหลังว่าสถานแห่งความทรมาน  หลังการเดินทางขึ้นเหนือที่กินเวลายาวนานถึงสี่วันสามคืน ด้วยความเพลิดเพลินบันเทิงใจที่ทำให้เด็กสาวทั้งสองต่างพากันโอดครวญเมื่อต้องละจาก หากเมื่อได้เห็นความโอ่อ่าภายในสถานีรถไฟกลางขนาดใหญ่ที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนขวักไขว่ ก่อนขึ้นมานั่งอยู่บนพาหนะคันโตกับสารถีวัยชราท่าทางใจดีที่ถึงขนาดให้เกียรติเรียกพวกเธอว่า คุณหนู พลางทอดมองดูแสงสีส้มนวลตาจากโคมไฟน้อยใหญ่ที่ส่องสว่างให้กับตัวเมืองในยามค่ำคืนซึ่งยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา แม้ว่าสายฝนจะเริ่มลงเม็ดเปาะแปะลงมา ความเสียดายก็เปลี่ยนกลายเป็นความตื่นเต้นระคนด้วยความยินดี

    ใช้เวลาไม่นานนัก พาหนะก็เคลื่อนพ้นจากความอึกทึกออกมายังเส้นทางลดเลี้ยวเคี้ยวคดที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากป่ารกเรื้อมืดมิด รวมถึงความรุนแรงของหยดน้ำที่เกาะอยู่นอกหน้าต่างกับไอเย็นที่ลอดผ่านเข้ามา ให้เด็กสาวทั้งสองต้องเขยิบเข้ามานั่งชิดติดกัน กอบกุมมือเพื่อช่วยถ่ายทอดความอบอุ่นให้แก่กัน ถึงแม้ว่าอีกคนหนึ่งจะกำลังสวมถุงมือผ้าสีดำอยู่ก็ตาม

    ก่อนอาคารสิ่งก่อสร้างสองชั้นหลังมหึมากับดวงไฟสีส้มที่ลอดผ่านบานหน้าต่างเป็นหย่อมยวงจะปรากฏขึ้นในแววตา เมื่อพ้นจากรั้วเหล็กสีดำอันเป็นปราการกั้นทางเข้าออกสองบาน ผ่านไม้ยืนต้นโกร๋นเกร๋นสูงตระหง่านที่ปลูกอยู่ตลอดสองข้างทางที่ยืดยาวไปอีกหน่อย กับพุ่มสีเขียวขจีที่ได้รับการตัดแต่งดูแลเป็นอย่างดี วนรอบรูปปั้นสิงโตที่สลักเสลาจากหินอ่อนกับลานน้ำพุที่ตั้งอยู่กลางสวนหย่อมวงเวียนเข้ามา ทั้งอย่างนั้นพวกเธอก็ไม่มีโอกาสได้แหงนคอมองดูความยิ่งใหญ่อลังการของคฤหาสน์เก่าคร่ำคร่าทว่าน่าเกรงขามจากภายนอกกันให้ชัดเจน เพราะทันทีที่รถมาจอดเทียบอยู่หน้าเชิงบันไดเจ็ดขั้นขึ้นไปยังเฉลียงซึ่งมีกำบังยื่นออกมาช่วยให้ไม่ต้องเปียกปอนแล้ว หัวหน้าแม่บ้านวัยกลางคนตัวสูงใหญ่ใบหน้าตอบที่ดูเคร่งขรึมจนน่ากลัวซึ่งยืนรอต้อนรับอยู่ก็จะสั่งคนรับใช้ชายที่ยืนขนาบข้างให้ช่วยกันยกสัมภาระของพวกเธอขึ้นไปเก็บ ครั้นตวัดดวงตาเฉี่ยวคมในเบ้าลึกย่นเหมือนกับเหยี่ยวมาหาพวกเธอที่ได้แต่ยืนตัวเกร็งรอ หล่อนก็จะเพียงเอ่ยบอกให้ตามเข้าไปข้างในด้วยน้ำเสียงที่ติดจะห้วนดุ

    เข้าไปสู่ห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ที่มีบันไดทอดยาวตรงกลางขึ้นไปบนชาลาที่มีทางแยกออกไปยังปีกซ้ายขวา ส่วนที่ตรงกลางมีภาพวาดสีน้ำมันในกรอบสีทองแกะสลักเป็นลวดลายวิจิตรชดช้อยขนาดใหญ่ของชายผมสีทองที่มีส่วนผสมแบบชาวตะวันตกกับตะวันออก ขับใบหน้าหล่อเหลาให้ดูทั้งสง่างามและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน ข้างกันนั้นคือหญิงสาวชาวตะวันออกที่สะสวยมาก ผมสีดำสนิทของหล่อนม้วนตลบขึ้นไป ตัดกับผิวสีขาวจัดซึ่งมองเห็นจากไหล่ที่เปิดเปลือยของชุดราตรีสีแดงเลือดนก ราวกับภาพวาดของเทพเจ้าและเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน

    ก่อนหัวหน้าแม่บ้านที่แนะนำตัวว่าชื่อคุณคุโรยานางิจะช่วยตอบคำถามผ่านสีหน้าที่ไม่มีใครกล้าเอ่ย ด้วยการบอกว่าท่านทั้งสองก็คือเจ้าบ้านอิวาซากิที่รับอุปการะเด็กกำพร้าอย่างพวกเธอ แต่เนื่องจากว่ามีธุระด่วนเข้ามากะทันหันเลยจำเป็นต้องออกเดินทางไกลกันปุบปับ ไม่มีกำหนดแน่ชัดว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ส่วนสมาชิกคนอื่นในบ้านไปเข้าร่วมงานเลี้ยงนอกเมือง เหลือก็แต่คุณหนูอาซึฮะที่เข้านอนเพราะอาการป่วยไปแล้วตั้งแต่หัววัน รวมถึงความล่าช้าหนึ่งวันของรถไฟที่พวกเธอโดยสารมาด้วยก็มีส่วน ด้วยเหตุฉะนี้จึงมีแค่หล่อนที่อยู่รอต้อนรับสมาชิกใหม่ของคฤหาสน์ ชูเอ็นในยามวิกาล

    เป็นอีกครั้งที่พวกเธอไม่มีโอกาสได้เสาะสำรวจอะไรมากไปกว่าแค่กวาดตาดูคร่าวๆ เหมือนกับหูที่ก็รับฟังคำบอกเล่าเกี่ยวกับตัวคฤหาสน์คร่าวๆ จากคุณคุโรยานางิที่เดินนำขึ้นบันไดซึ่งปูลาดด้วยพรมสีแดงตลอดเส้นทางเดินบนระเบียงยาวไปยังห้องพักที่อยู่บนชั้นสอง ผ่านเส้นทางลดเลี้ยวเคี้ยวคดชวนให้เวียนหัว ไม่ต่างจากตอนที่พวกเธอนั่งรถเข้ามายังคฤหาสน์

