คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #125 : Kill The Clown: วันที่หนึ่ง
๑.
เพราะสภาวะโลกร้อนที่เป็นปัญหาเรื้อรังมาช้านานหรือเปล่านะ?
อุณหภูมิช่วงหน้าร้อนถึงได้พุ่งสูงขึ้นทุกปีๆ ทั้งที่เพิ่งจะผ่านช่วงต้นฤดูกาลมาได้ไม่เท่าไหร่แท้ๆ
เขาเกลียดฤดูร้อน ไม่สิ...อากาศร้อนมาแต่ไหนแต่ไร ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดสิ้นดีที่ตกปากรับคำพี่ชายที่ขอให้เขามาช่วยรับงานพาร์ทไทม์เป็นตัวตลกในสวนสนุกระหว่างพักฟื้นจากการตกบันไดขาหัก
ยิ่งใกล้เที่ยงวันอากาศก็ยิ่งอบอ้าว เหงื่อของเขาไหลย้อยเป็นน้ำจนน่ากลัวว่าเมคอัพบนใบหน้าจะละลายลงมาผสมปนกัน
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังต้องฉีกยิ้มกว้างอยู่กับพวงลูกโป่งหลากสีในมือ ที่พวกเด็กๆ ต่างวิ่งกรูเข้ามาขอกันลูกแล้วลูกเล่า
ทั้งชุดพองๆ กับวิกแอโฟรหนาๆ และการตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมแสงอาทิตย์ที่แผดเผาจนนัยน์ตามัวพร่าไปแล้วนั้นเอง
คือเหตุผลที่เขานับถอยหลังรอให้เวลาพักมาถึงโดยเร็วที่สุด กระทั่งลูกโป่งในมือลูกสุดท้ายจากไปพร้อมกับเด็กหญิงผมบ็อบในชุดกระโปรงสีเหลือง
เขาก็จะรีบจ้ำอ้าวผ่านฝูงชนที่ขนัดอัดแอกันอยู่ในสวนสนุก ซึ่งดูราวกับมิได้หวั่นเกรงต่อคลื่นความร้อนเช่นอย่างเขาให้ได้รู้สึกทึ่งใจดีทีเดียว
ขณะที่พนักงานคนอื่นต่างกำลังง่วนอยู่กับหน้าที่ของตนเองกันให้วุ่น
ยิ่งโดยเฉพาะในวันหยุดสุดสัปดาห์เช่นนี้ ที่ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานที่นี่เข้าสู่อาทิตย์ที่สามแล้วก็ตาม
เขาก็ยังไม่เข้าใจถึงการทุ่มเททำงานอย่างสุดตัวชนิดต้องเบียดเบียนเวลาพักอันน้อยนิดของตนเองเลย
โชคดีที่เขาเป็นแค่ตัวตลกพาร์ทไทม์รายวันหยุดและสุดสัปดาห์ จึงไม่จำเป็นต้องทำตามกฎปฏิบัติเคร่งครัดอย่างใครเขา
และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมทุกวันนี้ เขาถึงเลือกทำแค่งานพาร์ทไทม์ในอู่ซ่อมรถข้างร้านสะดวกซื้อเก่าๆ
หรือแม้แต่ร้านเหล้าในย่านเกาหลีที่ซอมซ่อ ใครเล่าจะไปคาดคิดว่าชายหนุ่มแสนสุภาพ
ผู้มีใบหน้าเปื้อนยิ้มแม้ในตอนที่ไม่ได้แต่งหน้าเป็นตัวตลกเช่นนี้จะมีความคิดเย้ยหยันอันเหลือคณา
พวกเด็กๆ รักเขา พ่อแม่ของเด็กๆ รักเขา ทุกคนในสวนสนุกรักเขา กระทั่งหัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์ที่ดูเหมือนเกลียดชังคนอื่นไปเสียหมดก็ยังรักเขา
ทุกคนล้วนแล้วแต่รัก — ภาพลวงตาภายใต้หน้ากากตัวตลกซึ่งเป็นเนื้อหนังแท้จริงของ —
เขา
ให้เขาได้ตระหนักรู้ว่าโลกสีสวยเคลือบน้ำตาลหวานลิ้นแท้จริงก็แค่สิ่งจอมปลอม
เขายิ้ม เขาหัวเราะ แต่ไม่มีความหมายอะไรนอกจากความเคว้งคว้างและว่างเปล่า สิ่งเดียวที่ทำให้เขาพึงพอใจอยู่ท่ามกลางความคลื่นเหียนนี้คือส่วนผสมที่แปลกแยกอย่างเธอ...ที่พยายามทำตัวกลมกลืนเข้ากับโลกขนมหวานใบนี้
หากยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ก็ยิ่งถูกกีดกันออกไปจากวงโคจรมากเท่านั้น เธอยิ้มแย้มแจ่มใสสมตำแหน่งพนักงานขายของที่ระลึกให้แก่ลูกค้าทุกคนอยู่เสมอ
แต่เมื่อพวกเขาจากไป รอยยิ้มของเธอก็จะลับเลือนหายไปด้วยเช่นกัน เขาค้นพบเรื่องนี้ในวันทำงานวันที่สองซึ่งเธอได้รับหน้าที่ประจำอยู่ตรงซุ้มขายของที่ระลึกใกล้ม้าหมุนที่เขายืนแจกลูกโป่ง
รอยยิ้มของเธอเหมือนกับตัวตลกสวมใส่หน้ากาก เหมือนกับได้เห็นตัวตนของเขาทาบทับเข้ากับเธอ
ทว่าเธอกลับเข้ากับใครในที่ทำงานไม่ได้เลย ครั้นเขาลองเปรยเรื่องของเธอขึ้นกลางวงเหล่าพนักงานสาวแผนกประชาสัมพันธ์ขึ้นมา
ทุกคนก็พากันสั่นหัวและกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “เกินทน” พวกหล่อนขุดเรื่องไร้สาระขึ้นมาพล่ามพูด
โดยเฉพาะใบหน้าโง่เง่าที่หยิ่งยโสนั่น และเขาก็จับเค้าความอิจฉาประสาสตรีเพศได้รางๆ
หากยังไม่ชัดเจนเท่าการที่เธอมีพฤติกรรมแตกต่างจากคนหมู่มากเพียงนิดและโอกาสในชีวิตที่ดีกว่าเพียงน้อย
แล้วเขาก็ได้เข้าใจว่าตนเองกับเธอผู้นั้นต่างมีความคล้ายคลึงกันมากเพียงไร
และนับตั้งแต่นั้น ซูซูกิ โชโกะก็ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่ไม่มีอะไรของมัตสึมูระ
โฮคุโตะ
โดยไม่รู้ตัว
๒.
