คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #40 : BEAUTIFUL DREAMERS / Prologue (B): Ao no Jidai -青の時代-
การที่คนอย่างอิวาซากิ ไทโชจะแนะนำสมาชิกร่วมกลุ่มคนใหม่ให้รู้จักในช่วงเปิดเทอมขึ้นชั้นปีที่สอง ถือเป็นเรื่องที่ทั้งน่าแปลกใจระคนตกใจสำหรับอุกิโช ฮิดากะ หรืออาจรวมถึงเพื่อนอีกคนหนึ่งอย่างนาสุ ยูโตะ เมื่อสมาชิกใหม่คนที่ว่านั้นคือเด็กผู้หญิง ถึงเหตุผลที่ทุกคนได้รับรู้จะมาจากความสัมพันธ์ของพี่สาวและพี่ชายทั้งสองคนนั้น มันก็ยังเป็นเรื่องที่ดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลสำหรับเด็กหนุ่มที่ไม่ถูกโรคกับเด็กผู้หญิง — ไม่ต้องพูดถึงเจ้าหญิง — อยู่ดี
แต่แม้ว่าจะเต็มไปด้วยคำถาม อุกิโชก็ไม่ได้นึกเกี่ยงอะไรหากจะมีเพื่อนร่วมกลุ่มคนใหม่ ถ้าขนาดไทโชยังไว้วางใจ ก็แล้วทำไมเขาจะต้องไปเคลือบแคลง
อุกิโชตอบรับทั้งคายามะ ซานะที่ร่าเริงสดใส และโรคุทันดะ ฮีรากิที่เงียบขรึมขี้อาย การผูกมิตรกับซานะที่ก็ตอบรับกลับมาแทบจะทันทีไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยสำหรับเขาหรือไทโช แตกต่างจากเด็กสาวอีกคนหนึ่ง ก่อนความพยายามเข้าหาอย่างไม่ย่อท้อของเขาจะค่อยๆ ละลายน้ำแข็งที่อยู่ข้างในใจ ทำให้ฮีรากิเริ่มเปิดใจตอบรับเพื่อนใหม่ ไม่ใช่แค่การหลบอยู่ข้างหลังซานะอีกต่อไป พวกเขาทั้งห้าคนได้ถักทอมิตรภาพที่สวยงามและมันจะคงอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านานขึ้นมา
ทั้งที่อุกิโชก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าความสวยงามไม่เคย...ไม่มีวัน...คงอยู่ตลอดไป ต่อให้เขาจะพยายามรักษามันไว้เพียงไรก็ตาม
เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถทำเองคนเดียวได้ หรือจะขาดใครคนใดคนหนึ่งไปก็ไม่ได้ เมื่อมิตรภาพคือสิ่งที่ ‘ทุกคน’ ต้องร่วมมือกันประคับประคอง อย่างน้อยๆ อุกิโชก็เคยมองเห็นสิ่งนั้นในตัวของเพื่อนร่วมกลุ่มทุกคน ทั้งเขา ไทโช ซานะที่กระตือรือร้นกับการพูดคุยสร้างความสนิทสนม หรือแม้แต่นาสุและฮีรากิที่ไม่ค่อยเปิดปากหากก็เป็นผู้ฟังที่ดี
กระทั่งอุกิโชเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงจากซานะซึ่งมักเปิดบทสนทนากับไทโชด้วยหัวข้อจำเพาะเจาะจงที่คนนอกอย่างพวกเขาฟังไม่เข้าใจ ชื่อของฮีรากิที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอกลับถูกแทนที่ด้วยใครอีกคนมากขึ้นทุกวัน ช่วงเวลาที่เคยได้สนุกสนานร่วมกันทั้งหมดห้าคนมาบัดนี้กลับแยกแตกเป็นสอง แต่อุกิโชก็อยากจะเชื่อว่าเธออาจทำสิ่งเหล่านั้นลงไปโดยไม่รู้ตัว เป็นเรื่องปกติของการได้เจอเพื่อนที่คุยกันถูกคอแทบจะทุกเรื่องอย่างที่เธอเคยเล่าให้ฟังมันก็เท่านั้น และการที่ฮีรากิไม่เคยแสดงออกว่าน้อยใจหรือไม่พอใจออกมาเลยสักครั้ง ก็ทำให้อุกิโชตัดสินใจไม่เข้าไปก้าวก่ายในความสัมพันธ์ของพวกเธอ
ความตงิดใจของอุกิโชก่อตัวเพิ่มมากขึ้นหลังจากคาบคหกรรมที่ทุกคนในกลุ่มถูกจับแยกกันหมด เว้นก็แต่ไทโชกับฮีรากิ...ที่หล่อนในตอนนี้ต่างหากต้องแยกกลับไปนั่งที่คนเดียว แล้วจู่ๆ ซานะที่แสดงสีหน้าบูดบึ้งตลอดทางกลับห้อง จ้ำอ้าวมาโดยทิ้งเพื่อนคนอื่นๆ เอาไว้ข้างหลัง ก็จะหันมาพูดกับคนที่ยังคงไม่หุบรอยยิ้มอยู่ข้างๆ ว่า
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้ ดีใจที่ได้คะแนนเต็มหรือดีใจที่ได้อยู่กับฮีรากิล่ะ?”