    เด็กสาวทั้งสองคนได้ห้องนอนเดี่ยวที่ปีกตึกตะวันออกเหมือนกันแต่อยู่ห่างกันคนละมุม ความตื่นเต้นระคนยินดีพลันหวนกลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อคิดว่าต่อไปนี้พวกเธอจะไม่ต้องทนเบียดเสียดแออัดอยู่ด้วยกันถึงกว่าหกชีวิตในห้องนอนแคบๆ เพดานต่ำๆ กับเตียงสองชั้นที่ชวนให้อึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออกอีกต่อไป

    คุณคุโรยานางิบอกให้พวกเธอที่เดินทางกันมาไกลเข้าไปอาบน้ำอาบท่า นอนหลับพักผ่อนกันให้เต็มที่เสียก่อนสำหรับค่ำคืนนี้ เมื่อพวกเธอยังมีเวลาอีกมากมายที่นี่ อย่างที่แน่ใจได้ว่าหล่อนเอ่ยประโยคนั้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราวกับเย้ยหยัน ด้วยดวงตาที่เป็นประกายวาววับยามจับจ้องมองขึ้นมาวูบหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ขนบนหลังคอของพวกเธอลุกชัน ก่อนที่จะกลับมาเป็นปกติเมื่อแจ้งว่าวันพรุ่งนี้ พวกเธอจะได้แนะนำตัวให้กับสมาชิกคนอื่นที่เหลือซึ่งจะอยู่กันพร้อมหน้าในมื้ออาหารเช้าเวลาแปดโมง

     

     

    โทคิวะ โทคิเนะได้แต่นอนพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาอยู่บนเตียงหลังใหญ่ ฟังเสียงสายฝนที่ยังคงไม่ทอนความแรงลงไปเลยแม้เวลาจะผ่านมานานหลายชั่วโมงแล้วอย่างกับฟ้ารั่ว สลับกับเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าครืนครั่นที่จะยิ่งทำให้นอนไม่หลับเข้าไปใหญ่ กระทั่งเด็กสาวที่ได้แต่พลิกตัวตะแคงข้างไปมาจะเปลี่ยนท่าเป็นนอนหงาย นัยน์ตาที่ลืมโพลงจดจ้องอยู่บนเพดานสูงในความมืดมิดที่มีเพียงแสงเรืองรองของดวงจันทร์สาดทอเข้ามา ทว่ากลับเป็นความคิดที่ลอยละล่องไปไกลยังจุดเริ่มต้น...ซึ่งเธอปรารถนาว่าอยากจะลืมเลือน

    นับตั้งแต่จำความได้ หรือไม่แน่ว่ามันอาจเริ่มต้นมาตั้งแต่วินาทีที่เธอถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้เลยก็ได้ โทคิเนะก็ได้สัมผัสกับ ความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

    คนแรกอาจเป็นพ่อที่โทคิเนะในวัยแบเบาะจดจำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะใบหน้า น้ำเสียง หรือความรักความอบอุ่นใดๆ แม่บอกว่าพ่อถูกโจรปล้นแล้วฆ่าในตอนที่เข้าเมืองเพื่อไปซื้อหยูกยามารักษาเธอ ตามด้วยตากับยายที่แม่พาเธอย้ายไปอยู่ด้วย แม้แต่ญาติสนิทหรือเพื่อนบ้านที่แค่อยู่ในละแวกเดียวกันก็ไม่ว่างเว้น หากแม่ก็ยังคงพาเธอระหกระเหินย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ อาจด้วยความหวังถึงสิ่งที่ดีกว่า เพื่อลูกสาวผู้เป็นที่รักเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใด...หรือในที่นี้ก็คือชีวิตของใคร

    จนเมื่อโทคิเนะอายุได้สิบสอง แม่ที่เริ่มเหนื่อยล้าและรู้สึกผิดกับชีวิตแบบนี้ก็ตัดสินใจพาเธอปลีกวิเวกไปอยู่ที่กระท่อมหลังเล็กในหมู่บ้านชนบทอันห่างไกล แม้ความเป็นอยู่ที่นั่นจะห่างไกลจากคำว่าสุขสบาย แต่อย่างน้อยโทคิเนะก็ไม่ต้องอยู่กับความหวาดระแวงว่าจะมีใครตายเพราะตัวเองอีก และนั่นก็อาจเป็นความสุขที่สุดเท่าที่เด็กหญิงซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นตัวกาลกิณี  เป็นปีศาจ — มาตลอดจะมีได้

    ก่อนที่โทคิเนะจะได้ตระหนักรู้ถึงขั้วหัวใจว่าความสุขคือสิ่งที่ไม่จีรัง เมื่อเพียงแค่สองปีหลังจากนั้น แม่ของเธอก็จะมาด่วนจากไปอีกคนเพราะโรคระบาดที่คร่าชีวิตคนนับร้อยในหมู่บ้านนี้ไปจนเกือบสิ้น ถึงสาเหตุจะไม่ได้มาจากเธอ แต่การที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เป็นหนึ่งในคนที่รอดชีวิตมาได้นั้นไม่ใช่เพราะเธอขโมยอายุขัยของคนรอบข้างมาหรอกหรือ โทคิเนะได้แต่นึกโทษตัวเองแบบนั้นด้วยความขมขื่น

    เหมือนกับที่ ความตายก็ได้หวนกลับมาเยี่ยมเยือนเพื่อนเก่าอีกครั้ง ยังสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทั้งสามแห่งที่โทคิเนะถูกส่งตัวไป พวกเด็กๆ เริ่มต้นเรียกขานเธอด้วยความหวาดกลัวและรังเกียจว่าเป็น เทพเจ้าแห่งความตายผู้หมายจะพรากทุกชีวิตที่ได้แตะต้อง แล้วนับตั้งแต่นั้น โทคิเนะก็เริ่มต้นสวมถุงมือเพื่อที่จะได้ไม่ต้องแตะต้องใครอีก แล้วปลีกตัวออกจากสังคมที่ย่อมไม่มีมนุษย์คนไหนอยากปฏิสัมพันธ์กับเทพเจ้าแห่งความตายในยามที่ยังมีลมหายใจ

