คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #48 : Catharsis: บทที่หนึ่ง (นรก)
時々虚しくなって全部消えてしまえばいいと思うんだ
บางครั้งฉันก็รู้สึกว่างเปล่า จนคิดว่าถ้าทุกอย่างหายไปก็คงดี
神様なんてとうの昔に阿佐ヶ谷のボロアパートで首吊った
พระเจ้าสูญสิ้นไปเนิ่นนานแล้วยามแขวนคอตัวเองที่อพาร์ตเมนต์โกโรโกโสในอาซากายะ
綺麗な星座の下で 彼女とキスをして
ขณะที่ฉันจูบเธอภายใต้หมู่ดาวที่งดงาม
消えたのは 思い出と自殺願望
ความทรงจำและความปรารถนาที่อยากจะตายของฉันก็หายไป
そんな光
มันคือแสงสว่างแบบนั้นแหละ
บทนำ
เขายืนอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เร่งรีบสวนทางกันในห้วงราตรีกาลบนห้าแยกชิบุยะที่พลุกพล่าน วุ่นวาย วกวน จนไม่มีช่องว่างให้กับความโดดเดี่ยว แต่ทั้งอย่างนั้น เหตุใดเขาจึงรู้สึกเปลี่ยวเหงาจนรวดร้าวถึงเพียงนี้กัน? ใบหน้าของพวกเขาต่างดูคุ้นเคย หากไม่ว่าจะพยายามเขม้นมองเพียงไร ก็เห็นเพียงความเฉยชาและว่างเปล่า ไม่ต่างอะไรจากใบหน้าของหุ่นโชว์ไร้ชีวิตที่เขานึกขลาดกลัวอยู่เสมอ เป็นวินาทีนั้นเองที่เขาตระหนักถึงความเงียบงันรอบกาย ไม่มีแม้แต่เสียงลมพัดหวีดหวิวหรือลมหายใจส่งผ่าน เหมือนมีใครมาปิดโสตสดับของเขาให้มืดบอดมิอาจรับรู้ถึงสิ่งใด กระทั่งการมีอยู่ของตัวเอง เขาหลับตาลง แล้วจึงได้ยินเสียงใบไม้เสียดสีลู่ลม เช่นเดียวกับความยะเยือกเย็นที่พัดโพยกระทบเนื้อหนังให้เขาเปิดเปลือกตาลืมขึ้น ภาพท้องถนนเหล่านั้นหายไป ขณะนี้เขากำลังยืนอยู่ในป่ารกชัฏที่มืดหม่น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เขาก็เริ่มวิ่ง ออกวิ่งไปตามเส้นทางที่ราวกับเปิดกว้างให้แก่เขาโดยไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย จนเมื่อได้มองเห็นแสงสว่างที่ลอดผ่านแมกไม้เข้ามา ฝีเท้าเปล่าเปลือยของเขาจึงชะลอลงจนหยุดนิ่งทันทีที่พ้นแนวป่าออกมาสู่ยอดผา เบื้องหน้าเขาคือแสงสีส้มเรืองรองของพระอาทิตย์ที่กำลังตระหง่านขึ้นสู่ท้องนภา ดั่งปฏิกิริยาเร่งเร้า แล้วเขาก็ออกวิ่งไปอีกครั้งโดยไม่หวาดกลัวต่อหุบเหวที่มองไม่เห็นเบื้องล่าง
หากก็มีมือขาวๆ ข้างหนึ่งเอื้อมมาจับเขาไว้ก่อนที่ทั้งร่างจะร่วงหล่นลงไป เขามองไม่เห็นใบหน้าของเธอที่ค่อยๆ ถูกกลืนกินไปทีละน้อย ภาพสีสรรพ์หม่นหมองเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างสีขาวเจิดจ้าจนเขาต้องหลับตาลง
เขาได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างใบหู
“ฉันจะอยู่กับเธอ”
จากนั้นก็เลือนหายไป
๑.
