ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #22 : ANEMOIA CHAPTER 2: The Waltz Of Utopia (II)

    • อัปเดตล่าสุด 5 มิ.ย. 67


    ANEMOIA CHAPTER 2: The Waltz Of Utopia
    Inspiration: Utopia (TV Series, 2013) & Reckoning (TV Mini Series, 2019)
    Playlist: Cristobal Tapia de Veer – Luring (Black Mirror: Black Museum Original Score)













    .

    ทันใดนั้นเอง อลิซก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาราวกับถูกกระชากหลุดจากบางอย่างที่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร จะเป็นเพราะความฝันที่จำจดไม่ได้ หรือปัจจัยในโลกความเป็นจริงอย่างสรรพเสียงหรือการสั่นสะเทือนก็ยากที่จะบอก หากมันก็ทำให้หญิงสาวต้องผุดลุกขึ้นนั่ง รู้สึกถึงเหงื่อกาฬที่เปียกชื้นอยู่ใต้ร่มผ้าทั้งที่เครื่องปรับอากาศก็ยังคงทำงานอยู่อย่างแข็งขัน จนต้องหอบหายใจเอาอากาศเข้าไปอีกครู่ใหญ่ กว่าการเต้นของหัวใจอันรัวแรงจะกลับมาเป็นจังหวะปกติอีกครั้งหนึ่ง

    นาฬิกาติดผนังที่เธอเงยดูบอกเวลาตีสองยี่สิบสาม ความมืดมิดเข้าโรยตัวปกคลุมภายในห้องนั่งเล่นที่เธอนั่งดูหนังแล้วเผลองีบหลับไปไม่ทันจะถึงครึ่งเรื่องดีด้วยซ้ำตั้งแต่ตอนหัวค่ำ ดูเหมือนว่าพักนี้เธอมักจะผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวแล้วตาสว่างเอาตอนดึกดื่นค่อนคืนแบบนี้เสมอ และอลิซก็รู้ว่าไม่ได้เป็นเพราะความเหนื่อยล้าทางกายเมื่อเธอผ่านพ้นช่วงหฤโหดของการเรียนการสอบมาแล้ว แต่ว่าเป็นทางใจ จากเรื่องราวของไทโชกับคนรักของเขาซึ่งเอาแต่รบกวนความคิดจิตใจของเธอราวกับมีตุ้มถ่วงอันหนักอึ้งนั้นต่างหาก

    แม้ว่าจะผ่านมาตั้งกว่าสองสัปดาห์ได้แล้ว โลกในความฝัน — ซึ่งเคยเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง — ก็ไม่สามารถช่วยให้อลิซหลบหนีหรือมีความสุขสมหวังกับจินตนาการของตัวเองได้อีกต่อไป เมื่อนับตั้งแต่วันที่เขาพาหล่อนมาแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มกว้าง ด้วยความรักใคร่ ด้วยความภาคภูมิใจอย่างที่สุด และทำให้หัวใจของเธอเจ็บปวดราวกับถูกเชือดเฉือนอย่างที่สุด ไทโชก็ไม่เคยมาปรากฏตัวในฝันของเธออีกเลย

    อีกครั้งที่อลิซตัดสินใจลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา เปิดตู้เย็นดื่มน้ำเย็นจัดเข้าไปอึกใหญ่ๆ ก่อนคว้าเสื้อคลุมขึ้นมาสวมทับ ออกไปเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์แล้วค่อยหาที่หยุดพักสักแห่งซึ่งยังคงมีการเคลื่อนไหว แทนที่จะแค่อาบน้ำแช่ตัวให้ยิ่งฟุ้งซ่านไปกว่าเก่า เมื่อเธอคงไม่อาจหยุดความคิดที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในยามค่ำคืนที่มีเพียงตัวเองลำพังได้

     

    แสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์สีขาวจ้าบนเพดานกับเสียงผู้ประกาศข่าวยามดึกจากโทรทัศน์ที่ตั้งอยู่เหนือเคาน์เตอร์ของไดเนอร์ตรงหัวมุมถนนช่วยเรียกคืนความมีชีวิตชีวากลับคืนมาให้อลิซที่ผลักบานประตูเข้าไป แม้ว่าจะมีแค่สองชีวิตที่กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่บนโต๊ะติดหน้าต่างด้านในสุด และความคิดของอลิซก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบถึงจะเดินเตร็ดเตร่มาตั้งไกล แต่ทันทีที่อลิซเหลือบแลไปเห็นใบหน้าของคนที่นั่งหันออกมา รอยยิ้มก็พลันจุดขึ้นบนริมฝีปากคู่สีอ่อนที่ไม่ได้แต้มแต่ง เหมือนกับประกายไฟข้างในอกที่วาบขึ้นมาให้ความอบอุ่น อลิซรู้ว่ามันเป็นความคิดที่แย่ และการรีบสาวฝีเท้าไปหาด้วยความตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้าแค่เพราะแผ่นหลังของอีกฝ่ายไม่ใช่หญิงสาวคนรักของเขาก็เป็นความคิดที่ไม่อาจเรียกได้ว่าดี แต่มันผิดตรงไหนหรือก็เปล่า