ปกติอุกิโชไม่ใช่พวกสอดรู้สอดเห็นบทสนทนาของใคร แต่น้ำเสียงประชดประชันที่ชัดเจนเต็มสองหูอย่างที่ไม่เคยได้ยินจากเด็กผู้หญิงท่าทางร่าเริงมาตลอดนั้นเองที่รั้งเรียกความสนใจของเขาให้แหงนเงยขึ้นจากตำราเรียนที่เพิ่งหยิบออกจากเก๊ะ เช่นเดียวกับเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างหน้า แม้ว่าจะด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันก็ตามที
“ทำอาหารด้วยกันคงสนุกน่าดูเลยสิท่า ขนาดตอนเดินกลับห้องยังคุยกันสองคนไม่สนใจคนอื่น จะว่าไปแล้วฉันไม่เคยเห็นนายกับฮีรากิคุยกันสนิทสนมมากขนาดนี้มาก่อนเลยนะ”
“ทำไมซานะถึงพูดแบบนั้นล่ะ?” น้ำเสียงของไทโชอึกอัก รอยยิ้มก็เจื่อนจางลงไป “ฉันก็ดีใจกับทุกอย่างนั่นแหละ ทั้งได้คะแนนเต็ม ได้ทำอาหารกับเพื่อนทุกคน ไม่ใช่แค่โรคุคนเดียวอย่างที่ซานะคิดหรอกนะ”
“เหรอ ก็ดีแล้วนี่” เธอตอบรับเพียงแค่นั้น ยกแขนขึ้นเท้าคาง แล้วเมินใบหน้าไปอีกฝั่งแทน
เพราะอุกิโชไม่ใช่คนซื่อบื้อที่ไม่รู้อะไรเรื่องเด็กผู้หญิงเลยอย่างไทโช หรือไม่ก็เพราะซานะไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่อ่านได้ยากขนาดนั้นเหมือนกับเพื่อนของเธอ เขาถึงได้มองเห็นความหมายบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ข้างใน มันไม่ได้มาจากความขุ่นเคืองใจเพราะกลุ่มของเธอได้คะแนนน้อยที่สุดแถมยังถูกครูมิยาดาเตะติไปยกใหญ่ กระนั้นอุกิโชก็ยังไม่อยากชี้ชัดลงไป เมื่อเขาไม่เห็นวี่แววว่าซานะจะชอบไทโชในแง่นั้นเลย
ทุกอย่างมาชัดเจนแจ่มแจ้งเอาในวันที่ครูนากาจิมะให้จับกลุ่มทำรายงานตามใจฉันกันสี่คน โดยไม่สนใจแม้แต่จะตะโกนถามไถ่เพื่อนในกลุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ห่างออกไปตรงสุดมุมหนึ่ง ซานะก็ทึกทักจัดการทุกอย่างเอาเองคนเดียวเสร็จสรรพ ต่อหน้าฮีรากิในร้านอาหารก็ทำเป็นพูดดี ถ้าเจ้าตัวไม่ถือสาจริงๆ อย่างที่ว่า คงไม่ผลุนผลันกลับไปก่อนพร้อมกับคำพูดประชดประชันอย่างนั้น แถมยังไม่อ่านข้อความ ไม่ยอมรับสายที่เขากับไทโชเพียรโทร.ไปหาด้วยข้ออ้างว่าเผลอหลับไปก่อนไม่ใช่หรือไง
ทว่าไม่ใช่แค่เพียงเรื่องของซานะที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่อุกิโชยังหมายถึงเพื่อนชายหญิงในกลุ่มอีกสองคนด้วย
ทั้งที่เป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งหลายปี อุกิโชกลับไม่รู้ดูไม่ออกว่าไทโชชอบฮีรากิ...และที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าคือฮีรากิก็ชอบไทโช เมื่อทั้งสองต่างไม่เคยแสดงพิรุธออกมาให้เห็นเลยแม้เพียงนิด แต่เป็นเพราะพฤติกรรมการแสดงออกของใครอีกคนอย่างซานะต่างหากที่เปิดเผยความลับนั้นออกมาให้อุกิโชได้ล่วงรู้ โดยเฉพาะหลังจากคาบคหกรรมวันนั้นที่ไทโชกับฮีรากิได้ใกล้ชิดกันมากที่สุด ถึงซานะจะสนใจแต่ไทโชคนเดียวเป็นปกติ มันก็มีบางอย่างที่ผิดปกติอยู่ในนั้น เมื่อไหร่ที่ไทโชทำท่าว่าจะพูดกับฮีรากิแม้แค่ด้วยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป ซานะก็จะแทรกบทสนทนานั้นไม่ก็พยายามตัดบท และไทโชที่โอนอ่อนก็จะยอมใจอ่อนให้กับเธอตลอด
อุกิโชได้มั่นใจแล้วว่าสิ่งที่ซานะต้องการคือการกีดกันสองคนนั้น เพราะถ้าหากพวกเขาสารภาพความในใจที่บังเอิญว่าตรงกันขึ้นมา คนที่จะต้องเป็นส่วนเกินในกลุ่มที่มีกันทั้งหมดห้าคนก็คือเธอ
แต่เป็นเพราะเธอชอบไทโช? เพราะเธอไม่ชอบฮีรากิ? หรือเพราะเธอหวงเพื่อนสนิทที่สุดจนไม่อยากแบ่งปันเขาให้กับใคร? เรื่องนั้นอุกิโชไม่รู้
แต่เรื่องหนึ่งที่เขารู้คือความเห็นแก่ตัวของเธอคนเดียวได้ทำลายทุกอย่าง