    เว้นก็แต่เด็กสาวในสถานรับเลี้ยงเด็กพร้าแห่งที่สี่สุดท้ายที่มีชื่อว่าทาเคียว ริไอ คนที่โทคิเนะเคยคิดว่าเป็นนางฟ้าเพราะดวงตากลมโต ผิวสีขาวอมชมพูตัดกับเส้นผมสีน้ำตาลเข้มจัดและริมฝีปากสีแดงธรรมชาติ ขับความงามบนใบหน้าจิ้มลิ้มให้เหมือนกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบแสนสวยราคาแพง บางทีชีวิตของหล่อนก็อาจจะเปราะบางแบบนั้น ทั้งจากพ่อแม่ที่เสียไปเพราะอุบัติเหตุจนเด็กสาวต้องถูกส่งไปอยู่กับญาติใจร้ายที่สนใจแต่มรดกแล้วปล่อยให้อดมื้อกินมื้อ บังคับให้นอนอยู่ในห้องใต้หลังคาแคบๆ ไม่ต่างอะไรจากรูหนูอยู่เป็นปีกว่าจะหลุดพ้นมายังสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้ และจากโรคร้ายที่หมอคนไหนก็วินิจฉัยไม่ได้ เพราะอย่างนั้นก็ย่อมไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ ใช่ว่าริไอป่วยกระเสาะกระแสะหรือว่าอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงจนต้องนอนแซ่วติดเตียง สุขพลานามัยของหล่อนยังสมบูรณ์ดี นิสัยใจคอก็ร่าเริงดี ยามปกติก็เหมือนกับเด็กสาวธรรมดาทั่วไป แค่ไม่รู้ว่าอาการป่วยไม่รู้ที่มานี้จะกำเริบขึ้นเมื่อไหร่ ตื่นมาเช้าวันหนึ่งก็จะรู้สึกเจ็บปวดทรมานไปทั่วสรรพางค์กายจนลุกขึ้นทำอะไรไม่ได้ ไม่แม้แต่จะคิดอะไรได้เสียด้วยซ้ำ บ่อยครั้งที่นานเป็นวัน บางครั้งก็เป็นสัปดาห์

    แต่ไม่ได้เป็นเพราะริไอปรารถนาที่จะตายถึงได้เข้าหาเทพเจ้าแห่งความตายโดยไม่หวั่นเกรง ในเมื่อความตายคือสิ่งที่หล่อนหวาดกลัวที่สุดในโลกแม้ว่าชีวิตจะทุกข์ทรมานมากแค่ไหน หากเป็นเพราะความกลัวต่อความโดดเดี่ยวลำพังที่ไม่ต่างอะไรจากความตายซึ่งพวกเธอทั้งคู่ต่างก็ได้เผชิญ ณ ที่แห่งนี้ต่างหาก

    ดังนั้น เมื่อมีคู่สามีภรรยาจากแดนไกลต้องการรับอุปการะโทคิเนะไปเพียงคนเดียว เธอจึงวิงวอนขอร้องซิสเตอร์ให้ถามว่าพวกเขาจะช่วยรับเพื่อนสนิท...น้องสาว...ของเธอไปด้วยอีกคนจะได้หรือไม่ และโทคิเนะก็ไม่นึกฝันเลยว่าเรื่องราวทุกอย่างจะง่ายดายขนาดนี้เมื่อพวกเขาตอบรับโดยไม่ถามไถ่

    ซิสเตอร์คิกิซึ่งอ่อนเยาว์ที่สุดแต่เมตตากับพวกเธอที่สุดในสถานรับเลี้ยงเด็กช่วยขับรถพาไปส่งที่สถานีรถไฟ อวยพรให้พวกเธอได้มีชีวิตที่ดีและเปี่ยมไปด้วยความรักอย่างที่เด็กสาวไร้รักต่างก็เฝ้าปรารถนา ขณะริไอกอดลานางด้วยความอาลัยอาวรณ์พร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำ โทคิเนะซึ่งไม่สามารถแสดงปฏิสัมพันธ์ทางกายกับใครได้ก็จะเพียงผงกศีรษะเอ่ยคำขอบคุณด้วยน้ำตาที่ขังคลอ ก่อนทั้งสองคนจะเริ่มต้นออกเดินทางไปยังที่ที่พวกเธอจะได้เรียกว่า บ้านเริ่มต้นชีวิตใหม่กับครอบครัวใหม่ที่ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตาแม้แต่ในรูปถ่าย ถึงอย่างนั้นพวกเธอก็สามารถสัมผัสถึงความใจกว้างจากคุณและคุณนายอิวาซากิได้




    ดวงตาของโทคิเนะเบิกกว้าง ริมฝีปากก็อ้าค้าง ตั้งแต่เปิดประตูเข้ามาในห้องนอน — เหมือนอย่างที่ริไอก็คงเป็น — ที่อาจไม่ได้กว้างขวางใหญ่โตที่สุด แต่ก็สวยงามที่สุดเท่าที่โทคิเนะเคยได้เห็นและเป็นเจ้าของ ผ่านแสงสลัวสีนวลตาจากโคมระย้าตรงกลางห้องที่ห้อยลงมาจากเพดาน วอลเปเปอร์ปิดฝาผนังเป็นสีขาวครีมเรียบหรู แซมด้วยสีม่วงเข้มในผ้าห่ม หมอนเล็ก เครื่องเรือนอย่างโซฟากับชุดเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง รวมถึงผ้าม่านหนาหนักของบานหน้าต่างทรงสูงที่ถูกรวบเข้าหากัน นอกจากนั้นก็ยังมีตู้เสื้อผ้าบานเล็ก กระจกตั้งพื้นแบบเต็มตัว โต๊ะเครื่องแป้ง และโต๊ะวางโคมไฟข้างหัวเตียงทั้งสองด้าน ทว่าสิ่งที่โทคิเนะชอบมากที่สุดในห้องนี้ก็คือหน้าต่างทรงสูงสองบานตรงฝั่งหัวเตียงที่สามารถมองออกไปเห็นบรรยากาศของสวนดอกไม้ด้านหลังคฤหาสน์ได้ น่าเสียดายที่ไม่สามารถมองเห็นฝั่งทะเลได้ แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเมื่อเธออยากไปดูมันเมื่อไหร่ก็ได้ตลอดเวลาที่มีอีกมากมายนับจากนี้มิใช่หรอกหรือ

    เสื้อผ้าที่มีอยู่เพียงน้อยชิ้นถูกนำออกจากกระเป๋าเดินทางมาแขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าแล้วตอนที่เธอขึ้นมาถึง รวมอยู่กับชุดกระโปรงตัวสวยมากมายที่โทคิเนะแทบไม่กล้าแตะต้องแม้รู้ว่าพวกเขาจัดเตรียมไว้ให้ ทั้งจากขนาดที่เมื่อนำมาลองทาบอยู่หน้ากระจกก็ล้วนแล้วแต่พอดีตัว ไหนจะโทนสีดำที่เธอชอบใส่ เหมือนกับข้าวของสีม่วงที่ก็เป็นสีโปรดของเธอ ความคิดที่ว่าคุณและคุณนายอิวาซากินั้นช่างเมตตาและเอาใจใส่เรียกรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า พร้อมกับความคิดที่ว่าบางทีเธอกับริไออาจจะได้พบกับความสุขที่แท้จริง ณ คฤหาสน์แห่งนี้ก็ได้

