ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #108 : Fool Moon (SixTONES Part)

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 66


    Fool Moon
    Inspiration: Murakami Haruki: The Man In The Taxi タクシーに乗った男 (Short Story, 1984)
    Playlist: Tennis – No Exit











    .

    สิบสามชั่วโมงกับระยะทางกว่าหกพันไมล์ไม่ได้ทำให้ร่างกายของเขารู้สึกอ่อนเพลียไปกับอาการเจ็ตแล็กเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เคียวโมโตะ ไทกะได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่มบนเครื่องโบอิ้งชั้นเฟิร์สคลาสที่กว้างขวาง ตื่นมารับประทานอาหารสองครั้ง พลังงานยังคงเต็มเปี่ยมต่อเนื่องจากการชนะโชคชั้นใหญ่ในเกมรูเล็ตที่คาสิโนในลาสเวกัสซึ่งเขาเพิ่งจะจับเที่ยวบินตรงมาแทนที่จะเป็นไฟลท์จากนิวยอร์ก ลงลึกให้ชัดเจนกว่านั้นคือที่ตั้งของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียซึ่งเขาควรจะกำลังร่ำเรียนอยู่ มากกว่ามานั่งละเลียดไอซ์อเมริกาโนเคล้าเบเกิลกรุ่นๆ ในสตาร์บัคสาขาชิบุยะคนละฝั่งซีกโลกแบบนี้ ฝูงชนยังคงบางตาเพราะเวลาเพิ่งจะเช้าตรู่ เช่นเดียวกับหญิงสาวที่ในมือถือแก้วเครื่องดื่มเย็นซึ่งเพิ่งจะเดินมาหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม เมื่อนั้นคนที่ทอดมองออกไปนอกบานกระจกจึงเคลื่อนสายตาขวับกลับมา เปล่งเสียงทักทาย “สวัสดี!” พร้อมรอยยิ้มกว้าง แต่ไม่อาจเรียกสักมิลลิเมตรของรอยยิ้มบนริมฝีปากสีซีดจากคนที่ต้องหอบสังขารตัวเองลุกออกจากเตียงนุ่มๆ ในเวลาแปดโมง ทั้งที่ยังคงแฮงค์ไม่หายจากงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนร่วมงานเมื่อคืนวานได้ สีหน้าเธอฉายความละเหี่ยเพลียใจ ยกแขนข้างหนึ่งเท้าลงบนโต๊ะพลางใช้ปลายนิ้วโป้งและชี้คลึงขมับตัวเองไปมา

    “รอไม่ไหวเลยหรือไง ถึงต้องปลุกฉันแหกขี้ตาตื่นมาตอนไก่โห่แบบนี้”

    “อย่าพูดอะไรใจร้ายแบบนั้นสิอายาเนะ นี่ฉันอุตส่าห์บินจากเวกัสเพื่อมาหาเธอเลยนะ”

    ใบหน้าสวยถึงไร้เมคอัพแต้มแต่งเป็นต้องยู่ลงจากประโยคที่เรียกให้เธอต้องย้ำซ้ำอีกครั้งว่า “เวกัส? ฮะ? นี่ฉันไม่ได้หูฝาดไปเองใช่ไหม?” ที่เมื่อไทกะเลือกแทนคำตอบจากถ้อยเสียงด้วยรอยยิ้มกว้างและคิ้วที่ยักยกขึ้นข้างหนึ่ง นัยน์ตาภายใต้แว่นกันแดดสีชาของหญิงสาวก็กรอกขึ้น อดที่จะคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าทำไมเธอต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจกับอนาคตของเขา ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวพันอะไรกับเธอที่กำลังรุ่งโรจน์ในหน้าที่การงานเลยแม้แต่น้อย แต่ใช่ว่าทามูระ อายาเนะจะไม่รู้เหตุผล ทั้งหมดเป็นเพราะไอ้คำว่าเพื่อนสนิทที่ค้ำคออยู่ กับข้อความจริงที่ว่าครอบครัวของเขาคาดหวังกับทายาทหนึ่งเดียวคนนี้มากแค่ไหน บ่อยครั้งที่อายาเนะจะค่อนแขวะอยู่ในใจว่า...ก็ไม่ใช่เพราะพวกเขาเลี้ยงดูลูกชายให้เป็นแบบนี้เองหรอกหรือไง

    “ถามจริงเถอะไทกะ ใจคอนายคิดจะใช้ชีวิตแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่”

    เขายักไหล่ไหว โยนเบเกิ้ลที่บิเป็นชิ้นเล็กๆ ส่งเข้าปาก “รู้แค่ว่าตอนนี้ฉันพอใจแบบนี้ก็พอ”

    “นี่ถ้าพ่อแม่นายเกิดทนไม่ไหวลุกขึ้นมาใช้กำลังบังคับขู่เข็ญนายเรียนให้จบๆ สักทีแล้วล่ะก็ ขอให้รู้เอาไว้เลยว่าฉันนี่แหละจะเป็นคนแรกที่หัวเราะเยาะใส่หน้านาย”

    “ขอบใจ แต่เสียใจด้วยที่ต้องบอกว่ามันคงจะไม่มีวันนั้น”