ความอดทนของเธอกำลังจะหมดลง พร้อมๆ กับไอ้อากาศที่ร้อนเป็นบ้าอย่างกับอยู่ในนรกนี่
เมื่อตัวเลขบนเข็มหน้าปัดสีทองที่ปรากฏอยู่บนนาฬิกาข้อมือข้างขวาซึ่งเหลือบลงไปมองเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
แสดงให้เห็นว่าเลยเวลาเที่ยงวันไปกว่ายี่สิบนาทีแล้ว และตอนนี้ ก็สมควรที่จะมีเงาหัวของพนักงานขายสักคนมาเปลี่ยนกะ
ให้เธอได้ไปนั่งพักและสู้รบกับกรดในกระเพาะอาหารที่ชักจะกำเริบเสิบสานจนรู้สึกปวดแปลบข้างในท้องขึ้นทุกที
พ่วงมาด้วยเรี่ยวแรงและสติสัมปชัญญะที่ต่างพากันค่อยถดถอยลงไป เพราะฤทธิ์ของพระอาทิตย์ดวงโตในหน้าร้อน
ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะทำหน้าที่ของตัวเองได้ดียิ่งกว่าพนักงานไร้ความรับผิดชอบที่คงจะตายไปแล้วกระมังเป็นไหนๆ
ซุ้มขายของที่ระลึกแรกสุดตรงทางเข้าซึ่งเธอได้รับหน้าที่ประจำตำแหน่งตั้งแต่ต้นสัปดาห์ก่อนนั้น
ถือเป็นจุดหนึ่งในสวนสนุกจอยแลนด์ซึ่งมักจะคึกคักวุ่นวายอยู่เสมอ นักท่องเที่ยวพากันหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อนตั้งแต่ช่วงเวลาเปิดทำการ
และนับตั้งแต่ชั่วโมงนั้น พนักงานขายของก็ต้องทำหน้าที่ให้สมกับตำแหน่งจนตัวแทบบิดเป็นเกลียว
ถึงแม้ว่าจะไม่สมกับรายได้น้อยนิดที่ได้รับเลยก็ตาม หากเมื่อตัวเงินไม่ใช่สาระสำคัญสำหรับหญิงสาวซูซูกิ
โชโกะ อย่างที่พวกพนักงานหญิงขี้อิจฉาชอบค่อนขอดกันลับหลังเสมอๆ ว่า “ไม่รู้ว่าจะมาทำงานกระจอกๆ
แบบนี้ให้เมื่อยทำไม” ก็แล้วมันผิดกฎข้อไหนด้วยหรือที่คนรักของทายาทบริษัทภาพยนตร์ซึ่งเกิดมาบนกองเงินกองทอง
จะเลือกทำงานเป็นพนักงานขายของในสวนสนุกกระจอกๆ แบบนี้ ทั้งที่มันควรจะเป็นสวนสนุกซึ่งมอบความสุขให้แก่เธอเช่นครั้งยังเยาว์วัยในความทรงจำอันรางเลือน
หากกลับเป็นเพียงภาพลวงตาภายใต้เบื้องหลังที่แสนจะฟอนเฟะ ตลอดครึ่งปีที่เธอตัดสินใจเข้าทำงานที่นี่
ไม่ว่าจะความสุข หรือรอยยิ้มจริงใจ เธอก็ค่อยๆ ลืมเลือนมันไปจนหมดสิ้น ทุกคนอาจส่งยิ้มให้เธอก็จริง
แต่หลังจากนั้นกลับเอ่ยคำพูดเสียดสีแล้วหัวร่อกันเองให้สนุกปากไม่ต่างจากเรื่องตลกขำขัน
เมื่อความจริงเปิดเผย โชโกะก็เลิกคบค้าหรือระบายรอยยิ้มให้แก่พนักงานคนใดในสวนสนุกอันน่าสมเพชนี้อีกต่อไป
เธอกลับมาเป็นซูซูกิ โชโกะคนเดิมอีกครั้ง คนที่จะต้องแคร์สังคมไปทำไมในเมื่อเธออยู่คนเดียวมาเกือบจะตลอดทั้งชีวิตแต่ก็ไม่ยักกะตาย
เหตุผลความแตกต่างอีกข้อที่พวกสัตว์สังคมขี้ขลาดหยิบยกมาเป็นประเด็นเผ็ดร้อน ซึ่งก็แน่นอนว่ามันไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเธอเลยแม้เพียงน้อย
เธอรู้ดีมาตลอดว่าที่นี่...ไม่ใช่ที่ของเธอ
ก็แค่ยังไม่รู้ว่าที่ไหนที่ใช่ ถึงได้ยอมติดแหง็กอยู่ในสังคมอุบาทว์ที่มีแต่คนจงเกลียดจงชังตัวเองแบบนี้
ขณะที่ความขุ่นข้องต่อเพื่อนร่วมงานไร้ความรับผิดชอบกำลังรวนเรอยู่ในหัวสมอง
ลมหายใจของเธอก็จะเริ่มติดขัด ภาพตรงหน้าทับซ้อนกันอย่างเลือนพร่า ไม่ทันได้รู้สึกตัว
ร่างของเธอก็เสียหลักทรุดฮวบลงไป แต่ไม่ทันจะลงถึงพื้นเมื่อมือหนาเอื้อมมารั้งเกี่ยวเอวบางเอาไว้
หากสัมปชัญญะของเธอก็โบยบินไปไกลเกินกว่าจะรับรู้ถึงสิ่งรอบข้าง
กระทั่งเสียงกรีดร้องใดๆ โชโกะจึงไม่ได้มองเห็นตัวตลกที่ถอดวิกแอโฟรกับลูกจมูกกลมๆ
สีแดงทิ้งไปแล้วอย่างใครเขา ประคองร่างแบบบางของเธอที่หมดสติไปยังม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล
มีนักท่องเที่ยวใจดีมอบน้ำดื่ม หมอนสี่เหลี่ยมซึ่งเป็นของที่ระลึกในจอยแลนด์และพัดอันใหญ่ไว้ให้