    เป็นเพราะกระแสความเย็นที่ไหลผ่านเข้ามาทำให้โทคิเนะที่ตั้งใจว่าจะเข้านอนเลยในทีแรกเปลี่ยนใจเข้าไปอาบน้ำอุ่นก่อนเพื่อขจัดความเมื่อยล้าและหนาวเหน็บแทน ทว่าความอุ่นสบายไม่ช่วยให้โทคิเนะข่มตานอนหลับได้อย่างที่ตั้งใจ หลังจากความพยายามที่ไม่เป็นผลและอาจทำให้เธอสะโหลสะเหลในตอนเช้าซึ่งโทคิเนะไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น ถึงไม่รู้ว่าจะเป็นการยุ่มย่ามทั้งที่เธอเพิ่งจะมาถึงหรือเปล่า แต่โทคิเนะก็ตัดสินใจผุดลุกขึ้นจากเตียง พร้อมกับความคิดที่ว่าจะลองลงไปหายานอนหลับหรือไม่ก็นมอุ่นๆ ดื่มสักแก้ว

    เวลาเกือบตีสองที่มองเห็นจากเข็มของนาฬิกาทองเหลืองติดผนังฝั่งตรงกันข้ามกับเตียงนอน ทำให้โทคิเนะไม่คิดว่าเธอจำเป็นต้องสวมถุงมือเพื่อหลีกเลี่ยงการแตะเนื้อต้องตัวใคร มันอาจฟังดูเป็นเรื่องเหลวไหล แต่การที่ทุกคนในสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งสุดท้ายยังอยู่รอดปลอดภัยมาได้...ยิ่งโดยเฉพาะริไอที่ตัวติดกับเธอมากที่สุดแทบจะตลอดเวลา โทคิเนะจึงปักใจเชื่อว่าเธอพบวิธีหลีกเลี่ยง ความตายของคนรอบข้างที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของตัวเองได้ในที่สุด

     

    โทคิเนะไม่ใช่คนที่กลัวความมืด ถึงที่นี่จะเป็นคฤหาสน์เก่าแก่ดูน่าเกรงขาม และถึงเธอจะไม่ได้ถือตะเกียงติดมือมาด้วย แต่แสงสลัวจากเชิงเทียนติดผนังกับดวงจันทร์ที่ส่องผ่านบานหน้าต่างสูงตามแต่ละจุดต่างๆ เข้ามา บ่อยครั้งก็รวมถึงแสงสว่างวาบจากฟ้าแลบฟ้าผ่าที่ทำให้สะดุ้งโหยงเพราะความตกใจมากกว่าหวาดกลัวก็ช่วยพาเธอลงมาถึงชั้นล่างได้โดยสวัสดิภาพ แม้จะเป็นการคลำทางแบบมะงุมมะงาหราต่อ ด้วยไม่รู้เลยว่าเธอควรจะต้องผลักบานประตูบานไหนเข้าไป

    กระทั่งตอนที่เดินเลี้ยวโค้งหนึ่งมา โทคิเนะถึงได้เห็นเงาร่างของใครบางคนในชุดนอนสีขาวยาวกรอมเท้ากำลังเดินอย่างเชื่องช้าอยู่บนโถงทางเดิน เป็นเพราะเรือนผมสีทองสว่างของหล่อนที่ทำให้โทคิเนะมั่นใจว่าไม่ใช่เพื่อนของตัวเอง เช่นนั้นหล่อนก็คงเป็น คุณหนูอาซึฮะที่คุณคุโรยานางิกล่าวถึง แต่หล่อนลุกมาทำอะไรในยามวิกาลเช่นนี้ ไหนจะท่าเดินแข็งทื่อที่ดูผิดปกติวิสัยคนทั่วไปด้วยอีก โทคิเนะไม่ปล่อยให้ความสงสัยครอบงำอยู่นานนักในตอนที่เร่งฝีก้าวตามไปแล้วทำท่าว่าจะเอื้อมมือไปแตะไหล่ ลืมเรื่องถุงมือไปเสียสนิท

    “อย่าปลุกคนละเมอเดิน”

    โชคดีที่มีมือคู่ใหญ่เอื้อมมาจับข้อมือของเธอเอาไว้ก่อน สัมผัสที่โทคิเนะหลงลืมมันไปนานแล้วทำให้เธอรู้สึกตัว เผลอสะบัดมือออกราวกับโดนของร้อนจัดทั้งที่มันก็แค่...อุ่น

    “ขอโทษค่ะ! ฉันไม่ได้ตั้งใจ!” โทคิเนะรีบค้อมหัวปะหลกๆ ละล่ำละลักเอ่ยคำขอโทษทั้งจากกิริยาที่เพิ่งกระทำและสิ่งที่หวาดกลัวว่าจะเกิดขึ้น ถึงสิ่งนั้นจะไม่ได้เกิดขึ้นอย่างง่ายดายแค่การแตะตัวเพียงครั้งสองครั้งก็ตามแต่ ก่อนเสียงดังลั่นของท้องฟ้าที่ผ่าสนั่นจะทำให้เธอตกใจจนต้องแหงนเงยใบหน้าขึ้นมา เป็นตอนนั้นเองที่โทคิเนะจะได้มองเห็นคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเต็มตา

    เขาเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ขนาดทำให้เธอที่ถอยห่างออกมาเกือบช่วงแขนแล้วยังต้องแหงนคอมอง ผิวสีขาวซีดประหนึ่งว่าจะส่องสว่างได้ในความมืดแต่ไม่ได้ดูเซียว ใบหน้าเรียบนิ่งไร้รอยยิ้มที่ดูเคร่งขรึมมีส่วนผสมของทั้งชาวตะวันตกและตะวันออกจนชวนให้รู้สึกถึงความแปลกประหลาดในวินาทีแรก ก่อนแปรเปลี่ยนไปเป็นความสะดุดตาในวินาทีถัดมา เมื่อพิจารณาว่าเขาน่าจะเป็นลูกชายของเจ้าบ้านอิวาซากิ แม้ว่ารูปโฉมของเขาจะไม่ได้งดงามราวเทพเจ้าลงมาจุติอย่างชายหญิงในภาพวาดที่ได้เห็นและทำให้เธอกับริไอต่างพากันตื่นตะลึง แต่ความไม่สมบูรณ์แบบก็คือความสมบูรณ์แบบในตัวมันแล้วต่างหากหรือเปล่า ความคิดนั้นสะดุดใจโทคิเนะยามสบประสานกับนัยน์ตาสีดำสนิทที่เหมือนกับมีมนตร์สะกดบางอย่างคู่นั้น

    ไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ก่อนที่น้ำเสียงห้วนกระด้างซึ่งโทคิเนะคุ้นเคยดีอยู่แล้วจะเรียกสติของเธอให้หวนคืนมา

    “ฉันจัดการเรื่องเด็กคนนี้ให้เองค่ะ คุณชาย”

    “ไม่ต้อง คุณคุโรยานางิไปดูอาซึฮะเถอะ ทางนี้ผมจัดการเอง”

    “แต่ว่า...”

