คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #39 : BEAUTIFUL DREAMERS / Prologue (A): Ao no Jidai -青の時代-
ก๊วน (ถ้าจะใช้คำนั้นได้) ของเด็กสาวเพื่อนซี้ตัวติดหนึบที่เคยมีกันแค่สองคน ได้ขยายกลายเป็นกลุ่มก้อนของสมาชิกรวมกันทั้งหมดห้าคนในวันเปิดเทอมขึ้นชั้นปีที่สอง
ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มต้นจากคนนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้เลยอย่างพี่ชายของคายามะ ซานะและพี่สาวของอิวาซากิ ไทโชที่คบหาเป็นคนรักกัน เพราะอย่างนั้นเพื่อนร่วมห้อง — ที่เคยมีความหมายตรงตัวตามนั้นทุกประการ — ก็เลยได้คบหาเป็นเพื่อนรักกัน หากแม้ว่าจะงงงวยอยู่บ้าง แต่โรคุทันดะ ฮีรากิก็ไม่ได้ไม่ชอบใจอะไร สองคนนั้นที่เฮฮาร่าเริงอยู่เสมอก็ทำให้ชีวิตของเธอสนุกดี หรืออีกสองคนหนึ่งอย่างอุกิโช ฮิดากะและนาสุ ยูโตะซึ่งเป็นเอซในแทบทุกด้านก็คอยช่วยติวช่วยสอนการบ้านให้ด้วยความเต็มใจอยู่เสมอ
หมายถึงมันเคยเป็นอย่างนั้น กระทั่งฮีรากิจะเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย
แรกสุด เธอยังมองโลกในแง่ดีว่าเพื่อนสนิทอาจทำไปโดยไม่รู้ตัว บางทีหล่อนอาจแค่ตื่นเต้นกับการได้มีเพื่อนใหม่ แต่การที่ซานะมักจะเปิดบทสนทนากับไทโชในเรื่องที่สนใจหรือเข้าใจกันอยู่สองคนทั้งที่ทุกคนก็นั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ ยิ่งเป็นเรื่องง่ายดายเมื่อตอนอยู่ในห้องเรียนก็ยังได้นั่งหน้าสุดข้างกัน ไหนจะตอนไปคาราโอเกะที่ก็เข้าคู่กันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยเพราะฟังเพลงแนวเดียวกัน มีความชอบหลายๆ อย่างเหมือนกันมากกว่ากับเธอเสียอีก ก็จะทำให้การพูดคุยใช้เวลาร่วมกันระหว่างเธอกับซานะ...รวมถึงไทโช...เริ่มลดน้อยถอยลงไป ใช่ว่าฮีรากิรู้สึกเปลี่ยวเหงาหรือว่าน้อยใจ ในเมื่อสมัยก่อนโน้นก็มีอยู่บ่อยครั้งที่เธอคิดว่าอยากอยู่คนเดียวบ้าง แต่การเป็นเพื่อนซี้ที่มีกันแค่สองคนย่อมเป็นเรื่องยากหากไม่รักษาน้ำใจกัน และการที่ซานะได้เจอคนที่มีความชอบตรงกันก็ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี ใช่ว่าฮีรากิจะไม่เข้าใจเรื่องนั้น แต่ไม่ใช่หมายถึงการปล่อยปละละเลยเพียงเพราะคิดว่าอย่างน้อยๆ เธอก็ไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบเพราะยังมีเพื่อนในกลุ่มอีกตั้งสองคน จากที่เคยนึกถึงเธอเป็นคนแรก ชวนไปไหนมาไหนด้วยกัน โทรศัพท์หรือไลน์เมาท์กันจนดึกดื่น ไม่ว่ามีเรื่องอะไรก็บอกเล่าให้กันฟังทุกเรื่อง ซานะกลับลดค่าความสัมพันธ์ของคนที่เคยเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว โดยไม่มีการรักษาน้ำใจเหมือนอย่างที่เธอทำมาตลอดเลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าฮีรากิอยู่กับอุกิโชและนาสุได้ แต่เธอไม่อยากเข้าไปแทรกกลางความสนิทสนมมานานหลายปีของพวกเขาที่ก็แทบไม่ได้ต่างอะไรกับอีกคู่หนึ่งถึงเพียงแค่ไม่กี่เดือนตรงนั้น ช่องว่างของฮีรากิกับเพื่อนทั้งสี่คนค่อยๆ ปริขยายทีละมิลลิเมตรอย่างเชียบงัน ขณะที่ซานะกับไทโชมีความสุขอยู่ด้วยกันได้ทุกวัน ฮีรากิที่ทุกข์ทนก็ได้แต่เก็บงำทุกอย่างไว้ลำพังโดยที่พวกเขาไม่แม้แต่จะสังเกตเห็น ความเงียบขรึมของเธอที่ไม่ใช่คนช่างจาอยู่แล้วก็คงดูไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าในสายตาของใคร
เพราะอย่างนั้นถึงได้ไม่มีใครรู้ว่าเธอตกหลุมรักไทโชอยู่
ฮีรากิได้อยู่กลุ่มเดียวกับไทโชตอนคาบคหกรรม ขณะที่เพื่อนในกลุ่มก็ถูกจับแยกย้ายกระจัดกระจายกันไปหมดตามใจครูมิยาดาเตะที่ใครก็ไม่กล้าหือ เนื่องจากคนอื่นล้วนแต่เป็นเด็กผู้ชายที่ไม่ถนัดงานครัว ฮีรากิที่เป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวเลยถูกขอร้องให้เป็นลูกมือช่วยไทโชที่ทุกคนในห้องยกย่องให้เป็นเชฟมือหนึ่งเพราะที่บ้านเปิดเป็นร้านคาเฟ่ซึ่งพวกเธอแวะเวียนไปใช้เป็นแหล่งซ่องสุมหลังเลิกเรียนอยู่ออกบ่อย ทั้งที่ประสบการณ์ของฮีรากิเองก็แทบจะเท่ากับศูนย์ แต่เธอก็ไม่กล้าปฏิเสธแล้วบอกความจริงออกไป แม้แต่กับเพื่อนในกลุ่มที่ใจดีตั้งขนาดนั้น
อาจเพราะท่าทางเงอะงะในตอนที่จับมีดอยู่ข้างๆ พยายามชะเง้อคอมองดูวิธีทำของเขา ไทโชถึงได้หยุดเพื่อมาสอนเธอหั่นไส้กรอกแทน แม้ว่าผลงานของเธอจะออกมาแย่มากเมื่อเทียบกับของเขา แต่ไทโชก็ยังปรบมือให้ ส่งยิ้มกว้างจนดวงตาแทบจะเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวแล้วบอกว่า “โรคุเก่งมากเลย! เราสองคนมาทำนโปลิตันที่อร่อยที่สุดด้วยกันนะ!”