แสดงความเป็นห่วงจับใจ โดยมีเขาเป็นตัวแทนส่งคำขอบคุณพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจบนริมฝีปากสีแดง
จัดแจงวางหมอนใบนุ่มนั้นให้เธอหนุน บอกกล่าวว่าเธอจะไม่เป็นไรและขอให้ทุกคนไม่ต้องกังวล
เขารั้งรอคอยจนฝูงชนรายล้อมกระจายตัว ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อกั๊กสีฟ้าและเสื้อเชิ้ตสีขาวภายใต้ของเธอออก
แค่สองสามเม็ดพยายามไม่ให้ต่ำกว่าหน้าอกที่กำลังผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะเข้าออก
โดยมีเขานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นข้างๆ พลางพัดวีใบหน้าแดงจัดที่เต็มไปด้วยเหงื่อของเธอ
ทั้งที่ตัวเขาเองก็อยู่ในสภาพไม่ต่าง ไม่กี่นาทีถัดมา เปลือกตาของเธอก็ค่อยๆ ขยับปรือ
หากไม่ทันลืมตื่นก็จำต้องหรี่ปิดลงอีกครั้ง เมื่อแสงสว่างจัดจ้าแทรกผ่านแมกไม้นั้นต้องตรง
เขาที่นั่งมองหน้าเธอพลาง มือก็โบกพัดไปพลางสังเกตเห็นทุกการเคลื่อนไหวถึงเพียงน้อยนิดของเธอ
จึงเป็นฝ่ายเริ่มต้นขึ้นเสียก่อนว่า “เฮ้! ถ้าคุณกลัวตัวตลกอย่าลืมตานะ
ผมยังไม่ได้ลบเมคอัพ” ฟังดูไม่น่าจะใช่บทสนทนาเริ่มต้นสำหรับสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้สักเท่าใดนัก
หากก็เป็นคำเตือนที่ชวนหัวดี ถึงแม้ว่าโชโกะจะไม่ได้เป็นคูลโรโฟเบียก็ตามแต่
“คุณ...คือตัวตลกแจกลูกโป่งที่มาแทนคุณมัตสึมูระหรือคะ?”
“ผมก็มัตสึมูระนะ” น้ำเสียงของเขาเริงร่า ซึ่งก็ไม่น่าจะแตกต่างจากใบหน้าตัวตลกในมโนภาพรำลึกของโชโกะที่จำจดได้
“ผมมัตสึมูระ โฮคุโตะ เป็นน้องชายของคุณมัตสึมูระที่คุณหมายถึง ส่วนคุณก็คือคุณซูซูกิ
โชโกะ พนักงานขายดีเด่นแห่งจอยแลนด์”
เธอขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจว่าเขาจะมาไม้ไหนถึงได้พูดอะไรที่ฟังดูคล้ายการประชดประชันเช่นนี้
แต่ก่อนที่จะได้ขยับริมฝีปาก เขาก็จะพลันโพล่งคล้ายกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า “เมื่อกี้จู่ๆ
คุณก็เป็นลมไป คนอื่นตกอกตกใจกันแทบแย่ นี่ดีนะที่ผมเข้าไปช่วยไว้ได้ทัน ไม่งั้นได้ถูกย่างสดบนพื้นคอนกรีตแน่ๆ
หน้าร้อนปีนี้นี่ร้อนนรกแตกแท้ๆ ห่ะเอ๊ย!”
และอีกครั้งที่หัวคิ้วของเธอพุ่งเข้าชนกันใกล้ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นี่เขาใช่ตัวตลกคนใหม่ที่เพิ่งจะมาทำงานคนนั้นจริงหรือ?
จริงอยู่ว่าเธอไม่ได้รู้จักหรือได้เคยพูดคุยกับเขามาก่อนแม้แต่คำเดียว นอกจากรู้แค่ว่าเป็นพนักงานชั่วคราวเพียงเท่านั้น
แต่ก็เคยเดินผ่านเมื่อเขาอยู่กลางวงสนทนาหรือได้ยินคนอื่นพูดถึงบ้างอย่างที่เรียกได้ว่าบ่อย
วิธีการพูดของเขานุ่มนวล พอๆ กับการเลือกใช้คำที่ชวนฟังไม่ระคายหู ท่าทางหรือก็สุภาพยิ้มแย้มอยู่เสมอ
ดูเป็นคนดีแบบที่น่าจะสัตย์ซื่อเหมือนกับหน้าตาเสียด้วยซ้ำไป และไม่ว่าใครในจอยแลนด์ก็คงคิดเช่นนั้น
ด้วยเหตุฉะนั้น โชโกะถึงไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะสบถคำหยาบคายเช่นนี้เป็น
“แล้วก็นี่ ดื่มซะ”
เป็นอีกครั้งที่จังหวะของเธอเชื่องช้ากว่า เมื่อขวดน้ำพลาสติกเย็นค่อนไปทางอุ่นจะมาจ่ออยู่ตรงริมฝีปากสีซีดที่แห้งผากก่อนสิ่งอื่นใด
มือหนาค่อยๆ ประคองศีรษะของคนที่หรี่ตาขึ้นเพียงนิดให้ดื่มน้ำได้ถนัดถนี่
แต่ไม่เป็นผลนักเลยเผลอสำลักจนน้ำในปากกระเซ็นไปโดนมือของเขาถึงสองครั้งสองครา กระนั้น
ตัวตลกก็ไม่ได้แสดงทีท่ารังเกียจหรือสบถอะไรออกมา จนโชโกะต้องนึกประหลาดใจอยู่ครามครัน
ก่อนที่จะได้ดันศีรษะกลับลงไปพิงพาบกับหมอนใบนุ่มเช่นเดิม
“ว่าแต่ ที่ซุ้ม...”