วันเวลาต่างก็เดินตรงไปข้างหน้าไม่มีหวนย้อนกลับ เฉกเช่นเดียวกับความผิดพลาดในชีวิตของเขา ความผิดพลาดที่เป็นมลทินติดตัวมาตั้งแต่เกิดโดยที่เขาไม่มีแม้แต่ทางเลือก ผ่านมาเกือบเดือนได้แล้วนับตั้งแต่ความลับของความผิดพลาดนั้นได้ถูกเปิดโปงต่อเหล่าสาธารณชน หากแม้กระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่อาจทำใจรับในสิ่งที่เกิดขึ้น จากทุกคนที่เคยเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็น ‘เพื่อนร่วมห้อง’ ไม่ใช่แค่เพียง ‘สิ่งมีชีวิต’ ที่ร่วมใช้ห้องเรียนเดียวกันเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ และสิ่งมีชีวิตที่ร่วมใช้ห้องเรียนเดียวกันก็หาได้หมายถึงเหล่าพวกมากลากไปเหล่านั้น เมื่อทุกคนในห้องปี 2-2 ต่างก็รู้ดีว่าหมายถึงเขา สิ่งมีชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อว่านากามูระ ไคโตะ ขณะที่ปัจจุบันนั้นคือไอ้ตัวเชื้อโรคน่ารังเกียจ ที่ยังหาญกล้าโผล่หน้าสลอนมาโรงเรียนอยู่ได้ทุกวี่วัน
จากเด็กนักเรียนชายผู้เป็นที่รัก ทั้งหน้าตาดี มนุษยสัมพันธ์ดี นิสัยดี มีน้ำใจ ไม่ว่าจะเรื่องเรียน กีฬา หรือกิจกรรมก็รักษาสมดุลอยู่ในระดับแถวหน้าได้อย่างไม่คลอนแคลน จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ผู้สมบูรณ์แบบคนหนึ่งอย่างที่หาได้ยากยิ่ง ไม่มีใครสนใจว่าเขาจะขาดพ่อหรือฐานะทางการเงินจะไต่ระดับชั้นพีระมิดขึ้นมาได้เพียงนิดก็จวนเจียนจะร่วงแหล่มิร่วงแหล่ ไม่ใช่แค่ไม่มี...แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่เพื่อนร่วมห้องคนใดจะหยิบยกเรื่องราวงี่เง่าพรรค์นั้นมาล้อเลียนหรืออาจแม้แต่พูดลับหลังกันให้สนุกปาก และความจริงก็คือทุกคนต่างก็พร้อมออกหน้าปกป้องเขากันอย่างเต็มที่ สรรเสริญเยินยอมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งแทบไม่ต่างอะไรจากพระเจ้าเดินดิน เพราะอย่างนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ชวนหัวเสียเหลือเกิน เมื่อสาวกเหล่านั้นต่างโง่เขลาและนึกถึงแต่ตัวเองเกินกว่าจะรับฟังถ้อยวาจาหรือตระหนักถึงความเป็นจริง หูเบาเชื่อคำว่าร้ายจากสาวกคนสนิทข้างกายเขา คนที่มีอำนาจเทียบเคียงกับพระเจ้า ก่อนจะตอกตรึงพระเจ้าที่เชื่อสาวกผู้นั้นหมดใจกับไม้กางเขน และแห่เร่ป่าวร้องความชั่วร้ายในมโนนึกของตนใส่เหล่าสาวกที่พากันขว้างปาก้อนหินใส่ พร้อมสบถด่าทอพระเจ้าที่ลวงหลอกด้วยความโกรธแค้น จากนั้น สาวกคนสนิทก็ขึ้นมานั่งบัลลังก์แทนที่ด้วยรอยยิ้มเหยียดหยันต่อพระเจ้าผู้วายชนม์ ผู้ไม่อาจแม้แต่จะหลั่งน้ำตาเลือดน่ารังเกียจออกมาได้
ทีแรก เขาไม่เข้าใจเหตุผลในการกระทำของสาวกผู้นั้น จนกระทั่งข่าวลือเรื่องของเขาและแม่แพร่สะพัดไปทั่วชมรมกรีฑา จากจุดสูงสุดร่วงลงมาสู่จุดต่ำสุดแค่เพียงชั่วกะพริบตา มิใช่แค่เพียงบัลลังก์โอ่โถง หากสาวกผู้นั้นยังช่วงชิงความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตของพระผู้เป็นเจ้าไปด้วย เมื่อชื่อของมัตสึมูระ โฮคุโตะจะได้แทนที่เขาขึ้นเป็นตัวจริงประจำโรงเรียนในการแข่งขันกรีฑาระดับจังหวัด วินาทีนั้นเอง ไคโตะถึงได้เข้าใจทุกอย่าง