    หาก คุณชาย ก็ขัดจังหวะคำพูดของหล่อนด้วยการหันมาเอ่ยกับว่า “มาเถอะ” ขณะก้าวนำไปก่อน โทคิเนะที่ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงค้อมหัวขออภัย แล้วรีบจ้ำอ้าวตามเขาออกไปจากโถงทางเดิน เพราะอย่างนั้นเธอถึงไม่ทันได้เห็นสายตาคมกริบที่วาววับขึ้นมาด้วยความไม่พอใจของหล่อน

     

    สมาชิกใหม่ของคฤหาสน์ไม่กล้าปริปากพูดอะไรแม้แต่คำถามง่ายๆ อย่าง “เราจะไปไหนกันหรือคะ?” นอกจากเดินตามชายหนุ่มที่ไม่แม้แต่จะหันมองดูด้วยซ้ำไปเงียบๆ ตรงกันข้ามกับความคิดมากมายที่กำลังตีรวนอยู่ในหัว หากแม้ว่าเขาจะนำเธอขึ้นบันไดกลับมาบนชั้นสอง โทคิเนะก็ยังไม่กล้าเรียกร้องบอกความตั้งใจเดิมของตัวเอง แต่เด็กสาวที่ยังไม่รู้จักเส้นทางภายในคฤหาสน์รโหฐานที่เพิ่งเข้ามาอยู่เป็นคืนแรกย่อมไม่มีทางรู้ว่านี่คือปีกตึกอีกด้านหนึ่ง และที่ที่เขาเปิดประตูพาเธอเข้าไปก็คือห้องสีเขียวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ หรืออาจเพราะมันเต็มไปด้วยชั้นวางของสูงเกือบจรดเพดานที่เต็มไปด้วยข้าวของเรียงรายเลยทำให้ดูคับแคบกว่าที่ควรจะเป็น ด้านหลังเคาน์เตอร์คือขวดบรรจุเครื่องดื่มต่างๆ นานา อีกฟากหนึ่งคือกระป๋องสำเร็จรูปหลากหลายชนิด พรักพร้อมไปด้วยตู้เย็น กาน้ำ เตา และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายในการทำเครื่องดื่มราวกับบาร์ขนาดย่อมๆ ไม่ใช่ห้องนอนของตัวเองอย่างที่เธอคิด

    “นั่งก่อนสิ”

    “ค่ะ” โทคิเนะขานรับเสียงค่อย ขึ้นไปนั่งทำตัวเกร็งลีบบนเก้าอี้ทรงกลม ขณะมองดูเขาหยิบกระป๋องวัตถุดิบจากบนชั้นนำมาชงเครื่องดื่มด้วยความคล่องแคล่ว แล้วความหวั่นพรั่นก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความเพลิดเพลิน ตลอดเวลาที่มองดูมือของเขาขยับเคลื่อนไหวไปมาราวกับเริงระบำ

    “ดื่มสิ โกโก้ร้อนน่ะ มันจะช่วยให้เธอหลับ”

    แม้จะไม่แน่ใจเลยว่าเขารู้ได้อย่างไรว่านั่นคือสิ่งที่เธอต้องการ แต่โทคิเนะก็รับถ้วยกระเบื้องควันฉุยส่งกลิ่นหอมฟุ้งมาถือไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง แน่นอนอยู่แล้วที่เด็กสาวยากจนอย่างโทคิเนะย่อมไม่เคยลิ้มรสเครื่องดื่มจากวัตถุดิบราคาแพงลิ่วเช่นนี้ เครื่องดื่มสีน้ำตาลแก่ในถ้วยดูแปลกตา แม้แต่ความหวานปนขมของส่วนผสมที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนก็รสชาติแปลกลิ้น กระนั้นมันก็ช่วยให้ร่างกายและจิตใจของเธออุ่นซ่านขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด เป็นความอบอุ่นซึ่งทำให้เธอรู้สึก...ดี เหมือนกับที่โทคิเนะรู้สึกต่อชายคนที่หันไปหยิบขวดแอลกอฮอล์จากชั้นมาเทลงไปในแก้วคริสตัล ก่อนเดินออกจากเคาน์เตอร์มานั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ แล้วมองดูเธอเงียบๆ สลับกับยกแก้วเครื่องดื่มอยู่อย่างนั้น ให้มันกลายเป็นความร้อนผ่าวที่แล่นริ้วขึ้นมาจนโทคิเนะต้องแสร้งทำเป็นเบือนหน้าไปทางอื่น แล้วเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า

    “เอ่อ คือว่าเรื่องเมื่อกี้...”

    “นั่นอาซึฮะ น้องสาวฉัน เธอเป็นโรคละเมอเดินมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว” เขาเอ่ยแทรกขึ้นมา โดยไม่รอให้เธอเรียบเรียงคำถามให้จบแม้แต่ในหัวด้วยซ้ำ “แต่อาการไม่ได้ร้ายแรงอะไร แค่ว่านานๆ ครั้ง อาซึฮะจะลุกออกมาเดินทั่วคฤหาสน์ สักพักก็กลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง พอตื่นมาเธอจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย ฉันกับคนอื่นๆ คอยช่วยกันดูแลอาซึฮะอยู่ตลอด หวังว่าเรื่องนี้คงจะไม่ทำให้เธอรู้สึกแปลกหรือว่า...กลัวที่นี่”

    “ไม่ค่ะ! ไม่เลย!” โทคิเนะสั่นศีรษะรัวเร็ว แค่อาการละเมอเดินนั้นถือว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับเรื่องของเธอและริไอ

    “ความจริงฉันไม่อยากเอาอาการของน้องมาพูดแบบนี้ แต่ช่วยไม่ได้ที่เธอดันมาเห็นเข้าพอดี ถ้ายังไงฉันขอได้ไหมว่าอย่าเอาเรื่องนี้ไปพูดกับอาซึฮะ หรือว่ากับใคร”

    น้ำเสียงท้ายประโยคที่เป็นไปในเชิงขอร้อง ไม่ใช่คำสั่ง จากชายที่ย่อมมีอำนาจเหนือกว่าใครในคฤหาสน์นี้ ไหนจะน้ำเสียงที่ไพเราะน่าฟังมากยามเปิดปากพูดประโยคยาวยืดทำให้โทคิเนะที่พยักหน้าหงึกได้แต่ก้มใบหน้าสีแดงเรื่องุดลงไปไม่กล้าแหงนเงยขึ้นมาอีก ไม่นานก็ดื่มโกโก้ร้อนที่จะกลายมาเป็นเครื่องดื่มโปรดของเธอนับจากนี้จนหมด เมื่อนั้นเขาจึงลุกขึ้น เอ่ยย้ำประโยคซ้ำเดิมของก่อนหน้านั้นอีกครั้งว่า

