คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #99 : FF7: Floating In The Midnight Sun
จูบิลีเข้าเป็นสมาชิกของแผนกวิจัยการบริหารหรือที่รู้จักในนามของ ‘เทิร์กส์’ มาได้เกือบๆ สองเดือนแล้ว ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานก็เป็นไปอย่างราบรื่นดีในแบบของเพื่อนร่วมงาน ไม่มีการเล่นหัวหรือว่าก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกัน ถึงจะไม่ค่อยมีบทสนทนาอะไรนักเพราะช่องว่างระหว่างวัยที่มากกว่ากันถึงสิบปี หากพวกเขาก็ยินดีให้คำแนะนำกับเด็กใหม่ในทุกๆ เรื่องด้วยความเต็มใจ และจูบิลีก็ชอบที่เป็นแบบนั้น
เว้นก็แต่บุคคลหนึ่งที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือในฐานะเพื่อนร่วมงาน เขาชอบเล่นหัวและก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเธอ เขาชอบพูดจาเรื่อยเปื่อยน่ารำคาญโดยไม่สนใจช่องว่างระหว่างวัยที่มากกว่ากันถึงแปดปี และเขาไม่เคยให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์กับเด็กใหม่อย่างเธอเลยแม้แต่อย่างเดียว
เธอหมายถึงซาคุมะ — มนุษย์ที่น่ารำคาญที่สุดในโลกอันดับหนึ่ง!
จูบิลีไม่เคยปิดบังความรู้สึกด้านลบผ่านสีหน้าและท่าทีเลย หรืออันที่จริงควรต้องบอกว่าเธอจงใจไม่ปิดบังมันเสียมากกว่า เธอต้องการให้ทุกคนบนโลกรับรู้ว่าเธอเกลียดขี้หน้าเขามากขนาดไหน! แน่นอนว่าเธอได้สิ่งนั้นสมปรารถนา รวมไปถึงเจ้าตัวที่อาจจะบ้า...แต่ก็ใช่ว่าจะโง่ขนาดดูไม่ออก มันน่าโมโหตรงที่ยิ่งเธอแสดงออกมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งปั่นประสาทด้วยการแสดงออกว่าไม่ใส่ใจมากเท่าๆ กัน เมื่อไหร่ที่เขาเดินเข้ามาในสำนักงานใหญ่พร้อมกับคู่หู ถ้าจูบิลีแค่เข้ามาใช้เวลาศึกษางานหรือนั่งพักผ่อนและเป็นผู้ช่วยเล็กๆ น้อยๆ ให้กับหัวหน้า เธอก็จะลุกพรวดพราดออกจากห้องไปโดยไม่แยแสต่อคำทักทายผ่านน้ำเสียงเริงร่าที่เธอคิดว่าน่าโมโหเป็นบ้านั่นเลย! จากนั้นก็เอาเวลาไปนั่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ที่สกายวิวฮอลล์กับกาแฟกระป๋องไม่ก็โพชั่นที่กดมาจากตู้ระหว่างทาง ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ๆ ให้เธอซับซาบกับเครื่องดื่มฉ่ำเย็นและบรรยากาศของมหานครยามค่ำคืนในมุมสูงเสียก่อนถึงจะค่อยสงบลงได้บ้าง แต่ถ้าวันไหนที่มีงานต้องทำขึ้นมาจริงๆ จนไม่สามารถปลีกตัวออกไปไหนได้ จูบิลีก็จะต้องอดทนฟังเรื่องพล่ามเพ้อเจ้อไร้สาระของซาคุมะซึ่งเธอไม่ได้อยากรู้เลยสักนิด เช่นว่าเขาเคยจัดการพวกแอวะแลนช์โดยไม่เพลี่ยงพล้ำมาแล้วเท่าไหร่ (ใครได้ถาม?) หรือเคยไปพักร้อนที่เมืองตากอากาศอย่างคอสต้า เดล โซลซึ่งน่าประทับใจมากและอยากจะกลับไปอีก (ก็แล้วใครได้เหยียบหางไม่ให้ไป?) บางครั้งอิวาโมโตะกับฟุคาซาวะจะช่วยเบรกให้บ้างเมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มมาคุอย่างหนัก แต่ถ้าพวกเขาไม่อยู่ เธอก็ต้องมาทนฟังเรื่องเล่าที่เขาจงใจยั่วล้อเธอได้ไม่หยุดไม่หย่อน
อย่างเช่นตอนที่เขาเล่าว่าเมื่อคืนวานไปแฮงค์เอาท์ที่บาร์กับฟุคาซาวะในวอลล์ มาร์เก็ต ก่อนแยกย้ายกันโดยที่ตัวเองได้นั่งดื่มกับสาวสวยทั้งคืน (พนันเลยว่าคนอย่างอีตานี่คงไม่ได้จบแค่ดื่มหรอก แต่เอาจริงๆ คือเธอต้องรู้ไหม?) จูบิลีที่ยั้งปากตัวเองไว้ได้มาตลอด ในที่สุดก็หมดความอดทนไปพร้อมกับการตรวจสอบบัญชีแผ่นสุดท้ายซึ่งเธอกระแทกปากกากับโต๊ะดังปัง! ลุกพรวดขึ้นแล้วตะโกนขึ้นว่า “โอ๊ย! น่ารำคาญ!” และก่อนที่เธอจะได้กระโจนข้ามโต๊ะไปง้างคอคนที่กำลังนอนทอดหุ่ยอยู่บนโซฟา หัวเราะออกมาดังลั่นกับปฏิกิริยาที่คาดคิดไว้ล่วงหน้า ประตูห้องก็จะเปิดผางออก จูบิลีจึงเปลี่ยนเป็นสำรวม ค้อมหัวทักทายให้กับหัวหน้าที่ผงกศีรษะตอบรับหน่อยหนึ่ง
“พอดีเลย ฉันมีงานให้ทำ”
จังหวะของเธอช้ากว่าซาคุมะเสมอ “งานอะไร?”