ความยุติธรรมไม่มีจริงฉันใด ความทัดเทียมกันก็ไม่มีจริงฉันนั้น ถึงจะเคยเป็นเพื่อนรักที่เสมือนดั่งพี่น้อง แต่การต้องถูกมองข้าม ถูกคนรอบข้างกดหัวเขาให้อยู่ใต้ร่มเงาของของไคโตะมาตลอด ได้ค่อยๆ กร่อนทำลายความดีงามภายในจิตใจที่เปราะบางนั้นไปทีละน้อย บางทีการถูกแย่งชิงสิ่งที่เปรียบดั่งความภาคภูมิใจอันเป็นศักดิ์ศรีเดียวของเขา จากอดีตแชมป์กรีฑาระดับจังหวัดมาตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่ง กลับถูกลดระดับลงมาเป็นแค่ตัวสำรองในการแข่งขันประจำปีนี้ และเชือกเส้นสุดท้ายที่ยึดเหนี่ยวหน้ากากปกปิดตัวตนมุ่งร้ายนั้นก็ขาดผึง
ทันทีที่เขาเลื่อนบานประตูเข้าไปในห้องเรียน ส่วนใบหน้าก็จะถูกกระแทกเข้าอย่างจังเหมือนเช่นทุกวัน มันได้กลายเป็นสูตรสำเร็จของการกลั่นแกล้งยามเช้าที่เขารู้ดี...และเตรียมใจยอมรับ จนกลายเป็นความชินชาต่อบาดแผลทางกายไปแล้ว หลังจากเหตุการณ์น่าอดสูที่สุดในชีวิตของเขาวันนั้น ก็ไม่มีใครกล้าเฉียดเข้าใกล้หรือพูดคุยกับเขาเหมือนปกติอีกต่อไป ถึงจะทำเหมือนเขาเป็นอากาศธาตุก็หาใช่เสียทีเดียว ตราบเท่าที่สีหน้าขยะแขยงหรือหวาดกลัวพวกนั้นจะยังคงเสียดแทงมโนสำนึกเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ภายในห้องเรียนที่เคยสดใสดั่งพระอาทิตย์ยามเช้ากลับดำทะมึนเหมือนมีเมฆหมอกมาบดบัง ส่งบรรยากาศหนักอึ้งเข้มข้นลอยวนอย่างหน่วงหนักและน่าอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก จะมีก็แต่กลุ่มของโฮคุโตะ หรือลงลึกไปกว่านั้นคือกลุ่มเพื่อนเคยสนิทของเขาที่ตั้งหน้าตั้งตาสรรหาวิธีกลั่นแกล้งต่างๆ นานา ทั้งเอาขยะมายัดในเก๊ะ เอาตะปูมาโรยรอบๆ โต๊ะและในล็อกเกอร์ ปาข้าวของใส่หน้า จิกกัดด่าทอพร้อมผสมโรงหัวเราะลั่นกันได้ไม่รู้เบื่อ อย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องเดียวที่ไคโตะยังไม่อาจเข้าใจ มิตรภาพลูกผู้ชายสามารถแตกหักกันได้ง่ายดายเพราะเรื่องแค่นี้เองหรือ?
หรือเพราะว่าลึกๆ ในใจ พวกนั้นต่างก็เกลียดชังในความสมบูรณ์แบบของเขาตลอดมากันแน่?
หากในวันนี้กลับแตกต่างไป เมื่อเขารู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นๆ ที่ไหลย้อยลงมา เพราะไม่รู้สึกถึงความข้นหนืดจึงแน่ใจว่าไม่ใช่เลือด แน่นอนว่าคงไม่มีใครกล้าทำร้ายเขาจนถึงขั้นเลือดตกยางออกด้วย บางทีคงจะเป็นกล่องนม เขายกแขนเสื้อสูทขึ้นปาดใบหน้า และทันใด การโจมตีระลอกสอง สาม สี่ก็ตามมาอีกไม่มีให้พักหายใจ ตั้งแต่หัวจรดเท้าเปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีน้ำตาลและกลิ่นเหม็นเน่าที่คละคลุ้งจนแม้แต่ตัวเองยังสะเอียน ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่ทุกคนในห้องก็เริ่มต้นด่าทอเขาสารพัดด้วยความโกรธขึ้งที่เหมือนจะถูกปลุกเร้าจากกลิ่นเหม็นเน่า พอๆ กับข้างในใจที่ฟอนเฟะของตนเอง
“ไม่มีใครเค้าต้อนรับแกแล้วยังเสนอหน้ามาโรงเรียนอยู่ได้! เป็นพวกโรคจิตชอบโดนทำร้ายหรือไงไอ้ตัวเชื้อโรค!”