    “มาเถอะ”

     

    หนนี้เขาไม่ได้เดินนำหน้า แต่ว่าเคียงข้างไปกับเธอด้วยจังหวะที่ช้าลง และระยะทางที่โทคิเนะอยากให้ทอดยาวไปไกลกว่านี้เป็นไม่รู้จบ

    เมื่อกลับมาถึงหน้าห้องนอนของเธอ โทคิเนะก็ไม่ลืมที่จะค้อมหัวเอ่ยคำขอบคุณให้แก่ผู้มีพระคุณ

    “ขอบคุณมากเลยนะคะ เอ่อ คุณชายอิวาซากิ”

    พลันนั้นเองที่หัวใจของโทคิเนะจะเต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมาเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อใบหน้าที่เคยนิ่งเฉยเย็นชาของเขามีรอยยิ้มบางๆ แม้มันจะปรากฏอยู่แค่เสี้ยววินาที แต่โทคิเนะก็มั่นใจว่าเธอไม่ได้ตาฝาดไปเอง ถึงแสงสว่างบนโถงทางเดินตรงสุดหัวมุมนั้นจะมีเพียงน้อยนิด ยามที่เขาตอบกลับมาว่า

    “เรียกฉันว่าไทโช”

    และเด็กสาวก็แน่ใจว่าเธอจะนอนหลับสนิทได้จริง หลังจากคำพูดที่เป็นดั่งเวทมนตร์ซึ่งช่วยมอบความอบอุ่นให้ในค่ำคืนที่หนาวเหน็บ คลอเคล้าไปกับเสียงดนตรีจากธรรมชาติซึ่งบรรเลงท่วงทำนองกล่อมฝันว่า

    “ราตรีสวัสดิ์ โทคิเนะ”











    2023年07月28日
    _______________
     มิติใหม่ของการลงฟิค ไม่ได้ทำรูป ไม่ได้เกลาฟิค ไม่มีห่าเหวอะไรทั้งนั้นเพราะกูยุ่งมาก เดือนหน้าจัดงานศพกูได้เลยประมาณนั้น แต่เพราะวันนี้แมกฯโซเอ็นวางแผน (และไทโชออกฮามาดะคาโยไซกับเจสสี้จูริและฮาชิโมโตะวันนี้โตยบ่ะ) กูก็เลยถือฤกษ์ลงวันนี้ไปเลยต้องแคร์อะไร! แต่งมาตั้งแต่สี่วันก่อนที่ได้เห็นรูปรั้ววัง คอนเส้ปชิโระคุโระโอจิ (เจ้าชายขาวดำ) ซึ่งทำให้กูสั่นหงึกๆ ครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาทันที โลกรู้ว่ากูขาดแคลนความแฟนตาซีมาตั้งแต่ทราวิสจากไป ไอ้วงที่ให้ได้กูก็ไม่ชอบ ไอ้ที่ชอบก็ให้ไม่ได้จนกระทั่งวันนี้! ที่บังเอิญมากว่าช่วงนี้ผีเข้า อะไรไม่รู้ กูกลับมาอินกับ Lies of P พอดี ที่เซ็ตติ้งมีความสตีมพังค์ วิคตอเรียน บุรบาป! และมีความเป็น Belle Époque ที่ชื่อวงบชนก็มีคำว่าสวยงามยังไงล่ะวะ! เอาเป็นว่าเซ็ตติ้งมันก็คือแบบในเกมนั้นแหละ ผสมกับไวลด์เวสต์แบบ RDR2 ที่กูไปดูคลิปเดินรอบเมืองตอนฝนตก ฉากตอนต้นก็เลยให้มีฝนตกด้วยเลยดีกว่า >_< แต่สตอรี่ก็ยังเป็นแนวลึกลับ กอธิค สไตล์จินตวีร์...ที่ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากรีเบคก้า (ซึ่งกูไปไล่ดูทุกภาคที่ทำมาหมดแล้วและบอกได้ว่าเวอร์นฟห่วยแตกที่สุด เวอร์ทีวียังม่วนซะกว่า แต่พ่อฮิตช์ค็อกกูดีสุดจ้าา) ตอนแรกก็จะให้อยู่บนป่าเขาเหมือนจินตวีร์นี่แหละ แต่พอดูรีเบคก้าก็คิดว่าเอาเป็นทะเลดีกว่า เดี๋ยวเรื่องน็อกเทิร์นเอาไว้ค่อยเข้าป่า ส่วนบทคุณคุโรยานางิก็ได้มาจากคุณแดนเวอร์สจริง 55555 
     ชื่อเรื่องได้มาจากตอนหาเพลงอนิเมะแนวดาร์ก เป็นเพลง OP2 ของเรื่องชิกิที่มึงก็คงได้เห็นมากมายเวลาจัดอันดับอนิเมะสยองขวัญ (มันเป็นแนวแวมพาย หรือว่าฟิคเรื่องนี้จะ...) ที่ตอนแรกกูไม่ได้จะใช้หรอกเพราะไม่ชอบแนวดอกไม้ แต่พอไปหาอ่านคำแปลก็เอ้า เค้าใช้คำว่าแมรี่โกลด์ (ที่อุกิโชก็ชอบเพลงแมรี่โกลด์ของไอเมียน) สรุปแล้วมันก็คือดอกดาวเรืองเหมือนกับคาเลนดูล่า ทีนี้ดอกดาวเรืองสีอะไร เหลืองๆ ส้มๆ ไม่ใช่เหรอวะมึง! แล้วพอกูไปเจอว่าเป็นสัญลักษณ์แทน grief, despair, remembrance, joy ก็ไม่ต้องรออะไรแล้ว เคาะเลยจ้าพี่ เพราะงั้นก็เลยเอาคำญี่ปุ่นของดอกดาวเรืองในเนื้อเพลงมาตั้งเป็นชื่อคฤหาสน์ไปเลยแล้วกัน ต้องแคร์อะไรงับ >_< 
     บอกเลยว่าเรื่องนี้มาแค่อุกินาสุคานะไท เพราะสองคนนั้นจะมายังไงก็ไม่ได้รักกับใคร แสลงใจตัวกูนี่แหละ เสียใจเหมือนกันเพราะหล่อทุกคนแต่ก็ไม่อยากยัดมาหมดเพราะแค่นี้คนก็เต็มคฤหาสน์แล้ว U_U ทุกคนไม่ใช่พี่น้องกันเพราะไม่อยากแต่งพี่น้องแย่งกันเหมือนมึงจ้าา ไทโชต้องใหญ่สุด ได้เป็น (ลูก) เจ้าบ้านเพราะลุคในโซเอ็นแม่งของจริงไม่จกตาโว้ยยย! อุกินาสุเป็นเพื่อนไทโชแต่อยู่ที่นี่แหละไว้เดี๋ยวบอกเหตุผล ส่วนอิสเสอันนี้เป็นญาติ (เหมือนน้อง) ของไทโชจริง ตั้งใจให้คุณอิวาซากิเป็นชาวต่างชาติ...เป็นเจสสี้เลยแหละอีเหี้ย! เพราะนึกถึงที่ไปอ่านเจอแมกฯเล่มหนึ่ง (สองสามปีละมั้ง) แล้วไทโชก็เล่าว่าชอบมีคนต่างชาติมาถามทางเพราะหน้าดูไม่ญี่ปุ่น (ที่กูก็คิดมานานละว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงมีกระได้วะ มันก็คงมีบ้างแหละ แต่ส่วนใหญ่กูจะเห็นในนางแบบลูกครึ่งจ๋าๆ เลยไหมวะ แถมทรงหุ่นดูตัวใหญ่ๆ ถึงจะไม่ได้ตัวสูงเว่อร์ (แต่ก็ถือว่าสูงในจูเนียร์รุ่นนี้ละมะ) แบบไหล่กว้างมากๆๆๆๆ ละขาวแบบซีดๆ ยังไงไม่รู้ เป็นไปได้ยังไงที่จะเป็นญี่ปุ่นแท้ ก็ได้แต่ค้างๆ คาๆ อยู่ในหัว) ละถ้ามึงจำได้ เรื่องบ้านศิลาทราย พ่อของวสีก็ตัวสูงใหญ่หน้าตากระเดียดไปทางต่างชาติ เมียก็สวยมากแต่ตายแล้ว แต่ก็กลับมามีชีวิตได้ด้วยสมุนไพรและอิทธิฤทธิ์ของพญาอืออู! หรือว่าฟิคเรื่องนี้จะ... / อ่านไปอ่านมาอาจรู้สึกว่ามันเหมือนเดกะแด๊งของมึง แต่กูอาจก๊อปมาจริงก็ได้แค่ไม่บอกมึงจ้าา >_< / ยังมีแรงบันดาลใจโน่นนี่นั่นอีกเยอะ แต่ไว้ลงครบ (ที่กูแต่งไปได้เยอะมากๆ เพราะเพลินมาก ยังไงก็มีตอนแรกให้อ่านแน่นอน แค่รอกูว่างเกลาก่อน แม่งเอ๊ย) แล้วจะมาเล่านะ