อุกิโชแทบจะทนมองหน้าซานะเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาไม่ได้อีก นับตั้งแต่ฮีรากิจากไปพร้อมกับความอัดอั้นตันใจที่ระบายออกมา แม้เขาจะพยายามไม่เข้าข้างใคร หากในใจก็อดที่จะโยนความผิดไปให้ไทโช...มากกว่านั้นคือซานะไม่ได้ น้ำตาของเธอที่บีบออกมาไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรสักนิดนอกจากความโกรธ บางครั้งก็เป็นความเกลียดที่ผุดขึ้นมา แต่อุกิโชก็จะกลบกลับมันลงไปเมื่อคิดว่านั่นออกจะเป็นอะไรที่หนักหนาเกินไปหน่อย คายามะ ซานะก็แค่เด็กผู้หญิงที่ขลาดเขลา ขลาดกลัว และเห็นแก่ตัวเกินกว่าจะกล้าสูญเสียคนหนึ่งเท่านั้น และผลตอบแทนที่เธอได้รับก็คือความอึดอัดกับบรรยากาศหนักอึ้งที่ลอยอบอวลอยู่ระหว่างพวกเขาทั้งสี่ที่ยังฝืนปั้นหน้าเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน อุกิโชไม่สนใจสีหน้าบูดบึ้งไม่พอใจของซานะเมื่อเขากับนาสุเอ่ยปากทักทายฮีรากิที่เดินผ่าน หรือแม้แต่ไทโชก็เลิกปิดบังความในใจที่มีต่อฮีรากิผ่านแววตาที่ทอดมองหล่อนจากที่ไกลๆ ทุกครั้งที่มีโอกาส
เมื่อไม่มีความสุขกับที่ตรงนี้แล้ว และเมื่อเขาทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้ทั้งนั้นตราบที่ไทโชซึ่งก็รู้ต้นสายปลายเหตุดีทุกอย่างจะเอาแต่สงสารซานะอยู่อย่างนี้ อุกิโชจึงเป็นฝ่ายเลือกที่จะถอยห่างออกมาเอง กระนั้นก็ใช่ว่าจะเหินห่างไปเสียทีเดียว เขากับนาสุยังช่วยพวกนั้นติวตอนที่สอบตกวิชาวิทยาศาสตร์ให้ และในตอนที่ทุกคนรวมกลุ่มกันมาทำรายงานวิชาภาษาอังกฤษที่บ้านหลังใหญ่ของเขาช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์หลังจากนั้น การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ถกเถียงเรื่องการเรียนกับซานะและนาสุอย่างเอาเป็นเอาตาย หัวเราะรวนร่าไปกับเรื่องไร้สาระที่ไทโชสรรหามาพูด เหมือนที่ครั้งหนึ่งพวกเขาได้เคยเป็น — ถึงอาจมีใครคนหนึ่งที่หล่นหายไปกลางทาง — ก็ทำให้อุกิโชเกือบเชื่อว่าวันเวลาเดิมๆ เหล่านั้นอาจหวนย้อนกลับคืนมาได้อีกครั้ง
กระทั่งตอนหัวค่ำที่เขาชักชวนทุกคนออกไปเดินเล่นหาอะไรกินกันที่ชิบุยะสตรีม เป็นเรื่องบังเอิญที่พวกเขาจะได้เจอกับกลุ่มของฮีรากิที่เป็นลูกค้าในร้านเบอร์เกอร์กันอยู่ก่อนแล้ว และวากุที่ออกนอกหน้าเมื่อได้เห็นเพื่อนร่วมห้องอีกกลุ่มหนึ่งก็จะรีบป้องปากตะโกนเรียก ยกมือขึ้นโบก จากนั้นรบกวนขอพนักงานต่อโต๊ะสองตัวเข้าด้วยกัน โดยที่พวกเขาก็ไม่ปฏิเสธ
การได้เห็นฮีรากิมีท่าทีผ่อนคลายอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนที่ไม่สนิทแบบนี้ ก็ทำให้อุกิโชวางใจได้ว่าวากุ โคกิ และโคเซย์ที่ล้วนแล้วแต่นิสัยดีต่างก็ช่วยกันดูแลฮีรากิเป็นอย่างดี เท่านั้นก็มากเกินพอแล้วสำหรับเขาที่ทำอะไรเพื่อเธอไม่ได้เลย
ขณะที่ทุกคนพูดคุยหัวเราะสนุกสนานบนโต๊ะอาหารไปกับบทสนทนาที่ถือครองโดยไทโช วากุและโคกิเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่ฮีรากิที่นั่งฟังเงียบๆ อยู่ข้างกับโคเซย์ก็ยังหลุดยิ้มไปกับมุกตลกหรือเรื่องขำๆ ของพวกเขาได้ จะมีก็แต่ซานะที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินแซนด์วิชโดยแทบไม่เงยมองใครแม้แต่เพื่อนสนิทที่นั่งข้างๆ
และจากเรื่องเล็กน้อยที่สุดอย่างตอนที่ไทโชสั่งโค้กเผื่อฮีรากิที่ดื่มหมดแล้วเหมือนอย่างสมัยตอนที่ยังเป็นเพื่อนกันเท่านั้น ซานะก็จะเลื่อนเก้าอี้ลุกพรวดพราด บอกว่ารู้สึกปวดหัวอาการไม่ค่อยดี ขอตัวกลับก่อนแล้วจะจ่ายค่าอาหารให้ทีหลัง จากนั้นฉวยกระเป๋าใบเล็กขึ้นมาสะพายไหล่ เดินกระแทกส้นรองเท้าบู๊ตปึงปังออกไปเหมือนกับน้ำเสียงที่ไม่ปิดบัง
ทั่วทั้งโต๊ะตกอยู่ในความเงียบ ฮีรากิที่รู้ว่าตัวเองคือสาเหตุได้แต่ก้มหน้างุดลงไป ขณะที่ไทโชซึ่งเหลียวมองตามก่อนหันกลับมาก็มีสีหน้าลำบากใจในตอนที่มองดูเด็กสาวอีกคน
นั่นเองที่ทำให้อุกิโชตัดสินใจได้ว่าเขาไม่อยากให้เพื่อนรักทำเรื่องโง่เง่าที่ต้องกลับมานึกเสียใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ อย่างการไล่ตามคนเห็นแก่ตัวพรรค์นั้นที่คิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามต้องการด้วยการโพล่งขึ้นว่า “ฉันจะไปคุยกับซานะเอง”
“ให้ฉันไปด้วย...”