แล้วนับตั้งแต่วินาทีนั้น ฮีรากิก็ไม่สามารถมองไทโชเป็นแค่เพื่อนได้อีกเลย
แต่ฮีรากิไม่สามารถเอาเรื่องความรักไปปรึกษาซานะเหมือนอย่างที่เคยทำมาตลอดได้ หรือจะให้สารภาพรักกับคนที่ดูยังไงก็ไม่ได้คิดกับเธอมากเกินกว่าเพื่อนก็ไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะต้องพังทลายลงไป...และไม่ใช่แค่เพียงเธอ ภาพที่ได้เห็นจนชินตาของคนทั้งคู่ที่พูดคุยหัวเราะกันราวกับมีกันแค่สองคนบนโลกและทำให้ฮีรากิขุ่นเคืองใจบ้างในบางครั้ง ทว่าบัดนี้ สิ่งเดียวที่ฮีรากิรู้สึกก็คือความเจ็บปวดข้างในใจราวกับถูกหนามแหลมคมทิ่มแทง
เป็นเพราะตำแหน่งที่นั่งหลังสุดริมหน้าต่างห้องจากการแบ่งตามลำดับเลขที่มาตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่ง ฮีรากิเลยเป็นคนเดียวที่ได้อยู่ห่างจากเพื่อนอีกสี่คนที่เหลือทั้งหมด น่าตลกดีที่พวกเขายังคงได้รวมกลุ่มกันไม่ว่าจะในหรือนอกห้องเรียน ทั้งอุกิโชที่นั่งข้างหลังไทโช และนาสุที่นั่งถัดจากซานะมาหนึ่งแถวแค่เยื้องๆ ไม่เคยมีใครเสียเวลาเดินมาหาเธอตรงนี้นอกจากตะโกนเรียกหา ขนาดกินข้าวกลางวันก็ยังต่อโต๊ะหน้าห้อง แล้วทุกครั้งฮีรากิก็จะต้องเดินกลับไปนั่งที่คนเดียว ราวกับว่าเธออยู่ไกลห่างจากพวกเขาลิบโลก ในแง่หนึ่งมันก็อาจเป็นคำเปรียบเปรยที่ใช่ และช่องว่างที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ความโดดเดี่ยวของเธอเพิ่มพูนมากขึ้นเฉกเช่นกัน
กระทั่งวันที่ฮีรากิผุดคิดถึงมันอยู่บ่อยครั้งก็มาถึง เมื่อครูนากาจิมะสั่งให้จับกลุ่มตามใจฉันทำรายงานวิชาภาษาอังกฤษด้วยกันสี่คน ถ้ามีวิชาที่ต้องจับคู่ คนหนึ่งก็ย่อมต้องเป็นเศษ ถ้ามีวิชาที่ต้องจับกลุ่มไม่ว่าจะสามหรือสี่คน ก็ย่อมมีคนที่ต้องเสียสละ คำตอบนั้นมันก็ชัดเจนมาตั้งแต่ต้นแล้วไม่ใช่หรอกหรือว่าใครกันที่เป็น ‘ส่วนเกิน’
ฮีรากิตัดสินใจไม่มองไปยังทิศทางหน้าห้องที่พวกเขาคงกำลังปรึกษากันและอาจหันมาดูเธอแม้แต่การเหลือบแล นอกจากเอ่ยปากขอโมโตกิที่นั่งอยู่ข้างๆ เข้ากลุ่มด้วยแทน
“ที่จริงเราแบ่งกลุ่มเป็นสาม-สองก็ได้นี่นา ฉัน ไทโช ฮีรากิ ไม่เอาๆ! ขอแลกนายเป็นอุกิโชไม่ก็นาสุที่เรียนเก่งกว่าดีกว่า”
ฮีรากิต้องพยายามข่มใจไม่แผดเสียงตะโกนออกไปว่า “ทีตอนนี้ทำมาเป็นพูดดี ถ้าสนใจกันจริงทำไมถึงไม่เสนอความเห็นตั้งแต่ตอนที่จับกลุ่มกันในห้องเรียนล่ะ!” แต่ใครจะอยากทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร? ในเมื่ออุกิโชกับนาสุเป็นถึงหัวกะทิของชั้นปี ซานะเก่งภาษาอังกฤษเพราะเคยไปอยู่ต่างประเทศตอนเด็ก ไทโชก็เป็นคนมั่นใจกล้าพูดกล้าแสดงออก แล้วเธอล่ะมีประโยชน์อะไรกับกลุ่มนี้บ้าง ไม่ใช่แค่เรื่องการเรียน...แต่หมายถึงทุกอย่าง
“ฉันจะอยู่กับอุกินาสุ”
ซานะหันไปเบ้หน้าใส่ไทโช
“หวังจะเกาะคนเก่ง งั้นให้นายมาอยู่กับฉัน แล้วให้ฮีรากิอยู่กับอุกินาสุไป้!”
นั่นเองที่จะทำให้ความอดทนของฮีรากิหมดลง เธอจงใจกระแทกแก้วน้ำที่ยกขึ้นดูดหลอดลงบนโต๊ะแรงๆ ผุดลุกขึ้นคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพาย บอกขอตัวกลับก่อนเพราะอยากไปเตรียมข้อมูลทำรายงานล่วงหน้า ไม่อาจข่มกลั้นความไม่พอใจที่มีต่อเด็กสาวซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับคนที่ใครๆ ก็คิดว่าเป็นเพื่อนสนิทหมายเลขหนึ่งแทนที่เธอไปแล้วได้อีกต่อไป
“กลุ่มฉันไม่ได้มีใครฉลาดเหมือนกลุ่มของซานะที่ยังไงก็ได้คะแนนเต็มอยู่แล้วนี่ ก็ต้องพยายามกันหนักหน่อย”
“ฮีรากิเก่งอังกฤษออกจะตาย อย่างน้อยๆ ก็เก่งกว่าไทโชแหงล่ะ!”
