ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #198 : Sweet Dreams Are Made Of Hell

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ย. 67


    Sweet Dreams Are Made Of Hell
    Playlist: milet – My Dreams Are Made of Hell / Eurythmics – Sweet Dreams (Are Made of This) / The Everly Brothers  All I Have To Do Is Dream

    * เพราะกูรักฟิคนี้มากประมาณหนึ่ง เลยต้องเปลี่ยนบทคนที่ออกไปแล้ว (ก็ไปเลย) ให้คนดีๆ
    ขอบคุณไทโชที่มารับช่วงต่อได้อย่างเหมาะสม ดีงาม so good ไอเริ้บยู (แบบจี๊ฟแพทริค) *










    .

    อาจถึงเวลาที่เธอต้องเลิกรากับเขาสักที เอรุ ลูอิสคิดแบบนั้น หลังกลับจากการไปเยี่ยมแม่กับพ่อเลี้ยงที่ต่างประเทศตลอดช่วงปิดเทอมฤดูร้อนที่ผ่านมา ได้เริงร่ากับชีวิตที่เต็มไปด้วยอิสระเสรีเหมือนนกน้อยได้โผบินออกไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ถึงนิวอัมเบรลล่าที่เธอตัดสินใจเลือกย้ายมาปักหลักอาศัยอยู่กับพ่อได้หนึ่งปีแล้วจะไม่ได้เป็นกรงขังที่ลิดรอนเสรีภาพแต่ประการใด หากทว่าในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ คนรักเจ็ดเดือนที่ชื่อทากาฮาชิ ไคโตะจะกำลังทำให้เอรุรู้สึกแบบนั้น

    ครั้งหนึ่ง เอรุเคยชอบรอยยิ้มสดใสเหมือนพระอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา อาจทะลุลงไปถึงกลางใจของเธอ ทั้งจังหวะคำพูด การเลือกสรรคำจา หรือเสียงหัวเราะของเขาก็เป็นสิ่งที่เอรุรับฟังได้ไม่รู้เบื่อ แต่สุดท้าย ความโอนอ่อนเหล่านั้นก็ทำให้เอรุผู้ชอบเสาะแสวงหาสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลารู้สึกเบื่อหน่าย

    เธอจะไม่ปฏิเสธว่าเป็นเพราะการเข้ามาของชายที่ชื่ออิวาซากิ ไทโช เขาไม่ใช่แค่หนึ่งในลูกน้องนักวิทยาศาสตร์ของพ่อ แต่ยังเป็นมือขวาคนสนิทเพราะระดับมันสมองที่เป็นรองก็แค่ลูอิสคนพ่อ คนที่ปากคอเราะร้ายมากจนเอรุแทบทนไม่ได้เลยในช่วงแรกๆ ที่มักจะแวะไปกินมื้อเที่ยงกับพ่อที่ทำงานในวันหยุด ครั้นผ่านไปนานวันเข้า การได้เจอใบหน้าอันหล่อเหลา รับฟังคำเชือดเฉือนของเขาก็กลายเป็นสิ่งที่เอรุตั้งตารอมากกว่าแค่สุดสัปดาห์ น้ำเสียงเนิบนาบของไคโตะกลายเป็นอะไรที่แสลงหู คำว่ารักซ้ำๆ ซากๆ ที่ได้ยินจนชินชากลายเป็นอะไรที่น่ารำคาญใจ จุมพิตที่เคยหวานล้ำกลายเป็นแค่ความจืดชืด ไม่มีอะไรของไคโตะที่ดึงดูดใจเธอได้อีก อาจเว้นก็แต่ความน่าสมเพชของเขาและความขี้ขลาดของเธอ ที่ทำให้เอรุยังคงฝืนทนอยู่ในกรงทองที่หาได้มีกุญแจหรือโซ่ตรวนมากักขัง

    หรืออาจเพราะไคโตะคือลูกชายคนโตของผู้ก่อตั้งนิวอัมเบรลล่าแห่งนี้ เพราะอย่างนั้นก็ย่อมแน่นอนที่เขาจะมีอิทธิพลมากที่สุดในโรงเรียน...และในเมือง ถึงก็ใช่ว่าคนรักสงบอย่างเขาจะเอามันไปทำอะไร ไม่เหมือนกับน้องชายอายุอ่อนกว่าหนึ่งปีที่ชื่อทากาฮาชิ เคียวเฮ คนที่เอรุจะใช้คำว่ากร่างไปทั่ว ไม่ต่างจากเมรุ ลูอิส พี่สาวฝาแฝดของเธอที่เคยมีปัญหาเรื่องการควบคุมความโกรธ และการบำบัดนานกว่าสามปีที่ดูเหมือนว่าจะได้ผลก็อาจเป็นแค่การระงับอาการเอาไว้ เมื่อเคียวเฮเอาคลิปสมัยอยู่ที่โรงเรียนเก่ามาล้อเลียนแล้วหัวเราะเยาะใส่หล่อนในโรงอาหาร ความหมั่นไส้ของเขาอาจเริ่มต้นขึ้นจากตอนที่เมรุเบียดชนไหล่เขาที่ยืนเกะกะขวางตู้กดน้ำกับกลุ่มเพื่อนๆ โดยไม่แยแส ทำหูทวนลมต่อถ้อยคำหยาบคายต่างๆ นานา แต่ไม่ใช่กับวันนี้ที่ความอดทนซึ่งหล่อนอุตส่าห์พยายามกักเก็บไว้ตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อจะระเบิดออก ไม่ต่างจากภูเขาไฟที่รอวันปะทุ ผลลัพธ์ก็คือเลือดที่เปรอะไปทั่วพื้นโรงอาหารและชุดนักเรียนสีขาวสะอาด ต่างได้รับบาดแผลมากบ้าง น้อยบ้าง กระนั้นก็เรียกได้ว่ายับเยินกันทั้งสองฝ่าย แต่พอออกจากโรงพยาบาลมา กลับมีแต่เมรุที่ถูกพักการเรียนแค่เพียงฝ่ายเดียวนานถึงหนึ่งเดือน ซึ่งหล่อนถือว่าเป็นกำไร แม้จะมาพร้อมกับคำบ่นว่าอยู่บ้าง แต่ขนาดพ่อที่ค่อนข้างเฮี้ยบก็ยังไม่กล้าจี้จุดลูกสาวคนโตมากเกินไปนักเลย

    ถึงสถานการณ์ความบาดหมางจะยุติลงอย่างง่ายดาย ด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างแสดงท่าทีมึนตึงต่อกันเหมือนเป็นอากาศธาตุ แต่สำหรับเมรุแล้ว นั่นหมายรวมถึงคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยอย่างพี่ชายของเขาด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่า “พี่น้องที่รักกันดีทั้งที่รู้ว่าน้องตัวเองนิสัยเสียขนาดนั้นเนี่ยนะ” ที่จะทำให้เอรุขุ่นเคืองแทนคนรักเสียจนสวนย้อนกลับไปว่า “ฉันก็รักเธอดีทั้งที่รู้ว่าพี่ตัวเองนิสัยเสียขนาดนั้นเหมือนกันนั่นแหละ” สร้างความร้าวฉานระหว่างพี่น้องนับตั้งแต่นั้น

    ในใจลึกๆ ของเอรุอาจพูดว่า เลิก ทว่าความเอาแต่ใจของเธอก็ไม่เคยกล้าเดินทางไปไหนไกลเกินกว่าสมาชิกในครอบครัว เอรุไม่มีเพื่อนสนิทคนไหนในนิวอัมเบรลล่าอีกนอกจากเมรุ เมื่อไหร่ที่เธอเลิกรากับไคโตะ เมื่อนั้นเธอก็จะได้สัมผัสกับคำว่าหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะมองในแง่มุมไหน การบอกเลิกกับลูกชายผู้ก่อตั้งเมืองอันเป็นที่รักก็ไม่ได้ช่วยทำให้เธอมีเพื่อนขึ้นมาได้อยู่ดี เอรุไม่ได้มีเกราะป้องกันตัวทั้งภายในและภายนอกเหมือนอย่างเมรุ เธอหมายความถึงเฝือกที่แขนซึ่งยังเป็นหลักฐานทนโท่ชิ้นดี

    เอรุมีทางเลือกอยู่สองทางคืออดทนอยู่กับไคโตะไปจนจบการศึกษาในอีกหนึ่งปี หรือไม่ก็ยอมเสียหน้ากลับไปขอโทษแล้วคืนดีกับเมรุ แต่อย่างน้อยๆ เธอก็ไม่จำเป็นต้องฝืนทนอยู่กับคนที่ไม่ช้า ความรู้สึกเหนื่อยหน่ายอาจกลายเป็นความเดียดฉันท์