“สืบเรื่องนายทุนของแอวะแลนช์” เขาตอบ จากนั้นเปลี่ยนทิศทางมาหาเธอ “จูบิลี ทำได้ใช่ไหม?”
เด็กใหม่เผลอตัวสะดุ้งโหยงด้วยความไม่คาดคิด กระนั้นเมื่อโอกาสมาถึงแล้วจะให้มัวเหนียมอายก็คงไม่มีวันได้พัฒนาตัวเอง จึงไม่ลังเลเลยแม้สักวินาทีเดียวเมื่อตอบรับคำด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “ทำได้ค่ะ!”
ความตื่นเต้นของเธอคงอยู่ได้เพียงครู่สั้นๆ ก่อนมันจะดับวูบลงไปจากฝีมือของคนคนเดียวในโลกที่ทำได้
“งั้นฉันไปด้วย”
“ไม่จำเป็นค่ะ!” เธอรีบสวนย้อนไปทันควัน ทั้งที่คิดว่าอิวาโมโตะจะเป็นฝ่ายสนับสนุนเหมือนทุกที แต่หนนี้เขากลับเอ่ยทำร้ายจิตใจดวงน้อยๆ ของเธออย่างแสนสาหัสว่า “ฉันก็ตั้งใจจะให้นายไปกับจูบิลีอยู่แล้ว”
เธอกรีดเสียงลั่นโดยไม่รอฟังหัวหน้าพูดจนจบประโยคด้วยซ้ำ “แล้วทำไมฉันต้องไปกับซาคุมะด้วยคะ!”
“จะให้เด็กใหม่ไปคนเดียวไม่ได้ ทั้งฉันทั้งฟุคาซาวะเองก็ไม่มีใครว่างเลยนอกจากหมอนี่คนเดียว”
“งั้นก็ให้ซาคุมะไปคนเดียว...”
“เฮ้ๆ!” คนที่ถูกพาดพิงถึงเปลี่ยนขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง พาดแขนและไขว่ห้างด้วยท่าทียียวนชวนให้เธอดิ้นเร่าไปกันใหญ่ “เป็นแค่เด็กใหม่แท้ๆ จะมาเกี่ยงงาน เกี่ยงคู่หูแบบนี้ ใช้ได้ที่ไหน?”
เหลือที่จะกดกลั้นไว้ได้อีกต่อไป ในที่สุดจูบิลีก็ตัดสินใจขอตัวออกไปข้างนอกโดยไม่แม้แต่จะเงยขึ้นไปสบกับสีหน้าแสดงความเห็นใจของอิวาโมโตะที่ส่งมาให้เลย ซาคุมะยังมีอารมณ์ป้องปากตะโกนบอกเธอว่า “คืนนี้ฉันจะโทร.ไปคุยเรื่องงานแทนหัวหน้าเอง อย่าทำเมินไม่รับสายฉันล่ะ!” พร้อมกับเสียงหัวเราะชอบใจ ไม่ต่างจากอสูรชั่วร้ายซึ่งคงจะหลอกหลอนเธอตลอดทั้งคืน จูบิลีรู้ว่าจะเป็นกาแฟกระป๋องหรือวิวบนชั้นห้าสิบเก้าก็ไม่มีอะไรช่วยเธอได้ทั้งนั้น เธอจะไปที่ห้องฝึกซ้อม แล้วซัดกับศัตรูในระบบเสมือนจริงโดยนึกว่าพวกมันเป็นหน้าของอีตาเพื่อนร่วมงานเฮงซวยให้สาแก่ใจไปเลย!
∞
การต้องทำงานร่วมกับคนที่เกลียดขี้หน้าก็ถือว่าเลวร้ายพออยู่แล้ว จนจูบิลีไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีอะไรที่เลวร้ายกว่านี้รออยู่...
ที่ก็ยังอุตส่าห์จะมี!
เธอกรีดร้องออกมาจริงๆ ในตอนที่ซาคุมะโทร.บอกว่าจะแวะมาหาที่ห้องตอนดึกๆ ดื่นๆ โดยไม่สนใจฟังคำถามหรือคำปฏิเสธที่รู้แน่ว่าเธอจะพูดแล้วกดตัดสายทิ้งไป จูบิลีไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะนั่งเป่าผมที่เริ่มแห้งหมาดๆ ขณะครุ่นคิดว่าหมอนั่นมีจุดประสงค์อะไรกันแน่? เธอได้แต่เดินพล่านไปมาอยู่ในห้อง ครั้นเสียงเคาะประตูดังรัวๆ แบบไม่เกรงใจชาวบ้านชาวช่องถึงก็ใช่ว่าเทิร์กส์คนอื่นๆ จะอยู่ติดห้องในเวลานี้เหมือนเธอ จูบิลีก็จะฉวยคว้าเอากระบองสองท่อนติดตัวไว้ด้วยเผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
“ไง”
เธอไม่น่าลืมว่าเขาเป็นเทิร์กที่เร็วที่สุด ครั้งเดียวที่เคยฝึกซ้อมด้วยกันสมัยที่เธอยังนับถือเขาเป็นรุ่นพี่ จูบิลีไม่แม้แต่จะแตะต้องปลายเส้นผมของเขาได้เลยด้วยซ้ำ ขนาดฝ่ายโน้นบอกว่า “อ่อนให้” แต่กลับมีแค่เธอที่ถูกคลื่นไฟฟ้าซัดไปนอนมองเพดานห้องซ้อมไม่รู้ต่อกี่ครั้ง ภาพเหตุการณ์กำลังจะซ้ำรอยเดิมเมื่อบานประตูที่เธออุตส่าห์แค่แง้มๆ ไว้จะถูกผู้มาเยือนผลักจนร่างของเธอแทบกระเด็น
แต่เธอก็ไม่ได้กระเด็น แผ่นหลังของเธอไม่ได้ไปกระแทกกับผนังห้องแข็งๆ หรือข้าวของที่ระเกะระกะเต็มห้องแต่ประการใด สิ่งที่จูบิลีรู้สึกคือน้ำหนักจากมือที่โอบรับมันไว้ ทันใดนั้น เธอก็จะรีบขืนตัวหนีแล้วถดตัวไปอยู่ที่สุดมุมห้องพร้อมกับพวงแก้มที่ขึ้นสี ซึ่งจูบิลีมั่นใจว่ามันมาจากอาการเสียหน้า ไม่ใช่เพราะความขวยเขินแบบหญิงสาวที่ถูกชายหนุ่มแตะสัมผัสในระยะประชิดอย่างแน่นอน!