    อายาเนะได้แต่ส่ายหัวด้วยความระอา ขณะดูดกรีนทีลาเต้ให้ไหลลงคอไปอย่างเปล่าประโยชน์ พอๆ กับการพล่ามสรรสาระให้เข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาของคนตรงหน้า ถ้าต้นตระกูลมาเห็นสภาพของทายาทเชื้อสายปลายสุดในตอนนี้คงจะร่ำไห้น้ำตาเป็นสายเลือด ทั้งๆ ที่คุณเคียวโมโตะก็ออกจะขยันขันแข็งจนสามารถขยับขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวขึ้นมาติดอันดับหนึ่งในสิบของเศรษฐีผู้ร่ำรวยจากการจัดอันดับบนหน้านิตยสารฟอร์บส์ประจำปีที่ผ่านมาได้ แต่เหตุไฉนทายาทเพียงคนเดียวจึงไม่อาจแม้แต่จะร่ำเรียนให้จบหลักสูตรปริญญาตรีขั้นพื้นฐานอย่างง่ายๆ ได้สักที ที่ถูกขับออกจากมหาวิทยาลัยโตเกียวก็มาจากเหตุผลที่ว่าเขาทั้งไม่เข้าเรียนและไม่เข้าสอบเลยสักรายวิชา ตัดความคิดเห็นเชิงอคติที่ว่าเขาหัวทึบโยนทิ้งออกนอกโลกไปได้เลย มิเช่นนั้นแล้ว เด็กเอเชียหัวดำๆ ถึงจะร่ำรวยมากอย่างไทกะก็คงไม่มีปัญญาไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ในสาขาทัศนศิลป์ของมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าอย่างโคลัมเบียได้แน่นอน ช่วงแรกๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่อายาเนะได้ไฟลท์จากโตเกียวไปนิวยอร์ก โดยไม่จำเป็นต้องขึ้นเตียงหรือเล่นยาด้วยกัน สีหน้าของเขาก็จะแผ่ออร่าความสุขออกมาอย่างเต็มที่ให้เธอต้องนึกฉงน “ที่นี่เยี่ยมสุดๆ! ฉันคิดว่าคงจะไม่กลับโซลเร็วๆนี้” และไทกะก็รักษาคำสัตย์ของตนไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อตลอดสองปีที่เขาไปเริ่มต้นใช้ชีวิตอย่างเด็กแลกเปลี่ยนอยู่ที่บรุกลิน ก็ไม่เคยมีใครในโตเกียวได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของทายาทประธานบริษัทโกไลแอธอีกเลย

    “ถึงขั้นบินกลับโตเกียวมาแบบนี้ แปลว่าจะไม่เรียนแล้วสิท่า”

    “ก็เปล่า...” เขาว่า “แค่พักนี้ฉันรู้สึกเบื่อๆ”

    “เบื่อนักก็ไปช่วยงานพ่อนายซะสิ” คำพูดคำจาในเชิงประชดเสียดสีเป็นนิสัยติดตัวที่แก้ไม่หายของเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็กที่รู้ธาตุแท้ของกันและกันดีเกินกว่าใคร ใบหน้าของเธอไร้อารมณ์เมื่อเอ่ย และนั่นก็จะเรียกเสียงหัวเราะขบขันจากชายหนุ่มได้

    “มุกนี้ขำกลิ้งสุดๆ”

    แต่เธอไม่ยักจะขำไปด้วยเลยแม้แต่นิด สิ่งหนึ่งในตัวไทกะที่อายาเนะเกลียดคือความไม่รู้สึกรู้สาแบบนี้นี่แหละ เธอปล่อยพรูลมหายใจยาวเหมือนกับว่าความสุขทั้งหมดทั้งมวลในชีวิตได้ถูกพรากจากไป และมันก็เกือบใกล้เคียงกับความเป็นจริงเข้าไปทุกที อีกครั้งที่อายาเนะทำได้แค่กรอกตาไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย

    “แล้วตกลงนายเรียกฉันมาทำไม?”

    “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน อยากคุยด้วยหน่อยไม่ได้หรือไง?”

    “นายเรียกฉันมาด้วยเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ!” อายาเนะเกือบจะกรีดร้องออกมากับการตัดสินใจโง่ๆ ของตัวเองอยู่รอมร่อ ริมฝีปากที่ค้างอยู่บนหลอดพลาสติกขบกัดมันแน่นจนเสียรูปทรง

    ทั้งที่ก็น่าจะตระหนักได้อยู่แล้วว่า ไม่ว่าจะชั่งน้ำหนักในแง่มุมไหน หมอนี่ก็ไม่ได้มีค่าควรใดมากไปกว่าเวลานอนอันแสนมีค่าของเธอเลย ยิ่งต้องมาเผชิญกับสีหน้ากวนอารมณ์ชวนให้หงุดหงิดแบบนี้ด้วยอีก เธอหลับตา ปล่อยกรีนทีลาเต้เย็นฉ่ำไหลผ่านลำคอลงไปเพื่อช่วยสงบสติอารมณ์ให้ผ่อนคลาย แต่ไม่ได้ผลเลยเมื่ออาการปวดหัวหนึบตรงดิ่งเข้ามาเล่นงาน ถ้าขืนเธอทู่ซี้นั่งอยู่ที่นี่ต่อไปอีกนิด มีหวังมันได้ระเบิดแตกดังโพล๊ะแน่ๆ