ฮีรากิเกลียดความโง่เง่าของซานะที่ไม่เคยเห็นอะไรไกลเกินกว่าปลายจมูกของตัวเอง เกลียดความใสซื่อที่แค่ความหมายประชดประชันในคำพูดก็ยังอ่านไม่ออก เกลียดที่เอาแต่โยงทุกเรื่องเข้าหาตัวเองกับไทโชได้โดยไม่เคยสนใจคนอื่น เกลียดที่คนอย่างนั้นได้อยู่กับผู้ชายคนที่เธอรักมากกว่าใครๆ
ฮีรากิได้แต่กลับบ้านไปนอนร้องไห้ เมินเฉยทั้งข้อความไลน์จากอุกิโชและสายเรียกเข้าเกือบชั่วโมงจากไทโช ซึ่งจะทำให้หัวใจของเธอยิ่งบีบรัด
ก็เพราะว่าเขาใจดีตั้งมากขนาดนั้น ถึงได้ทำให้เธอเจ็บปวดตั้งมากขนาดนี้
ทั้งที่ฮีรากิอุตส่าห์ลุกขึ้นมาแต่งหน้ากลบใต้ตาตั้งแต่เช้าตรู่ ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในวันถัดมา แล้วเอ่ยปากขอโทษไทโชกับอุกิโชที่ไม่ได้ตอบรับด้วยข้ออ้างว่าเผลอหลับไปก่อนตอนอ่านหนังสือ เพราะเรื่องของเธอไม่ควรเป็นปัญหาให้ใครต้องมากังวล แต่พอถึงตอนพักเที่ยงที่ทุกคนชวนกันไปเปลี่ยนบรรยากาศนั่งกินข้าวหลังอาคารเรียน ไทโชก็กลับหยิบยกเรื่องที่ควรจะปล่อยผ่านไปขึ้นมาว่า “มาคิดๆ ดูแล้ว ฉันคิดว่าจะอยู่กับพวกของวากุแทนเอง โรคุจะได้อยู่กับเพื่อนสนิทอย่างซานะไง”
“ถามโมโตกิยังเหอะว่าอยากอยู่กับนายหรือเปล่า?” ซานะสวนย้อนกลั้วไปกับเสียงหัวเราะให้คนข้างๆ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลยสักนิด
เพราะอย่างนั้นฮีรากิถึงได้สวนย้อนกลับไปอีกทอดหนึ่งว่า “ซานะเป็นเพื่อนสนิทของอิวาซากิต่างหากไม่ใช่เหรอ!” ด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นผ่านคำพูดกระทบกระเทียบที่จงใจไม่ปิดบังเจตนาอีกต่อไป “ตัวติดกันตั้งขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องเสียสละแยกกันให้ฉันหรอก”
ริมฝีปากที่วาดโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มของไทโชหุบลงไป ตรงกันข้ามกับซานะที่ยังพูดอะไรโง่เง่าออกมาได้ว่า
“ฮีรากิก็ยังเป็นเพื่อนรักของฉันอยู่นะ”
เท่านั้นเอง ความตั้งใจของฮีรากิก็พังครืนลงมาในชั่วพริบตา
“เลิกทำตัวเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรสักทีเถอะซานะ! ตั้งแต่สนิทกับอิวาซากิเธอเคยคิดถึงฉันขึ้นมาสักครั้งด้วยเหรอ? เอาแต่คุยกันอย่างกับว่ามีแค่พวกเธอสองคนบนโลก ทิ้งให้ฉันอยู่กับอุกิโชกับนาสุทั้งที่ก็รู้อยู่แล้วว่าฉันเป็นคนยังไง คิดว่าแค่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันไม่กี่เดือนแล้วฉันจะสนิทกับพวกเขาเหมือนอย่างเธอกับอิวาซากิได้เหรอ? ไม่เห็นพวกเขาที่อึดอัดตอนอยู่กับฉันเลยหรือไง? อ๋อ จริงด้วยสิ เธอคงไม่เห็นอยู่แล้ว เพราะคนเดียวที่เธอเห็นอยู่ในสายตามีแค่อิวาซากินี่นะ ขอโทษด้วยแล้วกันที่ตลอดมาฉันทำหน้าที่เพื่อนให้เธอได้ไม่ดีพอเหมือนอย่างที่อิวาซากิเป็น”
“โรคุ ใจเย็นๆ ก่อนเถอะ” อุกิโชที่นั่งข้างๆ เอื้อมมาแตะหลังมือที่กำแน่นกับเข่าและสั่นเทานั้นไว้ “เธอเป็นเพื่อนที่ดีของเราทุกคนนะ ฉันกับนาสุไม่เคยอึดอัดเลยที่อยู่กับเธอ เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ซานะกับไทโชก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเหมือนกัน”
“ฉันผิดที่เข้ามาเป็นส่วนเกินของกลุ่มพวกนายต่างหาก” ฮีรากิดึงมือของเขาออกอย่างแผ่วเบา ด้วยความรู้สึกผิดต่อคนที่ไม่ได้ผิดอะไรเลยในเรื่องนี้ “ขอโทษด้วยนะ อุกิโช นาสุ อิวาซากิ แต่ต่อไปนี้จะไม่มีใครต้องอึดอัดแล้วล่ะ” ก่อนที่จะผุดลุกขึ้น ก้มมองดูใบหน้าขาวที่เริ่มขึ้นสีแดงของซานะซึ่งไม่คาดคิดกับเรื่องที่ได้ยินและอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าคงจะระเบิดเป็นบ่อน้ำตาออกมาเหมือนอย่างที่หล่อนเป็น ตรงกันข้ามกับใครอีกคนที่ฮีรากิไม่สามารถทนมองดูได้แม้รับรู้ได้ว่าไทโชจะกำลังจดจ้องอยู่ แต่ฮีรากิตัดสินใจแน่วแน่ดีแล้ว หากความรักของเธอจะไม่มีวันสมหวัง อย่างน้อยๆ เธอก็ไม่จำเป็นต้องมากล้ำกลืนฝืนทนอยู่กับความคิดที่ว่าสักวันหนึ่งพวกเขาอาจกลายเป็นคนรักกัน อย่างที่ฮีรากิไม่มีวันแสดงความยินดีออกมาได้จากใจจริง
“ยังไงฉันก็ขอให้เธอมีความสุขกับอิวาซากิมากๆ ก็แล้วกันนะซานะ”
หรือแม้แต่ในตอนนี้ที่เอ่ยมันออกมาก็เหมือนกัน