“ตัวเชื้อโรคอย่างแกสมควรไปอยู่ในถังขยะโน่น ไป้!”
“ไปตายเลยดีกว่า!”
“ใช่ๆ! ไปตายซะไอ้ตัวเชื้อโรค!”
เขารู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะสำรอก อยากระเบิดความหงุดหงิดทั้งหมดที่ถูกกักเก็บออกมาด้วยการพังข้าวของ กระทืบ และละเลงเลือดหัวพวกแมลงสาปสกปรกที่อยู่ในห้องนี้ให้หมดทุกตัว แต่เมื่อนึกถึงเหตุผลเดียวกับที่เขาต้องอดทนต่อการกลั่นแกล้งและมาโรงเรียนทุกวี่วัน ซึ่งกำลังรอคอยเขาอยู่ที่บ้านด้วยความคาดหวังต่อสมบัติล้ำค่าเดียวในชีวิตที่เหลืออยู่แล้ว เขาจึงได้แค่กำหมัดแน่นด้วยความอดกลั้นเหมือนอย่างเช่นทุกครั้ง ก่อนหมุนตัวออกจากห้องเรียนไปท่ามกลางคำพูดสาปส่งที่ยังคงดังไล่หลังตามมา
และชีวิตในนรกก็ยังคงดำเนินต่อไป
๒.
ทุกวันนี้ แทบไม่มีนักเรียนคนใดในโอโสะใช้เส้นทางมายังตึกเรียนเก่าอีกแล้ว หลังจากตึกใหม่ทางทิศตะวันตกแล้วเสร็จก่อนช่วงเปิดเทอมเลื่อนชั้นประจำปีการศึกษาก่อนนี้เอง อีกทั้งยังมีแปลงดอกไม้ที่ผอ.เก่าเพาะปลูกดอกกุหลาบทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์ในช่วงระยะเดียวกันก่อนต้องย้ายไปประจำการไกลถึงซัปโปโร อาจฟังดูโหดร้าย หากไม่ใคร่จะมีผู้ใดระลึกถึงหล่อนมากนัก จนอาจกล่าวได้ว่าแปลงดอกไม้นี้มีคุณูปการมากกว่าการทำงานตลอดสามปีการศึกษาที่หล่อนได้เพาะเมล็ดพันธุ์ความมักใหญ่ใฝ่สูงในตัวเด็กนักเรียนเสียอีก มันเติบโตงอกงามราวเถาวัลย์เลื้อยลดคดเคี้ยวที่แพร่ขยายออกไปไม่รู้จบรู้สิ้น หากกุหลาบดอกงามกลับเหี่ยวเฉาด้วยไม่มีใครใส่ใจดูแลอย่างที่ให้คำมั่นแก่หล่อนไว้เลย จากสนามกีฬาและสวนสันทนาการขนาดย่อมที่คึกคักได้ตลอดทั้งวันแม้กระทั่งช่วงเช้าก่อนเข้าเรียน บัดนี้กลับกลายเป็นพื้นที่ทิ้งร้างยากจะมีใครย่างกราย เช่นเดียวกับตึกเก่าที่มีแค่ห้องสมุดกับห้องชมรมภาพยนตร์และชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ ซึ่งยึดครองพื้นที่ชั้นสองและสามเอาไว้โดยไม่มีใครทัดทาน แต่ไหนแต่ไร เปอร์เซ็นต์การเข้าห้องสมุดของเด็กโอโสะก็ต่ำระเรี่ยจนแทบไม่จำเป็นต้องบันทึกค่ากันให้ยุ่งยาก แค่นับหัววันต่อวันก็เก็บจำนวนสถิติผู้เข้าใช้บริการได้ครบถ้วนซึ่งแทบไม่ถึงเลขปลายสองหลักเอาตอนหมดปีอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อมาอยู่ในตึกเก่าไกลปืนเที่ยงเช่นนี้ จึงแทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าปริมาณความหนาแน่นของผู้ใช้บริการจะคงที่เท่าไหร่ คงด้วยเหตุฉะนั้น ละแวกนี้จึงเริ่มมีข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องลึกลับเล่าขานผ่านปากต่อปาก บ้างเห็นเงาร่างบนตึกทั้งที่ไม่มีใคร หรือไม่ก็เจอผู้หญิงชุดแดงกับดอกกุหลาบในแปลงดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา แน่นอน ไคโตะไม่เคยเชื่อเรื่องเหลวไหลพรรค์นั้นอยู่แล้ว เมื่อเห็นกันอยู่ทนโท่ว่าแปลงดอกไม้กลับมาออกดอกสวยสะพรั่งตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปีก่อนโน้น แต่กลับกลายมาเป็นเรื่องดีที่ในตอนนี้โอโสะได้มีพื้นที่ปลอดผู้คนเสียที แถมในตอนนี้ เขาจะมีอารมณ์อื่นใดมากไปกว่าความโกรธขึ้งและเจ็บใจที่ตีรวนผสมกันจนยุ่งเหยิงได้อีก
ทำไม?