แม้เสียงหัวเราะราวกับเพลิดเพลินของเขาจะไม่อาจเรียกวาจาพึมพำหรือสายตาค้อนควักวงใหญ่จากเธอได้เลยก็ตาม
“ฉันเอาชุดมาส่ง”
“ช...ชุดอะไร!”
“พรุ่งนี้เราจะไปที่โรงละคร”
“ฮะ!”
“เราจะติดตามเป้าหมายจากที่นั่น จะให้ใส่ชุดของเทิร์กส์ก็สะดุดตาเกินไป เรื่องง่ายๆ แค่นี้แม้แต่พวกมือใหม่ก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือไง?”
“รู้!” จูบิลีกระแทกเสียง เหลือบมองกล่องรองเท้าที่ปลายเตียงกับถุงคลุมชุดที่วางอยู่บนเตียงแล้วก็ให้ได้รู้สึกหวาดหวั่น พ่วงมากับประโยคส่งท้าย “แล้วพรุ่งนี้ตอนหกโมงฉันจะมารับนะ เจ้าหญิง” กลั้วไปกับเสียงหัวเราะก่อนออกจากห้องของคู่กรณีที่เรียกขนคอให้ลุกวาบ ทันทีที่บานประตูงับปิดลง จูบิลีไม่รอช้าที่จะพุ่งตัวเข้าไปรูดซิปดูว่าในถุงคลุมชุดนั้นมีสิ่งใดซ่อนอยู่กันแน่?
คราวนี้เธอเข่าอ่อนทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นจริงๆ
กว่าที่จะข่มตาหลับลงได้ก็เกือบรุ่งสาง เพราะเอาแต่นอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมา ครวญคิดถึงเหตุการณ์ในอนาคตนับร้อยพันอย่างที่อาจจะเกิด ไม่รู้ทำไม เหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมงานคนที่แสนเกลียดถึงได้แวะเวียนเข้ามาเป็นระยะๆ ให้เธอต้องดีดดิ้น ยกหมอนขึ้นปิดหน้าพยายามสลัดเรื่องขายขี้หน้านั้นออกไปอย่างยากเย็น มาสะดุ้งตื่นเอาก็ตอนที่เสียงโทรศัพท์แผดดังอยู่ใกล้หู เธอควานหามันจากใต้หมอนและงัวเงียกดรับสายโดยไม่ลืมตาขึ้นดูชื่อของคู่สนทนา
“กดรับสายฉันแบบนี้แปลว่ายังไม่ตื่น”
เสียงหัวเราะที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้มีแค่คนเดียวเท่านั้น จูบิลีเด้งตัวขึ้นนั่งทั้งที่ไม่จำเป็น ละล่ำละลักสวนย้อนไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่าที่ไม่ไปในทิศทางเดียวกับประโยคเลยแม้แต่น้อยว่า “ตื่นแล้ว แค่นี้นะ!” และทันทีที่ได้เห็นตัวเลขบนหน้าจอ นัยน์ตาก็พลันเลิกกว้าง แทบจะหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง รีบเผ่นแผล็วลงจากเตียง หายเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ ด้วยเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งที่เหลืออยู่ให้เธอเตรียมตัวสำหรับภารกิจภาคสนามของค่ำคืนนี้
เธอคิดว่าชุดเดรสเกาะอกสีดำกับผ้าโปร่งแขนยาวสวมทับนั้นดูสวยมากแม้ในตอนที่จะอยู่แค่บนไม้แขวน และว่ากันตามตรง เมื่ออยู่บนตัวเธอที่หมุนตัวซ้ายขวาอยู่หน้ากระจกก็ดูไม่เลวดีเหมือนกัน ไม่บ่อยนักที่จูบิลีจะได้สวมชุดสวยๆ ราคาค่างวดน่าจะแพงไม่เบาแบบนี้ เนื่องจากพื้นเพของครอบครัวที่สุดแสนธรรมดาสามัญกับธุรกิจร้านบะหมี่เล็กๆ ในวอลล์ มาร์เก็ต ถึงตอนนี้จะเลือกทำงานกับเทิร์กก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะไม่มีแง่มุมแบบเด็กผู้หญิงเลยเสียที่ไหน เพียงแต่เธอไม่คิดว่าจะต้องสวมมันต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน...รายนี้! จูบิลีพยายามสะบัดไล่ความคิดทิ้งไป แล้วจดจ่ออยู่กับการลองแต่งหน้า ทำผมหลายๆ แบบจนลืมเวลาไปเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงเคาะประตูแบบคนไร้มารยาทที่ดึงสติของเธอให้หวนกลับคืนสู่ช่วงเวลาของความเป็นจริง ตะโกนบอกให้เขารอเดี๋ยวแล้วรีบสวมรองเท้าส้นสูงสามนิ้วคู่สีดำที่เขาหอบหิ้วมาให้ด้วย ใจหนึ่งเธอก็รู้สึกอายที่จะให้เขาเห็นสภาพในตอนนี้ คิดว่าอยากจะกลับไปแอบซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วบอกว่าป่วยหนักแทน แต่อีกใจหนึ่งเธอก็อยากอวดตัวเองให้เขาได้เห็นเหมือนกัน แต่เพื่ออะไรล่ะ? จูบิลีให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้ หากเสียงตะโกนผ่านบานประตูห้องที่ว่าถ้าขืนเธอยังไม่ยอมเปิดเขาจะพังเข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ ก็มากพอจะทำให้เธอตัดเรื่องความเป็นไปได้ — ที่เป็นไปไม่ได้ — ทิ้งไปเสีย
“รีบไปตายหรือไง!” เธอขยับลูกบิดประตูออกไปแรงๆ แกล้งทำเป็นโวยวายเพื่อกลบเกลื่อน ซาคุมะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักในชุดสูทที่คล้ายกับเครื่องแบบของเทิร์กส์ เพิ่มความสุภาพด้วยการติดกระดุมครบทุกเม็ดพร้อมกับเน็กไทสีดำดูเป็นทางการ อย่างที่อิวาโมโตะหรือฟุคาซาวะแต่งเป็นปกติ ถ้าหากว่าเป็นสองคนนั้นที่เธอเคารพนับถือ จูบิลีคงจะไม่ต้องรู้สึกว้าวุ่นใจมากเท่านี้
“เธอ...”