“ไม่ต้อง นายอยู่กับทุกคนที่นี่แหละ”
น้ำเสียงของอุกิโชเฉียบขาดอย่างที่น้อยครั้งเขาจะทำ และนั่นก็มากพอที่จะทำให้ไทโชปิดปากเงียบ ไม่คัดค้านอะไรอีก นั่นรวมถึงเพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่นที่เหลือด้วย เพราะไม่ว่าใครก็ย่อมดูออกว่าเหตุผลที่ซานะทำแบบนั้น แท้จริงแล้วมันมาจากความไม่พอใจต่างหาก
อุกิโชวิ่งตามไปจนเห็นแผ่นหลังของเด็กสาวผมสีแดงเดินก้มหน้ากระชับกระเป๋าสะพายด้วยมือที่กดกำไว้แน่นอยู่บนสะพาน แรกสุด อุกิโชก็แค่อยากพูดคุยกับซานะให้เข้าใจ หากเมื่อเขาหยุดฝีก้าวอยู่เบื้องหน้าเธอและได้เห็นใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา ความหงุดหงิดก็พลันพลุ่งขึ้นมาให้เขาควบคุมความโกรธที่สั่งสมมาตลอดเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ทำไมเธอถึงต้องเอาแต่ทำตัวอ่อนแอ ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำ ทั้งที่เธอเป็นคนเริ่มต้นทุกอย่างเองไม่ใช่หรือไง? จนทำให้อุกิโชตะคอกใส่หน้าเธอไปด้วยความเหลืออดว่า
“ซานะ! หยุดสักที! เธอจะเห็นแก่ตัวแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่!”
“ฉันน่ะเหรอเห็นแก่ตัว!”
“เธอโกรธโรคุ เธอหวงเพื่อนสนิท เรื่องนั้นฉันเข้าใจ แต่ไม่ใช่ว่าโรคุก็เคยเป็นเพื่อนของเธอหรือไง!”
ซานะที่ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเหยียดหยัน
“เพื่อนที่ทิ้งฉันตอนมีแฟน เพื่อนที่แย่งเพื่อน แย่งทุกคนที่ฉันรักไป คนแบบนั้นน่ะเหรอที่เรียกว่าเพื่อน?”
“เธอก็เลยเอาคืนด้วยการทำแบบเดียวกันเหรอซานะ?” กระนั้นก็ไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจยามมองดูใบหน้าขาวที่แดงก่ำ “เธอเลยทิ้งโรคุบ้าง กีดกันไม่ให้ไทโชได้อยู่กับโรคุเพราะกลัวว่าจะโดนแย่งเขาไปเหมือนกัน เพราะเธอก็รู้อยู่แก่ใจว่าไทโชชอบโรคุ...”
“หุบปากได้แล้ว!”
อุกิโชได้รับรู้คำตอบของคำถามที่ค้างคาใจในที่สุด เมื่อซานะพุ่งเข้ามาผลักอกเขาที่ยังพูดไม่ทันจบประโยคดีด้วยซ้ำจนซวดเซไปเล็กน้อย เรี่ยวแรงที่แทบไม่มีของเธอทำอะไรเขาไม่ได้ แตกต่างจากเขาที่แค่จับข้อมือผอมบางนั้นไว้ก็รู้สึกถึงความแหลกสลาย...อาจเช่นเดียวกับหัวใจของเธอ
“ทนฟังไม่ได้เลยเหรอซานะ?” อุกิโชไม่สนใจที่จะเก็บซ่อนความเย้ยเยาะผ่านคำพูดตอกย้ำซ้ำเดิมทั้งหมดนั้นต่อเธอ “ทำไม? คิดว่าคนที่ตามมาจะเป็นไทโชไม่ใช่ฉันล่ะสิ เพราะยังไงหมอนั่นก็ต้องเห็นแก่เธอมากกว่าโรคุอย่างนั้นใช่ไหม? น่าเสียดายนะที่ไม่ใช่ คนเห็นแก่ตัวที่หลอกใช้ความใจดีของคนที่ทำดีด้วยอย่างเธอมันโคตรทุเรศเลยซานะ”
เธอสบนัยน์ตาแข็งกร้าวที่พร่าเลือนไปด้วยน้ำตากับเขา
“อยากพูดอยากด่าอะไรฉันก็เชิญ แต่ถ้าฉันมีความสุขไม่ได้ ฮีรากิก็มีความสุขไม่ได้”
“และเธอก็รู้ว่านั่นหมายถึงไทโชด้วย” อุกิโชสวนย้อนกลับไป “ความรักของเธอคือการได้เห็นคนที่รักต้องเจ็บปวดแบบนี้เหรอซานะ? เธอยังมีหน้าเรียกมันว่าความรักได้อยู่อีกเหรอ?”
