คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : ANEMOIA CHAPTER 2: The Waltz Of Utopia (II)
ทันใดนั้นเอง อลิซก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาราวกับถูกกระชากหลุดจากบางอย่างที่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร จะเป็นเพราะความฝันที่จำจดไม่ได้ หรือปัจจัยในโลกความเป็นจริงอย่างสรรพเสียงหรือการสั่นสะเทือนก็ยากที่จะบอก หากมันก็ทำให้หญิงสาวต้องผุดลุกขึ้นนั่ง รู้สึกถึงเหงื่อกาฬที่เปียกชื้นอยู่ใต้ร่มผ้าทั้งที่เครื่องปรับอากาศก็ยังคงทำงานอยู่อย่างแข็งขัน จนต้องหอบหายใจเอาอากาศเข้าไปอีกครู่ใหญ่ กว่าการเต้นของหัวใจอันรัวแรงจะกลับมาเป็นจังหวะปกติอีกครั้งหนึ่ง
นาฬิกาติดผนังที่เธอเงยดูบอกเวลาตีสองยี่สิบสาม ความมืดมิดเข้าโรยตัวปกคลุมภายในห้องนั่งเล่นที่เธอนั่งดูหนังแล้วเผลองีบหลับไปไม่ทันจะถึงครึ่งเรื่องดีด้วยซ้ำตั้งแต่ตอนหัวค่ำ ดูเหมือนว่าพักนี้เธอมักจะผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวแล้วตาสว่างเอาตอนดึกดื่นค่อนคืนแบบนี้เสมอ และอลิซก็รู้ว่าไม่ได้เป็นเพราะความเหนื่อยล้าทางกายเมื่อเธอผ่านพ้นช่วงหฤโหดของการเรียนการสอบมาแล้ว แต่ว่าเป็นทางใจ จากเรื่องราวของไทโชกับคนรักของเขาซึ่งเอาแต่รบกวนความคิดจิตใจของเธอราวกับมีตุ้มถ่วงอันหนักอึ้งนั้นต่างหาก
แม้ว่าจะผ่านมาตั้งกว่าสองสัปดาห์ได้แล้ว โลกในความฝัน — ซึ่งเคยเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง — ก็ไม่สามารถช่วยให้อลิซหลบหนีหรือมีความสุขสมหวังกับจินตนาการของตัวเองได้อีกต่อไป เมื่อนับตั้งแต่วันที่เขาพาหล่อนมาแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มกว้าง ด้วยความรักใคร่ ด้วยความภาคภูมิใจอย่างที่สุด และทำให้หัวใจของเธอเจ็บปวดราวกับถูกเชือดเฉือนอย่างที่สุด ไทโชก็ไม่เคยมาปรากฏตัวในฝันของเธออีกเลย
อีกครั้งที่อลิซตัดสินใจลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา เปิดตู้เย็นดื่มน้ำเย็นจัดเข้าไปอึกใหญ่ๆ ก่อนคว้าเสื้อคลุมขึ้นมาสวมทับ ออกไปเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์แล้วค่อยหาที่หยุดพักสักแห่งซึ่งยังคงมีการเคลื่อนไหว แทนที่จะแค่อาบน้ำแช่ตัวให้ยิ่งฟุ้งซ่านไปกว่าเก่า เมื่อเธอคงไม่อาจหยุดความคิดที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในยามค่ำคืนที่มีเพียงตัวเองลำพังได้
แสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์สีขาวจ้าบนเพดานกับเสียงผู้ประกาศข่าวยามดึกจากโทรทัศน์ที่ตั้งอยู่เหนือเคาน์เตอร์ของไดเนอร์ตรงหัวมุมถนนช่วยเรียกคืนความมีชีวิตชีวากลับคืนมาให้อลิซที่ผลักบานประตูเข้าไป แม้ว่าจะมีแค่สองชีวิตที่กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่บนโต๊ะติดหน้าต่างด้านในสุด และความคิดของอลิซก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบถึงจะเดินเตร็ดเตร่มาตั้งไกล