    “โอเค ไทกะ ตอนนี้ฉันปวดหัวมากแถมยังง่วงสุดๆ ไม่มีอารมณ์จะเสวนาอะไรกับนายทั้งนั้น แค่นี้นะ ขอตัว!” โดยไม่แม้แต่จะใส่ใจกับถ้อยคำโอดครวญของเพื่อนซี้ขณะผุดลุกจากเก้าอี้ เดินตอกส้นสูงลงบันไดไปลิ่วๆ ไม่ใช่ระยะทางไกลเกินกว่าเขาจะวิ่งไล่ตามไปให้ทันเลย แต่เครื่องดื่มก็ยังไม่หมด ขนมหวานก็ยังอุ่นอร่อย คบหากันมาเป็นสิบๆ ปี เขาชินชากับนิสัยไม่น่ารักและคำพูดห้วนๆ ไม่น่าฟังที่ไม่มีใครรอบตัวเธอเคยได้สัมผัสเพราะหน้ากากที่สวมใส่ พวกเขาเผชิญแค่เปลือกนอกซึ่งหลอกตา ส่วนสิ่งที่ปรากฏต่อไทกะคือความจริงแท้ที่ชวนให้ใหลหลง

    ถ้าเธอไม่คิดถึงเขาเหมือนกัน ก็คงจะไม่เสียเวลามาพบหน้าตั้งแต่แรกไม่ใช่หรอกหรือ?

    ก็ไม่เลว...เขาคิด แล้วเอนหลังพิงพนักของเก้าอี้ไม้ด้วยรอยยิ้ม

     

     

    ศีรษะของเขาที่นอนหนุนอยู่กับท่อนแขนข้างหนึ่งนั้นไม่ได้ผงกโงขึ้นสักเซนติเมตรเดียว แม้ในยามที่เสียงรองเท้าส้นสูงย่ำพื้นดังก้องเป็นจังหวะจะแทรกผ่านเสียงดนตรีส่งสะท้อน ไม่ใช่เรื่องชวนฉงน ในเมื่อนอกจากตัวเขาแล้วก็มีอีกเพียงแค่คนเดียวที่มีกุญแจห้องนี้ และขณะนี้...เธอคนนั้นก็กำลังเปล่งเสียงหวานเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าแสร้งเสว่าประหลาดใจ “ว้าว วันนี้เจสซี่ของฉันตื่นเช้าแฮะ สงสัยหิมะจะตกแหง” ก่อนทิ้งตัวลงนั่งริมขอบเตียงข้างกันกับเขา แก้วกาแฟพะยี่ห้อร้านโปรดของเจ้าหล่อนช่างผสานเข้ากันดีกับเสียงเพลงที่ต่อออกมาจากลำโพงเสริมของแมคบุ๊คบนโต๊ะทำงาน ดังก้องไปทั่วชั้นลอยของห้องในแมนชั่นชั้นหรูใจกลางกรุง ที่ซึ่งลูกสาวเจ้าของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ชั้นแนวหน้าของญี่ปุ่น — หรือในฐานะที่เขาภูมิใจจะแนะนำมากกว่าว่าเธอคือคนรักของเขา — จะมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทั้งหมด และแบ่งสรรปันส่วนจากหนึ่งในห้องพักอาศัยที่ครอบครัวของเธอมีอยู่ทั่วไปหมดในโตเกียวให้แก่เขา ที่นี่วิวดีมาก สามารถมองเห็นทิวทัศน์งดงามของตัวเมืองยามราตรีซึ่งช่วยให้หัวสมองของเขาโลดแล่นและแต่งเพลงดีๆ ออกมาได้เสมอ เขายิ้มแล้วยันตัวเองขึ้นอยู่ในท่านั่ง โอบแขนหนาพาดลงบนบ่าเล็ก “แล้วของฉันล่ะ?” จะทีท่า สีหน้าหรือคำถามก็ช่างยียวนกวนอารมณ์สมประสาเจสซี่ ลูอิส ให้หญิงสาวต้องสะบัดใบหน้าขาวหันมาแสดงอาการหมั่นไส้คนตัวดีเข้าให้ “คิดว่านายยังไม่ตื่นก็เลยไม่ได้ซื้ออะไรมาเผื่อ”

    “ทำไมมินะถึงชอบทำตัวใจร้ายกับฉันจัง?”

    “มารยาจริง!