    ไทโชไม่ได้มองเลยมาหาเธอหรือแม้แต่แสดงทีท่ารับรู้ต่อการมีอยู่ นอกจากเป็นฝ่ายถือครองบทสนทนากับชายฝั่งตรงกันข้ามเช่นเดิมอยู่อย่างนั้น อลิซเองก็ไม่ได้ตะโกนร้องเรียกชื่อหรือว่าป่าวทักทาย ทว่าเป็นการเคลื่อนไหวของใครอีกคนซึ่งค่อยๆ หันหน้ามาหาก่อนที่เธอจะเดินไปถึงโต๊ะนั้นต่างหาก

    และเมื่ออลิซกะพริบตา ความมืดมิดเข้มข้นก็เข้ามาแทนที่ มีเพียงวงไฟสาดส่องลงมาราวกับสปอตไลท์ที่ฉายภาพฉากจำเพาะเจาะจงของเธอ ไทโชที่มองจ้องมา เฉกเช่นเดียวกับชายผู้นั้น...ชายที่มีหัวกระต่ายน่าขนลุกสวมอยู่แทนใบหน้า

    ความสงสัยใคร่รู้ผุดขึ้นมาอย่างแรงกล้าต่อชายสวมหัวกระต่ายผู้นั้นมากกว่าความกระตือรือร้นต่อชายผู้เป็นที่รัก หากในวินาทีที่อลิซเอื้อมมือออกไปเพื่อจะดึงหัวมาสคอตที่เขาสวมใส่อยู่ออก ร่างของเธอก็ราวกับถูกกระชากหลุดจากอะไรบางอย่าง...อีกครั้งหนึ่ง

     

    “ลืมตาได้”

    ไม่ใช่ห้องรับแขกหรือไดเนอร์มืดมิดสีดำสนิทในยามค่ำคืนที่อลิซได้มองเห็น แต่เป็นห้องสี่เหลี่ยมโล่งโปร่งสีขาวสะอาดกับแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านม่านผืนบางเข้ามาในตอนหัววัน อลิซไม่ได้ผุดลุกขึ้นนั่ง ไม่ได้รู้สึกถึงเหงื่อกาฬที่ไหลซึมผ่านชุดเดรสตัวบางหรือการเต้นของหัวใจจนเกินลิมิต เธอเพียงแค่นอนลืมตาโพลง ประสานมือทั้งสองข้างไว้บนอก เหม่อมองดูเพดานด้วยความเลื่อนลอยราวกับกำลังประมวลความคิด ก่อนน้ำเสียงเดียวกับที่ปลุกเธอให้ตื่นจากการสะกดจิตจะเริ่มต้นเอ่ยถาม

    “ทีนี้ก็บอกมาว่าเห็นอะไร”

    “เขาอยู่ในนี้”

    “หมายถึง...เขา?”

    อลิซไม่ได้ตอบคำถามของชายหนุ่มที่ถือปากกากับโน้ตนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้เหนือศีรษะเธอในทันที นอกจากยันแขนลุกขึ้นกลับมาเป็นท่านั่ง เอื้อมไปหยิบแก้วน้ำเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นดื่ม ถึงอาจไม่ได้เย็นจัดแต่เมื่อมันไหลลงคอไปก็ช่วยทำให้อารมณ์ของอลิซเย็นลง เหมือนกับที่อีกฝ่ายก็เฝ้ารอคอยการกระทำอันเชื่องช้าของเธออย่างใจเย็น ไม่มีการเร่งเร้าเอาความ เพราะถึงอย่างไรเธอก็ยังมีเวลาสำหรับการบำบัดรอบนี้อยู่อีกเหลือเฟือ ครั้นวางแก้วที่ว่างเปล่าลงไปแล้วจึงเปลี่ยนเป็นเอนหลังพิงโซฟา นั่งอยู่ในท่วงท่าเดียวกันกับเขา หากด้วยท่าทีที่เบาสบายกว่า

    “ขอโทษที ฉันใช้คำผิดไป หมายถึงฉันเห็นพวกเขา ไทโชกับคนที่สวมหัวกระต่าย พวกเขาอยู่ในนี้” เธอชี้นิ้วไปที่ขมับของตัวเอง “ในหัวของฉัน”

    “ทำไมพวกเขาถึงอยู่ในหัวของเธอ?”