“แต่อย่างน้อยคนที่ได้อยู่ข้างเขาก็คือฉัน”
เมื่ออีกฝ่ายไม่พยายามที่จะเข้าใจต่อให้พูดอะไรไปก็ป่วยการ สิ่งใดที่รักษามันไว้ไม่ได้ เขาก็จำยอมต้องปล่อยไป เหมือนกับที่อุกิโชปล่อยข้อมือของซานะซึ่งไม่ได้พยายามสะบัดออกด้วยซ้ำให้ร่วงหล่น
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอให้คนที่ต้องเจ็บปวดที่สุดก็คือเธอ”
โดยไม่สนใจต่อเสียงสะอื้นที่เธอกดกลั้นไม่ไหวอีกยามที่เดินจากมา
จากมิตรภาพครั้งสุดท้าย จากวันเวลาที่แสนบริสุทธิ์เหล่านั้นซึ่งอุกิโชได้เข้าใจแล้วว่ามันไม่มีวันหวนคืนกลับมาอีก
ถึงจะนั่งข้างกันตามลำดับเลขที่มาตลอดหนึ่งปีการศึกษา แต่คายามะ ซานะกับอิวาซากิ ไทโชก็ไม่เคยเป็นอะไรมากไปกว่าเพื่อนร่วมห้อง เมื่อเขามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างหลังซึ่งมักจะหันไปพูดคุยด้วยมากกว่า ไหนจะเด็กผู้ชายคนอื่นที่วันๆ ก็ทักทายกันด้วยเรื่องเกม การ์ตูน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ซานะไม่ค่อยจะสนใจตลอดเวลา ส่วนเธอที่มีเพื่อนสนิทหนึ่งคนที่นั่งอยู่ข้างหลังสุดของห้องก็สนุกกับการก้มหน้าแชตคุยกัน พอถึงตอนเที่ยงก็ปลีกวิเวกออกไปหาที่นั่งกินอาหารแล้วสรรหาเรื่องโน้นนี้ได้ไม่หยุด เช่นเดียวกับตอนเย็นหลังเลิกเรียนรวมถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ ไม่ว่าจะมองในแง่มุมไหน โลกที่แตกต่างของเธอกับเขาก็ดูไม่น่าจะบรรจบ
แต่โชคชะตาย่อมมีวิธีการของมัน แม้สำหรับซานะจะมาในรูปของคนรักที่สมบูรณ์แบบแทบทุกประการของพี่ชายเธอที่ก็เหมาะสมควรค่ากับคำคำนั้นไม่ได้ต่างอะไรกัน และยีนนั้นก็ดูเหมือนจะสืบทอดส่งต่อกันมาในบ้านคายามะ เพราะอย่างนั้นซานะถึงได้ตกใจเอามากเมื่อพบว่าคุณอิวาซากิ เอรุก็คือพี่สาวแท้ๆ ของอิวาซากิ ไทโช เพื่อนร่วมห้องของเธอที่ไม่จำเป็นต้องพินิจพิจารณาก็ไม่เห็นเค้าใกล้เคียงกันเลยสักนิดทั้งหน้าตาหรือว่าส่วนสูง ซานะไม่ได้หมายความว่าเขาหน้าตาแย่ ก็แค่เด็กผู้ชายธรรมดาที่ไม่มีอะไรโดดเด่นให้เด็กผู้หญิงที่ไหนมาสนใจ ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนใจเด็กผู้หญิงที่ไหนมาตั้งแต่แรกแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ดี เมื่อพี่ชายและพี่สาวเกี่ยวดองกันแล้ว น้องชายและน้องสาวจะผูกมิตรกันบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร เพียงแต่ซานะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเธอกับไทโชจะมีรสนิยมตรงต้องกันในหลายๆ อย่าง ทั้งแนวเพลงที่ชอบ วงดนตรีที่ฟัง ภาพยนตร์ที่ดู ความสนใจในความรู้รอบตัว และอื่นๆ อีกมากมายที่เธอได้ค้นพบในภายหลัง ยิ่งกว่าฮีรากิที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้นเสียอีก เป็นเพราะซานะที่รักการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมีความชอบที่แตกต่างจากเด็กวัยเดียวกันส่วนใหญ่ไม่เคยพานพบเจอกับคนวัยเดียวกันที่มีใจเดียวกันแบบนี้มาก่อน เธอจึงไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อยในการตอบรับคำชวนเข้ากลุ่มของไทโช ขณะที่เพื่อนสนิทซึ่งเข้ากับคนยากของเธอคงจะรู้สึกอึดอัดใจบ้างในช่วงแรก หากซานะก็รู้ว่าโรคุทันดะ ฮีรากิคนแข็งแกร่งจะสามารถปรับตัวเข้ากับกลุ่มเพื่อนใหม่ที่ก็ล้วนแล้วแต่นิสัยดีได้
ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งห้าคนเป็นไปอย่างราบรื่นดีไม่มีอะไรให้ต้องกังวล เป็นมิตรภาพที่จะคงอยู่เรื่อยไปกระทั่งจบการศึกษา แม้ว่ามีอยู่บ่อยครั้งที่ซานะคิดว่าสักวันจะต้องมีความรักสักคู่ก่อเกิดในกลุ่ม และเธอหมายถึงฮีรากิที่น่าจะได้ลงเอยกับอุกิโช ฮิดากะ หรือไม่ก็นาสุ ยูโตะที่เหมาะสมกันแม้แค่มองจากภายนอก ไม่ต้องพูดถึงนิสัยใจคอที่ดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่อย่างไทโชที่ราวกับแม่เหล็กคนละขั้วซึ่งไม่มีทางจะเป็นไปได้ และซานะก็พอใจที่เป็นเช่นนั้น
กระทั่งเธอเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
อย่างรอยยิ้มเวลาที่ไทโชคุยกับฮีรากิหรือสายตาที่จดจ้องมองดูเวลาหล่อนเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมา...ถึงนั่นจะดูไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อย่างความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ เวลาไปร้านอาหารที่ไทโชจะคอยสังเกตว่าน้ำของฮีรากิหมดตอนไหนแล้วสั่งให้...ถึงจะทำเป็นถามคนอื่นรวมๆ แบบไม่เจาะจง หรืออย่างตอนเล่นเกมด้วยกันที่ไม่ว่าฮีรากิจะทำเรื่องมุทะลุแค่ไหนไทโชก็ยอมตามไป...ถึงจะคอยช่วยสอนช่วยแบกเธอตลอด แต่ผู้หญิงย่อมรู้และดูออกต่อให้พิรุธนั้นจะเล็กน้อยแค่ไหน และซานะก็รู้ว่ามันไม่ได้เป็นเพราะไทโชอยากสร้างความสนิมสนมในฐานะเพื่อนกับฮีรากิเหมือนอย่างที่อุกิโชทำ เมื่อไทโชไม่เคยมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนแบบนั้นเลยสักครั้ง
มันก็แน่อยู่แล้ว ในเมื่อไทโชไม่ได้รักเธอเหมือนอย่างที่รู้สึกกับเพื่อนของเธอสักหน่อย
ทั้งที่รูปร่างหน้าตาของซานะไม่ได้ด้อยกว่าฮีรากิตรงไหนเลยด้วยซ้ำ อาจฟังดูถือดีแต่ว่ากันตามตรงแล้วเธอยังเหนือกว่า หรือนิสัยใจคอที่ก็เข้ากับคนได้ง่ายกว่า ทว่าผู้ชาย ‘ทุกคน’ ที่ซานะชอบ...รัก...ต่างก็ล้วนแล้วแต่สนใจฮีรากิมากกว่า
แฟนคนแรกของฮีรากิคือเด็กหนุ่มเพื่อนร่วมห้องตอนชั้นปีที่หนึ่งชื่อมิจิเอดะ ชุนสุเกะ ไอดอลประจำโรงเรียนมัธยมต้นที่ตอนนี้ได้ขยับขึ้นไปเป็นไอดอลตัวจริงในวงการบันเทิงแล้ว ซานะสนิทกับชุนสุเกะก่อนเพราะเคยเรียนชั้นประถมต้นห้องเดียวกันมาเลยชักพาเพื่อนทั้งสองให้ได้รู้จักกัน แต่แค่ไม่กี่วันเท่านั้นพวกเขาก็คบหาดูใจกัน ซานะที่กลายเป็นแม่สื่อโดยไม่ตั้งใจไม่ทันแม้แต่จะได้บอกให้ฮีรากิช่วยเป็นกำลังใจให้กับรักแรกของเธอเลยด้วยซ้ำ เธอได้แต่กล้ำกลืนมองดูพวกเขาแสดงความรักต่อกันถึงจะเป็นแค่ช่วงหนึ่งเทอมสั้นๆ เมื่อเขาต้องย้ายไปอยู่โรงเรียนที่เอเจนซี่จัดหาให้แทน คำพูดที่ว่า “ซานะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเลยนะ” และเคยทำให้เธอยิ้มแก้มปริได้ทุกครั้งกลับตอกย้ำสถานะนั้นชัดเจน...ไม่ต่างอะไรจากที่ไทโชมอบให้
แฟนคนที่สองของฮีรากิคือเด็กหนุ่มเพื่อนร่วมห้องตอนขึ้นชั้นปีที่สามชื่อฟุคุโมโตะ ไทเซย์จากการสับเปลี่ยนห้องเรียน เขาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีมาก หัวดีมาก ถึงสิ่งหนึ่งที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่คืออัธยาศัย หากซานะก็ตกหลุมรักเขาหมดทั้งใจตั้งแต่ตอนที่ออกมาช่วยแก้โจทย์คณิตหน้ากระดานถึงแม้ว่าครูจะเป็นคนสั่ง ขณะที่ฮีรากิก็แสดงออกว่าไม่ชอบไทเซย์เพราะไทเซย์แสดงออกก่อนว่าไม่ชอบหล่อนที่ต่างก็เย่อหยิ่งใส่กันจนซานะไม่กล้าบอกเล่าความในใจให้เพื่อนฟัง กระนั้นเธอก็สามารถรบกวนขอให้เด็กหนุ่มเจ้าของที่นั่งด้านหลังช่วยเรื่องการเรียนที่ตัวเองถนัดได้ ซานะเคยคิดว่าได้เท่านี้ก็เป็นสุขใจ เพราะอย่างน้อยๆ เขาก็ยังไม่ได้มีใคร เสียจนเธอไม่คาดคิดว่าวันหนึ่ง ใครคนที่ว่าจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเขาหรือก็คือเพื่อนสนิทของเธอ ด้วยเหตุผลที่ตรงกันข้ามกับคนเปิดเผยอย่างซานะเช่นว่า “เพราะฉันรักรอยยิ้มและแง่มุมที่ไม่เคยเห็นของฮีรากิ”...ไม่ต่างจากที่หล่อนแสดงออกให้ไทโชได้เห็น