    2023年08月28日
    _______________
     ว้าวมาก ครบหนึ่งเดือนแล้วแต่กูเพิ่งเกลา (รอบเดียว) ไปได้แค่ครึ่งบนเพราะงานยุ่งมาก ยุ่งจริง ยุ่งมาเป็นเดือน ดาวก็เคลื่อนหลอกๆ ขณะที่มึงไปเบียวความกอธิคแบบโอตาขุ กูสิดันมากอธิคแบบจินตวีร์ orz แต่ก็เอาล่ะ ถึงเวลากูบอกแรงบันดาลใจของนางเอกสองคนที่คันปากมานานสักทีโว้ยยย
     พล็อตของโทคิเนะได้มาจากเกมโอโตเมะที่ชื่อ Shuuen no Virche -ErroR:salvation- (ขนลุก ชื่อชูเอ็นเหมือนชื่อคฤหาสน์ถึงความหมายและคันจิจะไม่ใช่ก็เถอะวะ!) ที่กูไปเจอคนรีวิวกูเลยนั่งอ่านไปเรื่อย พล็อตก็เบียวๆ วิทย์ๆ ผสมแฟนตาซี แนวคำสาปแห่งความตายที่ทุกคนจะตายตอนอายุ 23 แล้วนางเอกก็ถูกเรียกว่าเทพแห่งความตายเพราะเป็นตัวซวยตลอด เข้าสถานเด็กกำพร้าก็มีคนตาย แล้วก็วู้ววว พล็อตพร่างพรู โยงบทกับฝั่งไทโชที่คิดไว้คร่าวๆ ตอนแรกแต่ยังไม่ลงตัวได้แบบมหัศจรรย์ / ส่วนพล็อตของริไอมาจาก The Good Doctor S5 ที่กูได้ทำเองแหละจ้ะ มีเคสหนึ่งที่ผู้ป่วยเป็นเส้นประสาทเรื้อรังเพราะล้มคอฟาดตั้งแต่หกปีก่อน อยู่มาวันหนึ่งก็จะปวดมาก ทรมานไม่ได้ ทำงานไม่ได้ ลุกจากเตียงไม่ได้ เลยมาหาหมอเพราะอยากทำโลโบโทมี่ (แต่เรื่องนี้ไม่ได้ทำหรอกนะ) ที่ก็วู้ววว พล็อตพร่างพรู โยงบทกับอุกิโชที่ตอนแรกคิดแทบไม่ออกเลยได้แบบมหัศจรรย์ อุกิถึงได้เป็นหมอไงล่ะ ฮ่าๆๆ แม่งเอ๊ย บอกเลยว่าพล็อตที่กูแต่งทิ้ง แต่งไม่ถึง แต่งไม่จบ แต่รักมาก อยากแต่งมาก มันมาอยู่ที่เรื่องนี้แหละ! ที่ไทโชกับอุกิโชนี่แหละ! / ส่วนฉากที่คนในหมู่บ้านตายเพราะโรคระบาดมาจาก A Discovery of Witches ที่กูได้ทำพอดีเลยลักมาด้วย เพราะอันนั้นก็ยุควิคตอเรียนไหมนะ เรื่องนี้ก็ราวๆ นั้น ผสมๆ กันไปก็แล้วกัน >_<
     อยากเล่ามานานแล้วว่าตอนกูหาเพลงประกอบนะ หายังไงก็ไม่เปิงใจสักทีแต่ก็สู้หาเพลงเจร็อคเพลงอนิเมะแนวดาร์กๆ ฟังไปเรื่อย จนไปเจอคนรวมซาวนด์แทรคของบาเกะโมโนกาตาริอันนี้ ที่ได้ฟังครั้งแรกก็ชอบเลย ต้องใช้เลย ละอะไรรู้ไหม พอกูไปเสิร์ชดูถึงรู้ว่ามันคือเพลงของฮิตากิ...ไวฟุของไทโช! แม่งเอ๊ย ในบั้มมี 70 เพลงแท้ๆ ก็ยังจะจุดใต้ตำตอ