    “ฉันไม่รู้” อลิซตอบ “พี่เป็นจิตแพทย์ก็ให้คำตอบฉันมาสิ”

    “อลิซ...”

    “รู้ไหม ฉันคิดว่านี่เสียเวลาเปล่า” เธอตัดบทด้วยน้ำเสียงแข็งห้วนแสดงความหงุดหงิด “ขนาดพี่เป็นจิตแพทย์แท้ๆ พี่ยังหาคำตอบไม่ได้เลยว่าทำไมฉันถึงได้ฝันถึงผู้ชายที่ไม่สนิท ไม่เอาไหน จะดูยังไงก็ไม่คู่ควรกับฉันติดกันตั้งสิบวันจนทำให้ฉันตกหลุมรักหัวปักหัวปำได้แบบนี้ ไหนจะเรื่องกุญแจ เรื่องคนสวมหัวกระต่าย ฉันมาหาพี่ตั้งสามครั้งแล้วเพราะคิดว่าพี่น่าจะช่วยได้ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะได้คำตอบอะไรสักอย่าง”

    “ฉันบอกชัดเจนแล้วว่าการสะกดจิตอยู่ในกระบวนการ แค่มันต้องใช้เวลา”

    “นานเท่าไหร่ล่ะ?” อลิซสวนย้อนกลับไป “แล้วอย่าว่าโง้นงี้เลยนะ แต่พี่จะทำได้ยังไงเถอะ”

    “เพราะฉันเชื่อในงานนี้”

    ขณะสายตาแสดงความมุ่งมั่นทั้งสองคู่สบประสานกันนิ่งอย่างไม่ลดละแม้ด้วยเจตนาที่ผิดแผกเช่นเดียวกับความคิดไปจากกัน ชั่วอึดใจหลังจากนั้น รอยยิ้มบางก็ผุดขึ้นบนมุมริมฝีปากของอลิซที่โน้มตัวไปข้างหน้า “อันที่จริงฉันเองก็เชื่อในงานของพี่นะ หมายถึงฉันเชื่อในเรื่องการบำบัดแอลเอสดี”

    ราวกับลูกโป่งที่ถูกเข็มสะกิด เมื่ออารมณ์และสีหน้าซึ่งเคยราบเรียบของจิตแพทย์หนุ่มจะแตกกระเจิง

    “ไม่ได้! อลิซ! ฉันไม่ทำการบำบัดแบบนั้น และมันจะไม่ช่วยอะไรเธอด้วย!

    แต่สาวเจ้าก็ไม่สนใจแววตาเคร่งเครียดของเขายามเอ่ยต่อไปว่า “ฉันรู้ว่าพี่เคยถูกจับมาแล้วสองครั้ง ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่เป็นสองครั้งจากการบำบัดแอลเอสดี ทำไมล่ะ? เพราะพี่รู้ดีว่ามันได้ผลไง”

    “และมันทำลายชีวิตฉัน อลิซ เหมือนที่เรื่องนี้กำลังทำลายชีวิตเธอ เสียใจด้วย แต่ฉันจะไม่ยอมให้มีครั้งที่สาม”

    ครั้นถูกปฏิเสธด้วยน้ำเสียงหนักแน่นยืนยันความมุ่งมั่นของตนเองทั้งที่เขาสามารถช่วยเธอได้...เขาควรต้องช่วยเธอ เพราะนั่นคือหน้าที่ของจิตแพทย์...หน้าที่ของพี่ชาย! อลิซก็ฉุนกึกขึ้นมาทันที เธอลุกพรวดพราด แผดตะโกนใส่หน้าเขาว่า “ใช่! เรื่องนี้มันกำลังทำลายชีวิตฉัน! ตราบที่ฉันยังไม่ได้คำตอบของทุกอย่าง มันก็จะยิ่งทำลายชีวิตฉันมากขึ้นไปอีก! และถ้าพี่ไม่ยอมช่วย ฉันจะไปหาคนที่ช่วยได้เอง!” ก่อนตอกกระแทกส้นรองเท้าแล้วผลุนผลันออกไป ไม่สนใจเสียงร้องเรียกชื่อที่ดังไล่หลังตามประตูออฟฟิศที่ถูกปิดดังปัง ทิ้งเขาไว้กับคำพูดที่รบกวนทั้งความคิดและจิตใจเสียจนต้องถอนหายใจออกมาเต็มแรง



    อลิซได้แต่หงุดหงิดใจ มากกว่าคือความอัดอั้นตันใจ จากเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลที่ไม่มีทางออก แม้ว่าการระบายให้จิตแพทย์ฟังอาจพอช่วยบรรเทาได้บ้าง หากก็แค่เพียงน้อยนิดเท่านั้น เขาไม่มีทั้งคำแนะนำดีๆ ไม่มีทั้งคำปลอบโยน ปลอบใจ หรือต่อให้จะหัวเราะเยาะใส่ หาว่าเธอเหลวไหล เพ้อเจ้อ ก็ไม่เป็นไรเลยด้วยซ้ำ และอลิซก็ไม่คิดว่าเป็นเพราะอาชีพการงานที่ขีดเส้นกั้นเอาไว้ไม่ให้เขาล่วงล้ำเข้าใกล้แค่เพียงอย่างเดียว