แต่ทันทีที่อลิซเหลือบแลไปเห็นใบหน้าของคนที่นั่งหันออกมา รอยยิ้มก็พลันจุดขึ้นบนริมฝีปากคู่สีอ่อนที่ไม่ได้แต้มแต่ง เหมือนกับประกายไฟข้างในอกที่วาบขึ้นมาให้ความอบอุ่น อลิซรู้ว่ามันเป็นความคิดที่แย่ และการรีบสาวฝีเท้าไปหาด้วยความตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้าแค่เพราะแผ่นหลังของอีกฝ่ายไม่ใช่หญิงสาวคนรักของเขาก็เป็นความคิดที่ไม่อาจเรียกได้ว่าดี แต่มันผิดตรงไหนหรือก็เปล่า
ไทโชไม่ได้มองเลยมาหาเธอหรือแม้แต่แสดงทีท่ารับรู้ต่อการมีอยู่ นอกจากเป็นฝ่ายถือครองบทสนทนากับชายฝั่งตรงกันข้ามเช่นเดิมอยู่อย่างนั้น อลิซเองก็ไม่ได้ตะโกนร้องเรียกชื่อหรือว่าป่าวทักทาย ทว่าเป็นการเคลื่อนไหวของใครอีกคนซึ่งค่อยๆ หันหน้ามาหาก่อนที่เธอจะเดินไปถึงโต๊ะนั้นต่างหาก
และเมื่ออลิซกะพริบตา ความมืดมิดเข้มข้นก็เข้ามาแทนที่ มีเพียงวงไฟสาดส่องลงมาราวกับสปอตไลท์ที่ฉายภาพฉากจำเพาะเจาะจงของเธอ ไทโชที่มองจ้องมา เฉกเช่นเดียวกับชายผู้นั้น...ชายที่มีหัวกระต่ายน่าขนลุกสวมอยู่แทนใบหน้า
ความสงสัยใคร่รู้ผุดขึ้นมาอย่างแรงกล้าต่อชายสวมหัวกระต่ายผู้นั้นมากกว่าความกระตือรือร้นต่อชายผู้เป็นที่รัก หากในวินาทีที่อลิซเอื้อมมือออกไปเพื่อจะดึงหัวมาสคอตที่เขาสวมใส่อยู่ออก ร่างของเธอก็ราวกับถูกกระชากหลุดจากอะไรบางอย่าง...อีกครั้งหนึ่ง
“ลืมตาได้”
ไม่ใช่ห้องรับแขกหรือไดเนอร์มืดมิดสีดำสนิทในยามค่ำคืนที่อลิซได้มองเห็น แต่เป็นห้องสี่เหลี่ยมโล่งโปร่งสีขาวสะอาดกับแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านม่านผืนบางเข้ามาในตอนหัววัน อลิซไม่ได้ผุดลุกขึ้นนั่ง ไม่ได้รู้สึกถึงเหงื่อกาฬที่ไหลซึมผ่านชุดเดรสตัวบางหรือการเต้นของหัวใจจนเกินลิมิต เธอเพียงแค่นอนลืมตาโพลง ประสานมือทั้งสองข้างไว้บนอก เหม่อมองดูเพดานด้วยความเลื่อนลอยราวกับกำลังประมวลความคิด ก่อนน้ำเสียงเดียวกับที่ปลุกเธอให้ตื่นจากการสะกดจิตจะเริ่มต้นเอ่ยถาม
“ทีนี้ก็บอกมาว่าเห็นอะไร”
“เขาอยู่ในนี้”
“หมายถึง...เขา?”
อลิซไม่ได้ตอบคำถามของชายหนุ่มที่ถือปากกากับโน้ตนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้เหนือศีรษะเธอในทันที นอกจากยันแขนลุกขึ้นกลับมาเป็นท่านั่ง เอื้อมไปหยิบแก้วน้ำเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นดื่ม ถึงอาจไม่ได้เย็นจัดแต่เมื่อมันไหลลงคอไปก็ช่วยทำให้อารมณ์ของอลิซเย็นลง เหมือนกับที่อีกฝ่ายก็เฝ้ารอคอยการกระทำอันเชื่องช้าของเธออย่างใจเย็น ไม่มีการเร่งเร้าเอาความ เพราะถึงอย่างไรเธอก็ยังมีเวลาสำหรับการบำบัดรอบนี้อยู่อีกเหลือเฟือ ครั้นวางแก้วที่ว่างเปล่าลงไปแล้วจึงเปลี่ยนเป็นเอนหลังพิงโซฟา นั่งอยู่ในท่วงท่าเดียวกันกับเขา หากด้วยท่าทีที่เบาสบายกว่า
“ขอโทษที ฉันใช้คำผิดไป หมายถึงฉันเห็นพวกเขา ไทโชกับคนที่สวมหัวกระต่าย พวกเขาอยู่ในนี้” เธอชี้นิ้วไปที่ขมับของตัวเอง “ในหัวของฉัน”
“ทำไมพวกเขาถึงอยู่ในหัวของเธอ?”
