คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #185 : Sakurazaka
ปีสองพันเจ็ด
เส้นทางที่ใช้โดยสารตลอดสองปีที่คุราชินะ โมโคมิย้ายมาร่ำเรียนอยู่ในเมืองหลวงยามนี้ปกคลุมไปด้วยสีสันของฤดูใบไม้ผลิ ดอกซากุระสีชมพูขาวกำลังอวดโฉมอยู่บนกิ่ง บ้างปรายกลีบเล็กยังพื้นคอนกรีตสีเทา ราวกับทางเดินที่ทอปูด้วยผืนพรมจากฝีมือการสรรสร้างของธรรมชาติอันงดงาม
ขณะนั้นย่างเข้าบ่ายโมงตรงที่แสงอาทิตย์ส่องทะลุผ่านชั้นบรรยากาศเข้าสู่ผืนโลก เสริมความสดใสและสร้างชีวิตชีวาให้กับเด็กสาวที่กำลังเดินเอ้อระเหยผ่านขึ้น ‘เนินซากุระ’ อันเป็นทางเชื่อมต่อระหว่างบ้านและร้านสะดวกซื้อที่ใกล้ที่สุดในเมือง มือข้างหนึ่งก็ถือข้าวปั้นห่อสาหร่ายไส้ทูน่า พร้อมกับดูดนมกล่องรสกาแฟจากมืออีกข้างไปด้วย
ก่อนเสียงกีตาร์ที่ดังแว่วมาพร้อมกับเสียงร้องอย่างไม่สนใจต่อผู้คนที่เดินสวนทางจะค่อยๆ ชัดเจน เมื่อรองเท้าแตะย่ำสูงขึ้นไปจนถึงเนินซากุระ น้ำเสียงคุ้นหูซึ่งมักจะหยิบยกบทเพลงทั้งญี่ปุ่นหรือสากลมาร้อง คลอเคล้าไปกับการเกากีตาร์ด้วยอารมณ์สุนทรีย์ บางทีก็สร้างสีสัน แต่บางครั้งก็กลับกลายเป็นความน่ารำคาญสำหรับเพื่อนร่วมห้องบีที่ต้องเผชิญ แม้ยังไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน โมโคมิก็สามารถรับรู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของเสียงร้องนั้นคือใคร เธอหยุดจังหวะการก้าวเดิน ยืนฟังเพลงฮิตในช่วงปีสองพันจากศิลปินคนโปรดที่แม่ชอบจนส่งต่อมาถึงเธออย่าง ‘ซากุระซากะ’ (เนินซากุระ) บทเพลงอมตะประจำฤดูกาลที่เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวามากที่สุดในทั้งมวลจวบกระทั่งปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเจ้าของเสียงร้อง ณ เวลานี้จะไม่ได้มีโทนเสียงนุ่ม ทุ้ม ลึก เทียบเท่ากับต้นฉบับผู้เป็นตำนานของวงการเพลงญี่ปุ่นอย่างคุณฟุคุยามะ มาซาฮารุ แต่นากามูระ เรย์อะ นักเรียนชั้นปีสองห้องบี แห่งโรงเรียนมัธยมปลายซากุระ ก็สามารถขับเสียงแหลมสูงในแบบฉบับของตนเองได้อย่างไพเราะน่าฟังไม่แพ้กัน
และเมื่อเรย์อะหันมาเห็นเพื่อนร่วมห้องที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีกำลังยืนดูดนมกล่องอยู่กับที่ก็จะรีบยกมือขึ้นโบกพร้อมทักทาย กึ่งวิ่งกึ่งลากฝีเท้ามาหาทั้งที่กีตาร์ตัวเก่งคู่ใจจะสะพายพาดอยู่บนไหล่
“เพลงกำลังเพราะเลย หยุดร้องซะแล้ว” โมโคมิเย้าหยอก กลั้วไปกับเสียงหัวเราะของเรย์อะ
“กำลังจะกลับบ้านเหรอ?”