    เมื่อโชริ ซาโต้ ในฐานะ พี่ชายที่อลิซหมายถึงลูกพี่ลูกน้องอายุห่างกันห้าปี ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในชุมชนละแวกเดียวกันมาตั้งแต่สมัยที่เธอยังเด็กมากก็ไม่เคยมีความพยายามที่จะทำตัวสนิทสนมด้วย กระทั่งพวกเขาทั้งสองจะเหินห่างกันไปเองจนแทบไม่รู้ข่าวคราวของกันอีก ยิ่งเมื่อครอบครัวซาโต้ย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ต่างเมืองที่อลิซก็จำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเป็นที่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุบังเอิญของทฤษฎีโลกกลมหรืออะไรเทือกนั้นอย่างการที่ริกิ อิริฟุเนะ เพื่อนร่วมบ้านเจ้าของลุคเปรี้ยวซ่าก๋ากั่น แต่ดันศรัทธาในเรื่องศาสนาอย่างไม่น่าเชื่อเริ่มต้นเปลี่ยนไปเข้าโบสถ์เดียวกันกับเขาเมื่อราวสามเดือนก่อน และเมื่อหล่อนป่าวตะโกนทักทายเขาตอนเดินผ่านหน้าร้านหนังสือด้วยกัน อลิซถึงได้รู้ว่าโชริย้ายกลับมาอยู่ที่นิวยอร์กและเริ่มต้นทำงานเป็นจิตแพทย์มาได้กว่าสองปีแล้ว

    อลิซได้รู้เรื่องราวการรักษาอันอื้อฉาวจากริกิ เธอแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าคนอย่างโชริ ซาโต้จะเคยทำการบำบัดแอลเอสดีสมัยอยู่ที่ดีซี และมันก็ทำให้อลิซคิดว่าบางทีโชริอาจจะเป็นคนที่ช่วยเธอหาคำตอบของเรื่องราวลึกลับเหล่านั้นได้

    แต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่การเสียเวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ตราบที่เขาไม่ยอมรักษาให้ อลิซก็ไม่มีทางได้คำตอบของอะไรทั้งนั้นจากการบำบัดด้วยวิธีสะกดจิตแบบเดิมๆ นี้

     

    อารมณ์ที่ขุ่นมัวมาตั้งแต่หัววันของอลิซซึ่งยังไม่ได้ระบายออกยิ่งขุ่นคลั่กเข้าไปใหญ่ ในตอนที่เธอเข้าไปนั่งใช้ความคิด สลับกับตักสลัดไก่เข้าปากบ้างเป็นครั้งคราว ในไดเนอร์ที่อยู่ในความฝัน...ความทรงจำ...ที่เพิ่งจะได้พานพบกับคนสวมหัวกระต่าย ก่อนที่อลิซจะได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อตัวเองดังแว่วแผ่วมาจากน้ำเสียงที่คุ้นเคยดีของชายอีกคนที่เธอก็เพิ่งจะได้พบพาน ทว่าในครั้งครานี้มันกลับไม่ได้ทำให้อลิซรู้สึกตื่นเต้น ใจสั่น หรือยกริมฝีปากสีอ่อนขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้างเหมือนอย่างที่หญิงสาวผมสั้นร่างเล็กข้างกายเขาคนนั้นกำลังทำอยู่ได้อีกแล้ว

    หากเมื่อเมอริน่าส่งรอยยิ้มกว้างแสดงความจริงใจมาให้ อลิซจึงต้องจำยอมตอบรับกลับไปด้วยการกระทำแบบเดียวกันอย่างเสียไม่ได้ แม้จะเพียงน้อยนิดเท่านั้น

    ขนาดตัวเองยังอดทึ่งไม่ได้เมื่อยินยอมให้พวกเขานั่งร่วมโต๊ะด้วยโดยไม่ลุกหนีไปก่อนกับข้ออ้างสารพัดสารพันที่เธอจะสรรหามาแก้ตัวได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจไม่ใช่คู่ที่แสดงความรักใคร่สนิทสนมกันอย่างโจ่งแจ้ง หากสายตาที่ไทโชคอยหันมองดูเมอริน่าที่นั่งเคียงข้างยามหล่อนเปิดปากสนทนาก็ช่างดูเต็มไปด้วยความนัย ทิ่มแทงหัวใจที่กำลังร้อนรุ่มเพราะไฟริษยาให้อลิซได้เคืองแค้น มือไม้ที่กดกำส้อมสลัดเอาไว้แน่นของเธอไม่มั่นคงและชื้นไปด้วยเหงื่อ จากความพยายามไม่ทิ่มแทงไปยังปากที่หล่อนใช้พูดเจื้อยแจ้วได้ไม่หยุด และนัยน์ตาที่เขาเอาแต่วางอยู่ที่หล่อนแทบไม่ละจาก