“ฉันไม่รู้” อลิซตอบ “พี่เป็นจิตแพทย์ก็ให้คำตอบฉันมาสิ”
“อลิซ...”
“รู้ไหม ฉันคิดว่านี่เสียเวลาเปล่า” เธอตัดบทด้วยน้ำเสียงแข็งห้วนแสดงความหงุดหงิด “ขนาดพี่เป็นจิตแพทย์แท้ๆ พี่ยังหาคำตอบไม่ได้เลยว่าทำไมฉันถึงได้ฝันถึงผู้ชายที่ไม่สนิท ไม่เอาไหน จะดูยังไงก็ไม่คู่ควรกับฉันติดกันตั้งสิบวันจนทำให้ฉันตกหลุมรักหัวปักหัวปำได้แบบนี้ ไหนจะเรื่องกุญแจ เรื่องคนสวมหัวกระต่าย ฉันมาหาพี่ตั้งสามครั้งแล้วเพราะคิดว่าพี่น่าจะช่วยได้ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะได้คำตอบอะไรสักอย่าง”
“ฉันบอกชัดเจนแล้วว่าการสะกดจิตอยู่ในกระบวนการ แค่มันต้องใช้เวลา”
“นานเท่าไหร่ล่ะ?” อลิซสวนย้อนกลับไป “แล้วอย่าว่าโง้นงี้เลยนะ แต่พี่จะทำได้ยังไงเถอะ”
“เพราะฉันเชื่อในงานนี้”
ขณะสายตาแสดงความมุ่งมั่นทั้งสองคู่สบประสานกันนิ่งอย่างไม่ลดละแม้ด้วยเจตนาที่ผิดแผกเช่นเดียวกับความคิดไปจากกัน ชั่วอึดใจหลังจากนั้น รอยยิ้มบางก็ผุดขึ้นบนมุมริมฝีปากของอลิซที่โน้มตัวไปข้างหน้า “อันที่จริงฉันเองก็เชื่อในงานของพี่นะ หมายถึงฉันเชื่อในเรื่องการบำบัดแอลเอสดี”
ราวกับลูกโป่งที่ถูกเข็มสะกิด เมื่ออารมณ์และสีหน้าซึ่งเคยราบเรียบของจิตแพทย์หนุ่มจะแตกกระเจิง
“ไม่ได้! อลิซ! ฉันไม่ทำการบำบัดแบบนั้น และมันจะไม่ช่วยอะไรเธอด้วย!”
แต่สาวเจ้าก็ไม่สนใจแววตาเคร่งเครียดของเขายามเอ่ยต่อไปว่า “ฉันรู้ว่าพี่เคยถูกจับมาแล้วสองครั้ง ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่เป็นสองครั้งจากการบำบัดแอลเอสดี ทำไมล่ะ? เพราะพี่รู้ดีว่ามันได้ผลไง”
“และมันทำลายชีวิตฉัน อลิซ เหมือนที่เรื่องนี้กำลังทำลายชีวิตเธอ เสียใจด้วย แต่ฉันจะไม่ยอมให้มีครั้งที่สาม”
ครั้นถูกปฏิเสธด้วยน้ำเสียงหนักแน่นยืนยันความมุ่งมั่นของตนเองทั้งที่เขาสามารถช่วยเธอได้...เขาควรต้องช่วยเธอ เพราะนั่นคือหน้าที่ของจิตแพทย์...หน้าที่ของพี่ชาย! อลิซก็ฉุนกึกขึ้นมาทันที เธอลุกพรวดพราด แผดตะโกนใส่หน้าเขาว่า “ใช่! เรื่องนี้มันกำลังทำลายชีวิตฉัน! ตราบที่ฉันยังไม่ได้คำตอบของทุกอย่าง มันก็จะยิ่งทำลายชีวิตฉันมากขึ้นไปอีก! และถ้าพี่ไม่ยอมช่วย ฉันจะไปหาคนที่ช่วยได้เอง!” ก่อนตอกกระแทกส้นรองเท้าแล้วผลุนผลันออกไป ไม่สนใจเสียงร้องเรียกชื่อที่ดังไล่หลังตามประตูออฟฟิศที่ถูกปิดดังปัง ทิ้งเขาไว้กับคำพูดที่รบกวนทั้งความคิดและจิตใจเสียจนต้องถอนหายใจออกมาเต็มแรง
อลิซได้แต่หงุดหงิดใจ มากกว่าคือความอัดอั้นตันใจ จากเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลที่ไม่มีทางออก แม้ว่าการระบายให้จิตแพทย์ฟังอาจพอช่วยบรรเทาได้บ้าง หากก็แค่เพียงน้อยนิดเท่านั้น เขาไม่มีทั้งคำแนะนำดีๆ ไม่มีทั้งคำปลอบโยน ปลอบใจ หรือต่อให้จะหัวเราะเยาะใส่ หาว่าเธอเหลวไหล เพ้อเจ้อ ก็ไม่เป็นไรเลยด้วยซ้ำ และอลิซก็ไม่คิดว่าเป็นเพราะอาชีพการงานที่ขีดเส้นกั้นเอาไว้ไม่ให้เขาล่วงล้ำเข้าใกล้แค่เพียงอย่างเดียว