    โอริฮาระ มินะ ไม่จำเป็นต้องได้เห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้ที่แตกต่างจากน้ำเสียงกระเง้ากระงอดที่เธอรู้ทันดี แต่ก็ช่วยวาดรอยโค้งที่ตรงมุมปากของชายหนุ่มให้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เจสซี่ไม่รั้งรอช่วงจังหวะเลยเมื่อโน้มลำคอของเธอแล้วกดประทับจูบลงไปบนกลีบปากบางคู่นั้น นอกจากการขโมยจูบให้ไม่ทันได้ตั้งตัวแล้ว มือข้างที่ว่างก็ยังจะฉกฉวยแก้วกาแฟไปกองสุมรวมกับข้าวของระเกะระกะที่โต๊ะข้างหัวเตียงอีก มินะทันร้อง “อ๊ะ!” ได้แค่เพียงครู่ แผ่นหลังของเธอก็จะถูกผลักลงไปกับเตียงกว้างขวางนั้นแล้ว

    “ฉันว่าหวานไปหน่อย”

    เจสซี่แลบลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเองเชื่องช้า เจตนาแสดงความยั่วเย้าต่อสาวคนรักอย่างจงใจ หนึ่งปีก่อนทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโตอย่างไร ตอนนี้ก็ยังทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโตอย่างนั้น แต่นั่นก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้หญิงสาวในวงสังคมระดับสูงหลงใหลชายหนุ่มที่ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง...แม้กระทั่งหัวนอนปลายเท้า...ได้ถึงขั้นหน้ามืดตามัว แน่นอนว่าเจสซี่ไม่ได้โง่ขนาดที่จะไม่รู้เรื่องอะไรเลย เหมือนกับที่มินะเองก็ไม่ได้ซื่อใสขนาดจะให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาปั่นหัวหลอกเอาได้ง่ายๆ เธอได้ตัวเขา ส่วนเขาก็ได้ลืมตาอ้าปากจากนักร้องโนเนมข้างถนน จนมีวันนี้ที่ได้หยัดยืนขึ้นเป็นนักร้องนำของวงร็อคหน้าใหม่ที่กำลังมาแรงในหมู่นักฟังเพลงโดยเฉพาะฝั่งประเทศญี่ปุ่นและตะวันตก ผลลัพธ์สุดท้ายก็ต่างวิน-วินกันทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครเสียหาย ตราบเท่าที่เธอยังช่วยผลักดันทั้งความฝันและความอยากได้อยากมีของเขาให้กลายเป็นจริงได้มากขึ้นไปอีกเท่าไหร่ เจสซี่ก็เป็นได้แค่ลูกไก่ในกำมือของเธออยู่วันยังค่ำ

    คนที่มัวเมาอยู่กับอำนาจแสงสีจนนัยน์ตาพร่ามัว จะไปมองเห็นอะไรภายใต้แสงไฟที่ส่องสะท้อนภาพความจริงออกมากัน

    “เวลานี้ไม่โอเค”

    คิ้วของเขาเลิกขึ้นแสดงคำถาม ก่อนจะต้องเปลี่ยนเป็นร้องโอดโอย เมื่อถูกคนตัวบางใช้แรงผลักให้ร่างของเขาพลิกไปนอนทำหน้าบูดบึ้ง ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่ถูกแย่งของเล่นอยู่ข้างๆ แทน

    “เที่ยงนี้มีนัดสัมภาษณ์นะ” มินะดันร่างของตนกลับขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง เลยผ่านความเอาแต่ใจของคนรัก แล้วลุกไปจัดเสื้อผ้าหน้าผมของตนเองให้เข้าที่อยู่หน้าบานกระจกเต็มตัวใกล้กับตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ตรงมุมห้อง เป็นนิสัยที่เจสซี่ไม่เคยนึกทำใจให้ชินและชอบได้ลง ถ้าหากว่าเป็นคนรักเก่าของเขา หล่อนจะไม่มีวันทำในสิ่งที่รู้ว่าเขาไม่ชอบ แต่คนที่เติมเต็มความปรารถนาข้อเล็กน้อยที่สุดอย่างการทำให้เพลงของเขาเป็นที่รู้จักไม่ได้สักนิดเลยด้วยซ้ำจะมีประโยชน์อะไร ใครจะอยากอยู่แต่ในโลกเบื้องล่าง สร้างเรื่องจอมปลอมหลอกตัวเองว่าแค่ได้เล่นดนตรีกับคนที่รักก็มีความสุขมากพอแล้วไปตลอดชีวิตกัน

    ทิฐิโง่ๆ ไม่ทำให้มีอยู่ เช่นเดียวกับคนรักง่อยๆ ก็ไม่ทำให้มีกิน

    “เอ้า! รีบลุกมาแต่งตัวได้แล้ว!

    เธอโยนชุดเสื้อผ้าแบรนด์ดีที่แขวนห้อยอยู่กับไม้แขวนเสื้อจากในตู้เสื้อผ้าที่เพิ่งจะคุ้ยค้นลงไปบนเตียงอย่างรู้งาน ขณะที่เจสซี่ก็ลากเสียงยาวขานรับคำพูดส่งๆ ก่อนเด้งตัวขึ้นมาอยู่ในท่านั่งแล้วลอบกลอกตาไปมาด้วยความเบื่อหน่าย  ทุกอย่างที่เป็นเธอช่างน่าเบื่อ และเจสซี่ก็อดทึ่งไม่ได้ว่าตนเองสามารถอดทนอยู่กับผู้หญิงเจ้ากี้เจ้าการนานเป็นปีเช่นนี้ได้อย่างไร แน่นอนว่าถ้ามีทางเลือกที่ดีกว่า เขาก็ไม่ลังเลที่จะไป