    ไทโชคนนี้ไม่ใช่...ไม่มีทางที่จะใช่!...คนคนเดียวกับชายที่อยู่ในความฝัน หรือชายคนที่เธอตกหลุมรักอย่างบ้าคลั่ง และอีกไม่นานเธออาจจะคลุ้มคลั่งได้จริงหากไม่ได้พบเจอเขาในความฝัน หรือยังคงไม่ได้รับคำตอบของปริศนาที่ชัดเจนในเร็ววัน จริงอยู่ที่ไทโชคนนี้ก็เป็นได้แค่คนทรยศที่ไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับอลิซ แต่เปลือกนอกที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาก็ไม่ได้มีอะไรผิดแผกไปจากไทโชผู้ที่เป็นความจริงแท้เพียงหนึ่งเดียวคนนั้น คนที่เป็นทุกความหมายของเธอ

    เพราะอย่างนั้นแล้ว ถึงต่อให้จะมีไทโช อิวาซากิของปลอมอีกกี่ร้อยพัน แต่ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยว

    เพราะไม่ว่าจะเป็นเขาคนไหน หรือในโลกไหน ไทโช อิวาซากิก็เป็นแค่ของเธอเพียงคนเดียว

     

    อลิซอาจมีเพื่อนพ้องกลุ่มใหญ่มากในรั้วมหาวิทยาลัย กระนั้นก็ไม่มีใครเลยสักคนที่เรียกได้เต็มปากว่าเป็นเพื่อนสนิท แต่ก็ช่างปะไรสำหรับอลิซที่ไม่เคยคิดว่าต้องการมันอยู่แล้ว เพราะถึงเหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่อลิซก็สามารถบอกเล่าหรือปรึกษาเรื่องราวที่อัดอั้นตันใจกับใครคนไหนในกลุ่มก็ได้ที่ว่างคุย ในเมื่อชีวิตตลอดยี่สิบเอ็ดปีที่ผ่านมาของอลิซไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าความลับ

    โดยเฉพาะความลับน่าอับอายอย่างการตกหลุมรักผู้ชายที่ด้อยกว่าทุกประการไม่ว่าจะในแง่มุมไหน ขนาดที่ทำให้เธอเก็บเอาไปเฝ้าฝัน เพ้อคลั่ง ครวญคร่ำ กระทั่งเหตุการณ์ที่ได้ประสบพบเจอตลอดทั้งวันนี้เองที่ทำให้อลิซไม่อาจทนเก็บมันเอาไว้กับตัวเองลำพังได้อีกต่อไป ทันทีที่กลับบ้านในช่วงค่ำแล้วได้เห็นริกินอนอ่านหนังสือนิยายวิทยาศาสตร์อยู่ในห้องนั่งเล่น อลิซก็จะเริ่มต้นโพล่งตะโกนโดยไม่มีการเกริ่นนำว่า “ฉันชอบไทโช” ให้ริกิได้ลดหนังสือเล่มบางวางลงบนอก แหงนคอมองดูเธอกลับหัว ใบหน้าปรากฏร่องรอยของความประหลาดใจพาดผ่าน ริมฝีปากพะงาบขึ้นทำท่าว่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีสุ้มเสียงใดเล็ดลอดออกมา

    ถึงอย่างนั้นอลิซก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าหล่อนจะพูดอะไรหรือไม่ เมื่อสิ่งเดียวที่เธอต้องการในเวลานี้คือหาที่ระบายความในใจออกมาให้หมดเปลือก อันที่จริงแล้ว ถึงต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นจิตแพทย์ที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอย่างโชริก็ไม่เป็นไรเลยด้วยซ้ำ