ขณะที่เดินเกือบจะเป็นวิ่งจากมา พยายามแหงนเงยใบหน้าขึ้นเพื่อกล้ำกลืนไม่ให้ตัวเองแสดงความอ่อนแออย่างการร้องไห้ต่อหน้าใคร ฮีรากิก็คิดว่าแบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว
นาสุ ยูโตะไม่นึกพอใจเลยแม้แต่น้อยที่กลุ่มชายล้วนซึ่งเคยมีกันสามคนของเขาขยายกลายเป็นห้าจากเด็กผู้หญิงร่วมห้องอีกสองคน
ทั้งที่เจ้าตัวเป็นคนพูดเองแท้ๆ ว่า “ยังไงเพื่อนผู้ชายก็ดีที่สุด!” แต่พอถึงช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นปีการศึกษาใหม่ อิวาซากิ ไทโชกับคายามะ ซานะก็ได้ผูกมิตรกัน ด้วยความสนิทสนมที่มากขนาดเปลี่ยนให้เพื่อนร่วมห้องธรรมดาๆ กลายมาเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันได้อย่างไม่น่าเชื่อในเวลาเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ ถึงเหตุผลที่ทุกคนในห้องได้รับรู้จะเริ่มต้นขึ้นจากความรักของพี่สาวบ้านอิวาซากิกับพี่ชายบ้านคายามะ แต่นาสุอาจเป็นคนเดียว — นอกจากเจ้าตัว — ที่รู้ว่าแท้จริงแล้วมันมาจากความรักของน้องชายบ้านอิวาซากิที่มีต่อลูกสาวคนเดียวของบ้านโรคุทันดะต่างหาก
นาสุหมายถึงโรคุทันดะ ฮีรากิ เด็กสาวหน้านิ่งหลังห้องที่ดูยากจะเข้าถึง เพราะอย่างนั้นการเข้าถึงเพื่อนซี้ตัวติดหนึบอย่างซานะที่ร่าเริงกว่าก็ดูจะเป็นหนทางที่ง่ายกว่า มันย่อมต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วสำหรับผู้ชายซื่อบื้อที่มีประสบการณ์ความรักเท่ากับศูนย์ และการแสดงออกให้ใคร — แม้แต่พวกเขาที่เป็นเพื่อนสนิทมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น — เห็นว่าตัวเองตกหลุมรักผู้หญิงที่อาจเอื้อมไม่มีทางสมหวังก็น่าอับอายเกินไป ในเมื่อแฟนเก่าสมัยมัธยมต้นของเธอที่ทุกคนเล่าลือก็ล้วนแล้วแต่เป็นหนุ่มหล่อคนดังประจำโรงเรียน หรือจะเป็นตอนปีหนึ่งที่เพื่อนนายแบบห้องอื่นมาสารภาพรักด้วย แต่ก็จะถูกปฏิเสธไป
ถ้าเป็นเวลาปกติ นาสุเองก็คงทำใจเชื่อเรื่องนี้ไม่ลง เพราะไทโชที่เขารู้จักไม่เคยมีทีท่าว่าอยากทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมห้องต่างวงโคจรคนนั้น ไม่ว่าจะภายนอก ภายใน รวมไปรวมถึงตำแหน่งที่นั่งในห้องเรียน ถ้าเขาจะไม่บังเอิญไปได้ยินหมอนั่นระบายความในใจที่มีต่อฮีรากิให้ครูเคียวโมโตะที่มาช่วยสอนอยู่หนึ่งเทอมฟังตอนช่วงฤดูหนาวปีก่อนเข้า นาสุถึงได้รู้ว่าเพื่อนสนิทของตัวเองที่ไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลยในชีวิต ในที่สุดก็มีคนที่สนใจมากขึ้นมา
แล้วเพื่อนร่วมห้องคนที่นาสุก็ไม่เคยพูดคุยทักทายตลอดหนึ่งปีที่อยู่ร่วมห้องกันมาก็ได้เข้ามาอยู่ในสารบบความสนใจของเขาเป็นครั้งแรกเฉกเช่นกัน ถึงจะด้วยเหตุผลคนละประการกับไทโชที่ก็ยังคงทำตัวเป็นปกติไปจนกระทั่งจบปีการศึกษาก็ตาม
ทั้งอย่างนั้น นาสุก็สามารถปกปิดความรู้สึกของตัวเองได้เป็นอย่างดีโดยไม่แสดงความตั้งแง่ออกไปให้ฮีรากิได้เห็น เธอแทบไม่ยิ้ม แทบไม่พูด แต่ก็เป็นเพราะความเขินอายไม่ใช่เย่อหยิ่งอย่างที่เขาเคยเข้าใจ กระทั่งความพยายามเข้าหาของอุกิโช ฮิดากะซึ่งไม่ได้อ่อนหัดเรื่องเด็กผู้หญิงเหมือนกับไทโช หรือจำพวกที่ไม่สนใจให้ค่าเรื่องของคนนอกเหมือนกันกับเขา ฮีรากิจึงค่อยๆ เริ่มเปิดใจให้กับเพื่อนใหม่ทั้งสาม เธอยิ้มมากขึ้น หัวเราะมากขึ้น พูดจาโต้ตอบกับพวกเขาได้โดยไม่ใช่แค่ถามคำตอบคำอีกต่อไป และคำขอบคุณชื่นชมทุกครั้งเวลาที่เขากับอุกิโชช่วยติวให้ แม้ว่ามันอาจเป็นสิ่งเล็กน้อยที่ไม่ได้มากมายอะไร อย่างไรมันก็ช่วยละลายกำแพงอคติที่ขวางกั้นในใจของนาสุที่มีต่อฮีรากิลงไปได้
แต่กลับกลายเป็นซานะ...และไทโช...ที่ทำให้เขารู้สึกแบบนั้นต่างหาก