    2023年09月18日
    _______________
     ฤกษ์งามยามดีกูได้กลับมาสู่คฤหาสน์ดำสักที อันเนื่องจากว่าวันที่ 16 เกม Lies of P มี early access ก่อนปล่อยเกมจริง 72 ชั่วโมงซึ่งกูใช้เวลาเล่นไปทั้งสิ้น 10 ชั่วโมงไม่ได้ทำเหี้ยอะไรเลย หมายถึงในเกมก็ไม่ได้เหี้ยอะไรเลย เพราะโลกรู้ว่าเกมโซลไลค์ไม่ใช่กับทุกคน...โดยเฉพาะคนไม่มีความอดทนแบบกู U_U และนอกจากที่วันเสาร์มีบีทูบแล้ว (ไปเล่นบ้านผีสิง!) ก็ยังเป็นวันที่ปล่อยรูปโปสฯโชเน็นตาจิที่บิโชเน็นหล่อมากเว่อร์ กุมใจ โลกรู้ว่ากูอยากแต่งพล็อตแนวชาวบ้านๆ นักเลงๆ ตั้งแต่เพลงแบล็กโกลด์ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังนึกอะไรไม่ออกสักอย่าง ไม่รู้มันติดตรงไหนจริงๆ ทั้งที่ลุคก็ให้ใจก็รักแล้ว T_T / ปล. ตั้งใจจะลงเมื่อวานแต่เกลาไม่เสร็จเลยไปนอนก่อน พอตื่นมาก็ตกใจเพราะบ่าตันมึ๊งว่าวันนี้เป็นวันเกิดพี่ฟูจิอิ! วู้ววว
     กราบขอบพระคุณเกมพีสำหรับเซ็ตติ้งเมือง Krat (อ่านว่าครอท) ที่เป็นแรงบันดาลใจใหญ่หลวงให้กับฟิคเรื่องนี้อย่างมากมายมหาศาล เพราะไม่อย่างนั้นมันคงจะออกมาทรงคุ้มทางเหนือแบบจินตวีร์แทนนะเพื่อนนะ TvT กูยังจำได้อยู่เลยว่าตอนเห็นตัวอย่างเกมนี้ครั้งแรกสุด (น่าจะปีที่แล้ว) กูก็บอกมึงว่าเห้ย! เกมนี้มันแนวมึง! แต่มึงก็ไม่นำพา พอเดโมออกกูเลยเล่นเองชอบเองไม่ต้องกลัวใคร ฮึ / ฉากละเมอเดินได้มาจากเรื่องรีเบคก้าของนฟ (ในคฤหาสน์ดำก็มีฉากที่ครูสายทิพละเมอเดินเหมือนกัน กูนิไค่หัวเลย ตอนแต่งก็บ่าตันมึ๊ง) แต่คิดซีนของไทโชกับโทคิเนะอยู่สามตลบเพราะอยากให้เจอกันตั้งแต่แรกเลย แต่แต่งไปร้อยแปดอย่างยังไงก็ไม่เปิงใจ จนเห็นฉากในคฤหาสน์ดำที่มีห้องเขียวชั้นบนเอาไว้เก็บเครื่องดื่มข้างห้องหัวหน้าคนใช้ที่ดูแลเจ้าคุณปู่ที่ป่วยเป็นอัมพาตจะได้ไม่ต้องลงมาข้างล่าง ก็เลยจิ๊กมาให้หมดๆ ไปเลยแล้วกันไม่ต้องกลัวใคร / และบังเอิญที่กูไปอ่านเจอว่าช็อกโกแลตเป็นเครื่องดื่มราคาแพงในสมัยศตวรรรษที่ 16-17 มีแดกได้แค่ขุนนาง ราชวงศ์ และพลเมืองที่ร่ำรวยทั่วยุโรป  (นึกถึงโกโก้ตรานางพยาบาลสมัยเด็กเลยนิ) ก็เลยจะสื่อว่าบ้านอิวาซากิรวยเว่อร์รวยจริงไม่จกตาไม่ใช่เศรษฐีปลอมเหมือนคริมสันพีคจ้ะ (ที่กูรับหมดทั้งบทนางเอกและพี่พระเอกเพราะหวงผัว >_<) แต่ความจริงแล้วเรื่องนี้จะเป็นยุคไหนอะไรก็ช่าง กูอยากแต่งอะไรก็แต่ง โนสนโนแคร์ (แต่ในเกมพีเหมือนจะเป็นปี 18xx) / ที่พอกลับไปเล่นเกมถึงรำลึกได้ว่าตอนต้นก็มีฝนตกเหมือนกัน หรือแนวกอธิกมันต้องมีฝนจริงๆ วะ มึงก็อย่าลืมมีฝนตกด้วยล่ะ
     บอกตรงนี้เลยว่าคำบรรยายในเรื่องจะดูเว่อร์เกินจริง เช่นหล่อสวยประหนึ่งภาพวาด ตุ๊กตาบลายธ์ หน้าโคตรต่างชาติทั้งที่ก็ญี่ปุ่นจ๋า หรือตัวสูงใหญ่ทั้งที่ก็แค่ร้อยเจ็ดสิบห้าเซน ฯลฯ เพราะเรื่องนี้กูจะแต่งด้วยนิยามแบบนิยายสมัยก่อนที่พระนางจะเพอร์เฟกต์เว่อร์อะไรเบอร์นั้นวะ เกิ๊น! ขนาดเมียเก่าพระเอกว่าสวยแล้วแต่ยังไม่เท่านางเอกที่สวยที่สุดในโลกแล้วมั้ง แถมต้องบ้านจนด้วยนะ เลยเหรอ! จะไม่เผื่อแผ่ใครเลยเหรอ! มันจะเกินปุยมุ้ย! (แต่เรื่องนี้กูเผื่อแผ่ให้หมดทั้งเรื่องแล้วเลยไม่ตกมาที่นางเอกนี่ไง U_U) / เหมือนกับที่ภาษาหลายท่อนหลายตอนกูตั้งใจให้มันออกมาโบราณๆ ตามสไตล์จินตวีร์ (ละเพิ่งดูข้างหลังภาพกับมึงด้วย หยุดไม่ได้เลย ตามสมควร) ถ้าอ่านแล้วรู้สึกก็ดี แต่ถ้าไม่ก็ไม่ทำไมหรอก
     ขอพื้นที่ให้กูกรี๊ดหน่อยเพราะไทโชในโชคุระสัปดาห์ก่อนโน้นร้องเพลง When You Wish Upon a Star ซึ่งเป็นเพลงประกอบเรื่องพิน็อกคิโอของดิสนีย์! อันสร้างมาจากวรรณกรรมอิตาลี! ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ลายส์ออฟพี! (มีอาโอกิเล่นเปียโน วู้ววว) / เห้อออ แต่งบทหล่อเองลบภาพไทโชชิกเก้นเองนักเลงพอ U_U 
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×