    แต่โชคดีที่ริกิไม่ได้ทำตัวไม่ได้เรื่องได้ราวแบบจิตแพทย์แห้งแล้งไร้หัวจิตหัวใจคนนั้น หล่อนรีบลุกพรวดพราดขึ้นมาอยู่ในท่านั่งหลังจากที่เธอนั่งลงบนโซฟาเล็กอีกตัวหนึ่ง แล้วรับฟังเรื่องราวทั้งหมดนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของความฝัน ความพิลึกพิลั่นเหล่านั้นเรียกความสนใจจากหล่อนได้อย่างรวดเร็ว และดูจะเพิ่มมากขึ้นทุกขณะจากเรื่องราวที่ฟังดูเหมือนหลุดออกมาจากนิยาย ซีรีส์ ภาพยนตร์ ไม่ก็ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่หล่อนกำลังนิยมหลังกลับมาจากลาสเวกัสอย่างน่ากังขา แต่ความเป็นมนุษย์ของริกิซึ่งเต็มเปี่ยมกว่าโชริทั้งการเออออตอบรับ เอ่ยถามเมื่อสงสัย ย้ำซ้ำคำพูดเมื่อคิดว่าน่าสนใจ ก็ทำให้อลิซรู้สึกเหมือนกับว่าเธอไม่ได้กำลังอยู่ตัวคนเดียวบนโลกที่ราวกับคนละใบ ถึงริกิเองก็ใช่ว่าจะมีคำตอบให้กับเรื่องราวแปลกประหลาดเหล่านี้อย่างที่การบำบัดสามครั้งของโชริก็ให้ไม่ได้

    ก่อนจะมาจบลงที่ประโยคซึ่งอลิซตัดสินใจไม่อ้อมค้อมกับเพื่อนร่วมบ้านอีกต่อไปอย่าง “ฉันต้องการแอลเอสดี” จากการที่อลิซได้เคยเห็นหล่อนผู้มากมนุษยสัมพันธ์คลุกคลีกับคนแทบจะทุกแวดวงการ แน่นอนว่าการซื้อขายยาผิดกฎหมายก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

    “ทั้งที่โชริเตือนเธอแล้วเนี่ยเหรอ?”

    “เตือนเหรอ?” อลิซพ่นลมออกจมูกเป็นเชิงเยาะ “เขาก็แค่กลัวว่าตัวเองจะต้องซวยไปด้วยก็เท่านั้นแหละ”

    “เพราะโชริเป็นห่วงว่ามันจะทำลายชีวิตเธอต่างหาก”

    “จะทางไหนชีวิตของฉันมันก็เหมือนถูกทำลายอยู่แล้ว ริกิ เพราะอย่างนั้นฉันก็ขอเลือกทางที่จะได้รู้คำตอบของทุกอย่างดีกว่า”

    ริกิจ้องสบตากับอลิซที่มองตอบกลับมาด้วยความแน่วแน่ต่อเจตนารมย์ของตนเองโดยไม่เบือนหลบ อีกพักใหญ่กว่าที่หล่อนจะเริ่มต้นเปิดปากถามว่า “เธอยอมเสี่ยงได้ทุกอย่างใช่ไหม?”

    อลิซพยักหน้าตอบรับ

    “เธอยอมเสี่ยงเพื่อไทโชในความฝันคนนั้นด้วยชีวิตของตัวเองเลยใช่ไหม อลิซ?” ริกิขยายคำถามย้ำซ้ำราวกับต้องการการยืนยัน และหนนี้ อลิซก็จะตอบรับชัดเจนด้วยคำพูดผ่านน้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นคง เพื่อให้หล่อนเข้าใจถึงความมุ่งมั่นที่เธอมี ไม่ใช่แค่การพูดส่งๆ ไปอย่างนั้นเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการเหมือนอย่างที่เคยทำมาตลอด

    เพราะนี่คือครั้งแรกที่อลิซมีบางสิ่งที่ต้องการอย่างแรงกล้าจริงๆ และหากเธออยากได้มัน เธอก็ย่อมต้องยอมแลก... “ด้วยชีวิตของฉัน”

    แล้วเมื่อนั้น ริมฝีปากสีแดงสดเหมือนกับเลือดของริกิก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม












    2023年06月12日
    _______________
     ปากบอกว่าไม่ แต่สุดท้ายก็ลงฟิควันที่ฮารุดันฉายจนได้ ฮุฮิ TvT (และวันที่มินิวางแผง ฮูเร่! ฟิคหน้าร้อนใสๆ ต้องมาแล้วไหม TvT) ที่จริงจะลงเมื่อวานแล้วแต่เพราะเป็นวันเกิดเมนเก่ามึงละกูตะเตือนไตเลยขยับมาลงวันนี้แทน ที่ทำให้กูมึ๊งว่ากูมักลงฟิคบชนวันจันทร์ ส่วนสมัยทราวิสกูชอบลงวันศุกร์หลังโชคุระว่ะ ไปอ่านทอล์คเก่ากี่เรื่องกูหวีดแม่งเกือบทุกเพิร์ฟ 55555 
     ครั้งหนึ่งมึงคงจำได้ว่ากูเคยวี้ดว้ายดีใจ ได้แปลซีรีส์แนวทริลเลอร์เรื่องเรคคอนนิ่งนี้ พอได้แปลจริงก็คือ เห้อ สูน ทำไป บ่นไป ด่าไป แต่ดันได้พล็อตมีอยู่จริง orz / แฮปซีนตอนต้นมาจากที่พระเอกไปให้จิตแพทย์สะกดจิตเพราะเชื่อว่าตัวเองรู้จักคนร้ายอยู่แล้ว แค่ต้องไปดูในจิตใต้สำนึก...ที่กูว่าเว่อร์ ดูมาทุกตอนไม่เห็นมีอะไรสื่อว่าจะรู้ แต่ชอบตรงมันเริ่มฉากให้พระเอกสะดุ้งตื่น ได้ยินครอบครัวตัวเองพูดคุยหัวเราะบนโต๊ะอาหาร พอจะยื่นมือไปดูว่าใครที่นั่งหัวโต๊ะแล้วก็หลุดจากการสะกดจิต พอวิธีนี้ไม่ได้ผลก็เลยเปลี่ยนไปใช้แอลเอสดีแทน...ที่กูว่าเลอะเทอะ เหมือนกับพล็อตกูหลังจากนี้ที่ก็จะเลอะเทอะพอกัน (ยิ่งกว่า) >_< บทพูดหลายอย่างก็แฮปมาจากในเรื่อง ไม่ใช่เพราะคำมันฉลาดนะ แต่เพราะกูโง่เอง ไม่เคยแต่งบทจิตแพทย์มาก่อนถึงจะได้แปลซีรีส์มานับไม่ถ้วน (โซปราโน่ตัวยากเลยหนึ่ง) เพราะงั้นก็ไม่ต้องถามหาความสมจริงอะไรทั้งนั้น เมื่อรื่องนี้มันคือทไวไลท์โซนเว้ยเห้ย! / บทจิตแพทย์ของโชริก็แฮปมาจากในซีรีส์ ที่พอแต่งออกมาแล้วเปิงมาก ว่าบาป นึกถึงเรื่องคาร์นิวัลมึงเลย (หึ พอเจสสี้ไม่อยู่พล็อตบาทหลวงมึงก็ตาย เหมือนที่กุโระกูตายไปพร้อมกับทราวิสเหมือนกันแหละวะ) / อ่านเรื่องย่อที่จดไว้ถึงมึ๊งว่าที่จริงรินิจะได้เห็นกระต่ายเป็นครั้งแรกหลังจากไปบำบัดกับโชริ แต่ให้เจอก่อนดีแล้วเพราะเวิร์คกว่า ตรงนี้ผกก. (กู) ให้คนเขียนบท (กู) ผ่าน
     และเมื่อเกาะกะโหลกกูก็เดินทางมาถึงตอนที่ 200 กูจึงเลือกฟิคที่ชื่อเรื่องมีคำว่า 2 และนี่คือตอนที่ 2 บังเอิญกับที่อัลบั้มใหม่ของเซ็กซี่โซนก็ชื่อ Chapter II ซึ่งกูก็เลือกโชริมาเล่นด้วยความบังเอิญ น...นี่มันทไวไลท์โซนของแท้!