    ถ้าไม่ใช่เพราะเธอจะได้ไปเห็นภาพที่ทิ่มแทงมากพอให้เอรุเรียกหล่อนว่าคนทรยศก็ย่อมได้ แม้ว่าเธอจะมีสิทธิ์พูดแบบนั้นได้ด้วยหรือ ในเมื่อเธอไม่เคยบอก และเมรุที่ไม่เคยใส่ใจเรื่องราวของใครถ้าเจ้าตัวไม่เล่าก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่าน้องสาวที่เหินห่างมีใจให้ผู้ชายคนอื่นนอกเหนือจากคนรักของตัวเอง ซ้ำร้ายยังเป็นคนที่เธอเคยก่นด่าให้ฟังอีกต่างหาก และการที่หล่อนจะไปสนิทสนมกับลูกน้องของพ่อในช่วงที่เธอไม่อยู่ตั้งหลายเดือนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เมื่อพักหลังมานี้ หล่อนที่ดูหมกมุ่นกับเรื่องวิทยาศาสตร์บางอย่างที่เธอไม่เข้าใจจะเทียวเข้าเทียวออกแล็บที่ทำงานของพ่อหลังเลิกเรียนและทุกสุดสัปดาห์ อาจเพื่อขอความเห็นหรือยืมใช้สถานที่กับอุปกรณ์เพื่อการทดลอง แน่นอนว่าหล่อนคงไม่ยี่หระกับคำดูถูกดูแคลนที่ไทโชจะสาดมันใส่หน้าเพราะมันสมองที่ไม่มีทางเทียบเท่า และเด็กสาวที่มีปัญหาอยู่แล้วก็ย่อมต้องสรรหาคำมายอกย้อนใส่ได้โดยไม่มีใครยอมใคร ไหนจะฐานะลูกสาวของดร.เจสซี่ ลูอิส กำลังสำคัญของบริษัทเทคโนโลยีเพียงหนึ่งเดียวที่ยังไม่มีใครบนโลกนี้สามารถมาแทนที่เขาได้ เพราะฉะนั้นการขอร้อง...บังคับ...ลูกน้องของพ่อให้ช่วยเหลือในสิ่งที่ต้องการก็ไม่ใช่เรื่องยาก แม้เอรุจะไม่รู้ว่าเมรุขอให้ไทโชช่วยเรื่องการทดลองอะไร หากมีเรื่องหนึ่งที่เอรุรู้แน่คือฝาแฝดไข่คนละใบที่แตกต่างจากเธอแทบทุกอย่าง บัดนี้จะมีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันเป็นครั้งแรกในชีวิต

    และผู้ชนะก็คือเมรุมาโดยตลอด

     

    “เป็นอะไรหรือเปล่าเอรุ?”

    ความอดทนของเอรุมาถึงจุดสิ้นสุดกับน้ำเสียงและท่าทีที่แสดงว่าเป็นห่วงเป็นใยของไคโตะ ขนาดโทร.เรียกไปตอนค่ำมืดดึกดื่นเขาก็ยังออกมาหาง่ายๆ โดยไม่ถามหาเหตุผลอะไรเลยสักอย่าง ทีแรกเอรุก็แค่คิดว่าอยากได้คนช่วยปลอบใจ จูบเธอให้มากกว่าที่สองคนนั้นทำ สัมผัสเธอให้มากกว่าที่จินตนาการต่อสองคนนั้นจะโลดแล่นไปถึง แต่ทุกอย่างของไคโตะในสายตาของเอรุช่างดูน่าสมเพช ทั้งที่เขามีทุกอย่างเหนือกว่าเธอ แล้วทำไมถึงได้ทำตัวเหมือนคนสิ้นไร้ขนาดนั้น เพราะเธอเป็นคนน่าเบื่อเหรอเขาถึงได้แสดงออกด้วยความน่าเบื่อกลับมา บางทีถ้าเธอทำตัวเหมือนกับพี่สาวบ้าง เขาอาจจะทำตัวเหมือนกับน้องชายบ้างอย่างนั้นหรือเปล่า

    แต่เธอก็ไม่ได้ต้องการทากาฮาชิ ไคโตะหรือว่าทากาฮาชิ เคียวเฮ เหมือนอย่างที่ต้องการอิวาซากิ ไทโขอยู่ดี

    แค่คิดถึงคำพูดไม่น่าฟังที่เขาจะคอยพ่นใส่ ริมฝีปากที่จะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหยียดหยัน ทว่าเขากลับใช้มันหยุดความยโสของเมรุเคล้าไปกับเสียงหัวเราะด้วยความพึงพอใจ ขณะที่เบื้องหน้าของเอรุในยามนี้ไม่มีอะไรที่จะเรียกได้ว่าน่าพึงพอใจเลยแม้แต่อย่างเดียว

    “เป็นสิ! เป็นแน่! เพราะฉันเบื่อนายเต็มทีแล้วไคโตะ!”

    “เอรุ ฉันไม่เข้าใจ...”

    “อย่างนายจะไปเข้าใจอะไร! เพราะนายแทบไม่เคยใช้สมองของตัวเองเลย นอกจากเออออตามฉันทุกอย่าง!

    และการที่เขาเข้ามากอดเธอไว้ อ้อนวอนขอโอกาสครั้งที่สอง พร่ำคำขอโทษทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดก็ช่างน่าเวทนา เอรุขืนตัวเองออกจากอ้อมกอดที่รัดแน่นนั้นไว้แล้วหันไปผลักเขาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี การได้เห็นจมูกและดวงตาที่ขึ้นสีแดงก่ำของไคโตะก็จะยิ่งทำให้เอรุรู้สึกแย่ เหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี ทั้งที่เขาต่างหากที่บีบให้เธอเป็นอย่างนี้

    “เธอมีคนอื่นเหรอเอรุ?” กระทั่งไคโตะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วผินที่พยายามบังคับไม่ให้สั่น และเอรุที่หงุดหงิดเต็มทีก็เริ่มต้นแผดตะโกนถึงเรื่องทั้งหมดนั้นจะไม่เป็นความจริงว่า “ใช่! ฉันมีคนอื่นแล้ว! เขาอาจไม่ได้รวยล้นฟ้า เป็นลูกชายผู้ก่อตั้งเมืองใหม่เหมือนกับนาย แต่เขาก็ไม่ได้น่าเบื่อ น่ารำคาญ และน่าสมเพชเหมือนกับนาย ไคโตะ!”

    พลันนั้นเอง ใบหน้าที่เคยแสดงความอ่อนแอของไคโตะถึงก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนไปเป็นเย็นชา เอรุกำลังจ้องสบกับดวงตาแข็งกร้าวที่มองตรงมาโดยไม่กะพริบ เรียกให้ขนที่หลังคอของเธอลุกชัน

    “ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนความคิดของเธอซะก็หมดเรื่อง”

    เอรุไม่ทันได้ตั้งตัวเลยด้วยซ้ำในตอนที่เขาก้าวย่างตรงมาหา ใช้มือทั้งสองข้างจับไหล่เธอแล้วผลักตกลงจากขอบระเบียงของโรงแรมสองชั้น มันไม่ได้สูงมากขนาดที่จะทำให้เธอร่วงลงมาตาย แต่ความเจ็บปวดจากแรงกระแทกบนพื้นคอนกรีตแข็งจนกระดูกแตกละเอียด ร่างกายพังพาบบิดเบี้ยว กระดิกกระเดี้ยไปไหนไม่ได้ก็เกินทานทน แต่ก่อนที่สติสัมปชัญญะของเธอจะดับวูบลงไป ภาพเบื้องหน้าผ่านม่านน้ำตาอันมัวพร่าก็คือไคโตะที่โน้มตัวลงมาหา ด้วยสัมผัสของฝ่ามือที่อบอุ่น ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนเหมือนอย่างที่เขาเป็นมาตลอด หากทว่า ณ วินาทีนี้ เอรุได้รู้ซึ้งเข้าไปถึงแก่นแท้แล้วว่าฉากหน้าของความเป็นมนุษย์ ภายใต้นั้นก็คือปีศาจที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าน้องชายของตัวเอง

    “ฝันดีนะเอรุ”

    และเธอเองที่เป็นคนปลดปล่อยมัน

     

     

    “ไม่คิดว่ามันเจ๋งเหรอที่เราสามารถสร้างความฝัน ควบคุมความฝัน แล้วแบ่งปันมันร่วมกับคนอื่น”

    “แนวคิดของเธอไม่ใช่ของใหม่สักหน่อย ทำไม? เพิ่งดูปาปริก้าไม่ก็อินเซปชั่นจบมาแล้วเกิดร้อนวิชาขึ้นมาหรือไง?ไทโชโต้กลับไปกลั้วเสียงหัวเราะประชดประชัน เรียกสายตาขุ่นเคืองจากเมรุเช่นเดียวกับน้ำเสียงเมื่อเอ่ยต่อไปว่า “ฉันก็ไม่ได้บอกว่าของใหม่สักคำ แต่ยอมรับก็ได้ว่าฉันเพิ่งอ่านนิยายเรื่องปาปริก้าที่คุ้ยเจอในห้องทำงานของพ่อมา ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครเคยสร้างอุปกรณ์ควบคุมความฝันแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่เหรอ? แล้วถ้าเกิดว่าเราทำได้ล่ะ? ด้วยเทคโนโลยีของแล็บนี้กับมันสมองของนาย...”