“เรื่องงานน่ะช่างหัวมันก่อนเถอะ นี่ช่วงพักของคุณ
ไม่ใช่หน้าที่กงการอะไรสักหน่อย ยัยพวกนั้นก็อีก! คิดว่าอยู่ชั้นประถมหรือไงถึงได้แกล้งอะไรปัญญาอ่อนแบบนี้!” ท่ามกลางน้ำเสียงเดือดดาล ราวกับว่าเขาสั่งสมความคับข้องข้างในอกมานานสองนาน
ก็เป็นเวลาเดียวกับที่โชโกะจะรู้สึกถึงผ้าชุ่มน้ำที่โปะทับเปลือกตาของเธอเพื่อส่งผ่านความเย็น
แม้เธอจะหลุดหัวเราะพรืดออกมาเบาๆ ทั้งจากความขบขันและสะใจไปในที แต่โชโกะก็ต้องยอมรับว่าเธอ...ไม่เข้าใจ
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจคำพูดของเขา
เพราะมันก็ชัดทุกถ้อยคำดีอยู่แล้ว หากแต่เธอไม่เข้าใจตัวตนของตัวตลกผู้นี้ในยามนี้เอาเสียเลยต่างหาก
สุภาพบุรุษตัวตลกของทุกคนที่กล่าวแนะนำตัวเองว่าชื่อมัตสึมูระ โฮคุโตะ
พร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจให้สาวๆ เก็บไปเพ้อฝัน ดันกลับกลายเป็นคนปากคอเราะร้ายแบบนี้ไปได้อย่างไร
จนโชโกะอดคิดไม่ได้ว่าตนเองกำลังหลงเข้ามาอยู่ในโลกคู่ขนานที่กลับตาลปัตรจากดำเป็นขาว
จากร้อนเป็นหนาว หรืออย่างไรกันนะ
หรือว่าเธออาจจะกำลังฝันอยู่กันแน่ บางที การได้เห็นตัวตลกแสนดีที่ไม่ว่าเด็กขลาดกลัวคนไหนก็น่าจะตกหลุมรักลง
อาจทำให้เธออยากลองลอกเปลือกสีดำมืดออกมา คว้านทะลวงไปให้ถึงเบื้องลึก เผยให้โลกได้เห็นความพิกลพิการของรอยยิ้มบูดเบี้ยวที่ไม่ต่างจากตัวตลกในซีรีส์สยองขวัญอย่างฟรีคโชว์ก็ได้
ไม่แน่ว่าถ้าเธอโยนผ้าชุบน้ำทิ้งแล้วเปิดเปลือกตาขึ้นตอนนี้ ก็อาจจะได้เห็นตัวตลกลอกใบหน้าสุดสะพรึงซึ่งกำลังรอจ้องสบตาโพลง
ก่อนจะจ้วงกระหน่ำใบมีดแทง
แต่เขาก็ดึงเรียกสติของเธอให้กลับคืนมายังโลกปัจจุบันด้วยคำว่า
“นี่คุณ” อย่างกับรู้ว่าในหัวเธอกำลังแต่งเรื่องจินตนาการไปไกลถึงจูปิเตอร์,
ฟลอริด้า ในปี 1952 อยู่อย่างไรอย่างนั้น โชโกะขานรับในลำคอหนึ่งครั้ง
รั้งรอคอย ทว่ากลับมีเพียงความนิ่งเงียบตามมา ไม่อาจแหวกผ่านเสียงโหวกเหวกของผู้คนในสวนสนุกเป็นปกติ
จนโชโกะคิดว่าเขาอาจจะลุกจากไปแล้วซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูง
ไม่ใช่เรื่องน่าพิศวงอะไร และเธอก็เริ่มจะจมกลับเข้าสู่ห้วงนิทรา หากครานี้ด้วยความต้องการของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
เป็นตอนนั้นเองที่สุ้มเสียงทุ้มของชายหนุ่มพลันโพล่งขึ้นให้เธอสะดุ้งไหว
“ผมก็เหมือนคุณนั่นแหละ”
“ค...คะ?”
เขาขยับตัวเองไปนั่งพิงแผ่นหลังกับม้านั่งข้างศีรษะของคนที่ถูกผ้าโปะทับตำแหน่งดวงตาอยู่
จากตรงนี้มองเห็นลูกโป่งสีแดงที่ลอยขึ้นบนฟ้าตัดกับสีสรรพ์อ่อนสะอาด แต่จัดจ้านจนนัยน์ตาแทบบอด
อาจเป็นเด็กสักคนที่เขาแจกลูกโป่งให้เผลอปล่อยมันหลุดมือไป เด็กคนนั้นคงจะกำลังร้องไห้โฮให้พ่อแม่ปลอบกันอยู่ที่ไหนสักแห่ง
น้ำเสียงของเขาเสียดเย้ย และโชโกะก็แน่ใจว่าริมฝีปากของเขาต้องกำลังเหยียดหยัน
“สะอิดสะเอียนโลกนี้แทบบ้า”
๓.