ซานะเคยคิดว่าความรู้สึกที่มีให้กับไทโชมาตลอดคือเพื่อนที่สนิทที่สุดคนหนึ่ง แต่หลังจากที่เธอรู้สึกถึงความขุ่นเคืองใจ ความโกรธเหนือกว่าความกลัวว่าต้องสูญเสียยิ่งกว่าผู้ชายทั้งสองคนที่ผ่านมา ความคลุมเครือตลอดมาก็พลันกระจ่างแจ้ง
คนที่มีอะไรตรงกันก็ควรได้คบหากันมากกว่าไม่ใช่หรอกหรือ? เพราะอย่างนั้นซานะถึงได้ใช้เหตุผลข้อเดียวนั้นเพื่อเหนี่ยวรั้งเขาไว้กับตัวเอง แม้ว่าความจริงแล้วเธออาจไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่ซานะสังเกตเห็นนั่นคือความใจอ่อนยอมลงให้ตลอดของไทโช ไม่ว่าเธอจะทำตัวแย่ — อย่างที่ซานะก็รู้ดีแก่ใจ — แค่ไหนก็ตาม
เพียงแต่ซานะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเรื่องราวมันจะเลยเถิดบานปลายขนาดนี้ เมื่อฮีรากิที่ไม่มีวี่แวว หรืออาจเพราะเธอเหินห่างจากหล่อนจนไม่มีทางจะอ่านใจกันได้อีกแล้ว ได้ระเบิดความอัดอั้นตันใจออกมาในที่สุด
หากซานะที่แสร้งทำเป็นโง่เง่าก็ยังสามารถอ่านความหมายที่อยู่ในประโยคคำพูดนั้นได้ชัดเจน ทีแรกเธอไม่แน่ใจว่าน้ำตาที่กลั่นออกมาเป็นเพราะสำนึกเสียใจกับผลลัพธ์จนทำลายมิตรภาพที่เคยงดงามไป หรือเจ็บปวดใจที่ฮีรากิก็ใจตรงกับไทโช...เหมือนกับผู้ชายทุกคนที่เธอชอบ ทว่าสุดท้ายทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนไปเป็นเพียงสิ่งเดียวคือความโกรธ ยิ่งได้เห็นสายตาที่ไทโชมองดูฮีรากิโดยไม่พยายามปิดบังเพื่อนในกลุ่มอีกต่อไปก็ยิ่งทำให้ความเกลียดของเธอทบทวี แม้แต่อุกิโชและนาสุก็ไม่เห็นหัวเธอมากไปกว่าคนพรรค์นั้นที่ก็แค่อวดตัวทำเป็นว่าเข้มแข็งด้วยการอยู่คนเดียวได้ ทั้งที่เธอก็เคยต้องทำแบบนั้นอยู่ตั้งบ่อยครั้ง อย่างนั้นก็ลิ้มรสชาติเหมือนที่เธอเคยได้สัมผัสบ้างจะเป็นไรไป
เพราะอย่างไรในตอนนี้ ซานะก็รู้ว่าไทโชจะไม่มีวันทอดทิ้งให้เธอต้องอยู่ลำพัง
ต่อให้ต้องหลอกใช้ความใจดีของเขา ต่อให้จะเป็นการทำร้ายเขา ต่อให้ต้องเจ็บปวดเพราะเขายังไม่มองมาทางนี้ แต่อย่างน้อยๆ เธอก็ไม่ได้เป็นฝ่ายสูญเสียในเกมนี้ เหมือนอย่างที่ฮีรากิเป็น
ความหวาดกลัวของซานะหวนกลับคืนมาอีกครั้งจากการติวสอบซ่อมด้วยกันของไทโชและฮีรากิที่อาจทำให้เหตุการณ์บางอย่างเปลี่ยนแปลงไป กระนั้นซานะก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากขออยู่รอหลังเลิกเรียนโดยไม่สนใจฟังคำของไทโช ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรอย่างที่เธอนึกหวาดกลัวเกิดขึ้น ถึงซานะแน่ใจว่ามันต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นจากการที่ฮีรากิคอยหลบหน้าเขาและหลีกเลี่ยงเธอมากกว่าเดิมอย่างน่ารำคาญใจ นาสุที่เหินห่างกับไทโชอย่างน่าแปลกใจ รวมถึงไทโชเองที่ดูเหมือนจะต้องใช้ความพยายามทั้งหมดในการไม่สอดส่ายสายตามองดูฮีรากิด้วยความอาลัยอาวรณ์อีก แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเพราะอะไร ซานะก็ไม่คิดที่จะถามไถ่ ในเมื่อทั้งหมดเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายสำหรับเธอสักหน่อย
หรือไม่...เธอก็อาจแค่คิดผิดมาโดยตลอด
เพราะความอดทนของคนเราย่อมมีจุดสิ้นสุด เริ่มต้นจากฮีรากิ มาจนถึงอุกิโช แต่สิ่งหนึ่งที่ซานะไม่เข้าใจคือทำไมพวกเขาถึงต้องกล่าวโทษราวกับว่าเธอทำความผิดนักหนา ฮีรากิเคยมองย้อนกลับไปคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำบ้างไหม? อุกิโชเคยมองลึกเข้าไปถึงตัวตนของฮีรากิหรือเปล่า?