    “เวลาฉันเป็นเงินเป็นทองนะ” เขาไม่รอให้เธอพูดจนจบประโยคเมื่อแทรกทะลุขึ้นกลางปล้อง “เธอต้องให้มากกว่าแค่คำชมน่าเบื่อพวกนั้นถ้าอยากให้ฉันช่วย”

    ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อยในตอนที่เด็กสาวจะผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานไปหาชายคนที่นั่งอยู่ตรงขอบโต๊ะอีกฟากฝั่งหนึ่ง ทั้งอย่างนั้นเขาก็ยังสูงกว่าเธอมากจนต้องแหงนเงยมอง ยิ่งในระยะประชิดที่พยายามเบียดแทรกเข้าไปอย่างจงใจอยู่ดี

    “ไม่ใช่ว่านายควรทำให้สำเร็จก่อนหรอกเหรอ?”

    “ไม่ใช่ว่าเธอควรให้หลักประกันก่อนหรอกเหรอ?” ไทโชสวนย้อนกลับไปด้วยประโยคเดียวกัน “และเธอควรต้องทำให้ดีด้วย เพราะมันสมองของฉันไม่ได้ให้ใครหยิบยืมง่ายๆ”

    “อวดดีจัง ทั้งที่เป็นแค่ลูกน้องของพ่อฉันแท้ๆ” เธอวางมือข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกลงไปบนท่อนขาของเขา กดแรงลงไปเพื่อสื่อถึงเจตนา และไทโชก็ไม่คิดว่าเขาควรต้องเล่นเกมลับฝีปากกับเธออีกต่อไป เมื่อบดทาบมันลงไปด้วยความรุนแรง ไม่ต่างจากมือที่โอบรั้งแผ่นหลังของเธอเข้ามาให้แนบแน่นจนแทบกลายเป็นความดุเดือด

    ขณะที่เมรุกำลังจะได้ขึ้นสวรรค์กับผู้ชายคนนี้ เธอก็กำลังฝันถึงนรกที่จะได้ฉุดผู้ชายอีกคนลงไป

    เพราะเวรย่อมระงับด้วยการจองเวร และทากาฮาชิ เคียวเฮก็สมควรต้องถูกลงทัณฑ์ในความชั่วช้าของตัวเอง

     

     

    ไม่มีความยินดียินร้ายใดๆ ปรากฏผ่านใบหน้าเฉยเมยอันเป็นปกติของเมรุที่กำลังยืนกอดอกมองดูน้องสาวของตัวเองผ่านกรอบกระจกบานใหญ่นอกห้องพักฟื้น หลังได้รับสายจากโรงพยาบาล พ่อก็รีบมาเคาะประตูห้องปลุกเธอที่เพิ่งจะนอนหลับสนิทได้ไม่เท่าไหร่ให้ไปด้วยกัน พอมาถึงก็เจอกับไคโตะที่หน้าแดงตาแดง บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าขาดหาย ขนาดพ่อของเธอยังต้องเป็นฝ่ายบีบไหล่ปลอบโยนเด็กหนุ่มที่เป็นคนนอกครอบครัวลูอิสเสียเอง แว่บหนึ่งที่เมรุคิดว่าสภาพของไคโตะช่างดูน่าเวทนา ยิ่งกว่าเหตุการณ์ที่เขาเล่าว่าเอรุพลัดตกตึกในตอนที่มีปากเสียงกันอย่างรุนแรงมากเสียอีก ครั้นหมอออกมาแจ้งว่าอาการของเอรุพ้นขีดอันตรายแล้ว พ่อก็ปลีกตัวไปโทรศัพท์หาแม่ที่คงจะร้อนใจมากจนรีบจับเที่ยวบินไฟลท์แรกสุดมาที่นี่โดยไม่ต้องสงสัย บางทีหล่อนอาจจะตั้งแง่กับไคโตะเมื่อคิดว่าเขาเป็นต้นเหตุให้ลูกรักต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยก็ได้ ตรงกันข้ามกับลูกชังอย่างเธอ ขนาดถูกทำร้ายจนแขนหักก็ยังถูกดุใส่ว่าเพราะไปหาเรื่องคนอื่นก่อนเหมือนอย่างที่เป็นมาตลอด ไม่มีการถามไถ่ใยดี ซ้ำยังบอกให้พ่อพาเธอกลับไปเข้าบำบัดอีกครั้ง ทำอย่างกับรู้ดีนักหนา

    ไม่เหมือนกับคำพูดของไคโตะที่ทะลุผ่านความคิดอันน่าหงุดหงิดเข้ามาว่า “ฉันรู้เรื่องการทดลองของเธอ” เรียกความประหลาดใจ หากไร้ซึ่งความตระหนกตกใจให้กับเมรุ

    เมื่อหันขวับไปมอง ไคโตะที่สลัดใบหน้าเปื้อนน้ำตาจนหมดจดแล้วก็ส่งรอยยิ้มที่แฝงความนัยมาให้

    “นายเป็นคนผลักเอรุ” ด้วยประโยคบอกเล่าไม่ใช่คำถาม ผ่านความนัยที่เมรุเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน “นายรักเอรุมากขนาดนั้นเลยเหรอ ไคโตะ?”

    “แล้วเธอล่ะเกลียดเคียวเฮมากขนาดนั้นเลยเหรอ เมรุ?” ไคโตะสวนย้อนด้วยคำถามเดียวกัน “ความรักและความเกลียดที่รุนแรงแทบไม่ได้ต่างอะไรกันเลย คิดงั้นไหม?”

    เมรุไม่ได้สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวฝาแฝด...ในความฝัน...ที่ไคโตะจะได้เป็นผู้กำหนดแล้วควบคุมมัน เธอไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำว่าทำไมเอรุถึงมาอยู่ในจุดที่ต้องนอนโคม่าแบบนี้ ที่แน่ๆ คือมันไม่ใช่แค่การพลัดตกลงไปอย่างที่เขาว่า หล่อนอาจพลั้งปากพูดจาไม่ถูกหูขนาดทำให้คนใจดีอย่างไคโตะเหลืออดได้ หรือไม่ก็อาจเป็นเขาเองต่างหากที่มีเบื้องหลังดำมืดซุกซ่อนอยู่

    แต่จะอะไรก็ช่าง เมื่อสิ่งเดียวที่เมรุเฝ้าฝันมาตลอดกำลังจะกลายเป็นความจริง แถมอย่างง่ายดายเอามากเสียด้วย

    “นายเป็นพี่ชายที่แย่มากนะไคโตะ”

    เมรุพูดไปกลั้วเสียงหัวเราะที่ฟังดูประชดประชันไป

    “แต่ฉันดีใจที่เธอเป็นพี่สาวที่แย่นะเมรุ”

    ขณะที่ไคโตะก็ยิ้มให้เธอ

    บางที ความรักของเขากับความเกลียดของเธอ ก็อาจเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันที่สุดแล้ว


     

    “ทุกอย่างง่ายดายสำหรับเธอดีเหลือเกินนะเมรุ”

    “กองความอิจฉาของนายไว้ตรงนั้นแหละไทโช” เมรุที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาโดยไม่เปิดดวงไฟติดผนังในห้อง นอกจากโคมไฟสีส้มนวลตัวเดียวที่ส่องให้เห็นเพียงเงาวูบวาบยามขยับเคลื่อนไหว หันไปค่อนแขวะใส่คนที่เพิ่งจะเปิดประตูกลับเข้ามายังห้องในอพาร์ตเมนต์บนชั้นห้าที่เขาเช่าไว้อยู่เองด้วยเหตุผลของความสะดวกสบาย ใกล้กับที่ทำงาน รวมไปถึงความคิดที่ว่าเขาไม่ได้อยากจะปักหลักอยู่ที่นิวอัมเบรลล่าไปตลอดทั้งชีวิต ถึงไทโชแน่ใจว่าพักหลังมานี้ ลูอิสคนพ่อจะอยากให้เขาอยู่เป็นผู้ช่วยแบบนี้ตลอดไป เพราะมีเพียงแค่เขาคนเดียวในบริษัทที่สามารถตามทันการทดลองยากๆ บ้างบางครั้งก็นำหน้าไปก่อนได้ ในเมื่อมันสมองของเขาคือสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ย่อมต้องการแม้แต่กับลูอิส...คนลูก หากสิ่งหนึ่งที่ผิดไปจากกันคือเมรุไม่ได้คาดหวังอยากให้เขาอยู่ด้วยกันไปตลอด เพราะไทโชรู้ดีว่าคุณค่าที่เขามีต่อเธอได้หมดลงไปแล้ว หลังจากที่ช่วยผลิตเครื่องควบคุมความฝันให้จนสำเร็จ