    มนุษย์เราก็เห็นแก่ตัวแบบนี้แหละ


     

    กลุ่มเด็กนักศึกษาสาวท่าทางกระฉับกระเฉงส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจไม่ได้หยุดเมื่อสวนทางกันที่ราวบันไดเตี้ยๆ ต้องขอขอบคุณหุ่นที่เพรียวบาง ถึงแม้ว่าจะถือแก้วเครื่องดื่มเต็มมือมาทั้งสองข้างก็ยังสามารถพลิ้วผ่านกลุ่มเด็กสาวน้อยวัยแรกแย้มที่หน้าตาก็สะสวยกันดี แต่ไม่ยักกะมีจิตสาธารณะเบื้องต้นแค่ขยับหลีกเส้นทางให้สักนิด เธอขยับริมฝีปากทำท่าว่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าไม่ดีกว่า วันนี้อากาศอุ่นสบายดี แสงแดดก็สาดทออย่างพอเหมาะพอดี พลอยทำให้อารมณ์ของเธอดีไปด้วย จนไม่อยากให้ต้องมาเสียเรื่องเพราะการกระทำไร้มารยาทพรรค์นี้ นอกจากเสียงจึ๊เพียงครั้งเดียวที่รอดหลุดซึ่งพวกหล่อนเหล่านั้นก็หาได้สนใจไม่แล้ว ชิมาบุคุโระ เมริก็ไม่ได้ขยับริมฝีปากเฉดสีแดงผรุสบถคำต่อว่าอื่นใดออกมาอีก

    เพราะมือไม่ว่าง เธอจึงออกแรงใช้ลำตัวครึ่งซีกขวาดันบานประตูกรอบกระจกภายใต้แผ่นป้ายสีดำประทับด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษสีทองที่เริ่มจะหลุดล่อนเข้าไป กระนั้นภายในแกลเลอรี่สีขาวก็โล่งโปร่งอย่างสะอาดสะอ้านชวนให้นึกประทับใจ ที่มาของสีสันหลากหลายซึ่งแต้มแต่งความมีชีวิตชีวาให้แก่ทุกตารางนิ้วในพื้นที่ขับส่งมาจากภาพเขียนที่แขวนเรียงรายอยู่บนผนัง งานส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่สะบัดวาดลวดลายด้วยปลายพู่กัน เป็นภาพวิวทิวทัศน์และอิริยาบถหลากหลายของผู้คนอย่างหยาบๆ จากฝีมือของจิตรกรทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ส่วนใหญ่แทบไม่มีชื่อเสียง แต่ผลงานก็จัดว่าพอใช้ได้เลยทีเดียว

    เมริไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับศิลปะตะวันตกมากมายนัก ไม่เคยคาดคิดด้วยซ้ำว่าชีวิตทื่อๆ ของตนเองจะลากเส้นขนานมาบรรจบลงที่นี่ได้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปในวันกลางฤดูที่อากาศหนาวเหน็บ เธอหนีออกมาจากสรวงสวรรค์ที่จะพลันกลายเป็นขุมนรก ได้แต่ระหกระเหินเดินไปอย่างไร้จุดหมาย หวังเพียงหนีหายไกลห่างจากสถานที่แห่งนั้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่กำลังขาจะพาไปไหว ก่อนจะสิ้นไร้เรี่ยวแรงอยู่ที่หน้าแกลเลอรี่ในหลืบมุมหนึ่งของละแวกเซนดะกายะที่มีผู้คนอยู่เพียงประปราย ขณะนั้นล่วงเย็นมากแล้ว ไม่นับรวมเธอก็ไม่มีผู้เข้าชมรายไหนอีก หลังจากเดินดูรูปภาพในแกลเลอรี่พอให้ผ่านตาแล้ว เธอก็ทิ้งตัวลงบนม้านั่งยาวในห้องโถงใหญ่ ส่วนหนึ่งเพราะความเมื่อยล้า แต่ประเด็นสำคัญคือภาพเขียนที่แขวนอยู่บนกรอบสีทองเบื้องหน้าซึ่งดึงดูดเธอเสมือนดั่งเวทมนตร์ลวงตา สีสันของภาพหญิงสาวในชุดกระโปรง รองเท้า และร่มคันสีแดงที่กำลังเดินลำพังในตรอกซึ่งอาจจะเป็นมหานครในยามใกล้รุ่งนี้เองนั้นจัดจ้าน มีองค์ประกอบที่ใกล้เคียงกับผลงานของลีโอนิด อาฟรีมอฟที่เธอนิยมอย่างลึกล้ำ ยิ่งเพ่งพิศนานเท่าไหร่จิตใจของเธอก็ยิ่งสงบ เหมือนอ้อมกอดที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจหลังจากวันอันเลวร้ายที่ได้พ้นผ่าน ดั่งว่ามีเส้นสายใยที่เชื่อมโยงระหว่างเธอกับหญิงสาวในภาพซ่อนเร้นกายอยู่อย่างบางเบา เมริปล่อยความคิดและจิตใจให้ลอยเลื่อนไป มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อไหล่เล็กถูกสะกิดบอกจากชายหนุ่มผู้ดูแลว่าแกลเลอรี่กำลังจะปิด เธอกล่าวขออภัยต่อเขาที่ไม่ได้แสดงทีท่ายินดียินร้ายอะไร หากเมื่อกำลังจะหันหลังเดินออกไป เขาก็กลับถูกหยุดไว้จากประโยคคำถามซึ่งเธอได้เปล่งเสียงแผ่วๆ ออกมา

    “ขอโทษนะคะ แต่ไม่ทราบว่าคุณรู้จักจิตรกรที่วาดภาพนี้หรือเปล่า?”