“มัวชักช้าอยู่ได้ รีบไปได้แล้ว!” ไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรเธอก็จะพลันโพล่งขึ้นตัดบทแล้วก้าวฝีเท้าฉับๆ นำไป เหมือนกับลืมไปแล้วว่าตัวเองเพิ่งจะโวยใส่อีกฝ่ายหนึ่งว่ายังไง
ที่ซาคุมะคิดว่าก็สมกับเป็นจูบิลีดี
∞
เป็นเรื่องชวนหัวเอามากที่ซาคุมะไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมาเลยตลอดเวลาที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย นอกจากผิวปาก ฮัมเพลง เคาะปลายนิ้วเป็นจังหวะซึ่งก็ยังคงน่ารำคาญ หากจูบิลีก็เพียงเท้าแขนเบือนมองทิวทัศน์ของตัวเมืองยามสัญจรผ่านแต่ละเซกเตอร์ไปเงียบๆ ไม่มีกะจิตกะใจจะมาส่งเสียงจึ๊จ๊ะ เมื่อความคิดในหัวกำลังตีรวนยิ่งกว่าขดไหมพรมที่พันกันยุ่งเหยิง ครั้นไปถึงโรงละครที่ผู้คนเดินขวักไขว่กันให้พล่าน เขาก็จะถือวิสาสะสอดข้อแขนเข้ากับมือของเธอที่สะดุ้งเฮือกจนตัวโยน ซ้ำยังก้มหน้าลงมากระซิบให้เธอไม่สามารถขัดขืนได้ว่า “เป้าหมายอยู่ที่สิบเอ็ดนาฬิกา จะนั่งอยู่ข้างหน้าเราไปสามแถว อย่าทำตัวน่าสงสัยล่ะ”
“ที่นายทำอยู่นี่ไม่ได้น่าสงสัยเลยมั้ง”
เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเขาหัวเราะด้วยน้ำเสียงบางเบา ชั่วแว่บหนึ่ง เธอคิดว่ามันน่าฟังเป็นบ้า ไม่ใช่! เธอต่างหากสิบ้าที่คิดเรื่องพรรค์นั้นกับคนอย่างซาคุมะไปได้!
“ใครๆ ก็ทำ”
“หัวหน้าบอกให้ฉันกับนายเล่นเป็นคู่รัก หรือว่านายอยากเล่นเองเพื่อความสะใจส่วนตัวกันแน่?”
“เพื่อความพอใจส่วนตัวต่างหาก” เขาแก้ ซ้ำยังยกคิ้วยียวนให้เธอที่หันไปถลึงตาใส่เสียอีก
คู่รักชายหญิงที่เป็นเป้าหมายแทบไม่ได้อยู่ในความสนใจของจูบิลีเลย เริ่มจากการถูกคนข้างตัวที่สามารถลบความอวดดีในแบบของเทิร์กไปเป็นความอวดดีในแบบพนักงานระดับสูงของชินระแย่งเอาไปได้หมด เมื่อม่านสีแดงเปิดออก การแสดงที่เธอเฝ้าฝันว่าอยากดูมาตลอดหลังอ่านกวีนิพนธ์เรื่องโปรดมาไม่รู้ตั้งกี่หนก็แย่งเอาไปต่อจากนั้น เธอแอบเหลือบแลสายตามองคนข้างตัวที่แทบไม่ขยับเขยื้อนแล้วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา เขาคงจะเบื่อจนคิดว่าการงีบหลับยังน่าสนใจกว่า เธอไม่ควรต้องทำเป็นเซอร์ไพรส์ว่าคนอย่างซาคุมะจะดื่มด่ำกับศาสตร์และศิลป์ของละครเวทีที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับความรักเช่นนี้ ทางด้านเป้าหมายเองก็ยังนั่งประจำที่และไม่มีทีท่าว่าจะกำลังติดต่อใคร ในที่สุดจูบิลีจึงเลิกสนใจรายรอบข้าง พุ่งความสนใจไปกับเหล่านักแสดงบนเวทีแทน แต่ในช่วงพักครึ่งนั้นเอง จู่ๆ คนข้างกายเธอก็จะลุกออกไปโดยไม่บอกกล่าว เธอลังเลว่าควรจะตามไปดีหรือไม่? แต่เป้าหมายทั้งสองก็ยังคงนั่งติดที่อยู่เช่นนั้น ถ้าเกิดว่าเขาแค่ลุกไปเข้าห้องน้ำหรือหาอะไรกินมันคงจะเป็นเรื่องที่กระอักกระอ่วนสุดๆ สุดท้ายจูบิลีก็ไม่ได้ตามไป ซาคุมะเองก็ไม่ได้กลับมานั่งที่ของตัวเองอีกเลยจนจบการแสดง เพราะอย่างนั้นจูบิลีเลยไม่ต้องทนกักเก็บน้ำตาที่หลั่งรินลงมาอย่างไม่อาจห้ามในองก์สุดท้ายระหว่างหญิงสาวและคนรักของหล่อนที่กำลังจะจากไป
หญิง
คุณต้องไปจริงๆ หรือคะ?