    เครื่องที่เลียนแบบรูปทรงบลูทูธไร้สายซึ่งจะทำการเชื่อมต่อเซลล์ประสาทของผู้ใช้งานที่ปรับคลื่นจูนตรงกัน และเป้าหมายของเมรุก็มีเพียงบุคคลเดียว — คนที่กำลังเสียบเครื่องนี้เข้ากับรูหูของตัวเองอยู่ที่ห้องผู้ป่วยวีไอพีด้วยความช่วยเหลือจากพี่ชายของเขา ซึ่งบัดนี้คงจะกำลังดูแลน้องสาวของเธอเป็นการแลกเปลี่ยน

    ทั้งที่ไทโชก็รู้ตื้นลึกหนาบางทุกอย่างเมื่อเมรุขอให้เขาทำมันอีกหนึ่งชุดเพื่อสองคนนั้น แต่ก็อดยั้งปากไว้ไม่อยู่

    “คราวนี้เอาตัวเข้าแลกกับพี่ชายเขาด้วยหรือไง ไปทำอีท่าไหนเด็กนั่นถึงยอมทำเรื่องบ้าบอทั้งหมดนี้เพื่อเธอ”

    ให้เมรุได้กรีดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น “ตายแล้วไทโช! นี่นายหึงฉันอยู่หรือเปล่าเนี่ย!”

    “ฉันเคยพูดหรือทำอะไรที่ทำให้เธอหลงตัวเองได้ขนาดนี้กันนะ?”

    ริมฝีปากสีแดงของเธอยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน จากนั้นเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปยังเรื่องที่ทำให้เธอต้องถ่อมาถึงที่นี่ว่า “เอาล่ะ ส่งเครื่องมาได้แล้ว ฉันจะได้เริ่มสักที”

    “บ้านช่องตัวเองก็มี มันหน้าที่ฉันหรือไงที่ต้องมาเฝ้าเธอ”

    “นายจะบ่นอะไรนักหนากับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ฉันก็แค่ไม่อยากให้พ่อรู้” สีหน้าและน้ำเสียงของเธอไม่ปิดบังความรำคาญ ขณะยื่นมือไปรับเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กที่เขาโยนส่งๆ มาให้ จึ๊ปากขัดใจที่เขาไม่ทะนุถนอมของราคาแพง ผ่านการลองผิดลองถูกมามาก กระนั้นก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเอาเสียเลย

    เมรุสั่งปิดการทำงานของภาพยนตร์โทรทัศน์หนวกหูนั้น ก่อนเปลี่ยนไปเล่นเพลงคลาสสิกที่ส่งต่อจากลำโพงซึ่งฝังตัวอยู่ในผนัง เธอไม่รู้หรอกว่ามันคือเพลงอะไร แน่นอนว่าไม่คิดจะถามเพื่อให้เจ้าของห้องปากเสียมาดูถูกเอาด้วย หากมันก็ดูเหมาะเจาะดีกับบรรยากาศในยามนี้ที่เมรุไม่ต้องการความเงียบเชียบมากจนเกินไป ครั้นแล้วก็เปลี่ยนไปล้มตัวลงนอน สอดเครื่องควบคุมความฝันเข้าไปในช่องหูข้างหนึ่ง สำหรับคนนอนหลับยากอย่างเมรุ การใช้ยานอนหลับคือทางเลือกที่ง่ายที่สุดสำหรับประสบการณ์ครั้งแรกนี้ แขนข้างขวาถูกยื่นออกไปให้ไทโชช่วยฉีดยาให้จากขอบโซฟาที่เขานั่งเบียดเข้ามาโดยไม่มีความเกรงอกเกรงใจกันเลยแม้แต่น้อย

    “ที่จริงแล้วนะเมรุ” เขาหันหน้ามาหาเธอในตอนที่แล้วเสร็จ “เธอไม่สมควรได้ควบคุมอะไรทั้งนั้นแหละ”

    แต่เมรุไม่สามารถโต้ตอบอะไรกลับไปได้เลย เพราะยาที่ออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วมากจนพรากเอาเรี่ยวแรงไปหมด แม้แต่แค่การเหวี่ยงแขนขึ้นกลางอากาศ

    “ฉันได้ยินวีรกรรมของทากาฮาชิ เคียวเฮมาเยอะก็จริงนะ แต่ช่วยไม่ได้ที่เด็กนั่นไม่เคยทำอะไรให้ฉันเลย เป็นเด็กอวดดีที่คิดว่าตัวเองจะได้ทุกอย่างที่ต้องการมาง่ายๆ จากนั้นก็ถีบหัวส่งพวกเขาตอนที่หมดประโยชน์แล้วอย่างเธอต่างหากที่ควรจะได้รับบทเรียนซะบ้าง บอกอะไรให้นะ ฉันไม่อยากได้แค่ร่างกายเธอหรอก แต่ฉันอยากได้จิตใจที่บอบช้ำจากการถูกทรมานไม่รู้จบของเธอต่างหาก”

    เมรุพยายามจะเบิกตากว้าง หากก็เป็นแค่ในมโนภาพเท่านั้น

    “ฝันดีนะเมรุ” ด้วยรอยยิ้มที่เป็นแค่การยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นเหมือนอย่างที่เขาทำมาโดยตลอด “ถึงฉันแน่ใจว่าคงจะไม่มีฝันดีในนั้นให้เธอหรอก”

     

    ก่อนที่เธอจะลืมตาขึ้นราวกับการถูกกระชากให้ตื่นจากความฝัน...ในทางกลับกัน

    ภาพที่ปรากฏอยู่ในแววตาเบื้องหน้าขณะนี้คือโถงทางเดินของโรงเรียนเก่าที่ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากความทรงจำเลยแม้แต่น้อย เมรุได้แต่กำหมัดกัดฟันแน่นเมื่อนี่คือข้อยืนยันชั้นดีต่อคำพูดที่เธอไม่เข้าใจในทีแรกของไทโช บัดนี้ทุกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง หากนี่เป็นความฝันที่เธอเป็นผู้ควบคุม ก็ย่อมไม่มีทางที่เธอจะเรียกคืนสถานที่แห่งความทรงจำอันเลวร้ายซึ่งเกลียดชังเสียยิ่งกว่าอะไรมา หาใช่เธอ แต่เป็นเจ้าของมันสมองอันปราดเปรื่องผู้นั้นต่างหากที่ล่อหลอกมาตลอด ด้วยการสับเปลี่ยนเครื่องควบคุมความฝันทั้งสองที่ปรับคลื่นรับ-ส่ง โดยที่เธอไม่ทันได้เอะใจเลยสักนิด

    ก่อนหน้านี้เธอถูกไทโชปั่นหัวในโลกความเป็นจริง และบัดนี้ก็กำลังจะตกเป็นเหยื่อให้กับเคียวเฮในโลกความฝัน...ที่เขาเป็นผู้ควบคุมแต่เพียงผู้เดียว

    “มันโคตรห่วยเลยใช่มะที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน?”

    ทันใดนั้นเอง ลำคอของเธอก็จะถูกท่อนแขนแกร่งล็อกเอาไว้จากทางด้านหลังโดยไม่ให้ทันได้ตั้งตัว เมรุพยายามขืนขัดเพื่อปลดปล่อยตัวเอง ทว่าสิ่งที่เธอทำก็มีเพียงการตะเกียกตะกาย ขณะที่ร่างสูงกว่าจะก้มใบหน้าลงมา เฉกเช่นเดียวกับเรี่ยวแรงที่กดย้ำ เพื่อกระซิบถ้อยคำผ่านน้ำเสียงที่เจือจัดไปด้วยความยินดีอยู่ข้างใบหูของเธอ

    “ไอ้นักวิทย์หน้าโง่นั่นบอกว่าฉันอยากทำอะไรกับเธอก็ได้ตามสบาย ฉันจะทรมานเธอ หรือฆ่าเธอก็ยังได้ เพราะนี่เป็นความฝันของฉัน ทุกอย่างย่อมอยู่ภายใต้กฎของฉัน และกฎข้อแรกของฉันคือกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนอง!

    เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่เคียวเฮปล่อยเด็กสาวใต้อาณัติให้เป็นอิสระ เพื่อที่จะได้พรากมันไปจากค้อนปอนด์ที่ถูกเหวี่ยงทุบขาข้างหนึ่ง พาให้ร่างปวกเปียกของเธอทรุดฮวบลงไป พร้อมกับเสียงกรีดร้องจากความรู้สึกที่ยังคงจริงอยู่ในความฝันนี้

    ไม่มีทางที่เมรุจะหนีไปไหนได้เลยในสภาพแบบนี้ ทุกอย่างผิดพลาดไปหมด จุดเริ่มต้นของเขาที่เธอวาดภาพจินตนาการไว้กลับกลายมาเป็นจุดจบของตัวเองอย่างน่าสังเวช ทั้งหมดก็เพราะไอ้เวรตะไลไทโชคนเดียว! เป็นแค่ลูกน้องของพ่อแท้ๆ กล้าดียังไงมาหาว่าเธออวดดี ทำเรื่องทั้งหมดนี้ลับหลังเธอ แต่คิดเหรอว่าคนอย่างเมรุ ลูอิสจะยอมให้คนพรรค์นั้นได้ในสิ่งที่ต้องการ เหมือนกับผู้ชายคนที่ยืนค้ำอยู่เหนือหัวเธออย่างคนที่ถืออำนาจมากกว่า และมันเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอดกับทุกคนในนิวอัมเบรลล่า กระทั่งเธอเป็นคนแรกที่กล้าพอจะตอบโต้การใช้อำนาจในทางที่ผิด ถึงแม้ว่าหนแรกอาจเป็นสิ่งที่สมน้ำสมเนื้อดีแล้วกับคนทั้งคู่ แต่ไม่ใช่กับหนที่สองซึ่งเป็นเจตนาของเธอแต่เพียงฝ่ายเดียว

    “ตอนที่ถูกรถพุ่งมาชนแล้วทับขาฉัน มันแม่งโคตรทรมานเลยนะเว้ย!”

    แม้จะรู้สึกเจ็บปวดเหลือคณา แต่เมรุก็ยังกัดฟันเงยหน้าขึ้นจ้องสบดวงตาแข็งกร้าวกับเขาเขม็ง

    “กรรมตามสนองเหรอ? คนอย่างนายก็หน้าด้านพูดออกมาได้นะ ที่ฉันจ้างคนไปผลักนายจนโดนรถชนขาพิการ ต้องหวังพึ่งอวัยวะเทียมไปตลอดทั้งชีวิตแบบนั้นก็สาสมกับสิ่งที่นายทำกับคนอื่นเค้าแล้วนี่”

    ด้วยคำพูดที่ทำให้อีกฝ่ายฉุนจัดจนก้มตัวลงมาใช้มือหนาทั้งสองข้างกดบีบคอเธอราวกับจะป่นปี้สิ่งที่อยู่ข้างใต้นั้นให้แหลกละเอียดคามือ ชั่วแว่บหนึ่งที่เมรุอดคิดไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมความโกรธ ทว่าแม้จะถูกปิดกั้นทางเดินหายใจอยู่ เมรุก็ยังมีสติเหลือพอที่จะคว้ามีดพับในกระเป๋าเสื้อนอกที่พกติดตัวมาด้วยขึ้นมา ปาดป่ายส่วนด้ามที่คมกริบเป็นมันวาวของมันลงไปบนหลังมือที่จะทำให้เคียวเฮรีบสะบัดหลุด ส่งสบถออกมาดังลั่น

    “เราลอบกัดกันไปแล้วก็ถือว่าเจ๊ากัน ครั้งหน้ามาเล่นกันอย่างแฟร์ๆ ดีกว่า เพราะการเล่นเกมไล่ล่าแค่ฝ่ายเดียวมันจะไปสนุกอะไร จริงไหม?”

    พูดจบ เธอก็ยกมีดในมือขึ้นปาดลำคอตัวเองจนเลือดพุ่งเป็นสาย สาดกระเซ็นมายังใบหน้าและเนื้อตัวของเขาไม่ต่างอะไรจากน้ำพุ ดวงตาไร้แววสีดำสนิทยังคงเลิกกว้างแม้ในตอนที่ล้มพังพาบคอตกลงไป เหมือนกับนัยน์ตาเบิกโพลงของเคียวเฮที่ตกตะลึงไปกับความบ้าบิ่นและทางเลือกที่ไม่คิดว่าเธอจะกล้าทำ ก่อนริมฝีปากจะขยับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบูดเบี้ยว ร่างกายสั่นระริกไปหมดด้วยความตื่นเต้น เมื่อเด็กสาวคนที่เกลียดกำลังมอบบัตรผ่านให้เขาได้สัมผัสประสบการณ์แรก — ประสบการณ์เดียว — ของความหฤหรรษ์ที่เคียวเฮไม่มีวันจะได้รับจากใคร

    เคียวเฮทิ้งตัวกางแขนขาลงบนพื้น แหงนมองเพดานว่างเปล่าสีขาวสว่างนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น เขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไปไหน ที่นี่มีเวลาให้เขาได้ใช้เหลือเฟือ เขาจะต่อให้เธอล่วงหน้าไปก่อน แต่อย่างไรเธอก็จะไม่มีวันเอาชนะเขาได้ในเกมนี้ เพราะนี่คือความฝันของเขา

    โลกที่เขาเป็นผู้กำหนด...นรกที่เขาเป็นผู้สร้าง


     

    เอรุจำไม่ได้เลยว่าเธอมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้อย่างไร

    แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอจดจำได้อย่างแม่นยำคือเรื่องราวของก่อนหน้านั้น ซึ่งจะทำให้ความหวาดกลัวแล่นปราดขึ้นมาในยามที่ลืมตาตื่นจนต้องรีบลุกพรวดพราดลงจากเตียงมาหยัดยืน เมื่อพบว่าร่างกายทุกส่วนยังคงใช้การได้สมบูรณ์ดีไม่มีบุบสลายจึงค่อยถอนหายใจออกมาเต็มแรง กลับลงมานั่งซุกใบหน้าลงกับฝ่ามือที่ขอบเตียงอีกครั้ง แม้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดทรมานของเสี้ยววินาทีที่กระแทกลงไปบนพื้นแข็งๆ จะยังคงฝังลึก...อาจถึงชั่วนิจนิรันดร์ แนบแน่นเหมือนกับสีหน้าและคำพูดอันแสนยะเยือกเย็น ภายใต้ฉากหน้าอย่างรอยยิ้มอบอุ่นชวนให้วางใจเสมอมาของไคโตะ

    แต่สิ่งนั้นจะไม่มีวันใช่สำหรับเอรุอีกต่อไป

    ท้องฟ้าภายนอกที่มองผ่านบานกระจกออกไปเป็นสีส้มของยามสนธยา แสงอาทิตย์ที่เริ่มลับลาไปตรงเส้นขอบฟ้าสาดทอเข้ามาอยู่เป็นเพื่อน กระนั้นมันกลับยิ่งทำให้เอรุรู้สึกเปล่าเปลี่ยว ช่วงเวลาโพล้เพล้แบบนี้มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกกลัว ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่กรุกระจกรายล้อมแทนผนังรอบนอก มองเห็นทิวทัศน์ธรรมชาติสีเขียวสลับน้ำตาลที่ถูกอาบย้อมด้วยสีสันของยามอัสดงไปสุดลูกหูลูกตา ไม่มีสิ่งก่อสร้างอื่นใดอยู่ในระยะที่มองเห็นได้เลยแม้แค่ลิบๆ แต่ครั้นจะให้นั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ใช่ทางออก เธอควรออกสำรวจเพื่อคลายความสงสัยในใจ ไม่แน่ว่ามันอาจช่วยให้จดจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง

    แม้ว่าภายในบ้านจะเริ่มมืดลงไปแล้ว และเอรุก็ไม่รู้ว่าสวิตช์ไฟอยู่ตรงไหนหรือระบบการทำงานของไฟฟ้าที่นี่เป็นอย่างไร แต่โครงร่างเหล่านี้ก็คลับคล้ายคลับคลา กระทั่งประกอบรวมกันเป็นรูปเป็นร่างในหัวสมองว่ามันคือบ้านพักตากอากาศในชนบทที่ห่างไกล และเอรุไม่ได้หมายถึงแค่จากตัวเมือง แต่รวมถึงจากนิวอัมเบรลล่าไม่รู้ตั้งกี่ไมล์ เธอจำได้ว่าเคยวางแผนการท่องเที่ยวหลังจากเรียนจบสมัยที่ยังรักกันดีกับไคโตะไว้มากมาย บ้านพักตากอากาศหลังนี้ที่เธอตกหลุมรักนับแต่แรกพบแค่ได้เห็นจากในอินเทอร์เน็ตก็เป็นหนึ่งในนั้น

    แต่ไม่ว่าจะพยายามเค้นคิดเท่าไหร่ เอรุก็ไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอจับต้นสายปลายเหตุไม่ได้ ไม่อาจเข้าใจเรื่องที่กำลังดำเนินเดินไปได้เลยแม้แต่อย่างเดียว

    “ตื่นแล้วเหรอเอรุ?”