    เขาเหลือบแลสายตาไปยังฝาผนังและแผ่นป้ายเล็กๆ ที่แสดงรายละเอียดของภาพวาดภาพนั้นที่ข้างใต้ แม้ในยามตอบคำถามให้เธอได้เบิกตากว้างว่า “ผมเอง” ก็ยังไม่มีอารมณ์ใดถูกส่งผ่านบนใบหน้า ทั้งที่มีคำพูดและคำถามอีกตั้งมาก แต่ท่าทีของเขาก็ช่างเฉยเมยจนเมริไม่กล้าเอ่ยปากเปล่งอะไรออกมาอีก นอกไปจากคำกล่าวขอบคุณเพียงเท่านั้น

    กระนั้นเมริก็ยังคงแวะเวียนมาที่แกลเลอรี่ทุกๆ วัน ใช้เวลาเดินดูรูปภาพอื่นๆ ราวหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งจ้องรูป หญิงสาวตอนใกล้รุ่งเพียงคนเดียวลำพังตอนสองชั่วโมงก่อนแกลเลอรี่ปิดทำการราวกิจวัตร ไม่มีบทสนทนาอื่นใดนอกจากคำทักทายและขอบคุณระหว่างเธอกับเขาอีก ตลอดสองปีที่มัตสึมูระ โฮคุโตะทำงานดูแลพาราซอล แกลเลอรี่แห่งนี้ เขาไม่เคยเจอใครที่แสดงพฤติกรรมแปลกประหลาดเช่นนี้เหมือนกับเธอเลย โฮคุโตะคิดว่าตัวเองเลิกสนใจผู้คนรอบข้างไปนานมากแล้ว และมันเป็นเช่นนั้นจริงถึงก่อนหน้าวินาทีที่เขาจะได้พบกับหญิงสาวผู้นั้นที่เข้ามาในแกลเลอรี่เล็กๆ แห่งนี้ เพียงเพื่อเขม้นมองภาพวาดจากฝีแปรงและเกรียงของเขาด้วยความตั้งใจ กระทั่งในวันที่สาม เขาจึงเลิกปล่อยความสงสัยให้ค้างคา แล้วตัดสินใจเริ่มต้นบทสนทนากับเธอว่า “คุณชอบภาพนี้เหรอครับ?” ที่จะเรียกรอยยิ้มแรกให้ปรากฏบนใบหน้าสว่างสดสวยซึ่งคอยแต่จะหงอยเหงามาตลอดขึ้นได้ในที่สุด เธอพูดไม่ค่อยเก่ง เรียบเรียงประโยคคำพูดของตัวเองได้ไม่ค่อยดีนักแม้นเมื่อบอกเล่าถึงความรู้สึกต่อภาพเขียนนี้ หากจิตรกรเจ้าของภาพเขียนอย่างเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความจริงใจอย่างซื่อตรงในคำพูดนั้น ก่อนแกลเลอรี่ปิด เขาบอกว่าถ้าเธอสนใจอยากดูรูปวาดอื่นๆ ของเขาเย็นนี้แวะไปที่ห้องด้วยกันไหม? “แค่ดูรูปเท่านั้น แต่ถ้าคุณไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไรครับ” ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าทำไมถึงได้พูดประโยคเหล่านี้ออกไป เว้นมาดามเรอนัวร์ซึ่งเป็นเจ้าของแกลเลอรี่ไว้คนหนึ่งแล้ว โฮคุโตะก็ไม่เคยให้ใครเข้าไปยังห้องเช่าคับแคบที่เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในนั้นเพื่อวาดรูปอีก เธอตอบตกลงด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นอย่างเร็วรี่ “ฉันสะดวกค่ะ!” พร้อมกับรอยยิ้มกว้างอย่างยินดีที่สุด

    ในห้องเช่าของเขามีกองภาพเขียนผลงานที่แล้วเสร็จอยู่กว่าราวๆ ยี่สิบภาพ ทุกภาพล้วนมีองค์ประกอบของสายน้ำและเสาโคมไฟถนนส่องสะท้อน ไม่ผิดเลย รูปแบบการรังสรรค์ผลงานของเขาใกล้เคียงกับลีโอนิด อาฟรีมอฟจริงๆ แต่มีบางส่วนที่โดดเด่นขึ้นมา และเมริผู้ไม่เคยคลุกคลีกับศิลปะก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเป็นคำพูดยากๆ ให้เข้าใจได้อย่างไร แต่งานเขียนของเขามีลักษณะเฉพาะที่ดึงดูดความสนใจของเธอจนยากที่จะละสายตา...ไม่ว่าจะภาพไหนๆ