เธอพยักหน้าตอบรับ ครั้นนมกล่องที่ดูดเข้าไปไหลผ่านลงคอหมดแล้วจึงย้อนถามกลับไปด้วยประโยคที่ใกล้เคียงกันว่า “แล้วเรย์อะกำลังจะไปไหน?”
“กำลังจะไปหาคาเรอะน่ะ”
เรียกลมหายใจของเธอให้พรูแรง ตะโกนออกมาดังๆ ด้วยใบหน้าที่ย่นยู่ลงไปว่า “เฮ้อ! น่าอิจฉาคนมีแฟนจังน้า!”
“เธอก็หาแฟนซะสิ ฤดูใบไม้ผลิน่ะเป็นฤดูของการเริ่มต้นความรักเลยนะ”
“ไม่เอาล่ะ” โมโคมิสั่นหัว ยู่หน้าแล้วเอ่ยคำพูดหยอกล้อไปตามปกติวิสัยของตนว่า “ถ้าไม่ใช่อิเคเมงแบบพวกเรย์อะก็ไม่เอาหรอก”
“อิเคเมงอะไร! น่าอายออกจะตาย!” ที่เรย์อะก็จะโต้กลับคืนไปอย่างรวดเร็วเฉกเช่นกัน “มีแต่คนปี้เท่านั้นล่ะมั้งที่ภูมิใจกับไอ้ฉายาแบบนี้น่ะ! ฉันกับไทโกะไม่เอาด้วยหรอก!”
โมโคมิระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาเมื่อไพล่คิดไปถึงเด็กหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลา ร้องเพลงก็เพราะ เล่นกีตาร์ก็เก่ง เรียกว่าพอฟัดพอเหวี่ยงกับเรย์อะที่เป็นหนุ่มป๊อปที่สุดในโรงเรียนได้ (หากเจ้าตัวขัดเขินเกินกว่าจะยอมรับ) แต่เพราะนิสัยขี้เก๊กเป็นบ้า ขนาดพวกผู้หญิงก็หมั่นไส้ พวกผู้ชายก็เอือมระอา นั่นเองที่จะทำให้โมโคมิระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมา
“งั้นฉันไปก่อนนะ”
โมโคมิจึงเพียงบอก “บ๊ายบาย” ผ่านคำพูด ไร้การกระทำเพราะมือทั้งสองข้างที่ถืออาหารเที่ยงของตนเองอยู่
แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว เรย์อะที่เดินสวนไปแล้วก็จะหันกลับมาร้องเรียกชื่อต้นของเธอใหม่ เหมือนเพิ่งนึกถึงหัวข้อสนทนาบางอย่างขึ้นได้ ขณะที่โมโคมิจะแค่เอี้ยวตัวเลิกคิ้วขึ้นแทนคำถาม เพราะก้อนข้าวปั้นที่กำลังเคี้ยวอยู่เต็มปาก
“เธอเป็นแฟนเพลงของคุณฟุคุยามะใช่ไหม?”