เมื่อโชริ ซาโต้ ในฐานะ ‘พี่ชาย’ ที่อลิซหมายถึงลูกพี่ลูกน้องอายุห่างกันห้าปี ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในชุมชนละแวกเดียวกันมาตั้งแต่สมัยที่เธอยังเด็กมากก็ไม่เคยมีความพยายามที่จะทำตัวสนิทสนมด้วย กระทั่งพวกเขาทั้งสองจะเหินห่างกันไปเองจนแทบไม่รู้ข่าวคราวของกันอีก ยิ่งเมื่อครอบครัวซาโต้ย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ต่างเมืองที่อลิซก็จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเป็นที่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุบังเอิญของทฤษฎีโลกกลมหรืออะไรเทือกนั้นอย่างการที่ริกิ อิริฟุเนะ เพื่อนร่วมบ้านเจ้าของลุคเปรี้ยวซ่าก๋ากั่น แต่ดันศรัทธาในเรื่องศาสนาอย่างไม่น่าเชื่อเริ่มต้นเปลี่ยนไปเข้าโบสถ์เดียวกันกับเขาเมื่อราวสามเดือนก่อน และเมื่อหล่อนป่าวตะโกนทักทายเขาตอนเดินผ่านหน้าร้านหนังสือด้วยกัน อลิซถึงได้รู้ว่าโชริย้ายกลับมาอยู่ที่นิวยอร์กและเริ่มต้นทำงานเป็นจิตแพทย์มาได้กว่าสองปีแล้ว
อลิซได้รู้เรื่องราวการรักษาอันอื้อฉาวจากริกิ เธอแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าคนอย่างโชริ ซาโต้จะเคยทำการบำบัดแอลเอสดีสมัยอยู่ที่ดีซี และมันก็ทำให้อลิซคิดว่าบางทีโชริอาจจะเป็นคนที่ช่วยเธอหาคำตอบของเรื่องราวลึกลับเหล่านั้นได้
แต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่การเสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ตราบที่เขาไม่ยอมรักษาให้ อลิซก็ไม่มีทางได้คำตอบของอะไรทั้งนั้นจากการบำบัดด้วยวิธีสะกดจิตแบบเดิมๆ นี้
อารมณ์ที่ขุ่นมัวมาตั้งแต่หัววันของอลิซซึ่งยังไม่ได้ระบายออกยิ่งขุ่นคลั่กเข้าไปใหญ่ ในตอนที่เธอเข้าไปนั่งใช้ความคิด สลับกับตักสลัดไก่เข้าปากบ้างเป็นครั้งคราว ในไดเนอร์ที่อยู่ในความฝัน...ความทรงจำ...ที่เพิ่งจะได้พานพบกับคนสวมหัวกระต่าย ก่อนที่อลิซจะได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อตัวเองดังแว่วแผ่วมาจากน้ำเสียงที่คุ้นเคยดีของชายอีกคนที่เธอก็เพิ่งจะได้พบพาน ทว่าในครั้งครานี้มันกลับไม่ได้ทำให้อลิซรู้สึกตื่นเต้น ใจสั่น หรือยกริมฝีปากสีอ่อนขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้างเหมือนอย่างที่หญิงสาวผมสั้นร่างเล็กข้างกายเขาคนนั้นกำลังทำอยู่ได้อีกแล้ว
หากเมื่อเมอริน่าส่งรอยยิ้มกว้างแสดงความจริงใจมาให้ อลิซจึงต้องจำยอมตอบรับกลับไปด้วยการกระทำแบบเดียวกันอย่างเสียไม่ได้ แม้จะเพียงน้อยนิดเท่านั้น