ท่ามกลางภวังค์กึ่งหลับกึ่งตื่น
โสตประสาทของเธอจะแว่วยินน้ำเสียงเคยคุ้นจากเจ้าของบทเพลงป็อปร็อคที่เคยได้ฟังทางช่องเอ็มทีวีก่อนไปโรงเรียนบ่อยๆ
ยาวนานเมื่อหลายปีก่อน มันไม่ใช่หนึ่งในบทเพลงที่เธอนิยม หากสามารถรั้งเรียกทั้งตัวตนจากห้วงแห่งความฝัน
และความทรงจำเมื่อครั้งเก่าก่อนให้หวนกลับคืนในวันนี้...วันที่เลยวันกลางฤดูร้อนไปไม่ไกลนัก
เธอจำได้ว่าไม่ได้เปิดวิทยุทิ้งไว้ เป็นใครสักคนที่เธอรู้แน่ว่าเขาคือใคร
ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามที่จะปรือนัยน์ตาที่ปิดสนิทจนถึงก่อนหน้าเพื่อเพ่งจ้อง หากไม่ทันได้ขยับพลิกตัวเสียด้วยซ้ำ
ร่างของเธอก็จะถูกรวบกอดจากทางด้านหลัง โดยคนถือดีที่ทิ้งตัวลงบนที่นอนกับกลิ่นเหงื่อและเสื้อเชิ้ตที่ชุ่มโชก
หลังจากต้องเดินทางฝ่าเปลวแดดเปรี้ยงปร้างที่ยังคงไม่ลดละแม้เป็นช่วงบ่ายแก่ๆ นั่นทำให้หญิงสาวซึ่งนอนสบายอยู่ในห้องปรับอากาศมาตลอดทั้งเช้าต้องยู่หน้า
ร้องอุทธรณ์ด้วยน้ำเสียงงัวเงียที่ไม่ต่างจากเสียงร้องงอแงของเจ้าเหมียวห้องข้างๆ ในความคิดของเขา
จนต้องส่งเสียงหัวเราะออกมาเมื่อพลิกร่างในอ้อมกอดให้หันสบ ก่อนซุกใบหน้าลงไปกับแก้มเนียนใสพลางอ้อนออด
“เหนื่อยมากเลย”
ทว่าเธอก็หาได้ใส่ใจต่อการกระทำนั้นไม่ นอกไปจากความพยายามผลักร่างหนาหนักของเขาออกไปอย่างไร้ผล
“แล้วทำไมถึงไม่ไปอาบน้ำก่อนเล่า
เหม็นเหงื่อจะแย่”
“ก็อยากกอดฮิสะให้หายเหนื่อยก่อน”
“แต่ฉันเหนียวตัวไปหมดแล้วนะ”
“รู้แล้วๆ” ทั้งอย่างนั้น เจ้าตัวก็ไม่แม้แต่จะขยับห่างไปสักมิลลิเมตร
ไม่มีสิ่งใดหรือถ้อยคำพูดอื่นใดตามมาอีก นอกจากเสียงลมหายใจผ่อนเข้าออกที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ
จนเธอคิดว่าเขาคงจะม่อยหลับไปแล้วเป็นแน่
ระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าจะรวบรวมแรงอันน้อยนิดผลักเขาให้กระเด็นแล้วงัวเงียมาบ่นกระปอดกระแปดใส่
หรือจะปล่อยเขาไว้แบบนี้ แล้วพาตัวเองกลับเข้าสู่ภวังค์ต่อก่อนจะถึงเวลาตื่นนอนปกติในอีกสองชั่วโมงดี
ถึงจะไม่สบายตัวนักทั้งน้ำหนักไม่เบาที่กดทับอยู่ แถมยังพ่วงมากับกลิ่นเหงื่อและความเหนอะหนะอันไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลยนั่นก็อีก
หากก็ต้องยอมรับว่าเธอก็ขี้เกียจเกินกว่าจะออกแรงทำอะไรเฉกเช่นกัน เช่นนั้นแล้วเธอจึงกดปุ่มเลือกคำตอบข้อสองในหัวสมองไปอย่างไร้ซึ่งความลังเล
ก่อนค่อยปิดเปลือกตากลับลงไปอีกครั้ง เพลงจากวิทยุยังคงเล่นต่อเนื่อง
ผสานกลมกลืนไปกับความฝันที่เริ่มทับซ้อนกับความจริง คลื่นสัญญาณปรับตรง ภาพความทรงจำเมื่อครั้งเยาว์วัยพลันหวนกลับคืน
ไม่ใช่ภาพเสมือนจอโทรทัศน์ที่เธอนั่งมองเหตุการณ์อยู่ภายนอก แต่เป็นตัวเธอเองจริงๆ
ที่เข้าฉากอยู่ข้างหลังเบาะรถและกำลังหัวเราะกับเรื่องตลกของพ่อและแม่อย่างชวนหัว
บทเพลง ‘ไลฟ์ อิส บิวตี้ฟูล’ ของ ดิ อาฟเตอร์ส จากลำโพงดังก้องไปทั่วพื้นที่รถมาสด้า คงไม่มีคำใดจะนิยามชีวิตในตอนนั้นของเธอได้เท่ากับคำๆ
นี้อีกแล้ว ชีวิตของเด็กหญิงชิบุยะ ฮิสะ เคยงดงาม พร้อมหน้าและสุขสม มากเกินกว่าที่ชีวิตหนึ่งจะได้เคยสัมผัส
ก่อนทุกสิ่งจะพังทลายลงไปในชั่วข้ามคืน
นอกจากเสียงกรีดร้อง ปืนลูกซองและกลิ่นของความตายที่ไหลหลั่งจากร่างกายของสองผู้ให้กำเนิดแล้ว
เธอก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีก หรือจะเป็นหลังจากนั้นก็ไม่ เธอไม่ต้องการรับรู้อะไรอีกเลย
ไม่ต้องการรับรู้ถึงชีวิต ลมหายใจ ความเจ็บปวด หรือสิ่งใดทั้งนั้น เด็กหญิงที่เคยเริงร่ากลับจมอยู่กับความทุกข์ทนเหลือคณานับในทุกขณะจิต