พวกนั้นมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินคุณค่าในชีวิตคนอื่นกัน?
เขาต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ระเบิดโทสะใส่ใครก็ตามที่เดินสวนมา ตลอดระยะทางจากตึกใหม่จนถึงตึกเก่า ทั้งสายตาที่เพ่งจ้องและเสียงหัวเราะซุบซิบน่ารำคาญนั่น กว่าจะพ้นสภาพอันน่าอดสูมาสู่ความปลอดโปร่งของบรรยากาศที่สงบเงียบ ขณะเดินตัดผ่านแปลงดอกไม้เพื่อจะขึ้นไปล้างตัวในห้องน้ำที่ตึกเก่า ที่อย่างน้อยๆ เขาก็มั่นใจได้ว่าจะไม่เจอไอ้พวกหน้าโง่อย่างเพื่อนร่วมห้องสอง และพวกชมรมกรีฑาที่ความรู้รอบตัวต่ำเตี้ยยิ่งกว่าเขาในวัยประถมศึกษามาป้วนเปี้ยนอยู่แถวห้องสมุดแน่ ก็เห็นๆ กันอยู่ พวกนั้นจะไปรู้อะไรในตำรา นอกจากสันดานการรังแกผู้อื่นเยี่ยงเดรัจฉาน
เขาไม่สนใจว่าแรงดันน้ำจะพาให้ตนเองเปียกปอนไปทั้งตัวเพียงใด เมื่อนิ้วที่สั่นเทาปลดกระดุมสูทเม็ดสุดท้ายออก เขาก็ขว้างมันลงไปในซิงค์น้ำจนชุ่มโชก มือทั้งสองข้างกำวางไว้ตรงขอบอ่างแน่น ทั้งที่สายน้ำฉ่ำเย็น หากทว่าขอบตาของเขากลับร้อนผ่าว และทันทีที่ก้มหน้าลงไป หยดน้ำใสก็ไหลรื้นพร้อมๆ กับเสียงสะอื้นไห้ที่เขาอดทนมาตลอดทั้งเดือนจนสุดจะไหวกลั้น หาใช่เพราะความเสียใจที่เขาไม่มีให้แก่คำจอมปลอมที่แสนสวยหรูอย่าง ‘มิตรภาพ’ อีกต่อไปแล้วไม่ แต่คือความเจ็บแค้นใจต่อโลกใบนี้ — โลกใบสกปรกโสมมที่ไม่ต่างอะไรกับขุมนรกแผดเผา — หลายต่อหลายครั้งที่หยิบใบมีดขึ้นมาส่องสะท้อนข้อมือไล้แสงจันทร์ในยามค่ำคืน แต่เมื่อหันไปเห็นหน้าแม่ที่นอนอยู่บนฟูกข้างกันนั้นทีไร ผู้เป็นลูกชายก็ได้แต่กล้ำกลืน สำนึกชั่วดีย้ำเตือนว่าเขาจะทอดทิ้งแม่ที่ยอมเสียสละทุกสิ่งในชีวิตเพื่อให้เขาได้เติบใหญ่มาจนกระทั่งบัดนี้ได้อย่างไร แต่เพราะมนุษย์ไม่ใช่พระเจ้า และเขาก็เป็นเพียงนามเยินยอของพระองค์ที่ไม่ได้มีจิตใจบริสุทธิ์พอจะอภัยบาปให้แก่มนุษย์ผู้โง่เขลา จุดสิ้นสุดความอดทนของเขาใกล้จะระเบิดเต็มที
สติฉุดรั้งของเขาหลุดลอยไปพร้อมกับหยดเลือดที่ไหลอาบลงบนหมัดข้างขวากับกระจกที่ร้าวแตก ก่อนเศษซากของมันจะร่วงหล่นในตอนที่เขาย้ำลงไป ณ จุดเดิมอีกครั้ง เศษแก้วส่องสะท้อนวาววับเรียกสัมปชัญญะไม่เต็มร้อยจากดินแดนอันไกลโพ้นที่อาจมีชื่อว่าขุมนรกให้หวนคืน ใบหน้าอ่อนโยนของแม่ถูกแทนที่ด้วยไอ้พวกสารเลวที่หัวเราะเยาะใส่หน้าเขา