แต่ไหนแต่ไร นาสุก็ไม่เคยนึกถูกโฉลกกับพวกผู้หญิงประเภทที่เฮฮาร่าเริงเกินเบอร์อยู่แล้ว ใช่ว่าซานะเป็นคนน่ารำคาญหรือว่าอะไร เขาก็แค่ไม่ชอบเวลามีคนมายุ่งวุ่นวาย เปิดบทสนทนาด้วยเรื่องไร้สาระอยู่ได้ ยิ่งรวมกับไทโชที่เป็นประเภทเดียวกันก็ยิ่งไปกันใหญ่ ทั้งตอนพักเที่ยงที่นั่งกินข้าวด้วยกัน หลังเลิกเรียนหรือสุดสัปดาห์ที่ได้ไปเที่ยวด้วยกัน กระทั่งเรื่องราวเหล่านั้นจะเริ่มลดน้อยถอยลงไป ตรงข้ามกับความสัมพันธ์ของซานะกับไทโช เป็นความไม่เข้าใจในทีแรก ทั้งต่อซานะที่ทิ้งเพื่อนสนิทของตัวเองให้อยู่กับพวกเขาอย่างง่ายดายขนาดนั้น ทั้งต่อไทโชที่นาสุแน่ใจได้จากสายตาหรือท่าทีที่แสดงออกถึงอาจเปลี่ยนไปแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นว่าหมอนั่นชอบฮีรากิจริงๆ เพราะสองคนนั้นเป็นพวกโง่เง่าถึงได้ทำอะไรงี่เง่าแบบนี้หรือเปล่า และในตอนที่ซานะพูดกับพวกเขาตอนจับกลุ่มทำรายงานสี่คนว่า “ฮีรากิไม่ว่าอยู่แล้ว” โดยไม่สนใจความเห็นของอุกิโชหรือสีหน้ากระอักกระอ่วนของไทโช ราวกับไม่รู้สึกรู้สาต่อการกระทำของตัวเองเลยว่ากำลังกีดกันเพื่อนคนหนึ่งออกไป ก็จะทำให้นาสุเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเป็นครั้งแรก ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องของเขา หรือว่าเขาจะใส่ใจฮีรากิมากเท่าอุกิโชกับไทโชเลยด้วยซ้ำ
นาสุถึงได้เฝ้ารอให้ความอดทนของฮีรากิหมดลงมากกว่าแค่การประชดประชันซานะในเย็นวันนั้น เขาอยากให้เธอพูดทุกอย่างที่อยู่ในใจออกมา ไม่ว่าจะเป็นคำตัดพ้อ ด่าทอ โกรธเกลียด ในเมื่อเธอคือคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเปิดหูเปิดตาคนโง่เง่าทั้งสองให้เข้าใจถึงการกระทำของตัวเองได้
ทว่าหลังจากได้รับฟังใต้ถ้อยคำทั้งหมดเหล่านั้นที่เธอระบายออกมา นาสุจึงได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้ว มันไม่ใช่ความน้อยใจที่เธอมีต่อเพื่อนสนิทอย่างซานะ
แต่เป็นเพราะความรักที่มีให้กับคนที่เขา...หรือใคร...ก็ไม่มีวันจะคาดคิดถึงอย่างไทโชต่างหาก
ฮีรากิเก็บข้าวของกลับบ้านไปก่อนหลังจากพักเที่ยงนั้น และเมื่อเธอรับสายที่อุกิโชเพียรโทร.ไปหานานนับชั่วโมงตอนเย็นหลังเลิกเรียนในที่สุด น้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยวของเธอก็เอ่ยเพียงแค่ “ขอโทษนะ แต่พวกเรากลับไปเป็นแค่เพื่อนร่วมห้องกันเถอะ ฉันอยู่คนเดียวได้ ฉันไม่เป็นไร” และเธอก็เริ่มต้นใช้ชีวิตที่ ‘ไม่เป็นไร’ ในรั้วโรงเรียนด้วยตัวเองลำพังกับหูฟัง เครื่องเล่นเกม ไม่ก็หนังสือนิยาย ไม่แม้แต่จะมองหน้าพวกเขาที่ยังคงอยู่ด้วยกันสี่คน กระนั้นก็ไม่ได้เมินเฉยเมื่ออุกิโชหรือเขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากทักทายหรือว่ายิ้มให้ในตอนที่เดินสวนทางกัน หากไม่ใช่กับตัวต้นเหตุอย่างซานะและไทโช
ถึงจะไม่มีใครพูดมันออกมาดังๆ แต่ทุกคนก็รู้แน่แก่ใจแล้วว่าทุกอย่างจะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก บรรยากาศของความอึดอัดเริ่มลอยอบอวลอยู่ในกลุ่ม อุกิโชตีตัวออกหากจากสองคนนั้นอย่างจงใจด้วยการมักจะอยู่ช่วยงานครูหรือขอตัวกลับบ้านไปอ่านหนังสือหลังเลิกเรียนแทนที่จะอยู่เที่ยวเล่นต่อ ขณะที่เขาซึ่งเขาจะไปไหนมาไหนก็ต่อเมื่อมีอุกิโชไปด้วยเท่านั้นก็ไม่จำเป็นต้องหาข้อแก้ตัวอะไร ซานะที่เคยร่าเริงอยู่เสมอก็มีแต่รอยยิ้มฝืดฝืน ส่วนไทโชที่โง่เง่าก็ทำตัวฉลาดเป็นครั้งแรกด้วยการไม่ปิดบังสายตาที่มองฮีรากิ....ซึ่งไม่เคยมองกลับมาเลยสักครั้ง
และนาสุก็คิดว่าสาสมดีแล้ว
แต่อย่างไรก็มีเรื่องที่ฮีรากิไม่สามารถทำคนเดียวได้ เมื่อเธอสอบตกวิชาวิทยาศาสตร์และไม่ผ่านการสอบซ่อมจนต้องอยู่เรียนเสริมหลังเลิกเรียนเป็นเวลาหนึ่งเดือน ถึงจะเริ่มเหินห่างกันแล้ว เขากับอุกิโชก็ยังช่วยติวให้ซานะและไทโชที่สอบตก ถ้าฮีรากิยังอยู่ด้วย เธอก็คงจะผ่านมาได้ด้วยความขยันกับคะแนนที่ดีพอใช้เหมือนกับซานะ ไทโชก็อาจเป็นอย่างนั้นได้ถ้าไม่ใช่เพราะเอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องของฮีรากิจนยัดอะไรเข้าไปในหัวไม่ได้อีก และการที่หมอนั่นจะได้เรียนเสริมหลังเลิกเรียนกับฮีรากิก็เป็นเรื่องที่กวนใจนาสุอยู่ไม่น้อย เพราะคนขี้ขลาดไม่สมควรได้โอกาสแก้ตัว
นาสุตัดสินใจอยู่ทำการบ้านต่อที่ห้องสมุดในเย็นวันนั้น และออกมาทันเวลาที่จะได้ได้เห็นฮีรากิซึ่งรีบร้อนลงจากตึกเรียนชะงักฝีก้าวไปเมื่อมองเห็นเจ้าของผมสีแดงสว่างนั่งอ่านหนังสือนิยายอยู่บนม้านั่งข้างล่างอีกฟากหนึ่ง แต่ในตอนที่เธอทำท่าว่าจะหมุนตัวหนี และนาสุคิดว่าเธอคงจะหลบไปรอที่อื่นจนกว่าซานะจะกลับบ้าน ไทโชที่วิ่งลงบันไดตามมาก็ฉวยจับข้อมือของเธอไว้ อาจด้วยความกล้าเป็นครั้งแรกเท่าที่นาสุเคยได้เห็นจากเพื่อนสนิทของตัวเอง นาสุไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกัน แต่ดูจากสีหน้าก็คงไม่ใช่เรื่องดี และฮีรากิที่สะบัดข้อมือหลุดอย่างแรงมากก่อนวิ่งหนีไปโดยไม่สนใจว่าซานะจะนั่งอยู่อีกหรือเปล่าก็ยิ่งตอกย้ำว่ามันไม่ใช่เรื่องดี