    ก่อนน้ำเสียงที่คุ้นเคยดีจะทำให้เอรุรีบหันขวับไปยังที่มาจากสุดทางเดินทางด้านซ้ายมือที่เชื่อมต่อหากันหมด แม้ใบหน้าของเขาจะกำลังมีรอยยิ้ม แต่ภายใต้แสงเงาสลัวที่ตกกระทบนั้นก่อเกิดเป็นความมืดมิด กระทั่งดำดิ่งลงไปเหมือนอย่างที่เอรุได้เคยประสบพบเจอ ขนของเธอลุกชัน เนื้อตัวเองก็สั่นเทา พาให้ฝีก้าวถอยห่างออกไปโดยอัตโนมัติทั้งที่เขาไม่แม้แต่จะขยับกล้ามเนื้อเลยด้วยซ้ำ การกระทำทั้งหมดเหล่านั้นอยู่ในสายตาของไคโตะที่จดจ้องมองมาแทบไม่กะพริบปริบ

    “กลัวฉันเหรอเอรุ?”

    “ฉันมาที่นี่ได้ยังไง?” เอรุเมินเฉยต่อคำถามของเขาเมื่อตะโกนสวนกลับไปในเวลาเดียวกัน

    “ฉันจำได้ว่าเอรุชอบที่นี่มาก ดีใจจังที่ยังได้มีโอกาสทำตามสัญญาที่ให้ไว้

    “ฉ...ฉันไม่เข้าใจ...นายลักพาตัวฉันมาเหรอไคโตะ? แต่...ทำไม? แล้วอาการบาดเจ็บของฉันล่ะ?” เธอไม่อาจหักห้ามตัวเองให้ก้มลงไปมองฝ่ามือทั้งสองข้างที่ยกขึ้นกับท่อนขาที่ยังคงสั่นเทาเพื่อยืนยันสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นให้แน่ใจอีกครั้ง จากนั้นเริ่มต้นรำพันออกมาด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไป “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไม่ๆ ยังไงพ่อฉันก็ไม่มีทางยอมแน่ๆ ให้ตายสิไคโตะ! นายทำอะไรกับฉันกันแน่!” ก่อนเปลี่ยนเป็นความเพ้อคลั่งตอนที่แผดตะโกนใส่คนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงสุดทางเดินนั้น ด้วยรอยยิ้มเย็นที่ไม่เพี้ยนผิดไปจากเดิม

    ไม่ใช่เสียงของเขาที่ตอบกลับมา ทว่าเป็นบทเพลงเก่าที่ดังขึ้นอย่างไร้ที่มา ท่องทำนองกระโดดข้ามไปมา คำร้องขาดๆ หายๆ เหมือนกับแผ่นเสียงที่ตกร่องชวนให้ระคายหู แต่เอรุกลับเข้าใจความหมายทั้งหมดนั้นได้อย่างชัดเจน

    ฉันปรารถนาเธอมากปานจะขาดใจ ฉันรักเธอเหลือเกิน นั่นแหละคือเหตุผล

    หนนี้เอรุได้แต่นิ่งค้างอยู่กับที่ แม้ในตอนที่ไคโตะจะกำลังก้าวย่างตรงมาหาเธอ ขับขานไปตามบทเพลงในท่อนที่ว่า “เมื่อฉันต้องการเธอ ฉันก็แค่ต้องฝัน”

    ทั้งที่เธอควรจะวิ่งหนีไปให้สุดไกล ทั้งที่ในตอนนี้ไม่มีอะไรฉุดรั้งพันธนาเธอเลยสักอย่าง แต่เอรุกลับรู้สึกถึงตุ้มถ่วงที่ทำให้ขาของเธอหนักอึ้ง ทำได้เพียงจดจ้องมองเขาผ่านน้ำตาที่ไหลลงมา

    “ต่อไปนี้จะมีแค่เราสองคนแล้วนะเอรุ”

    “นาย...ทำอะไร...”

    “เมรุกับคุณอิวาซากิเป็นคนทำต่างหาก” ในที่สุดไคโตะก็ตอบคำถามแรกกลั้วไปกับเสียงหัวเราะ เมื่อมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าเธอแล้วใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้ถึงแม้ว่าอย่างไรมันก็จะไม่หยุดไหล ก่อนเลื่อนมันลงมาวางบนไหล่ทั้งสองข้าง เพื่อที่จะได้โน้มใบหน้าลงมาหาและกระซิบอยู่ข้างใบหูว่า “คุณอิวาซากิ ไทโชที่เอรุรักไง” ให้เด็กสาวได้ตัวแข็งทื่อ เลือดในกายเหมือนจะเย็นเฉียบ

    “เขากับเมรุช่วยกันทำเครื่องควบคุมความฝันเพื่อจะได้ใช้กับน้องชายของฉัน ฉันก็เลยขอแลกตัวเธอกับเคียวเฮที่ง่ายดายเกินคาด เรื่องนั้นต้องขอบคุณเมรุกับความแค้นฝังหุ่นที่น่ากลัวมากเลยนะ สำหรับฉันกับเมรุก็คงเป็นข่าวดี แต่มีข่าวร้ายมาให้เอรุล่ะ” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ ไคโตะก็กดบีบไหล่ของเธอให้แรงขึ้นไปอีก “เสียใจด้วยนะที่คุณอิวาซากิไม่ได้แยแสเธอเลยสักนิดทั้งที่รู้ว่าฉันอาจทำอะไรกับเธอบ้างในความฝันที่ฉันคือคนควบคุม อยากรู้จัง...” ก่อนริมฝีปากที่ใช้เอ่ยวาจาเหล่านั้นจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแฝงความนัย “ว่าเป็นเพราะเขาคิดว่าเธอน่าเบื่อ น่ารำคาญ น่าสมเพชหรือเปล่านะ?” ย้อนคำพูดที่เธอเคยสาดใส่หน้าเขากลับมาได้อย่างเจ็บแสบ ผ่านถ้อยเสียงที่แสดงความขบขันเสียเต็มประดาราวกับการดูแคลน ให้เอรุได้เข้าใจว่าเขากำลังเยาะหยันเธออย่างที่ไคโตะคนที่เคยเป็นคนรักจะไม่มีวันทำ

    “มีแต่ฉันที่รักเธอนะเอรุ”

    “แต่ฉันไม่ได้รักนายไคโตะ! ไม่อีกแล้ว!”

    แต่เอรุก็ไม่ทันได้วิ่งหนีจากอ้อมแขนที่ฉุดดึงเธอเข้าหาตัวในวินาทีเดียวกัน เขากอดรัดเธอไว้ด้วยความพยายามขืนขัดที่เปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง ยิ่งเธอออกแรงดิ้นมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตอบรับด้วยความเจ็บปวดมากเท่านั้น ชั่วแว่บหนึ่งที่เอรุคิดว่ากระดูกภายใต้เนื้อหนังของเธอป่นปี้เป็นผุยผงก่อน หรืออากาศหายใจของเธอจะถูกพรากไปจนหมดก่อนกันนะ?

    ทว่าสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นในแบบที่เอรุคิด เมื่อสิ่งที่กลืนกินลมหายใจของเธอก็คือจูบของเขา ทั้งความรุนแรงและการช่วงชิง ร่างกายของเธอดูเหมือนจะสิ้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจากปลายนิ้วที่คืบคลานต่ำลงไปยังต้นขาภายใต้ชุดกระโปรงที่ถูกเลิกขึ้น สิ่งที่ไคโตะ — คนที่เคยเป็นคนรักจะไม่มีวันทำ — กระทำอยู่อย่างเร่งเร้าทำให้หัวสมองของเอรุตื้อตันไปกับความรู้สึกแปลกใหม่ ราวกับสัญชาตญาณดิบได้ร้องเรียกหา เธอต้องการเขา ไม่ เธอแค่ต้องการให้เขาช่วยเติมเต็มความปรารถนาข้างในส่วนลึกของจิตใจมันก็เท่านั้น

    “แล้วเอรุจะกลับมารักฉัน”