อีกครั้งที่ซานะต้องระเบิดน้ำตาออกมาเพราะคนที่เกลียด สายที่เธอพยายามโทร.หาเพื่อที่จะถูกตัดทิ้งไปโดยไม่ใยดีในค่ำคืนนั้นไม่มีทางใช่ฝีมือเจ้าของเครื่องนอกจากคนที่เธอเพิ่งจะมีปากเสียงด้วย ทิ้งให้ซานะได้แต่นอนร้องไห้จนปวดหัวที่มากกว่านั้นคือปวดใจประหนึ่งว่าจะแหลกสลาย พร้อมกับความโกรธเกลียดที่มีต่ออุกิโช...และโดยเฉพาะฮีรากิ คนที่แค่อยู่เฉยๆ ก็ได้ความรักจากไทโชไป
จุดสิ้นสุดของซานะมาถึงตอนเย็นวันจันทร์ หลังจากสุดสัปดาห์ที่เธอใช้ไปกับการนอนหลับและร้องไห้ ถึงจะได้โทร.คุยกับไทโชในตอนค่ำที่ตื่นนอนมา ขอโทษกับเรื่องเมื่อวานทั้งที่เขาไม่เคยทำอะไรผิด รับฟังเธอระบายความในใจเกือบทุกอย่างสลับกับเสียงร้องไห้นานหลายชั่วโมงโดยไม่แสดงน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายหรือว่ารำคาญใจ กระนั้นซานะก็ยังคงกดเก็บความรู้สึกที่มีต่อเขาเอาไว้ได้ แม้ว่าจะอย่างยากเย็น
หากสายตาดูแคลนจากอุกิโชที่ซานะได้รับก็ยังไม่เท่ากับสายตาที่ไทโชมองดูฮีรากิซึ่งออกไปพรีเซนต์หน้าชั้นกับคนอื่นด้วยความเบิกบาน ทั้งที่คนแบบนั้นไม่มีสิทธิ์จะมีความสุขกับใครทั้งนั้นขณะที่เธอต้องทุกข์ทนอยู่แบบนี้ แม้ว่าจะแค่อึดใจเดียวเท่านั้นที่หล่อนกวาดตามองไปรอบห้องแล้วหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มซึ่งนั่งข้างกันกับเธอ แต่รอยยิ้มบางเบาที่จุดขึ้นบนริมฝีปากคู่สีอ่อนก็ทำให้ซานะแทบทนไม่ไหว ไม่ว่าจะชื่อ ใบหน้า และคำชมจากครูนากาจิมะที่มีให้ฮีรากิก็ดูขัดหูขัดตาไปเสียหมด ซานะได้แต่ฝืนกลั้นด้วยการขยุ้มกระโปรงนักเรียนเอาไว้ เฝ้าภาวนาให้กริ่งหลังเลิกเรียนดังขึ้นในที่สุด
เมื่อนั้น ซานะก็เด้งตัวลุกพรวดพราด ไม่สนใจเก็บข้าวของที่เกลื่อนกลาดบนโต๊ะใส่ลงในกระเป๋า แล้วดึงแขนไทโชที่ไม่ทันได้ตั้งตัวออกวิ่งสวนทางกับเด็กนักเรียนคนอื่นขึ้นไปบนดาดฟ้า
“ไทโช นายคืนดีกับฮีรากิแล้วเหรอ? วันนั้นที่สตรีม หลังจากที่ฉันกลับไปแล้ว นายกับฮีรากิได้กลับไปคุยกันใช่หรือเปล่า? บอกความจริงฉันมา”
ความเงียบที่ก่อตัวขึ้นอาจแค่แสนสั้นแต่กลับดูยาวนานไม่ต่างจากระยะห่างของพวกเขา กว่าที่ไทโชจะเริ่มต้นพูดว่า “เรื่องของโรคุ...” และชื่อของอดีตเพื่อนสนิทที่ได้ยินจากปากเขาเป็นครั้งแรกหลังจากเนิ่นนานกับประโยคที่ซานะแน่ใจก็ได้เปลี่ยนเอาความไม่พอใจให้เป็นความหวาดกลัว เร่งเร้าให้ซานะโพล่งออกไปในที่สุดว่า
“ฉันชอบไทโช!”
เช่นเดียวกับหยดน้ำตาที่ไม่อาจกักเก็บเอาไว้กับตัวเองลำพังได้อีกต่อไป ขณะมองดูสีหน้าตื่นตะลึงของไทโชด้วยความรวดร้าวที่วูบขึ้นมาในอกจนเธอต้องก้มหน้าลงไป
“ฉันรู้ว่านายไม่ได้ชอบฉัน และนายไม่จำเป็นต้องชอบฉันตอบ แต่ขอแค่ตอนนี้...แค่ตอนนี้เท่านั้น ช่วยอยู่ข้างๆ ฉันได้ไหม? อย่าทิ้งฉันไปจะได้หรือเปล่า? ถ้าไม่มีนายฉันก็ไม่เหลือใครแล้ว ขอร้องล่ะนะ ไทโช”
ซานะได้ยินเสียงฝีเท้าก่อนรู้สึกถึงเงาร่างและผ้าเช็ดหน้าที่ถูกยื่นส่งให้เธอซุกใบหน้าลงไปสะอึกสะอื้น หากในตอนที่เธอสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของมือที่วางลงบนศีรษะพร้อมกับน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรนะซานะ ฉันอยู่นี่แล้ว” เหมือนอย่างที่เขาเคยปลอบโยนเธอในยามที่ร่ำร้องไห้ ซานะก็ตัดสินใจโผเข้ากอดคนตรงหน้า
ทั้งที่เขาตอบรับกลับมาด้วยความอบอุ่นจากอ้อมแขนที่ลูบแผ่นหลังของเธอเบาๆ แต่ความเห็นแก่ตัวที่เธอกระทำต่อก็ทำให้ซานะได้เข้าใจว่าเธอจะไม่มีวันได้มีความสุขกับไทโชอย่างที่ฮีรากิฝืนใจอวยพร และตอนนี้คนที่กำลังเจ็บปวดที่สุดอย่างที่อุกิโชว่าก็คือเธอ
_______________
_______________
ความคิดเห็น