เขาพยายามออกตามหาเธอหลังจากนั้น ก่อนจะได้เห็นคนที่ต้องการนั่งอยู่บนชานบันไดริมฝั่งแม่น้ำด้วยสายตาเหม่อลอย และในตอนที่นาสุร้องเรียกเธอด้วยนามสกุล แค่เท่านั้นฮีรากิก็จะรีบลุกพรวดพราด หยิบกระเป๋าขึ้นมาสวมไหล่ ทำท่าว่าจะหนีจากเขาไปอีกคน
แต่นาสุก็ไวพอที่จะวิ่งไปขวางหน้า คำถามที่ว่า “เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?” ได้รับคำตอบเป็นเนื้อตัวที่สั่นเทาและใบหน้าที่กดก้มลงไปพร้อมกับ...น้ำตา
มือของเธอยกขึ้นปิดหน้า เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไหวสั่นว่า “ขอโทษนะ ฉันไม่อยากให้ใครเห็นหน้าฉันตอนนี้”
เพราะแท้จริงแล้วเธอไม่ได้ ‘ไม่เป็นไร’ อย่างที่ปากว่าเลยสักนิด เธอคงเจ็บปวดมากเลยใช่ไหมที่ต้องทนเห็นคนที่ตัวเองรักอยู่เคียงข้างกับผู้หญิงคนอื่น เธอคงโดดเดี่ยวมากเลยใช่หรือเปล่าที่ต้องเป็นคนเดียวที่อยู่ลำพัง ความอ่อนแอที่ได้เห็นจากเด็กสาวที่ทำเหมือนกับว่าตัวเองเข้มแข็งมาตลอดผลักดันให้นาสุทำในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เคยคาดคิดถึงด้วยการเข้าไปแกะมือเธอออก เพื่อที่จะโอบกอดเธอไว้
“งั้นฉันจะซ่อนมันให้เธอเอง”
เหตุผลที่อิวาซากิ ไทโชไม่เคยนึกอยากมีความรักมาจากพี่สาวอายุห่างกันห้าปีที่ชอบสรรหาข้อด้อยที่มีอยู่เป็นพะเรอของเขามาบ่นว่า แม้จะไม่ได้แฝงด้วยเจตนาร้ายอะไรนอกจากความปากร้ายของหล่อนเอง หากคำพูดเหล่านั้นก็สั่งสมกันมาให้เขารู้สึกเข็ดขยาด อย่างกับประชดที่พอขึ้นชั้นมัธยมต้นก็ดันจับผลัดจับผลูได้คบหากับอุกิโช ฮิดากะและนาสุ ยูโตะที่สมบูรณ์แบบไปเสียทุกด้านไม่ต่างอะไรจากพี่สาว ขณะที่เขาเป็นเด็กผู้ชายธรรมดาๆ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น อาจยกเว้นก็แต่ส่วนสูงที่มากกว่าแต่อย่างกับว่ามันจะช่วยอะไรได้ เพราะอย่างนั้นก็เลยตกเป็นเป้านินทาของพวกผู้หญิงที่นิยมชมชอบสองคนนั้นแล้วเอาเขาไปเปรียบเทียบอยู่บ่อยครั้งจนกลายเป็นความชินชา แต่ใช่ว่ามันทำให้ไทโชเกลียดเพศตรงข้ามไปเลย เขาก็แค่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพวกผู้หญิงถ้าเป็นไปได้ และยังคงรักษาความสัมพันธ์แบบผิวเผินกับพวกเธอเอาไว้เมื่อขึ้นชั้นมัธยมปลาย
ทุกอย่างราบรื่นไปได้ด้วยดี ปณิธานของไทโชไม่เคยถูกทำลาย เหมือนกับที่ชื่อของโรคุทันดะ ฮีรากิก็ไม่เคยเข้ามาอยู่ในความสนใจมากไปกว่าเพื่อนร่วมห้องที่ไม่เคยพูดคุยทักทายกันเลยเท่านั้น
แต่เพราะว่า ‘ความรักคือสิ่งที่เข้ามาเมื่อไม่ได้คาดหวัง’ ไทโชจำไม่ได้แล้วว่าเขาไปได้ยินประโยคทำนองนี้มาจากไหน หากมันก็หวนกลับคืนมาในตอนเย็นย่ำของฤดูใบไม้ร่วงที่เขาเดินถือถังใส่อุปกรณ์ทำความสะอาดเลี้ยวมาจากหัวมุม แล้วชนเข้ากับเธอที่มัวแต่ก้มหน้าพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์อยู่เลยไม่ได้มองทาง เธอหลุดร้องออกมาเบาๆ รีบหย่อนมือถือเก็บกลับลงในกระเป๋าเสื้อสูท ก่อนก้มลงไปหยิบไม้กวาดที่ตกส่งคืนให้ก่อนไทโชที่ช้าไป เด็กสาวเอ่ยปากขอโทษเขาที่ก็ต่างขอบคุณขอโทษกันยกใหญ่ กระทั่งตอนที่เขาได้เห็นฮีรากิหลุดหัวเราะออกมาเพราะไม่มีใครยอมหยุดสักทีนั้นเอง ไทโชถึงได้เข้าใจความหมายของคำพูดประโยคนั้นจากหัวใจที่เต้นรัวเป็นครั้งแรก ราวกับว่ามันโบยบินตามเธอไปด้วยไม่ว่าจะแห่งหนไหน
อย่างไรก็ดี เรื่องราวระหว่างเขากับฮีรากิก็ไม่มีอะไรคืบหน้ามากไปกว่านั้น ถึงในห้องเรียนเขาจะได้นั่งข้างกับคายามะ ซานะ เพื่อนสนิทของเธอที่เขาสามารถพูดคุยด้วยได้โดยไม่คิดมาก โรคุทันดะ ฮีรากิยังคงเป็นเจ้าหญิงหลังห้องที่ยากจะเห็นรอยยิ้มหรือสนทนากับใคร เช่นเดียวกับที่เขาก็ยังคงเป็นอิวาซากิ ไทโชที่ขี้ขลาดเกินกว่าจะเดินหน้าทำอะไร ถ้าเพียงแต่เขาจะเป็นเด็กหนุ่มที่สมบูรณ์แบบอย่างอุกิโชหรือนาสุคงไม่ต้องมาทุกข์ใจกับเรื่องเล็กน้อยอย่างความพยายามเพียงแค่ว่าอยากจะทักทายเด็กผู้หญิงสักคนหนึ่ง