    ในความฝันที่อาจกลายเป็นนรก...หรือไม่ก็สวรรค์นับจากนี้












    2022年07月18日
    _______________
     กี่ครั้งแล้วที่กูดูไปสาปความห่วยของหนังหรือซีรีส์ไปแต่เสือกได้พล็อตมีอยู่จริง บอกกันตรงนี้เลยว่า RE คือหนึ่งในซีรีส์ที่กูตั้งตารอที่สุดในรอบปี แต่ดูไปหนึ่งตอนก็ด่าว่าเฮี้ย! ห่าน! ระยำตำบอน! ขนาดกูรสนิยมต่ำแล้วเรื่องนี้ยังโดนกูด่ายับได้ก็ไปคิดเอา ใครบอกว่าดีกว่าเวลคัมทูแรคคูนซิตี้ก็ นะ ไม่พูดดีกว่า แต่ก็ยังยืนยันว่าชอบงานภาพและเมืองนิวอัมเบรลล่ามาตั้งแต่เห็นในเทรเลอร์แล้ว เพราะงั้นกูเลยครั่นเนื้อครั่นตัว มันต้องแต่งฉากในเมืองนี้สักเรื่องให้หายคาใจ พล็อตพี่น้องก็ได้มาจากในซีรีส์เลยนี่แหละ ที่จริงตอนแรกไม่ได้นามสกุลลูอิสหรอก แต่พอคิดว่าบทพ่อในเรื่องคือเวสเกอร์งี้เป็นเจสซี่ก็ได้อยู่ (ได้มาก) ถึงเรื่องนี้ฉากบู๊จะไม่มีเลย พ่อเพ่ออะไร พ่อทูนหัวหรือเปล่า แต่ผู้กำกับอยากได้ก็ต้องได้! ทีนี้พอคิดไปงัั้นก็ให้ทากาฮาชิของเรามาเป็นพี่น้องด้วยเลยแล้วกัน หล่อๆ รวยๆ ไปเล้ย! ส่วนนางเอกมึงกูเลือกมาจากเรื่องแอนีมอยอาสีน้ำเงินที่ไม่มีอีกแล้ว เลิก! พับ! มึงอาจมีพระเอกอยู่สีนี้นับล้าน แต่กูยับ! เลยเอามายัดลงเรื่องนี้แทนแล้วกัน (ส่วนสีแดงจะเอาไปลงฟิค sz ที่ยังไม่มีพล็อตอะไรเลย แต่เยี่ยวจองเพลง Sleepless ที่ประกอบละครโชริแล้วเด้อสู) ส่วนชื่อเมรุเป็นอะไรที่กูอยากใช้มานานมากๆ แต่ก็ลีลาไม่ใช้สักที เอามาจากเรื่อง From Up on Poppy Hill ของจิบลิที่กูได้มีส่วนร่วมสักทางหนึ่งกับพากย์ไทยของที่หนึ่ง มาจากคำว่า la mer อันเป็นชื่อเล่นของนางเอกที่ชื่อ...อุมิ สวัสดี แล้วพอนางเอกมึงชื่อเอรุ กูเลยได้ฤกษ์ใช้เมรุสักที ซึ่งทั้งสองชื่อก็อ่านได้ทั้งญี่ปุ่นและฝรั่ง จะเขียนเป็นคันจิหรือคาตะกูก็หาได้หมดแหละ เฮ้อ เราสองคนนี่ฉลาดจริงๆ ไม่ใช่หาแต่ชื่อดาดๆ แล้วมาอวดฉลาดทำเป็นรู้ความหมายที่ใครๆ ก็หาได้ แอบก็อปเราไปก็มี อิอิ >_<
     พล็อตแรกสุดเป็นแนวรักธรรมดาเลยมึง เมนหลักมีแค่เอรุอยากเลิกกับไคโตะ แต่พอกดไปฟังเพลงนี้ของ milet แล้วกูก็ตายๆๆ งั้นก็ให้เป็นแนวไซไฟไปเลยสิวะ! บทนักวิทย์ฯมันเลยต้องจิ้มมาจากควิซคลับที่โอ๊ย มึงหยุด! พอ! เลิก! เฮอะ แต่งฟิคเคียวเฮเองก็ได้ไม่มีใครกลัวเรา ทีนี้ก็คิดต่อว่าโยงไปเรื่องความฝันเลยแล้วกันจะได้เข้ากับชื่อเพลง แต่ก็คิดอะไรไม่ออกเลยมั่วหมด ไม่ต้องถามหาความสมจริงหรืออะไร แต่ก็ตั้งใจให้ทุกอย่างเริ่มมาจากเมรุที่ไปขอไทเซย์ให้มาช่วยทำการทดลองเพื่อเอาไปแก้แค้นเคียวเฮแล้วไคโตะกับเอรุก็มาเอี่ยวด้วยสักทางหนึ่ง ว่าแต่ทำไมกูแต่งไคโตะเป็นคนไม่ดีอีกแล้ววะ พอมาคิดๆ ดูนี่บทแนวๆ สมัยกูยังอยู่กับอุมิชัดๆ เหมือนบลูมูนมึงด้วยนะว่าบาป แต่แต่งไปก็ม่วนดี มึงว่าไม่ดีก็เลื่องมึง ส่วนพล็อตเคียวเฮกับเมรุก็เฮ้อ กูชอบมาก รักเหลือเกิน เกลียดกันจนจะตาย (ที่ถ้าโดนเคียวเฮต่อยจริงก็น่าจะตายเลย พอๆ กับเจสซี่ได้อยู่กูว่า) ซีนที่เมรุไปมีเรื่องก็ได้มาจากการดูซีรีส์ห่วยแตกนี่หนึ่งตอนถ้วน (และยังไม่คิดจะดูต่อในเร็ววันจ้า) แต่ที่ให้ซัดกันทั้งสองฝ่ายได้มาจากแบล็กโฟนเพราะชอบซีนน้องพระเอกมากเหลือเกินพี่จ๋า ไม่ใช่สายโดนกระทำแต่เพียงฝ่ายเดียวเหมือนนางเอกมึง 99 เรื่องนะ บ้าหรือเปล่า!
     จริงๆ ไม่อยากแต่งฉากไทเซย์ให้ลงอย่างนี้เลยเพราะมึงชอบปากหมา แซ็ว (เลขแปด) กูอยู่นั่น ทุกวันนี้กูจะแต่งฟิคไทเซย์แบบไม่โคคุโบะทีไรก็กลัวแต่มึงนี่แหละ อีผี (กลัวมันตรงถอดเสื้อบ่อยด้วยนี่แหละ ว่าบาป) / ส่วนตอนต่อแต่งไปได้นิดนึงแล้ว วางพล็อตไปจนจบแล้ว แต่เอามาลงก่อนเพราะเหมือนกูหายหัวไปนานมาก ไม่มีฟิคกับเคียวเฮนานมาก (หลายวัน) ยังไม่มีแก่ใจจะเกลาอีวิลวิทอินเตื้อ (อ๊ากกกก โอฮาชิติดโควิด TT_TT) เรื่องเก่าๆ ที่ค้างไว้ก็แต่งได้ทีละนิดละหน่อย เอาจริงช่วงนี้ไม่ค่อยมีฟิคในหัวเลย ไม่เหมือนสมัยทราวิสที่แค่ดูรูปในแมกก็ได้พล็อตมาเป็นล้าน แค่ไม่แต่งเฉยๆ เฮ้ออออ ว่าไปเดี๋ยวนี้เราสองคนแต่งฟิคแบบลงทีละครึ่งแล้วหายหัวไปแต่งเรื่องใหม่กันทั้งคู่เลยน้า เอ้า! แล้วเสือกมาลงฟิคตัดหน้าเป็นดรีมเหมือนกูอีก! เซนส์เฬาจะแลงเกินปุยมุ้ย! / ปล. กูควรเอาเพลงดรีมๆๆ มาประกอบไหมวะ มึงว่าไง