ชาย
ผมสัญญาแล้ว คนที่ผมรักกำลังรออยู่
หญิง
ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว แต่ก็...รักษาตัวด้วยนะคะ
ชาย
แน่นอนครับ ผมจะกลับมาหาคุณ ถึงคุณอาจไม่สัญญาว่าจะรอ
ผมก็จะกลับมาโดยรู้ว่าคุณจะอยู่ที่นี่
ตามมาด้วยเสียงปรบมือกระหึ่มโรงละครที่แน่นขนัดไปด้วยผู้ชม และเธอคือหนึ่งในคนที่ลุกขึ้นปรบมือก่อนใครในที่นี้
เพราะไม่ได้พกผ้าเช็ดหน้าหรือว่าทิชชูติดตัวมาด้วย ที่จริงแม้แต่กระเป๋าเล็กๆ สักใบเพื่อใส่โทรศัพท์หรือว่ากระเป๋าสตางค์ก็ยังไม่ได้สะพายมาด้วยซ้ำ แถมน้ำหูน้ำตาก็ยังไหลไม่ยอมหยุดแม้ผู้คนจะทยอยลุกจากที่นั่งของตัวเอง รวมถึงเป้าหมายที่เธอมองเห็นผ่านม่านน้ำตาที่มัวพร่า ซาคุมะคงจะรออยู่ข้างนอกแล้ว จูบิลีไม่มีทางเลือกนอกจากใช้แขนเสื้อป้ายไปบนใบหน้าตลอดทางเดิน โชคดีที่เครื่องสำอางเป็นแบบกันน้ำ เมคอัพของเธอจึงยังคงสภาพดีอยู่ แต่มันไม่ได้ช่วยกันขอบตาและจมูกที่แดงก่ำ
ขณะที่เดินออกจากโรงละครตามหลังเป้าหมายที่ควงแขนกันพลางสนทนาในเรื่องที่เธอไม่มีทางจะได้ยิน ท่อนแขนของเธอก็จะถูกกระชากหวือ จูบิลีหลุดปากร้องตกใจเบาๆ เนื่องจากความไม่คาดคิด หากก็คิดคาดไว้อยู่แล้วว่าคนที่อาจหาญกระทำการแบบนี้ได้จะเป็นใคร
“สุภาพบุรุษที่ไหนเค้ากระชากแขนผู้หญิงแบบนี้กัน!” เธอเอ็ดอึงลอดไรฟัน พยายามหันหลบไปอีกทางหนึ่งด้วยไม่ต้องการให้คู่หูเห็นสภาพใบหน้าหลังผ่านการร้องไห้เพราะฉากในละครเวทีมาหยกๆ
“ก็นึกว่าเธอเป็นพวกชอบความรุนแรง”
เพราะคำพูดยั่วล้อทำให้เธอเผลอติดกับดักจนต้องหันขวับมาถลึงตาใส่เข้าจนได้ เสียงหัวเราะของเขาหยุดลงไปเป็นการแลบลิ้นล้อเลียนด้วยความชอบใจที่ได้กลั่นแกล้งเธอ แถมมือที่จับท่อนแขนเล็กไว้ก็ยังบีบแน่นกว่าเดิมแม้เจ้าตัวจะแสดงท่าทีฮึดฮัดเป็นการขัดขืนอยู่ในทีก็ตาม เขาโน้มใบหน้าลงมาเอ่ยคำพูดอยู่ข้างหูเธอขณะที่เดินไปด้วยกันว่า “อ๊ะๆ ขืนทำตัวโตกตากไป เดี๋ยวเป้าหมายเกิดสงสัยแล้วรู้ตัวเสียก่อน มีหวังเราได้ถูกหัวหน้าสวดยับ ดีไม่ดีเด็กใหม่อย่างเธออาจจะถูกไล่ออกเลยก็ได้นะ เธอก็รู้ว่าหัวหน้าไม่ใช่คนใจดีอย่างฉัน” เจอคำขู่ที่ชวนให้อกสั่นขวัญแขวนเข้าไป เด็กใหม่จึงได้แต่จำยอมให้คนที่มีประสบการณ์มากกว่าฉุดกระชากลากไปตามเกม จูบิลีแน่ใจได้เลยว่าใบหน้าที่กำลังร้อนผ่าวและหัวใจที่กำลังเต้นรัวแรงในยามนี้ต้องมาจากความโกรธ...ไม่มีทางใช่อะไรอื่นทั้งนั้น!