จนแม้แต่การทำร้ายตัวเองยังไม่อาจช่วยบรรเทา และในตอนที่เธอแบกรับความรู้สึกบนโลกใบนี้อีกต่อไปแทบไม่ไหว
เธอก็ได้รับสัมผัสจากมือหนาที่ฉุดรั้งเธอขึ้นมาจากหน้าผาที่ร่วงหล่น แม้นั่นคือคำอุปมา
กับความจริงแท้ยังหน้าต่างของห้องพักชั้นที่แปดในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เขาช่วยแต่งแต้มสีสันให้กับโลกที่เคยเป็นสีดำสนิทหลังจากการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
น้ำตาที่คิดว่ารีดเร้นหมดสิ้นแล้วกลับพร่างพรูลงมาเพียงแค่อ้อมกอดในวงแขนนั้น เขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
เพียงลูบผ่านแผ่นหลังและเส้นผมยาวสยายของเธอในความเงียบงัน ภายใต้แสงจากจันทร์เต็มดวงที่สาดส่องมองเห็นจากบานหน้าต่างอ้ากว้างที่สายลมเย็นโพยพัดเข้ามา
เฝ้ารอคอย กระทั่งเสียงสะอื้นและน้ำตาที่ทะลักล้นแทนทดช่วงเวลาก่อนหน้าทั้งหมดทั้งมวลจะเหือดแห้งลงไป
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ฮิสะ ไม่เป็นไรแล้ว” เขาผละตัวห่าง
ก่อนค่อยเลื่อนประคองใบหน้าของเธอไว้ จ้องสบใบหน้าแตะรอยยิ้มดั่งดวงอาทิตย์สดใส เหมือนกับในความทรงจำครั้งสุดท้ายเมื่อสามปีก่อนหน้าที่แทบไม่มีอะไรผิดแผก
นากามูระ ไคโตะก็ยังคงเป็นเด็กชายคนเดิมคนที่ชิบุยะ
ฮิสะได้เคยรู้จัก
“ต่อจากนี้ฉันจะเป็นคนปกป้องเธอเอง”
นิ้วโป้งของเขาเกลี่ยเอาหยาดหยดน้ำตาที่อาบใบหน้าของหญิงสาวอย่างแผ่วผิน
ท่ามกลางนัยน์ตาที่สบจ้องกันอย่างเงียบงันอยู่ครู่ขณะ แม้พวกเขาทั้งสองต่างรู้แน่อยู่แก่ใจว่ามันไม่ควรจะลงเอยแบบนี้
หากทุกความจริงก็พลันสูญสลาย เมื่อริมฝีปากของเขาเคลื่อนใกล้
๔.
โชโกะไม่เข้าใจเลยว่าเหล่าเพื่อนร่วมงานต่างไม่รู้สึกเบื่อกันหรืออย่างไร
กับการคอยมองหาข้อบกพร่องตัวเธอแม้แต่ในสภาวะหมดแรงข้าวต้มเช่นนี้ หลังฟื้นจากอาการลมแดดในอีกหลายชั่วโมงให้หลัง
เธอก็เป็นต้องทึ่งใจเมื่อได้เห็นตัวตลกถอดรูปที่ยังคงนั่งเฝ้าอยู่เคียงข้างไม่ไปไหน
เขาเคลียร์ปัญหาเรื่องงานขายประจำวันกับผู้จัดการให้แล้ว ทั้งยังช่วยประคองสารร่างอันอิดโรยมาจนถึงห้องพักของพนักงาน
เรียกคำขอบคุณผะแผ่วจากริมฝีปากสีซีดมาตลอดทาง สีหน้าของพวกหล่อนปั้นยากเมื่อได้เห็นแม่เหล็กต่างขั้วอยู่ด้วยกัน
ครั้นประจุบวกถอยห่างไป เจตนาในแง่ลบอันจริงแท้ต่อเธอก็หวนกลับคืนมาไม่แปรเปลี่ยน นอกจากคำว่า
“สำออย” ซึ่งไม่ผิดไปจากที่คิดเอาไว้แล้ว ยังมีอีกหนึ่งคำนินทาชวนให้หัวร่องอหายที่ว่าเธอพยายามจะให้ท่าตัวตลกขวัญใจไปเสียอีก
โชโกะนับถือจินตนาการของพวกหล่อน ขณะที่ความคิดของเธอแทบจะเรียกได้ว่ากลวงเปล่าเพราะสภาพอากาศร้อนระอุจนแทบบ้า
ถึงจะค่อยรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้างลังจากได้อาบน้ำเย็นๆ แล้วเปลี่ยนกลับมาอยู่ในชุดเดรสแขนกุดพิมพ์ลายเบาสบายที่สวมใส่มาในวันนี้
ใจหนึ่งก็รู้สึกฉิวจนอยากโทร.เรียกชายคนรักให้มารับถึงที่
จะได้รวดเลยเป็นการเย้ยเยาะพวกหล่อนให้หนำใจ แต่เมื่อลองตรองดูแล้วก็คิดว่าอย่าเลยดีกว่า
เธอไม่อยากรบกวนเขาที่กำลังนอนหลับเอาแรง
ก่อนขึ้นแสดงโชว์กับเพื่อนร่วมวงในผับคืนนี้ด้วยเรื่องไร้สาระอันเปลืองเปล่า เอาเป็นว่าเรียกรถแท็กซี่แทนที่จะจับรถไฟหรือรอรถโดยสารเหมือนตอนขามาจะดีกว่า
หน้าร้อนปีนี้เห็นควรต้องเป็นเช่นนั้น
ขณะที่เธอกำลังเดินเนือยๆ ผ่านกำบังพร้อมกับหมวกปีกกว้าง
ฝีก้าวบนรองเท้าสานรัดส้นก็จะพลันเร่ง ขึ้นไปยืนตีคู่ข้างคนตัวสูงที่เห็นอยู่ไม่ห่าง
ส่งรอยยิ้มที่บุคลากรน้อยคนนักในจอยแลนด์จะได้พบเห็นให้กับเขา
๕.