    เขาเองก็เช่นกัน

    หลังจากวันนั้น หญิงสาวก็ยังคงแวะเวียนมาที่แกลเลอรี่ในเวลาเดิมทุกวันไม่ได้ขาด เว้นก็แต่วันพุธและพฤหัสบดีที่แกลเลอรี่ปิดทำการ ชีวิตความเป็นอยู่ของเธอยังคงเป็นความลับ และโฮคุโตะก็ไม่ได้ใส่ใจใคร่อยากรู้ถึงขนาดนั้น ถ้าไม่บังเอิญว่าเขาจะได้มองเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของเธอที่ริมแม่น้ำช่วงกลางดึกคืนหนึ่งซึ่งเวลาล่วงเลยผ่านวันใหม่ไปแล้ว สายตาของเธอทอดมองผืนน้ำที่ต้องสะท้อนแสงไฟวิบวับสว่างไสว หากภายในนั้นช่างแสนกลวงเปล่า เหมือนอุณหภูมิยะเยือกเย็นที่คลุมครอบบรรยากาศ เขาไม่ได้เอ่ยปากทัก แค่เพียงนั่งเงียบๆ อยู่บนม้านั่งข้างหลังเธออยู่ครู่ใหญ่ๆ แล้วจึงกลับ

    คืนนั้นทั้งคืน เขาใช้เวลาวาดภาพภาพใหม่ขึ้นมาจนเสร็จ วันถัดมาเป็นวันพฤหัสบดีที่แกลเลอรี่ยังคงหยุด เขาจึงนอนสลบไสลอยู่บนพื้นเย็นๆ เพราะความเหนื่อยล้าเช่นนั้นจนถึงบ่าย นานเท่าไหร่แล้วนะที่แม่กับน้องสาวไม่ได้เข้ามาปรากฏตัวในความฝันของเขาพร้อมกับรอยยิ้ม ทั้งสามคนใช้เวลาร่วมกัน และพวกเขาก็ภาวนาให้โฮคุโตะมีความสุข

     

    ถึงจะไม่ได้ลงน้ำหนักไปที่ปลายส้นเท้ามากนัก กระนั้นก็ยังได้ยินเสียงส้นรองเท้าของเธอสะท้อนก้องไปทั่วแกลเลอรี่โล่งๆ ขณะนี้ นั่นเรียกเงาร่างของเขาให้พ้นโผล่ออกจากมุมทางเดิน ส่งสีหน้าขอโทษขอโพยให้แก่หญิงคนรักและคำพูด

    “วันนี้มีนิตยสารมาสัมภาษณ์ มาดามเรอนัวร์ก็ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ เมริจะกลับไปก่อนก็ได้นะ” ที่จะทำให้เค้าหน้าสดใสถึงก่อนหน้านั้นของเธอหงอยเหงาลงไป ไม่ใช่ความโกรธหรือน้อยใจ แต่เป็นความเสียดายที่ส่งผ่านไปในน้ำเสียง “งั้นก็ไม่ได้กินกาแฟนี่แล้วสิ” จนโฮคุโตะต้องรีบมลายความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นโดยฉวยคว้าแก้วกาแฟพลาสติกของร้านคอฟฟี่ช็อปเจ้าประจำในละแวกใกล้เคียงไป ส่วนมืออีกข้างที่ยังว่างก็เอื้อมไปดึงแก้มใสให้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แล้วก้มหน้ากดประทับริมฝีปากลงไปกับส่วนเดียวกันอย่างเนิ่นนาน ที่เมื่อเขายินยอมผละออกในที่สุด ก็จะได้มองเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะสดใสเฉกเช่นเดียวกัน

    ผ่านมาตั้งกว่าหนึ่งปีได้แล้ว และในที่สุด...พวกเขาทั้งสองก็ได้พานพบกับความสุขเสียที