∞
พวกเขาไม่ได้กลับขึ้นรถเพราะเป้าหมายดูเหมือนว่าจะตัดสินใจเดินเท้าทอดน่องไปบนท้องถนนในเซกเตอร์ 8 ท่ามกลางแสงสีส้มสลัวตลอดผนังอิฐที่เรียงราย และป้ายนีออนของร้านรวงต่างๆ ในยามค่ำคืน ดูเหมือนว่าเป้าหมายที่มาจากนอกเมืองคงอยากจะดื่มด่ำกับบรรยากาศของย่านการค้าอันขึ้นชื่อในมิดการ์ นอกเหนือไปจากโรงละครที่จัดการแสดงเรื่อง ‘เลิฟเลส’ ประจำฤดูกาลอันลือลั่น ถึงจูบิลีจะใช้ชีวิตอยู่ในย่านเริงรมย์อย่างวอลล์ มาร์เก็ตมาแทบจะทั้งชีวิต หากเธอกลับชอบความมีชีวิตชีวาที่ไม่อึกทึกหรือว่าพลุกพล่านเกินไปของที่นี่มากกว่า จูบิลีสามารถใช้เวลาเพียงแค่เดินรับสายลมเย็นสบายไปกับแสงไฟตลอดสองข้างทาง ก่อนแวะเข้าไปในร้านอาหารหรือคาเฟ่ที่ไหนสักแห่งเมื่ออยากจะพักผ่อน ใช้สายตาเสาะสำรวจผู้คนกับเครื่องดื่มและอาหารรสชาติดีที่มีอยู่แทบทุกหัวมุมถนน เซกเตอร์ 8 ที่จูบิลีแวะเวียนมาเดือนละครั้งสองครั้งยามว่างเว้นจากการช่วยเหลืองานที่ร้านบะหมี่ ไม่ก็เวลาเบื่อหน่ายกับสิ่งรายรอบข้างส่งผลดีต่อจิตใจของเธอ จูบิลีไม่เคยมาที่นี่กับเพื่อนผู้ชายคนไหน ไม่ต้องพูดถึงพ่อของเธอที่ไม่เคยปิดร้านบะหมี่แม้แต่วันเดียวเลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้อาจฟังดูเพ้อเจ้อสำหรับหญิงสาวในแผนกวิจัยการบริหารไปสักหน่อย แต่เธอเฝ้าฝันมาตลอดว่าเดตแรกกับชายคนรักในอนาคตจะต้องเกิดขึ้นที่นี่...ในที่ที่เธอยินยอมปล่อยตัวปล่อยใจได้มากที่สุด ฉะนั้นสถานการณ์ ณ ตอนนี้จึงเป็นอะไรที่เรียกได้ว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อผู้ชายคนแรกที่จูบิลีได้ใช้เวลาร่วมกันในเซกเตอร์ 8 จะไม่ใช่ชายคนรักในอนาคต แต่เป็นผู้ชายที่เธอหมายหัวเป็นอันดับหนึ่ง! ซึ่งดูชอบอกชอบใจเหลือเกินกับการได้ถือครองหัวข้อสนทนางี่เง่าที่หาแก่นสารอะไรไม่ได้ ถึงเธอจะชักสีหน้าบึ้งตึงและทำกลบเกลื่อนด้วยคำพูดติดปากว่า “โอ๊ย! รำคาญ!” ทั้งพยายามสะบัดตัวหลบให้พ้นระยะประชิด ที่อีกฝ่ายก็คล้ายพยายามจะเข้ามาใกล้อยู่นั่น!
ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีกเมื่อเป้าหมายจะเดินเลี้ยวลด ผลักบานประตูเข้าใปในบาร์ริมทางขนาดสองคูหาในตรอกหนึ่ง จูบิลีไม่เคยเข้าไปเป็นลูกค้าในบาร์ไหนมาก่อนเพราะเธอไม่นิยมการพูดคุยกินดื่มกับคนแปลกหน้า และอีกครั้ง...ที่ประสบการณ์ครั้งแรกของเธอจะเป็นการต้องนั่งดื่มอย่างซังกะตายกับผู้ชายที่เธอหมายหัวเป็นอันดับหนึ่ง!
แทนที่จะได้ออกไปลุยภาคสนามเหมือนอย่างคนอื่นเขา แต่กลับต้องมาสืบข่าวบ้าบออะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้!
พวกเขายึดที่นั่งตรงสุดมุม ขณะที่เป้าหมายก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะหลบซ่อนตัวด้วยการจับจองเก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์ ซาคุมะจัดแจงให้เธอนั่งฝั่งตรงกันข้าม ส่วนเขายึดตำแหน่งที่สามารถมองเห็นเป้าหมายได้อย่างชัดเจนโดยไม่สนอกสนใจต่ออาการฮึดฮัดของคู่หูเฉพาะกิจเลย
หลังจากน้ำอัดลมแก้วที่สามและการหันขวับไปมองเป้าหมายไม่รู้ต่อกี่หน เธอก็บ่นงึมงำออกมาว่า “แล้วทำไมฉันถึงต้องมานั่งฝั่งนี้ด้วย!” ความหงุดหงิดน่าจะทำให้คนกลายเป็นบ้าได้จริง เมื่อเธอตัดสินใจลุกพรวดพราดไปที่เคาน์เตอร์ก่อนเดินตึงตังกลับมาพร้อมกับเบียร์เหยือกโต เพราะไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์มาก่อนเลยแทบจะคายมันกลับลงไปคืนที่เดิม ถ้าไม่ใช่เพราะคนที่จ้องมองเธอพร้อมรอยยิ้มยียวน ที่ทำให้จูบิลีคิดว่าคืนนี้เธอเสียหน้ามามากพอแล้ว จะมีอะไรเพิ่มเติมไม่ได้อีกเป็นอันขาด! เลยจำต้องกล้ำกลืนรสขมจัดลงคอไปทั้งน้ำตาที่ตกใน
“ดื่มหมดเหยือกเมื่อไหร่ เธอได้เมาไม่รู้เรื่องแน่” หากประโยคที่ทำให้เธอต้องเลิกตากว้างใส่เขาและกระแทกเหยือกแก้วลงไปบนโต๊ะก็คือ “แต่อย่างเธอคงไม่ไหวหรอก”
เสียใจด้วยที่จูบิลีไม่ใช่ประเภทยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เธอเดินกลับไปสั่งน้ำอัดลมยี่ห้อเดิมมาอีกแก้วแล้วกลับมานั่งทำตาขวางใส่ชายหนุ่มที่ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ถ้าไม่ติดว่าจะเป็นการโตกตากก็อยากยกเหยือกเบียร์ฟาดหน้าเขาสักที
“ทำไมพวกแอวะแลนช์ถึงยังไม่มานะ?” แค่เผลอหันไปมองที่เคาน์เตอร์ก็จะถูกมือหนาเอื้อมมาจับคางให้ขยับกลับไป เรียกค้อนวงใหญ่มากจากหญิงสาวที่กระเด้งตัวถดหนี
“แลกที่กันเหอะ นั่งฝั่งนี้ไม่มีอะไรให้มองเลย ฉันเบื่อจะตายอยู่แล้ว”
“ข้างฉันยังว่าง มาดิ”
จูบิลีได้แต่ระบายความขุ่นเคืองใจด้วยการดื่มน้ำอัดลมเข้าไปอึกใหญ่ เพราะเร่งรีบเกินไปเลยถูกความซ่าเล่นงานจนแสบไปทั้งลำคอ ส่งเสียงไอค่อกแค่กจนหูตาแดงไปหมด ดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้จะไม่เป็นใจเอาเสียเลย ไม่ว่าจะทำอะไรก็เพลี่ยงพล้ำต่อผู้ชายคนที่ตั้งแง่ไปเสียหมดอย่างนี้ ถึงมันจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดอยู่แล้วก็ไม่ได้ตอกย้ำชัดเจนมากเท่ากับเหตุการณ์ในค่ำคืนนี้ เป็นอีกครั้งที่เธอจะลุกไปยังเคาน์เตอร์ ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายเพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็สามารถเบิกได้ทั้งหมดในภายหลัง เป้าหมายส่งยิ้มให้เธอซึ่งเทียวไปมาเป็นภาพที่คุ้นเคย ในที่สุดฝ่ายหญิงจึงเอ่ยปากทักทายและแนะนำค็อกเทลรสชาติดีที่หล่อนกำลังดื่มอยู่ให้ ขณะรอเครื่องดื่ม จูบิลีก็ทำทีเป็นถามไถ่เพื่อสร้างความสนิทสนม หล่อนเล่าให้ฟังด้วยความตื่นเต้นว่ามาฉลองวันครบรอบแต่งงานที่นี่ พร้อมเอ่ยปากชื่นชมถึงมหานครอันกว้างใหญ่ที่ทั้งสวยงามและน่าประทับใจนี้ไม่หยุดหย่อน มันเต็มไปด้วยการเยินยอเสียจนจูบิลีนึกไม่ออกเลยจริงๆ ว่าพวกเขาจะเป็นนายทุนให้กับแอวะแลนช์ที่ตั้งใจจะทำลายบริษัทชินระ — ผู้ก่อตั้งเมืองนี้ — ได้อย่างไร?