สายตาของเขายังไม่ได้ขยับเคลื่อนไปจากหมู่ผีเสื้อกลางคืนที่กำลังบินล้อมอยู่ในโคมไฟสีขาวสะท้อนฟ้า
ที่แขวนห้อยติดผนังกำแพงอาคารชั้นที่จอดรถซอมซ่อตั้งแต่เมื่อหลายนาทีก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย
ไม่แม้แต่ในตอนที่เหงื่อเริ่มผุดพรายไหลหยดจากเส้นผมไปตามแนวใบหน้า
ด้วยอุณหภูมิความร้อนที่ยังเรียกได้ว่าอบอ้าวอยู่กระทั่งในตอนที่ดวงอาทิตย์โรยแสง แต่ถึงกระนั้น
เขาก็ยังคงแหงนมองความเป็นไปของมวลชีวิตราตรีที่พาร่างแสนสวยของตนเองเข้าสู่กับดักอันตรายอย่างไม่สำเหนียก
เสียงแปลบเปรี๊ยะดังก้องทุกขณะเมื่อร่างของพวกมันโผพุ่งกระแทกเข้ากับหลอดไฟ เสียดเข้าไปในโสตประสาทหวึ่งหวี่ของเขาที่ยืนนิ่งไม่ไหวติง
ครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ก่อนพวกมันจะพากันล้มพาบพับ ไม่อาจโบยบิน
สิ้นท่าอยู่รอบนอกหลอดไฟส่องสว่าง ตัวที่หนึ่ง ตัวที่สอง ตัวที่สามซึ่งสั่นปีกบอบบางไหวๆ
ยามร่วงโรย สิ่งมีชีวิต...ช่างน่าสมเพชและเวทนาเสียจริงหนอ ครั้นแล้ว เขาจึงขยับจุดสายตาและร่างของตน
เอื้อมไปหยิบท่อนเหล็กที่กองอยู่ใกล้กันขึ้นมาถือไว้มั่น ก่อนจะฟาดมันลงไปยังโคมไฟที่อยู่เบื้องหน้าบนนั้น
ทั้งสรรพเสียงและความเป็นไปของชีวิตเล็กจ้อยต่างพากันหยุดนิ่งลง หลังจากแสงแลบแปลบปลาบครั้งสุดท้าย
และท่อนเหล็กที่เขาปล่อยหลุดมือให้กลิ้งเกลือกลงไปบนพื้น
เสื้อกันฝนสีเหลืองอ่อนถูกสะบัดออกจากกระเป๋ากางเกงคาปรีเพื่อสวมใส่
ขณะก้าวสวบๆ เข้าไปในตัวอาคาร ยิ่งเมื่อเคลื่อนใกล้เป้าหมายมากเท่าไหร่
เสียงหวึ่งหวี่ข้างในหูของเขาก็ยิ่งทวีมากขึ้นเท่านั้น จนเมื่อขึ้นบันไดไปยังแหล่งซ่องสุมชั้นดีของไอ้พวกแก๊งกุ๊ยกระจอกที่เขาแทบไม่เคยได้ยินชื่อผ่านหูมาก่อนบนชั้นสองของตึกซอมซ่อนี้
เขาก็แทบจะไม่ได้ยินสุ้มเสียงอื่นใดอีก ฝีก้าวของเขาหยุดลง ในตอนที่เลี้ยวเข้าไปเผชิญหน้ากับพวกมันที่กระจายตัวพักผ่อนกันตามสบายในคืนวันธรรมดา
ทุกสายตาจับจ้องมองเขาแทบจะในวินาทีเดียวกันโดยไม่ต้องนัดหมาย พวกมันตัวหนึ่งเดินมาตะโกนใส่หน้าเขาว่า
“แกเป็นใครวะ! มาในที่แบบนี้อยากตายหรือไง!” และอีกตัวก็เย้ยเยาะเสริมไปว่า “นี่ไม่ใช่ที่สำหรับเด็กนะโว้ย! รีบกลับบ้านไปกินนมแม่ไป้! ไอ้เปี๊ยกเอ๊ย!” สายตาเขาตวัดเหลือบเมื่อสุดสิ้นประโยค หากก็ยังยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น...กับเสียงหวึ่งหวี่บาดแก้วหูซึ่งมีเพียงตัวเขาที่ได้ยิน
“พูดอะไรบ้างสิวะ ไอ้ห่านี่!”