โมโคมิพยักหน้าหงึก พยายามกลืนอาหารให้เรียบร้อย เพราะคิดว่าเขาอาจจะเอ่ยคำถามให้เธอต้องอ้าปากตอบ แต่ก็มีเพียงประโยคคำพูดสั้นๆ ที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ กระนั้นก็เรียกรอยยิ้มกว้างให้กระจายอยู่ทั่วใบหน้าอย่างชื่นบาน
“ฉันก็เหมือนกัน”
และเนินซากุระในวันนี้ก็อบอวลไปด้วยรอยยิ้มและความสุขที่ไม่จางหายไป
ถึงอาจเป็นเพียงหนึ่งในเหตุการณ์เล็กๆ ที่ดูจะไม่ได้สลักสำคัญอะไร สำหรับช่วงเวลาที่ยังคงสถานะความเป็นเพื่อนกันโดยไร้ซึ่งสิ่งอื่นใดที่เจือปน หากมันก็เป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ ก่อตัวข้างในใจ และในที่สุดก็ถึงวันเบ่งบาน
愛と知っていたのに 花はそっと咲くのに
ถึงฉันจะรู้ว่ามันคือความรัก ถึงดอกไม้จะเริ่มผลิบานอย่างเงียบงัน
君は今も 君のままで
แต่กระทั่งตอนนี้ เธอก็ยังคงเป็นเธอคนเดิม
ปีสองพันแปด
กดปลายปากกาวาดวงกลมตัวโปร่งปิดท้ายประโยค ปัดหน้าปกสมุดปิดเข้าหากันก่อนยืดตัวและแขนขึ้นจนสุดเพื่อคลายความเมื่อยล้าจากการนั่งเคลียร์การบ้านของวันจนเสร็จสิ้น แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนแรงลงไปเมื่อมองผ่านบานหน้าต่าง ทอดแสงเดียวดายภายในห้องเรียนชั้นปีสามบีซึ่งบัดนี้เหลือเพียงเธอลำพัง ฝ่ายกระจายเสียงเริ่มประกาศให้กลับบ้านเมื่อนาฬิกาข้อมือชี้ไปยังหกนาฬิกา เช่นนั้นจึงค่อยเก็บข้าวของลงไปในกระเป๋าเรียนอย่างลวกๆ ไม่ลืมที่จะปิดหน้าต่างและบานประตูให้เรียบร้อยก่อนย่ำไปตามระเบียงที่ร้างราผู้คน เป็นดั่งกิจวัตรประจำวันของโอกาเมะ มิคุนิมาตั้งแต่ปีหนึ่งจนขึ้นชั้นไฮสคูลปีที่สามในโรงเรียนมัธยมปลายซากุระภายใต้การดูแลของรัฐบาล เธอจะมาถึงโรงเรียนตอนเจ็ดโมงเช้าและกลับถึงบ้านในเวลาเจ็ดโมง...หากเป็นของช่วงเย็นทุกวันที่มีชั่วโมงเรียน
มิคุนิก็แค่เกลียดบ้านที่ดูไม่เหมือนบ้าน เกลียดครอบครัวที่ดูไม่เหมือนครอบครัวก็เท่านั้น
‘เนินซากุระ’ สะพรั่งไปด้วยสีสันและกลีบดอกไม้ที่พากันเบ่งบานเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ นี่คือเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างโรงเรียนและบ้านที่เธอมักจะมายืนปล่อยใจไปกับสายลมและความงดงามของฤดูที่ชอบที่สุด หลังออกจากรั้วโรงเรียนในทุกเย็น
ตอนที่กำลังนึกอารมณ์ดีกระโดดขึ้นไปบนทางที่ลาดชั้นนั้นเอง เด็กสาวก็จะดันสะดุดรองเท้านักเรียนตัวเอง กระแทกเข่ามนกับพื้นคอนกรีตเข้าอย่างจัง มิคุนิจึงเปลี่ยนไปเป็นก้มหน้างุด ก่อนรีบเร่งฝีเท้าเมื่อสวนทางกับผู้คนที่แน่ใจพันเปอร์เซ็นต์เลยว่าได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักลอยตามลมมา เธอไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรนอกจากความชาที่แผ่ริ้วขึ้นมา ขณะเดินโขยกเขยกโดยไม่ก้มลงมองบาดแผลที่คงจะไม่ได้ใหญ่โตเท่าไหร่นักในความคิด กระทั่งเจ้าของใบหน้ากับส่วนสูงที่เธอคุ้นเคยในชุดเครื่องแบบนักเรียน ที่ตอนนี้ถอดคาร์ดิแกนสีเบจแล้วปล่อยชายเสื้อเชิ้ตออกมานอกกางเกงลายสก็อตสีน้ำเงินเข้มจะเดินขึ้นมาบนเนินสะพาน มีรอยยิ้มและสีหน้าประหลาดใจที่ได้เห็นเธอ ก่อนเลื่อนต่ำลงไปโดยไม่ตั้งใจ ให้ได้วิ่งพรวดพราดเข้ามา เปลี่ยนเป็นความตื่นตกใจเมื่อได้เห็นร่องรอยบางอย่างบนนั้น
“เธอ...เลือดออกนี่!”