หลังค็อกเทลแก้วแรกหมดลงอย่างเชื่องช้า พร้อมกับบทสนทนาถึงเรื่องมิดการ์และคำอวยพรสำหรับการแต่งงานเข้าปีที่สาม เธอก็คว้าแก้วลองดริงค์ที่มาสเตอร์ชงให้ใหม่กลับไปหาซาคุมะที่นั่งเอนหลังพิงเบาะโซฟาสบายใจเฉิบ เบียร์เหยือกเดิมของเธอพร่องลงไปเกินกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว กระนั้นเขาก็ยังปกติดีเหมือนว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรเลย ขณะที่ค็อกเทลรสหวานๆ เปรี้ยวๆ ที่เหมือนกับสีของชาธรรมดานั้นกลับมีพิษสงร้ายแรงกว่าด้วยจำนวนเหล้าผสมถึงห้าชนิด ซาคุมะไม่เคยเห็นเธอเมา แต่เขารู้ว่ามาสเตอร์ของที่นี่ชงค็อกเทลไม่เคยยั้งมือ อย่างน้อยๆ เมื่อแก้วนี้หมด สติของเธอจะต้องเริ่มไม่อยู่กับร่องกับรอย แต่เขาจะไม่บอกเธอ
“นายคิดว่าพวกเขาเป็นนายทุนให้แอวะแลนช์จริงๆ เหรอ?” จู่ๆ เธอก็เปิดบทสนทนาในหัวข้อที่เป็นการเป็นงาน ถึงด้วยสภาพที่นัยน์ตาเริ่มเยิ้มกับแก้มที่ฉ่ำแดงอย่างไม่ค่อยเป็นการเป็นงานสักเท่าไหร่ นั่นรวมถึงถึงเขาที่ปลดเน็กไทและไอ้กระดุมที่อึดอัดเป็นบ้ากลับมาอยู่ในสภาพแบบเทิร์กตั้งนานแล้วด้วย
“เธอยังต้องหาประสบการณ์อีกเยอะ”
“รุ่นพี่ที่ดีก็ควรสอนสิ”
“ฉันสอนเธอได้ทุกเรื่อง”
การเป็นศัตรูคู่อาฆาตย่อมหมายถึงการรู้ทันนิสัยเสียๆ ของกันและกันเป็นส่วนใหญ่ ริมฝีปากสีแดงที่ซีดจางลงไปบ้างแล้วขยับเป็นคำว่า ‘ไอ้บ้า!’ โดยไม่มีเสียง เธอเสดูดเครื่องดื่มผ่านหลอดโดยเหลือบแลสายตาไปทางอื่น หากแก้มที่ขึ้นสีชมพูเข้มนั้นดูเหมือนจะไม่ให้ความร่วมมือด้วยสักเท่าไหร่
“ว่าแต่ตอนอยู่ที่โรงละครนายหายหัวไปอยู่ไหนมา?”