ขนาดตัวเองยังอดทึ่งไม่ได้เมื่อยินยอมให้พวกเขานั่งร่วมโต๊ะด้วยโดยไม่ลุกหนีไปก่อนกับข้ออ้างสารพัดสารพันที่เธอจะสรรหามาแก้ตัวได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจไม่ใช่คู่ที่แสดงความรักใคร่สนิทสนมกันอย่างโจ่งแจ้ง หากสายตาที่ไทโชคอยหันมองดูเมอริน่าที่นั่งเคียงข้างยามหล่อนเปิดปากสนทนาก็ช่างดูเต็มไปด้วยความนัย ทิ่มแทงหัวใจที่กำลังร้อนรุ่มเพราะไฟริษยาให้อลิซได้เคืองแค้น มือไม้ที่กดกำส้อมสลัดเอาไว้แน่นของเธอไม่มั่นคงและชื้นไปด้วยเหงื่อ จากความพยายามไม่ทิ่มแทงไปยังปากที่หล่อนใช้พูดเจื้อยแจ้วได้ไม่หยุด และนัยน์ตาที่เขาเอาแต่วางอยู่ที่หล่อนแทบไม่ละจาก
ไทโชคนนี้ไม่ใช่...ไม่มีทางที่จะใช่!...คนคนเดียวกับชายที่อยู่ในความฝัน หรือชายคนที่เธอตกหลุมรักอย่างบ้าคลั่ง และอีกไม่นานเธออาจจะคลุ้มคลั่งได้จริงหากไม่ได้พบเจอเขาในความฝัน หรือยังคงไม่ได้รับคำตอบของปริศนาที่ชัดเจนในเร็ววัน จริงอยู่ที่ไทโชคนนี้ก็เป็นได้แค่คนทรยศที่ไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับอลิซ แต่เปลือกนอกที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาก็ไม่ได้มีอะไรผิดแผกไปจากไทโชผู้ที่เป็นความจริงแท้เพียงหนึ่งเดียวคนนั้น คนที่เป็นทุกความหมายของเธอ
เพราะอย่างนั้นแล้ว ถึงต่อให้จะมีไทโช อิวาซากิของปลอมอีกกี่ร้อยพัน แต่ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยว
เพราะไม่ว่าจะเป็นเขาคนไหน หรือในโลกไหน ไทโช อิวาซากิก็เป็นแค่ของเธอเพียงคนเดียว
อลิซอาจมีเพื่อนพ้องกลุ่มใหญ่มากในรั้วมหาวิทยาลัย กระนั้นก็ไม่มีใครเลยสักคนที่เรียกได้เต็มปากว่าเป็นเพื่อนสนิท แต่ก็ช่างปะไรสำหรับอลิซที่ไม่เคยคิดว่าต้องการมันอยู่แล้ว เพราะถึงเหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่อลิซก็สามารถบอกเล่าหรือปรึกษาเรื่องราวที่อัดอั้นตันใจกับใครคนไหนในกลุ่มก็ได้ที่ว่างคุย ในเมื่อชีวิตตลอดยี่สิบเอ็ดปีที่ผ่านมาของอลิซไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าความลับ
โดยเฉพาะความลับน่าอับอายอย่างการตกหลุมรักผู้ชายที่ด้อยกว่าทุกประการไม่ว่าจะในแง่มุมไหน ขนาดที่ทำให้เธอเก็บเอาไปเฝ้าฝัน เพ้อคลั่ง ครวญคร่ำ กระทั่งเหตุการณ์ที่ได้ประสบพบเจอตลอดทั้งวันนี้เองที่ทำให้อลิซไม่อาจทนเก็บมันเอาไว้กับตัวเองลำพังได้อีกต่อไป ทันทีที่กลับบ้านในช่วงค่ำแล้วได้เห็นริกินอนอ่านหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์อยู่ในห้องนั่งเล่น อลิซก็จะเริ่มต้นโพล่งตะโกนโดยไม่มีการเกริ่นนำว่า “ฉันชอบไทโช” ให้ริกิได้ลดหนังสือเล่มบางวางลงบนอก แหงนคอมองดูเธอกลับหัว ใบหน้าปรากฏร่องรอยของความประหลาดใจพาดผ่าน ริมฝีปากพะงาบขึ้นทำท่าว่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีสุ้มเสียงใดเล็ดลอดออกมา
ถึงอย่างนั้นอลิซก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าหล่อนจะพูดอะไรหรือไม่ เมื่อสิ่งเดียวที่เธอต้องการในเวลานี้คือหาที่ระบายความในใจออกมาให้หมดเปลือก อันที่จริงแล้ว ถึงต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นจิตแพทย์ที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอย่างโชริก็ไม่เป็นไรเลยด้วยซ้ำ