มิคุนิก้มลองมองเข่าข้างขวาที่โผล่พ้นกระโปรงลายสก็อตสีน้ำเงินเหนือเข่า ก่อนที่จะร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นตกใจเช่นเดียวกัน เมื่อได้มองเห็นรอยเลือดสีแดงปรากฏเป็นวงอยู่บนนั้น
“ไปโดนอะไรมา?”
“อ๋อ สงสัยจะเป็นเมื่อกี้ที่หกล้มตอนขึ้นเนินน่ะ”
“เลือดดูออกเยอะมากเลยนะ เจ็บมากไหม? เดินไหวหรือเปล่า?”
ถึงจะพยักหน้าตอบรับว่า “อื้อ แค่นี้สบายมาก!” ด้วยความมั่นใจ แต่พอได้เห็นบาดแผลของตัวเองแล้วก็ดูเหมือนในหัวสมองจะสั่งการให้รู้สึกเจ็บขึ้นมาดื้อๆ
แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้มีสีหน้ามั่นอกมั่นใจไปด้วยเลย หลังจากลังเลอยู่สักพัก ในที่สุดเขาก็เอ่ยว่า “แวะทำแผลก่อนกลับบ้านดีกว่านะ” ก่อนตามมาด้วยประโยคที่ทำให้มิคุนิต้องเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อหู
“ขี่หลังฉันแล้วกัน”
“เอ๊ะ! ต...แต่ว่า...”
“เห็นเลือดออกเยอะแบบนี้แล้วฉันรู้สึกไม่ดีเลย บ้านเธอก็เดินไปตั้งไกล ยังไงแวะทำแผลที่บ้านฉันก่อนแล้วเดี๋ยวฉันจะปั่นจักรยานไปส่งเอง ว่าแต่กลับบ้านช้าหน่อยคงไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“อ...อื้อ”
“โอเค งั้นก็ขึ้นมาเลย”
ยินคำตอบรับแล้วก็ไม่รีรอต่อคำพูดปฏิเสธหรือสนใจกับมือทั้งสองข้างที่อีกฝ่ายยกขึ้นโบกรัวๆ อีก เขาก้มตัวหันหลัง มัดมือชกให้เพื่อนร่วมห้องทำตามความหวังดีแกมบังคับเล็กๆ ตามประสาซาซากิ ไทโกะที่เพื่อนๆ ต่างรู้ดีว่าป่วยการเปล่าหากพยายามโต้เถียงกับเด็กหนุ่มติดจะเอาแต่ใจคนนี้ มิคุนิจึงรวบรวมความกล้าขออนุญาตด้วยเสียงแผ่วเบา ภาวนาไม่ให้หัวใจเต้นรัวแรงเมื่อแนบอกอยู่กับแผ่นหลังกว้าง และกลิ่นตัวของผู้ชายที่ดูสดชื่นเหมือนกับกลิ่นทะเลที่ไม่อาจหาพบได้ในเมืองหลวง อย่างนั้นก็คงจะเป็นกลิ่นน้ำหอม
นอกจากการถามไถ่ถึงเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ดูจะไม่ได้มีคำพูดอะไรมากนักระหว่างเพื่อนร่วมห้องที่ไม่ได้สนิทกันอีก แต่ท่ามกลางสายลมและกลุ่มกลีบดอกซากุระที่บานสะพรั่งตลอดระรายทาง บาดแผลที่หัวเข่าไม่รู้สึกทั้งอาการชาและความเจ็บปวดแล่นริ้วผ่านขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย มีเพียงสิ่งเดียวที่มิคุนิรู้สึกได้ชัดเจนนั่นคือ...ความสุข