สุดท้ายแล้ว ไทโชก็อดรนทนไม่ไหวจนต้องระบายมันให้กับคนนอกที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วยอย่างครูเคียวโมโตะ เพราะถึงอย่างไรเทอมหน้าครูก็จะไม่ได้อยู่สอนต่อ และความลับก็จะยังคงเป็นความลับ
“อย่างน้อยผมก็อยากคาดหวังให้เป็นเด็กผู้หญิงคนอื่นที่ธรรมดากว่านี้”
“ก็เพราะเราไปกะเกณฑ์อะไรไม่ได้ นั่นแหละคือความรัก”
ครูเคียวโมโตะตอบกลับเขาด้วยความเห็นใจมาอย่างนั้น
เหมือนกับที่ไทโชก็ไม่สามารถไปกะเกณฑ์ความรักของใครได้ แต่ในตอนปิดเทอมที่พี่สาวพาหนุ่มคนรักนามสกุลคายามะมาแนะนำตัวที่ร้านกับน้องสาวที่ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันด้วยความตื่นตะลึงก่อนหัวเราะออกมา การได้ใช้เวลาพูดคุยกับซานะตลอดบ่ายวันนั้น แลกเปลี่ยนเรื่องที่สนใจเหมือนๆ กันด้วยความสนุกสนาน ขนาดทำให้ซานะพูดว่า “นายรู้ไหมว่าฉันไม่เคยพูดมากขนาดนี้กับใครมาก่อนเลยนะ แม้แต่กับเพื่อนสนิทอย่างฮีรากิก็เถอะ” ก็มากพอที่จะทำให้ไทโชคนโง่เง่าเกิดความคิดฉลาดๆ ขึ้นมาว่าอย่างน้อยเขาก็กะเกณฑ์เรื่องการคบเพื่อนได้ไม่ใช่หรือไง ถ้าเขาชวนซานะเข้ากลุ่มเดียวกันได้ก็ย่อมหมายถึงการได้ทำความรู้จักกับฮีรากิด้วย แน่นอนว่าอาจทำให้อุกิโชกับนาสุรู้สึกแปลกใจ แต่ไทโชก็รู้ว่าเพื่อนสนิททั้งสองคนจะไม่ว่าอะไร
ยิ่งได้รู้จักไทโชก็ยิ่งชอบ...รัก...เธอ เวลาที่ฮีรากิคุยกับเขา ยิ้มให้เขา หัวเราะไปกับมุกตลกและตั้งอกตั้งใจฟังเรื่องที่เขาพูดไม่ว่าจะไร้สาระแค่ไหน ไทโชอยากอยู่ข้างๆ เธอ อยากพูดคุยหัวเราะไปกับเธอ ตอนที่ได้อยู่กลุ่มคหกรรมด้วยกันแค่สองคนโดยไม่มีเพื่อนในกลุ่มคนอื่นก็ทำให้ไทโชได้เข้าใจถึงความสุขของการใช้เวลาร่วมกันตามลำพัง ทั้งฮีรากิที่เงอะงะกับงานครัว ฮีรากิที่กระตือรือร้นช่วยเป็นลูกมือให้เขา ฮีรากิที่ทำตาโตไปกับรสชาติอาหารที่ชมว่าอร่อยมากและแสดงท่าทางตื่นเต้นดีใจเมื่อพวกเขาคือกลุ่มเดียวที่ได้คะแนนเต็มก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งล้ำค่า ทว่าไทโชก็ไม่สามารถเมินเฉยต่อซานะที่หันเหมาทางเขามากกว่าเพื่อนเก่าที่เคยสนิทที่สุดได้ ถึงฮีรากิจะมีอุกิโชกับนาสุคอยช่วยดูแลอยู่แล้ว...และเขารู้ว่าทั้งสองคนนั้นจะช่วยดูแลเธอเป็นอย่างดี แต่การได้เห็นคนที่ตัวเองชอบอยู่กับผู้ชายที่เหมาะสมกว่าแม้แค่จากภายนอกก็ไม่ใช่เรื่องที่ไทโชจะนึกยินดีได้เลย
ถึงเขาจะยังยินดีได้อยู่ว่าความสัมพันธ์ของสามคนนั้นจะไม่มีอะไรเกินเลยมากไปกว่าเพื่อน — เหมือนที่เขาเองก็จะไม่มีอะไรเกินเลยกับซานะ — ไม่เหมือนกับที่เขามีต่อฮีรากิก็ตาม
แต่ทั้งที่เขาชอบเธอตั้งมากขนาดนั้น ไทโชกลับไม่เคยรับรู้ดูออกถึงความอัดอั้นตันใจที่ฮีรากิกักเก็บไว้เลยสักครั้ง ถ้าเขากับอุกิโชยืนหยัดทักท้วงซานะเรื่องงานกลุ่ม อย่างน้อยๆ ฮีรากิก็คงไม่ต้องรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นคนนอกใช่หรือเปล่า ไทโชได้แต่เก็บความว้าวุ่นใจตั้งแต่ที่ฮีรากิไม่ยอมรับสายตลอดคืนนั้นจนนอนแทบไม่หลับ แม้เขาจะเห็นสีหน้าที่เป็นปกติของเธอในวันถัดมาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ช่วยให้เขาสบายใจขึ้นมาได้เลย
เพราะแท้จริงแล้วมันก็เหมือนกับภูเขาไฟที่รอวันปะทุ และการที่ฮีรากิไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาตลอดเวลาที่ระบายความในใจออกมาก็ทำให้ไทโชเข้าใจถึงความแตกสลายที่ตัวเองรู้สึกไม่ได้ต่างอะไรกัน
ไม่ใช่ความผิดของฮีรากิ ไม่ใช่ความผิดของซานะ แต่เป็นเขาเองคนเดียว ทุกอย่างมันผิดมาตั้งแต่ต้นแล้วที่เขาชวนซานะเข้ากลุ่มเดียวกัน ขโมยเวลาของพวกเธอ ทำลายความสัมพันธ์ของทุกคน
และนี่ก็คือผลตอบแทนของความเห็นแก่ตัวที่ไทโชต้องเผชิญ
เย็นนั้น อุกิโชกับนาสุบอกว่าจะไปรอที่ร้าน แล้วให้เขาไปส่งซานะที่ร้องไห้หนักมากตั้งแต่เที่ยงจนต้องไปห้องพยาบาลตลอดคาบบ่ายกลับบ้านก่อน ตลอดทางซานะเอาแต่ถามว่า เธอทำผิดมากขนาดนั้นเลยเหรอ? ไม่ใช่ว่าถ้าฮีรากิพูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ ตั้งแต่แรกทุกอย่างก็คงจะไม่จบแบบนี้หรอกเหรอ? ไทโชไม่คิดที่จะโทษใครนอกจากตัวเอง เขาทำได้เพียงปลอบให้เธอสบายใจว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย ทั้งที่มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง
“คืนนี้ฉันโทร.ไปหานายได้ไหม?”