    ทั้งโฮคุโตะและเมริต่างก็ภาวนา












    2022年10月14日
    _______________
     ได้ฤกษ์เอามารีรันเพราะคืนนี้สโตนส์จะปล่อยเอ็มวีฟุตาริประกอบละครของไทกะที่รับบท(หัวใจฉันแอบรัก)เซนเซ แล้วกูก็ไปย้อนดูเอ็มวีเก่าๆ จากนั้นก็คิดถึงสโตรขึ้นมา ยังไงกูก็ยังรักไทกะมากๆๆ โฮคุโตะก็หล่อๆๆ แต่บางคนก็เป็นได้แค่คนของใจ U_U แต่ก็ทำให้กูต้องไปคุ้ยฟิคสโตนส์มาลงคั่นเดือนฮาโลวีนหน่อยจ้า ก็ยังจะยืนยันว่าสโตนส์เป็นวงที่เปิงกับความฝรั่งสุดแล้วแบบไม่ต้องฝืน ขนาดเพลงที่ร้องญี่ปุ่นยังให้ฟีลฝรั่งได้ กัมเทป โรสี้ เอฟเวอลาสติ้ง อะไร ใดๆ เบ้าหน้าก็ได้ ไม่รับความเห็นต่าง อย่าว่าโง้นงี้นะ พูดถึงสโตรกูจะนึกถึงนิวหยอกมากกว่าเวกัสอีก หรือแค่เพราะร้องโรสี้ที่ประกอบสไปดี้นี่แหละ กูไค่หัว 55555 และเพราะฟิคนี้ตอนที่แต่งมันคือความฝรั่งผสมเกาหลี ที่เอามาลงญี่ปุ่นแล้วก็แปร่งๆ แปลกๆ นิดหน่อย เนี่ยในหัวกูยังนึกภาพเป็นโซลอยู่เลย 55555
     มึงคงจำได้ว่ามันเคยเป็นฟิค HALO มาก่อน เคยมีทั้งหมดหกพาร์ท แต่อ่านกี่รอบก็ชั่งใจว่าจะเอาพาร์ทที่เหลือมาแปลงดีไหม เพราะมีจุดที่ชอบ...แต่ไม่ชอบมากกว่า ขอเวลากลับไปคิดก่อน ที่จริงก็แอบลังเลว่าจะสลับบทเจสซี่ไทกะดีไหม แต่บทไหนก็เหมาะกับทั้งคู่ เลยขอยกบทที่ชอบมากกว่าให้ไทกะ เพราะยังไงเจสซี่ก็ร้องเพลงเพราะ เล่นกีตาร์เป็น และบทนิสัยไม่ดีจะมีใครป็นเหยื่ออารมณ์ให้เราได้อีกถ้าไม่ใช่พี่เค้าคะ ส่วนโฮคุโตะนั้นคงเดิมตั้งแต่คิดว่าจะแปลงครั้งแรกสุดแล้วจ้า เพราะมันจะมีแมกที่โฮคุโตะได้ไปถ่ายในพวกแกลเลอรี่ไรงี้แล้วชอบมากๆ สแตนลีย์ คูบริคไหมคะพี่สาว
      พล็อตต้นฉบับมีทั้งหมดหกคู่วนๆ กันหมด กูก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่ะ
    - แฟนเก่าเจสซี่คือนางเอกหก แต่จบกันด้วยไม่ดีใช้กำลังเลยที่ไม่ใช่คำเปรียบเปรย มินะอยากได้ทั้งเพลงและผู้ชายเลยแย่งมา ส่วนเจสซี่ก็อยากเด่นอยากดังเลยทิ้งแฟนเก่าไป แต่สุดท้ายก็จะได้กลับมาเจอกันสักทาง ด่ากันยับๆ และสุดท้ายเจสซี่ก็จะแสดงสันดานเดิมๆ กับมินะตอนที่ดังแล้ว
    - เมริมีครอบครัวบัดซบเฮงซวย เพราะถูกทำร้ายเลยหนีออกจากบ้านมา ระหกระเหินมาเจอโฮคุโตะจนได้รักกัน พล็อตในแกลเลอรี่ได้มาจากเรื่องแท็กซี่ของมูราคามิที่กูก็ไม่ได้ชอบมาก แต่ตอนนั้นมันคงเป็นเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจมากมั้ง คิดว่านะ ส่วนงานอาฟรีมอฟกูไปเจอมาจากไหนก็จำไม่ได้แล้ว นานจัด แต่ก็หาเอง ชอบเอง ดังไม่ดังกูก็ชอบของกูเอง
    - ส่วนอายาเนะกับไทกะน่าจะได้มาร่วมงานเดินแบบอะไรสักอย่างที่แกลเลอรี่นี้ แล้วก็เจอโฮคุโตะกับเมริ ไทกะก็คงชอบเมริ แต่แล้วยังไงต่อไม่รู้ ไม่ได้คิด แต่เหมือนว่าตอนนั้นบทเมริน่าจะได้ลงเอยกับไทกะแน่นอน เพราะตอนนั้นกูเมนโออุนไหมร่ะ
     ว่าไปแล้วเมื่อก่อนกูก็บ้ามูราคามิจริง อิทธิพลของนิยายอินดี้ไม่ก็ไนท์ไลฟ์ แจ๊ซ ตั่งต่างในยุคนั้นล้วนมาจากนิยายของเฮียมูมากมาย ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้ติดตามอะไรมากแล้ว (หันมาอ่านไทยๆ ของคุรจินตวีร์แทนฮร่ะ) และกลับไปแต่งแนวนี้ไม่ได้แล้ว แต่ก็ประทับใจกับผลงานของตัวเองในยุคนั้นมาก ทั้งภาษาที่ดีกว่าตอนนี้มาก หรือบรรยากาศที่ก็ออกมาฝรั่ง(เกาหลี)จังวะ ละสมัยนั้นกูแต่งฟิคได้โคตรเยอะเลยเนาะ เรื่องยาวสิบๆ ตอนก็แต่งมาแล้วเป็นวรรคเป็นเวร ตอนแต่งฟิคเกมกูก็เคยแต่งตอนเดียวหกเจ็ดพันคำ ทำได้ยังไง ตัดภาพมาตอนนี้ ห้าร้อยคำยังยากจังเห้อ U_U / และฟิควันเกิดไทเซย์มาแน่ พูดกันตรงนี้แบบไม่มีอะไรให้เสียว่าซ้อมมือกับความ bless เพราะอันอันและไฟน์บอยส์ค่ะ เตรียมด่ากูได้แต่ไม่รับความเห็นต่าง
    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×