ล้อจักรยานหมุนฝ่าสายลมในยามที่ท้องฟ้ามืดมิดและเต็มเปี่ยมไปด้วยหมู่ดาว ก่อนค่อยๆ ชะลอลง จนมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านเช่าหลังเล็ก เมื่อนั้นคนซ้อนที่เขย่งขาตัวเองลงมาหยัดยืนอยู่บนพื้นจึงก้มหัว เอ่ยคำขอบคุณให้แก่คนที่มือยังจับอยู่บนแฮนด์จักรยานไม่ได้หยุด จนไทโกะต้องเป็นฝ่ายพูดแทรกกลั้วไปกับเสียงหัวเราะขบขันว่าไม่เป็นไร ทั้งยังยกมือขึ้นยีหัวของเธอเบาๆ เป็นการแสดงเจตนารมณ์
“ถ้ายังไงก็อย่าพยายามเดินเยอะนะ”
มิคุนิพยักหน้าตอบรับ ถอยฝีเท้าออกมาก้าวหนึ่งเมื่อไทโกะโบกมือลาและบอกฝันดี ขณะที่มิคุนิก็ยืนมองจักรยานและแผ่นหลังของเด็กชายที่มีชีวิตชีวาสมกับฤดูใบไม้ผลิจนลับหายไปจากสายตา
ผ้าก๊อซสีขาวสะอาดปรากฏสีน้ำตาลเข้มของยาทาแผลแทรกซึมขึ้นมา ออกจะชาแปลบอยู่เล็กๆ เมื่อขยับขาพาก้าวเดิน หลังชะล้างด้วยแอลกอฮอล์ก็ทำให้ได้รู้ว่าถึงแผลจะไม่ลึกมาก แต่ก็เป็นรอยกว้างพอสมควร คงต้องใช้เวลากว่าที่ร่องรอยของแผลเป็นจะค่อยๆ จางหายเป็นปกติ
ทั้งที่ควรจะคิดว่ามันคือความโชคร้าย แต่มิคุนิกลับไม่อาจหุบรอยยิ้มบนใบหน้าได้ลง ขณะเอาแต่จ้องมองผ้าพันแผลที่ถูกปิดอย่างไม่เรียบร้อย ทว่าเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยและอ่อนโยนด้วยฝีมือของคนที่เธอแอบชอบมาตลอด
และนั่นก็คือความทรงจำต่อไทโกะที่แม้กระทั่งบัดนี้...เธอก็ยังไม่เคยลืมเลือน
เป็นเหตุผลที่ทำให้ฤดูใบไม้ผลิและดอกซากุระเป็นดั่งสิ่งล้ำค่ายิ่งกว่าขุมทรัพย์ไหนๆ การได้เพียงแอบมองเขาข้างเดียว ด้วยหัวใจที่อัดแน่นไปด้วยความชอบ ก่อนผันเปลี่ยนไปเป็นความรักที่เอ่อล้นเมื่อสัมผัสกับความใจดีที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้สัมผัสมันด้วยตนเอง ถึงอาจจะโรยราจางหายไปจากสายตา อย่างไรก็จะงดงามอยู่ในความทรงจำ ไม่มีวันที่จะแปรเปลี่ยนไป
愛と知っていたのに 春はやってくるのに
ถึงฉันจะรู้ว่ามันคือความรัก ถึงในที่สุดฤดูใบไม้ผลิจะหวนคืนมา
夢は今も 夢のままで
แต่กระทั่งตอนนี้ ความฝันก็ยังคงเป็นแค่ความฝัน
_______________
ความคิดเห็น