แต่โชคดีที่ริกิไม่ได้ทำตัวไม่ได้เรื่องได้ราวแบบจิตแพทย์แห้งแล้งไร้หัวจิตหัวใจคนนั้น หล่อนรีบลุกพรวดพราดขึ้นมาอยู่ในท่านั่งหลังจากที่เธอนั่งลงบนโซฟาเล็กอีกตัวหนึ่ง แล้วรับฟังเรื่องราวทั้งหมดนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของความฝัน ความพิลึกพิลั่นเหล่านั้นเรียกความสนใจจากหล่อนได้อย่างรวดเร็ว และดูจะเพิ่มมากขึ้นทุกขณะจากเรื่องราวที่ฟังดูเหมือนหลุดออกมาจากนิยาย ซีรีส์ ภาพยนตร์ ไม่ก็ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่หล่อนกำลังนิยมหลังกลับมาจากลาสเวกัสอย่างน่ากังขา แต่ความเป็นมนุษย์ของริกิซึ่งเต็มเปี่ยมกว่าโชริทั้งการเออออตอบรับ เอ่ยถามเมื่อสงสัย ย้ำซ้ำคำพูดเมื่อคิดว่าน่าสนใจ ก็ทำให้อลิซรู้สึกเหมือนกับว่าเธอไม่ได้กำลังอยู่ตัวคนเดียวบนโลกที่ราวกับคนละใบ ถึงริกิเองก็ใช่ว่าจะมีคำตอบให้กับเรื่องราวแปลกประหลาดเหล่านี้อย่างที่การบำบัดสามครั้งของโชริก็ให้ไม่ได้
ก่อนจะมาจบลงที่ประโยคซึ่งอลิซตัดสินใจไม่อ้อมค้อมกับเพื่อนร่วมบ้านอีกต่อไปอย่าง “ฉันต้องการแอลเอสดี” จากการที่อลิซได้เคยเห็นหล่อนผู้มากมนุษยสัมพันธ์คลุกคลีกับคนแทบจะทุกแวดวงการ แน่นอนว่าการซื้อขายยาผิดกฎหมายก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
“ทั้งที่โชริเตือนเธอแล้วเนี่ยเหรอ?”
“เตือนเหรอ?” อลิซพ่นลมออกจมูกเป็นเชิงเยาะ “เขาก็แค่กลัวว่าตัวเองจะต้องซวยไปด้วยก็เท่านั้นแหละ”
“เพราะโชริเป็นห่วงว่ามันจะทำลายชีวิตเธอต่างหาก”
“จะทางไหนชีวิตของฉันมันก็เหมือนถูกทำลายอยู่แล้ว ริกิ เพราะอย่างนั้นฉันก็ขอเลือกทางที่จะได้รู้คำตอบของทุกอย่างดีกว่า”
ริกิจ้องสบตากับอลิซที่มองตอบกลับมาด้วยความแน่วแน่ต่อเจตนารมย์ของตนเองโดยไม่เบือนหลบ อีกพักใหญ่กว่าที่หล่อนจะเริ่มต้นเปิดปากถามว่า “เธอยอมเสี่ยงได้ทุกอย่างใช่ไหม?”
อลิซพยักหน้าตอบรับ
“เธอยอมเสี่ยงเพื่อไทโชในความฝันคนนั้นด้วยชีวิตของตัวเองเลยใช่ไหม อลิซ?” ริกิขยายคำถามย้ำซ้ำราวกับต้องการการยืนยัน และหนนี้ อลิซก็จะตอบรับชัดเจนด้วยคำพูดผ่านน้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นคง เพื่อให้หล่อนเข้าใจถึงความมุ่งมั่นที่เธอมี ไม่ใช่แค่การพูดส่งๆ ไปอย่างนั้นเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการเหมือนอย่างที่เคยทำมาตลอด
เพราะนี่คือครั้งแรกที่อลิซมีบางสิ่งที่ต้องการอย่างแรงกล้าจริงๆ และหากเธออยากได้มัน เธอก็ย่อมต้องยอมแลก... “ด้วยชีวิตของฉัน”
แล้วเมื่อนั้น ริมฝีปากสีแดงสดเหมือนกับเลือดของริกิก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
_______________
_______________
ความคิดเห็น