เสียงหัวเราะน่าทุเรศเหล่านั้นกรีดแทงจนอยากจะจบมันไปให้พ้นๆ มือของเขาสั่นเทาไร้ความมั่นคง ซึ่งก็หาได้มีความขลาดกลัวเว้นแต่ลังเลใจ เขาอยากอยู่กับแม่ แต่ไม่อาจอดทนกับนรกบนดินนี้ได้อีกแล้ว ระยะห่างระหว่างข้อมือกับเศษแก้วเหลือเพียงหน่วยมิลลิเมตร และตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงเล็กๆ สดับแทรกเสียงเย้ยเยาะเหล่านั้น
“เธอจะยอมแพ้ไม่ได้นะ”
ไม่ใช่ด้วยน้ำเสียงตะโกนก้องหรือแผ่วผิน เพียงราบเรียบทว่าแฝงด้วยความสั่นเครือที่เขาจับจดได้
ภายใต้ม่านน้ำตาและหยดน้ำปนเปที่มัวพร่า เขาได้มองเห็นร่างของหญิงสาวเรือนผมยาวสีดำสนิทที่กำลังจับจ้องมองเขามาจากตรงหน้าประตู
เธอคนนั้นเดินเข้ามาวางหอบเสื้อผ้าที่ถือมาด้วยลงบนขอบอ่างแรก ก่อนจะเดินเลยไปเอื้อมหมุนปิดก๊อกน้ำจนทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน และตัวเธอที่ถูกสายน้ำกระเซ็นสาดอีกเล็กน้อย จากนั้นก็กระทำในสิ่งที่เรียกความตระหนกจากไคโตะที่รู้สึกตัวเต็มร้อยในที่สุดจนผงะห่าง หากก็ไม่ทันมือบางที่พันผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อสูทลงบนมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลและหยดเลือด
มือของเธอกำลังเปื้อนเลือดที่เป็นของเขา
“จะตายไม่ได้”
นับเป็นครั้งแรกจากเหตุการณ์วันนั้น ที่มีใครสักคนในขุมนรกนี้ได้มอบความเมตตาให้แก่เขา
และเป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคุย จ้องตา และสัมผัสความอบอุ่นจากเด็กผู้หญิงที่เป็นเจ้าของโต๊ะถัดจากเขาไปหนึ่งที่นั่งคนนั้น คนที่เพิ่งจะย้ายมาช่วงขึ้นปีที่สอง คนที่ไม่มีเพื่อนสนิทเลยในห้อง คนที่มักจะหนีหายไปเมื่อถึงเวลาพักคนเดียว ทำอะไรเองคนเดียว คนที่ทุกคนเอาไปล้อเลียนกันว่านางแม่มดลับหลังกันให้สนุกปาก คือคนที่ไคโตะไม่เคยสนใจใคร่อยากรู้จักมากไปกว่าเพื่อนร่วมห้องที่หายใจร่วมชั้นบรรยากาศเดียวกัน คนที่เขาอาจไม่เคยว่าร้ายแต่ก็ไม่เคยปกป้องอะไรคนนั้น กลับเป็นคนเดียวที่กำลังเยียวยาบาดแผลทั้งกายและใจให้แก่เขาโดยไม่แสดงความรังเกียจอะไรเลยในตอนนี้
“ห้ามตายเด็ดขาดเลยนะ”
เขาได้มองเห็นแสงสว่าง
“คุณนากามูระ” ซึ่งอ่อนโยนที่สุดในชีวิต
คาสะโมริ นางิสะ
คือชื่อของเธอ
_______________
ความคิดเห็น