แต่กระนั้น เขาก็ไม่ได้อ้าปากเอ่ยคำพูดใดออกมาดั่งว่า
มือหนาเพียงล้วงหยิบวัตถุสีเงินในกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่งขึ้นมา ควงใบมีดและเชือดลำคอของมันที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
ปล่อยเลือดสีแดงชาดพุ่งกระฉูดออกจากรอยแผลคมกริบมายังเสื้อกันฝนที่เขาสวมคลุม เปรอะไปถึงใบหน้าและลำคอที่โผล่พ้น
มันทุรนทุราย ส่งเสียงอึกอักก่อนยกมือทั้งสองขึ้นกุมลำคอ ก่อนล้มฮวบลงไปโดยไม่มีแม้โอกาสได้ทำสิ่งใดเช่นใจหมาย
ท่ามกลางการเคลื่อนไหวอย่างตระหนกตกใจของเพื่อนร่วมแก๊งที่พากันรีบหยิบอาวุธและพ่นผรุคำสบถออกมา
หนึ่งในนั้นเล็งปืนมาที่เขา แต่ก็หาได้ไวเกินกว่ามีดเล่มเดิมที่เขาขว้างไปในตำแหน่งหัวใจอย่างแม่นยำนั้นไม่
กระสุนเปลี่ยนทิศจากร่างกายมนุษย์ไปยังช่องอากาศบนเพดานที่ส่งเสียงแกร๊งๆ และคราวนี้
พวกมันก็พร้อมใจกันหยิบอาวุธชั่วคราวรอบตัวขึ้นมาช่วยป้องกันภัย แล้วพุ่งกรูกันเข้าใส่ผู้บุกรุกร่างเล็กอย่างฮึกเหิมไม่ต่างจากกองทัพซึ่งน่าชื่นชม
หากเมื่อร่างของเพื่อนมันคนแล้วคนเล่าพากันร่วงหล่นพร้อมกับกองเลือดที่หลั่งรินจากใบมีดคม
พวกมันก็เริ่มใจฝ่อ พากันถอยหลังกรูดไป แน่นอน เขารู้อยู่แล้วว่าเลือดนักเลงของไอ้พวกแก๊งกระจอกนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับเผชิญหน้าผู้ที่เหนือกว่า
และในที่นี้ก็มีเพียงเขาที่เป็นผู้ปราชัยอยู่บนห่วงโซ่อาหารนี้แต่เพียงผู้เดียว
หาใช่มนุษย์ แต่คือจักจั่น (เซมิ) วิธีลอบกัดหรือหมาหมู่หาได้มีผลใดต่อเขา
มากไปกว่าความหงุดหงิดใจในการต่อสู้แสนกระจอกที่ไม่ต่างอะไรจากการยืดเส้นยืดสายก่อนออกกำลังกายเสียด้วยซ้ำ
เขายินยอมให้ตัวเองถูกเก้าอี้ฟาดหลังอย่างคนขี้ขลาดได้แค่หนึ่งครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเตะเข้าไปที่หน้าท้อง
กดใบมีดเชือดไปที่ลำคอ และถีบหัวที่บรรจุสมองกลวงๆ ของมันลงไปกองเป็นเศษขยะอยู่กับพวกพ้องไร้ค่าไม่ต่างกัน
เพียงแค่ชั่วนาทีเท่านั้น ออฟฟิศอยู่อาศัยก็ได้กลายมาเป็นสมรภูมิเลือด
กับผู้ชนะที่ยืนอยู่เหนือร่างไร้ลมหายใจนับสิบชีวิตซึ่งเขาไม่ใส่ใจจะนับจำนวน
แต่ไม่...เป้าหมายของเขายังไม่สุดสิ้น ขณะค่อยๆ หันใบหน้ามายังชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำที่ดูเหมือนจะเริ่มรู้สึกตัวจากสายตาคู่นั้น
จึงรีบลนลานวิ่งหัวซุกหัวซุนพร้อมกับกองเงินที่อยู่บนโต๊ะออกจากห้องไป
เสียงหวึ่งหวี่ยังเสียดแก้วหูอยู่ ถึงเวลาแล้ว เขาคิด พลางจัดการติดกระดุมเสื้อกันฝนเม็ดบนและดึงฮู้ดขึ้นคลุมศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีทองของตน
ย่ำฝีเท้าก้าวลงบันไดตามหลังมันที่ลุกลี้ลุกลนไปในจังหวะที่เป็นปกติ ก่อนมันจะเป็นฝ่ายแพ้ภัยตัวเองเมื่อล้มลงไประหว่างชั้นบันได
ถอยร่างกระเสือกกระสนไปชนแผ่นหลังเข้ากับฝาผนังอย่างสิ้นหนทาง ให้เขาได้เดินเข้าไปย่อตัวท้าวศอกของมือข้างที่ถือมีดอยู่ตรงหน้า
ปิดเส้นทางหนี และเปิดปากพูดเป็นครั้งแรกในค่ำคืน
“อย่าหนีสิวะแกน่ะ
ต้องสู้ให้ถึงที่สุดเข้าใจไหม?”
“อ...อาซาโนะส่งแกมาใช่ไหม?”
“ฮะ? อาซาโนะ? ใครวะ? ฉันแค่มาฆ่าพวกแกทุกคนก็เท่านั้น”
เป็นอีกครั้งที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใส่ใจต่อถ้อยคำพูดของเขา
รีบแทรกน้ำเสียงขึ้นมาเสียเร็วรี่จนน่ารำคาญใจว่า “บอกคุณอาซาโนะให้ทีนะว่าฉันจะไม่ขายยาในถิ่นนี้อีกแล้ว
เพราะฉะนั้น...ไว้ชีวิตฉันเถอะนะ ส่วนแกถ้าอยากได้เงินฉันมีให้ จะเอาไปเท่าไหร่ก็ได้”
มือทั้งสองข้างของมันที่ยื่นมาตรงหน้าเขาสั่นเทา จนธนบัตรหลายใบนั้นต่างกราวร่วงลงไปแทบเท้า
น่าสมเพช...
ช่างเป็นมนุษย์ที่น่าสมเพชเสียยิ่งกว่าพวกผีเสื้อกลางคืนที่บินเข้าหาดวงไฟจนตัวตายเหล่านั้นซะอีก
“แกนี่มันน่าเบื่อฉิบเป๋งเลยว่ะ”
จบประโยค เขาก็ตวัดข้อมือตัวเองขึ้น เลื่อนใบมีดไปยังลำคอที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เหมือนกับท่อน้ำประปาที่รั่วไหล หากแต่เป็นน้ำสีแดงที่แตกออกมาจากเส้นเลือดไร้แรงดัน
พุ่งเปรอะเข้าทั้งใบหน้า ทั้งมือข้างหนึ่งที่ยกขึ้นปาดป่าย เปียกชุ่มไปด้วยของเหลวเหนียวข้นน่าคลื่นเหียน
แย่ชะมัด!
คลับคล้ายคลับคลาว่าแถวลานจอดรถจะมีก๊อกน้ำและเตาเผาขยะอยู่ เห็นทีคงต้องแวะล้างหน้าและซักเสื้อให้เรียบร้อยก่อนกลับบ้านสักหน่อยแล้ว เป็นงานที่น่าเบื่อ แต่ก็ช่วยไม่ได้
_______________
ความคิดเห็น