“ถ้าซานะไม่ร้องไห้จนเหนื่อยไปก่อนก็ได้อยู่แล้ว” ไทโชยิ้มให้เธอ เฝ้ารอจนบานประตูหน้าบ้านปิดลงถึงค่อยหมุนตัวจากไป
ขณะที่อุกิโชซี่งเพียรพยายามโทรศัพท์ไปหาฮีรากิโดยไม่เหน็ดเหนื่อยตลอดหนึ่งชั่วโมงกว่าเธอจะรับสายในที่สุดก็บอกว่า “ฮีรากิออกจากกลุ่มเราไปแล้ว” ไม่มีทั้งคำต่อว่า ด่าทอ ต่อเขาหรือซานะ แต่สายตาตำหนิที่มองมาก็ชัดเจนว่าอุกิโชโทษเขาในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะมันก็ถูกต้องแล้ว
ความคิดของไทโชไม่คงที่อีกเลยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ช่วงเวลาที่เคยพูดคุยสนุกสนานกับซานะก็ราวกับการฝืดฝืน ไหนจะเรื่องการเรียนที่ปกติก็ไม่ใช่คนหัวดีอยู่แล้ว ถึงอุกิโชกับนาสุจะช่วยติวสอบวิทยาศาสตร์ให้ก็ยังไม่เข้าหัวจนต้องได้อยู่เรียนเสริมหลังเลิกเรียนอีกตั้งหนึ่งเดือน ไทโชคิดถึงเรื่องน่าเบื่อหน่ายที่จะตามมาหลังจากนั้น จนเมื่อครูประกาศผลสอบซ่อมของฮีรากิเป็นคนสุดท้ายกับผลคะแนนที่อีกนิดเดียวแท้ๆ ก็จะผ่านครึ่ง แต่เธอก็ทำไม่ได้ เพราะไม่มีใครคอยช่วยติววิชายากๆ ให้ ไม่มีแม้แต่เพื่อนที่จะอ่านหนังสือด้วยกัน เพราะเธอไม่มีใครเลย
ไทโชตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าวันนี้เขาจะต้องพูดกับเธอ
ครั้นหมดเวลาหนึ่งชั่วโมงของคาบเรียนเสริมในวันแรก เด็กสาวก็ไวทายาดเหมือนรู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เพราะจำนวนนักเรียนที่ต้องอยู่เย็นซึ่งมีแค่หลักสิบ และไทโชก็ไม่ปิดบังการมองดูเธอที่ถูกครูสั่งให้ย้ายมานั่งข้างหน้าตรงกลางแทน ดังนั้นเธอถึงได้ผลุนผลันออกไปเหมือนกับการหนีให้เขาต้องวิ่งตาม
“โรคุ เราช่วยคุยกันก่อนได้ไหม?”
“นายเคยมีเวลาทั้งโลกให้คุยกับฉัน แต่นายก็ไม่เคยทำ” ฮีรากิสวนย้อนกลับไปด้วยดวงตาที่สบจ้องกับคำประชดประชัน และไทโชก็เข้าใจดีหากเธอจะทำแบบนั้น
“ฉันขอโทษ ถ้าเธออยากให้ฉันทำอะไร...”
“ฉันไม่อยากได้คำขอโทษ!” ด้วยการแผดตะโกนใส่หน้าเขาเสียงดังลั่น “และนายก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้นแหละอิวาซากิ! นายไม่มีทางทำอะไรให้ฉันได้!”
“เธอไม่พูดแล้วฉันจะเข้าใจได้ยังไงล่ะโรคุ!” จนทำให้เขาเองก็เผลอตัวกระคอกกลับไป และสิ่งที่เธอทำก็คือการสะบัดข้อมือที่เขาจับไว้ออกอย่างไม่สนใจว่าจะต้องเจ็บ...ทั้งที่นั่นคือสิ่งสุดท้ายในโลกที่เขาจะทำกับเธอ
“ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับนายทั้งนั้น! สนใจแค่เรื่องของตัวเองกับซานะไปเถอะ!” ฮีรากิตะโกนทิ้งท้ายแบบนั้นก่อนที่จะวิ่งหนีไป
ไทโชได้เข้าใจแล้วว่าไม่มีทางที่เขาจะเจาะเข้าไปในใจของเธอได้เลย เขาไม่มีทางทำอะไรเพื่อฮีรากิได้ตราบที่ยังอยู่กับซานะ...คนที่พึ่งพิงเขาในยามที่ไม่หลงเหลือความไว้ใจจากใครเฉกเช่นกัน เพราะความโกรธเกลียดของเด็กผู้หญิงเป็นแบบนั้น เหมือนกับที่ซานะจะชักสีหน้าออกอาการไม่พอใจทุกครั้งที่เขาหรือเพื่อนในกลุ่มคนไหนเอ่ยถึงฮีรากิ ทั้งที่ไทโชก็แค่อยากอยู่ข้างๆ คนที่ตัวเองรัก ต่อให้เขาจะไม่มีวันสมหวัง อย่างน้อยๆ ทุกคนก็ยังมีรอยยิ้ม มีที่ทางให้กลับมา และมีความสุขด้วยกันเหมือนเดิมได้
เขาได้แต่แหงนเงยใบหน้าเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา
และการได้เห็นนาสุทักทายฮีรากิที่เดินผ่านด้วยรอยยิ้มตอนยืนคุยกับเขาที่หน้าห้องในวันถัดมา แม้จะได้รับเพียงศีรษะที่ผงกตอบรับก่อนก้าวเร็วๆ จากไปเพื่อหลบหน้าเขา แต่สายตาของเพื่อนที่มองตามไปก็สะกิดใจมากพอที่จะทำให้ไทโชกลั้นใจถามไปว่า
“นายชอบโรคุเหรอ?”
“ชอบสิ” นาสุหันมาจ้องหน้าสบตากับเขาแล้วตอบคำถามนั้นโดยไม่เสียเวลาคิด “แล้วนายล่ะไทโช? นายชอบโรคุทันดะแล้วไปอยู่เคียงข้างตอนที่เธอเหงา ตอนที่เธอโดดเดี่ยวได้ไหม? นายกล้าทำเรื่องแบบนั้นต่อให้ต้องทิ้งคายามะที่นายก็รู้ว่ามีแค่นายอยู่ข้างๆ ได้หรือเปล่า? หรือนายเคยคิดที่จะออกตามหาโรคุทันดะที่ต้องหลบไปร้องไห้คนเดียวทั้งตอนที่ทะเลาะกันวันนั้นหรือเมื่อเย็นวานบ้างไหม?”
ไทโชไม่ได้ตกใจที่นาสุล่วงรู้ความลับของเขามากไปกว่าเรื่องของฮีรากิที่เขาต่างหากเพิ่งจะล่วงรู้ แต่เขาในยามนี้กลับควานหาคำพูดอะไรไม่ออก ไม่แม้แต่สีหน้าเหมือนกับที่นาสุกำลังแสดงออกมาด้วยความเย็นชา
“ถ้านายไม่คิดจะทิ้งคายามะที่โรคุทันดะเกลียด ถ้านายไม่คิดจะสู้กับฉันเพื่อแย่งโรคุทันดะมา ถ้านายทำเรื่องเห็นแก่ตัวพวกนั้นไม่ได้ งั้นก็ตัดใจซะ”
_______________
_______________
_______________
ความคิดเห็น