    2023年07月23日
    _______________
     กลับมาพร้อมกับรูปคอมมิชฝีมือคุณตูนในซีรีส์น้อนกระต่ายยูโทเปียชุดสองจ้าา >_< กระต่ายตัวนี้ก็คือแบบที่รินิเห็นใส่ชุดมาสคอตนั่นแหละ ในหัวกูก็นึกหน้าน้อนแบบนี้เลยนะ แต่พอเค้าวาดภาพออกมาแล้วมันดูน่ารักมากกว่าน่ากลัวว่ะ งง 55555 (กรี๊ดดดด ลืมว่าเนคไทต้องเป็นสีแดงด้วย ก็คิดซะว่าทีมคอสตูมลืม คนเราก็มีผิดพลาดกันได้ T_T) เลือกฉากเป็นไดเนอร์เพราะเป็นที่ที่รินิเจอเหตุการณ์มากมายในตอนนี้ เสื้อผ้าหน้าผมกูก็หาไปเรื่อย แค่อยากให้ดูเป็นทางการหน่อยจะได้เข้ากับน้อนกระต่าย เน้นโทนสีแดงๆ ชมพูๆ เพราะตอนนี้เป็นตอนของโชริ อิอิ (เมนมึง) แต่ที่กูตกใจที่สุดคือพร็อพที่คุณตูนออกแบบให้กูเองหมดเลย! ตั้งแต่จอทีวี (ที่กูเขียนถึงว่าอยู่ตรงเคาน์เตอร์) โคมไฟ (ที่เหมือนสปอตไลท์ส่องลงมาอย่างที่กูว่าไหม) และภาพบนผนังที่เค้าบอกกูว่าอยากให้มีความลึกลับๆ หน่อย (ละมีจริง หน้ากระต่ายแอบหลอนจริง) และอยากให้มันสื่อถึงความผูกพันของน้องผู้หญิงกับน้องกระต่าย! ทั้งที่กูไม่ได้เล่าความเชื่อมโยงของน้องผู้หญิงกับน้องกระต่ายให้เค้าฟังเลย! แต่เค้าวาดออกมาเหมือนอ่านใจกูได้! ตกใจมาก เพราะรินิกับน้อนมีความผูกพันกันจริงๆ! กูจะบอกตรงนี้เลยว่ากระต่ายคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง! โอ๊ยยย คันปากอยากเล่ามากว่าแม่งคืออะไร แต่เพราะกูยังไม่คิดจะเทเลยเล่าไม่ได้! / ส่วนตอนหน้าๆ จะมีรูปของเมอริน่าบ้างละน้า แต่รอเด่นก่อนจ้าา (ถ้าไม่โดนรินิกูฆ่าก่อนนะ)
     ที่จริงตอนแรกพาร์ทข้างล่างมันจะเป็นเรื่องของโชริ แต่เหมือนกูหายไปช่วงหนึ่งแล้วลืมว่าจะแต่งอะไรให้โชริวะ ลืมแบบลืมจริงๆ 55555 แต่สุดท้ายมันก็ลงทางเดียวกันก็คือตอนหน้าโชริจะมาช่วยบำบัดให้รินิอยู่ดี แล้วพอบำบัดเสร็จก็จะได้ไปโรงแรมโอเวอร์ลุค (ของไคโตะ) ละ เล่าเลยไม่รอแล้ว / จะพูดอีกสิบล้านรอบว่ากูมั่นใจกับฟิคเรื่องนี้มากว่าไม่มีทางที่ใครจะเดาได้ถูกว่ามันจะลงทางไหน ถ้าบอกว่ารู้คือตอแหล เป็นเรื่องที่กูภูมิใจมาก รักมาก รักบทไทโช (ในฝัน) มากเหรือเกิน / แต่เอาจริงกูก็รักแอนีมอยอาทุกแชปแหละทั้งที่แต่งแล้วและอยู่ในหัว บอกตรงนี้เลยว่ากำลังวางพล็อตในโรงหนังกับในมอลล์อยู่ เตรียมพระเอกพร้อมแล้ว ไว้จะมาเปิดโปรเจกต์แชปสี่กับห้าเร็วๆ นี้...ที่แปลว่าเร็วๆ นี้ (กรี๊ดดดด! อะไรนะ! มึงบอกว่า AHS ซีซั่นใหม่คือเวลล์เนสเหรอ อีดอก เว่อร์มาก ขนลุกย่าบๆ กูต้องรีบแต่งไล่ควายไหม หรือไง TvT) เห้ออ ฟังกูโม้หน่อยนะ นานทีกูจะมีพล็อตอะไรแบบนี้ ถึงตอนนี้กูยังปลื้มใจในตัวเองว่าคิดพล็อตได้ยังไงกันวะ ชลาดจริงๆ แถมไม่ทับไลน์แนวคริสต์แนวเทพมึงด้วย เพราะมันคือทไวไลท์โซนโว้ยย! โอ๊ยยย คันปากจริงๆ แต่ยังเล่าไม่ได้ มันยุบยิบข้างในอก >_< / แต่คำใบ้ในพล็อตมันก็อยู่ในตอนนี้แหละ เหมือนที่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าริกิต้องมีฮั่นอย่างไหมวะ!
     กูบอกตลอดว่าไทโชคือคนแรกที่กูชอบงานสายตาเวลามองกับฟังคนอื่นมาก ตอนแต่งกูเลยมือไม้สั่น เข้าใจรินิเลย เห้ยย หรือมันจะมาแล้ววะ ฟีลหวงแบบคนเก่าทั้งที่ไม่มีอะไรน่าหวง แต่อันนี้ยังพอมีสติ (แตก) แบบถ้ากูเป็นรินินะ กูเอาส้อมแทงเมอริน่า จิ้มตาทชแตกไปละ สวัสดี
     ปล. มึง รู้ป่ะ กูก็เคยฝันถึงฉากในห้องตอนเย็นย่ำเหมือนฟิคมึงนี่แหละ แต่ของกูเป็นความรู้สึกว่าเตียงยุบแล้วมีคนมากอดจากข้างหลังจริงๆ สาบาน แบบชัดเจนมาก แล้วรู้ไหมกูคิดอะไร คิดจินตนาการว่าเป็นผู้ชายในเกมที่กูชอบ (ตอนนั้นคือเจ้าชายไฟนอล 15 กูจำได้เลย) แล้วก็นอนหลับต่อ มึงคิดเอา ใจกูตอนนั้นหมกมุ่นกับผู้ชายในเกมแค่ไหน ผีไม่กลัว กลัวไม่ได้ผัว บ้าบอ 55555
    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×