    2022年08月30日
    _______________
     รีบเกลามาลงเพื่อฉลองให้กับซีรีส์ RE ของนฟที่ไม่ได้ไปต่อ กูจะได้ไม่ต้องกลับไปดูอะไรที่ห่วยๆ ให้เปลืองเวลาแล้วจ้า (ว้า ทำไมพวก woke ไม่ช่วยกันหนับหนุนเยอะๆ ง่ะ เผื่อจะได้ไปต่อ เค้าอุตส่าห์ทำมาเอาใจพวกแม่งไม่ใช่แฟนเกมแท้ๆ >_<) และ DBD RE: Project W (เวสเกอร์) ที่กำลังจะมา ใครๆ ก็รู้ว่ากูรักเอด้ามาก กูนี่แหละคือเอด้าเดินเริ่ดๆ ในแรคคูนซิตี้คนเดียว ไม่กลัวมิสเตอร์เอ็กซ์ ไม่กลัวใคร
     ทีแรกก็ตั้งใจว่าจะเอาลงรวดเดียวให้จบไปเลย แต่ไปๆ มาๆ มาพาร์ทเอรุมันลากยาวได้ไงไม่รู้ว่ะ งง แต่แต่งจบแล้วจริงเหลือแค่เกลา ซึ่งเราก็ย่อมเกลานานกว่าตอนแต่งร่างแรกเสมอ เพราะสุดท้ายมันอดใจไม่ไหวต้องเพิ่มโน่นนี่นั่นเข้ามาทุกที กำ / พาร์ทของเมรุคืออะไรที่แต่งสนุกที่สุดจากทั้งเรื่องแล้ว แถมแต่งง่ายมาก เข้ามือกูมาก มันต้องอย่างนี้สิวะพับผ่า! เกลียดขี้หน้ากันแล้วก็ตายๆๆ กันให้หมดไปเล้ย! และกูดีใจมากที่ตัวเองสามารถแต่งบทของสามคนนี้ออกมาอย่างที่วางไว้ได้จริง ไอเริ้บ เมาท์นะ ตอนแต่งพาร์ทบนกูเฉยๆ กับเคียวเฮ แต่พอแต่งให้มีบทพูดแล้วกูตายเลยว่ะ หล่อมากเว่อร์ชิบหาย ชอบที่สุดจากทุกเรื่องที่แต่งมาแล้ว! ตายๆๆ ให้กูตายคนเดียวก็พอ o<--< ไม่ฝืนเหมือน...ซัน...สแนคไบท์ กูไม่ได้ว่าท่านอาไคโตะไรมึงนะ อย่าคิดมาก >_< แต่บทไทเสของเราสองคนแม่งเฝือจริงว่ะ ไม่คนฉลาดก็คนบ้าคนชั่วหน้าซื่อใดๆ 55555 ว่าไปถ้าเปลี่ยนเป็นควิซคลับคนอื่นมันจะเปลี่ยนฟีลไหมวะ อยากรู้ แต่กูก็ไม่ได้อยากรู้มากหรอก
     เครื่องควบคุมความฝันได้แนวคิดมาจากปาปริก้า ส่วนที่ความฝันซ้อนกันเป็นชั้นๆ มาจากอินเซปชั่น แค่เวลาไม่ได้ห่างกันมากขนาดนั้น อาจจะเรียลไทม์ แต่กูคิดยังไงก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าสองคนนี้จะลงเอยกันยังไง จะเกลียดกันยันตายหรือสุดท้ายได้รักกัน แล้วไทเซย์จะเป็นยังไงต่อไป แม้แต่กูคนแต่งก็ไม่รู้ สวัสดี / และกูหยุดตัวเองให้คิดถึงเพลงนี้ที่อุตส่าห์จิ๊กมาใช้เป็นชื่อเรื่องไม่ได้เลยว่างั้นมา! ซึ่งกูจำได้ว่าเพลงนี้ (เวอร์ชั่นแมนสัน) ก็ใช้ประกอบหนังสยองเรื่อง House on Haunted Hill (1999) แต่จำไม่ได้ว่าดูทางไหน บิ๊กซีนีม่าตอนเด็กหรือเปล่าวะ แต่ตอนโตเกือบๆ สิบปีที่แล้วกูได้ดูทางเอ็มแชนแนลแน่นอน / ส่วนพาร์ทเอรุเพลงดรีมๆๆ มาแน่จ้า นิ้วเขมือบๆๆ และบทไคโตะที่...เฝือ...มาก สายด่วนเฮ้วป์ o<--<

    2022年10月18日
    _______________
     แต่งเรื่องนี้ทิ้งไว้อยู่นานมาก ตั้งใจว่าจะเกลาให้จบเดือนนี้แหละแต่ติดพันเรื่องอื่นอยู่ จนกระทั่งกูได้แปลหนังไซไฟเก่าพอประมาณเรื่องหนึ่งเมื่อวันก่อน (ไม่อุบอิบละ บอกไปเลยว่า Repo Men (ไม่ค่อยสนุก)) แล้วมันก็มีพูดถึงเครื่องที่ต่อเข้ากับประสาทแล้วทำให้ผู้ป่วยทางระบบประสาทอยู่ในความฝันได้ ในนั้นมีสโลแกนว่าสวีทดรีมอาร์เมดออฟดีส กูก็เอาแหล่ว พระเจ้าบอกว่ามาต่อให้จบได้แล้วลูก แต่เนี่ยย เรื่องอนาคตกับความฝันมันโหลมากกูก็รู้นะ เฮ้อออ แต่ก็จะแต่งอีก / ละมึงรู้ไหมว่าฉากบ้านกูเอามาจากไหน จากเรื่อง You Should Have Left เว้ย!!! ที่เอาไปเช่าถ่ายหนังเรื่องอื่นด้วย กูก็เลยขอยื๊มเช่าที่เดียวกันด้วยแล้วกัน เผอิญหนังไซไฟ ค่ายให้งบมาเยอะ / และกูก็มาแล้วจริงแบบไม่ได้จกตากับเพลงดรีมๆๆ (ส่วนในหนังเรื่องนั้นใช้เพลง Dream a Little Dream of Me ว่ะ ไม่ได้ไม่โดน ขอผ่าน) มาเป็นเฟรดดี้ นิ้วเขมือบ แต่อันนี้โดนพี่ไคโตะเขมือบงับๆ >_<
     เอาล่ะ จะเล่าว่าพาร์ทสุดท้ายนี้แหละคือภาพแรกสุดในหัวกู เพราะที่จริงพล็อตตั้งต้นทั้งหมดมาจากเนื้อเพลงของมิเลต์ที่ว่า underneath my bed, are you there? ก่อนจะมาเป็นไคโตะกู (น่าจะ) เคยวางให้ไทเซย์ เหมือนจะเป็นฆาตกรหลอกให้นางเอกเชื่อใจอะไรประมาณนั้น เข้ามาในห้อง ได้กันบนเตียง แต่สุดท้ายก็ออกมาเป็นอย่างที่เห็นนี้แหละจ้า ลดเรตลงมาหน่อยค่ายสั่งมา >_< (มึงด่าว่าอีค่ายเหี้ยชอบแทรกแซงรอวันเจ๊ง) ตอนจบทีแรกเอรุจะหนีๆๆ แต่กูบ่องตงว่าแต่งฉากท้ายช่วงเดียวกับที่แต่งมิดไนท์เกสต์ละก็มีแต่หนีๆๆ จนกูหมดมุกละ เดี๋ยวพล็อตช้ำ เลยลงมาทางนี้แทน ขอฝึกมือหน่อยแบบเบาๆ ก็พอ เพราะกูขอสารภาพเลยว่ากูอายเหี้ยอะไรก็ไม่รู้เวลาแต่งฉากอย่างนี้ให้ไคโตะ...กับพี่เคน...ที่แค่ฉากจูบกูก็อ๊ากก เคอหมิดไหม้ไฟ แต่ไคโตะก็ได้แต่พล็อตแนวนี้ในฟิคกูจริงที่ขอพูดเลยว่า...บทเฝือมากเว่อร์!!! ถ้าบทชั่วๆ ก็คือลงมาทางนี้หมดไหม ไปอยู่กับฟุคุโมโตะ ไทเซย์เลยเด้อสูสองคน เอางี้นะ ไม่ฝืนแต่เฝือ หรือมึงว่าไม่จริง อย่าตอแหล ลองเอาฟิคไคโตะที่เราแต่งมากางแล้วลิสต์เลย บทแบบนี้กี่เรื่อง ฮ่าๆๆ อีเหี้ย ยิ่งกว่าสมัยอุมิ แต่ถ้ามึงชอบแนวร้ายๆ กูก็จะไม่ห้าม และจะพยายามแต่งให้มึงต่อไป ในเมื่อสมัยอุมิมึงยังช่วยสานฝันให้กูตั้งมากมาย เพราะคนเราย่อมมีแฟนตาซีเป็นของตัวเองที่ไม่ต้องไปเสือกกับเรื่องของใครว่าเค้าจะต่ำตมแค่ไหน แค่กูมึงด่ากันเองก็ยุ่งมากพอแล้ว ถ้าจิตใจสูงส่งนักแล้วได้เจอพวกอย่างมึงกูก็ขอขุดหลุมไปลงนรกเจอเพื่อนชั่วๆ แต่งฟิคกามาๆ บ้าผู้ชายแต่ไม่ตอแหลเหมือนกันดีกว่านะ
     ตั้งใจจะใช้รูปเซ็ตเดิมกับรูปคาแรกฯข้างบนให้หมดทั้งสี่คน แต่กูจำไม่ได้ว่าไคโตะมาจากแมกไหน นึกยังไงก็นึกไม่ออกเลยจิ้มวีวี่ไป 55555 แต่กูสาบานว่าแต่งบทพูดไว้นานแล้ว ทำไมมันถึงได้คล้ายเรื่องทสึคิโยมิมึงจังวะ อย่างกับคนเขียนบทคนเดียวกัน / ปล. กูเซอร์ไพรส์มากที่แต่งเรื่องนี้ได้จนจบ ครบ สมบูรณ์ และออกมาเป็นที่พอใจเกินกว่าที่คิด ทั้งที่ไม่ได้ชอบมากเท่าไหร่ด้วยนะ ชอบสุดแค่ฉากเมรุกับเคียวเฮมั้งเพราะมันแนวถนัดกูเนาะ นอกนั้นเฉยๆ แค่ว่าตอนแต่งก็ม่วนดี ละส่วนใหญ่เรื่องที่กูชอบๆ นะสุดท้ายจะหายเข้ากลีบเมฆหมด ทำไมวะ งง
     ปล. อย่าลืมนัดคันไซดรีมไลฟ์วันที่ 23 เด้อออ
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×