รอยยิ้มของเขาดูเจ้าเล่ห์มาก แต่จูบิลีอ่านความหมายนั้นไม่ออก
“เอาดีๆ อะไร?” ความรู้สึกของจูบิลีอยู่กึ่งกลางระหว่างใคร่รู้และขุ่นเคือง กระนั้นซาคุมะก็ไม่ได้ตอบคำถามข้อไหนสักอย่าง เขายกเหยือกเบียร์ขึ้นแล้วดื่มส่วนที่เหลือจนหมดในคราวเดียว ทิ้งความสงสัยไว้ข้างในใจของคู่สนทนาที่ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ เป็นอันแน่ใจได้ว่าแอลกอฮอล์เล่นงานเธอเข้าให้แล้ว เพราะการที่เอาแต่ถามย้ำซ้ำๆ อย่างคนเซ้าซี้น่าดู แตกต่างจากเธอในยามปกติที่เลิกถามไถ่กระทั่งเรื่องลมฟ้าอากาศกับเขาไปเนิ่นนานแล้ว
แรกสุด เขาก็แค่ต้องการผูกมิตรกับเด็กใหม่อย่างเป็นกันเอง การมีผู้หญิงอยู่ในแผนกบ้างหลังจากห่างหายไปไม่รู้ตั้งกี่ปีก็น่าจะเป็นเรื่องดี เพราะมีความตึงเครียดอยู่ที่เทิร์กส์จากหัวหน้าและคู่หูของเขามากเกินพอแล้ว แต่กลับผิดคาดเมื่อเด็กใหม่ไม่ใช่สาวน้อยที่จะมาร่วมสร้างสีสันเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้เลยสักนิด ช่วงแรกๆ ที่เธอนับถือเขาเป็นรุ่นพี่อย่างนอบน้อมนั้นเป็นอะไรที่ออกจะน่าเบื่อ หากปฏิกิริยายามที่ถูกเย้าแหย่ของนานวันเข้ากลับกลายเป็นเรื่องสนุก เธอปิดบังสีหน้าและความรู้สึกของตัวเองต่อ ‘คนน่ารำคาญ’ อย่างเขาแทบไม่ได้เลย และซาคุมะก็ชอบที่เป็นแบบนั้น
แต่ต้องยอมรับว่ามันคือข้อเสียชิ้นใหญ่สำหรับงาน ซาคุมะบอกกับอิวาโมโตะและฟุคาซาวะอยู่เสมอว่าเธอไม่เหมาะกับงานสปาย ถึงอย่างนั้นอิวาโมโตะก็ยังอุตริมอบงานสปายให้เธอ จงใจให้เขาเป็นคู่หู หัวหน้าก็คิดแบบหัวหน้า คืออยากให้ลูกน้องได้มีประสบการณ์กับงานทุกรูปแบบ เพราะถึงอย่างไรในอนาคตก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ซาคุมะก็คิดแบบซาคุมะ เขาอาจดูเป็นคนจำพวกอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่กับเรื่องงานที่จริงจังเกินกว่าจะให้มีความผิดพลาดจากฝีมือของเด็กใหม่ผู้ซึ่งไม่เคยสังเกตสังกาอะไรสักอย่าง เขาเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าเป้าหมายติดต่อกับบุคคลที่สาม ผ่านเครื่องมือสื่อสารที่แอบถูกส่งต่อระหว่างช่วงพัก เด็กใหม่ดูเพลิดเพลินกับละครเวทีที่เขาไม่สนใจ นั่นจึงเป็นโอกาสอันดีให้เขาได้ลงมือด้วยตัวเอง เขาตามไอ้หมอนั่นออกไปในตรอก ได้ออกแรงบ้างพอแก้เบื่อ ก่อนชิงเอาเครื่องมือสื่อสารและส่งต่อข้อมูลทั้งหมดให้กับหัวหน้า หน้าที่ตามสืบเป้าหมายจบสิ้นลงง่ายๆ แค่นั้น
แต่จะให้พลาดโอกาสอยู่กับเด็กใหม่นอกสถานที่สองต่อสองก็ไม่มีทาง เมื่อซาคุมะรู้สึกว่าน่าจะมีเรื่องสนุกๆ รออยู่
“ไปได้แล้ว”
“เอ๊ะ! ไปไหน!” เธอรีบหันขวับไปหาเป้าหมายที่ไม่รู้ว่าลุกหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำเอาเทิร์กสาวไฟแรงซึ่งมุ่งมั่นในภารกิจทนอยู่ติดที่ไม่ไหว แต่เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์และการกระทำปุบปับ ร่างของเธอเลยซวดเซไปเล็กน้อยตอนที่ลุกขึ้น โชคดีที่คู่หูเข้ามาช่วยประคองไว้ได้ทัน และอาการปวกเปียกที่ไม่ยอมขืนขัดเมื่อปล่อยให้คนที่ตั้งแง่กอดคอพาเดินออกไป ก็ทำให้จูบิลีคิดว่าเธออาจจะเมา...เล็กน้อย
ครั้นออกจากบาร์ไปโดยไม่พบแม้แต่เงาของเป้าหมาย เธอก็เริ่มพึมพำซ้ำไปซ้ำมาเป็นทำนองว่า “แย่แล้ว! ภารกิจล้มเหลว! ฉันต้องถูกไล่ออกแน่ๆ!” อย่างคนประสาทเสีย ก่อนที่จะวกกลับมาหาคนข้างตัว ฮึดฮัดใส่เป็นการใหญ่ให้ซาคุมะต้องระเบิดเสียงหัวเราะ
“ไหนว่าเก่งนักเก่งหนา แล้วปล่อยเป้าหมายให้คลาดไปได้ไง!”
“โอเคๆ จะบอกความจริงให้ก็ได้” เพราะโดนประทุษร้ายจากท่อนแขนที่กระทุ้งใส่หน้าอกไม่ได้หยุด เช่นเดียวกับเสียงหัวเราะ ในที่สุดจึงยอมยกธงขาว “ที่จริงฉันได้ข้อมูลมาตั้งแต่ที่โรงละครแล้ว ส่งต่อให้หัวหน้าไปแล้วด้วย”
“ฮะ!” เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา สบถออกมาเสียงดังลั่น
“รู้ตัวไหมว่านายเป็นรุ่นพี่ที่โคตรจะแย่เลย!”
“ฉันถึงบอกไงว่าเธอยังต้องหาประสบการณ์อีกเยอะ”
“งั้นก็สอนสิ!”
จูบิลีจะโทษว่าเป็นเพราะค็อกเทลสองแก้ว และบรรยากาศพาไปจากดวงไฟสีส้มสลัวของท้องถนนบนเซกเตอร์ 8 ที่เธอตกหลุมรักเป็นนักหนา ทำให้ตัวเองเผลอโพล่งออกไปแบบนั้น ไหนจะคำพูด สีหน้าและท่าทางกวนประสาทซึ่งเคยเรียกความหงุดหงิดได้ทุกครั้งคราวของเขาก็ชวนให้รู้สึกแปลกไปจากทุกที สรรพเสียงระหว่างพวกเขาเงียบงันลงไป แต่เธอรู้...เหมือนที่เขาก็รู้มาโดยตลอด
มือข้างหนึ่งของเขาเปลี่ยนไปยันเข้ากับกำแพงอิฐที่อยู่เบื้องหลังเธอ จูบิลีไม่ได้ทั้งหลบสายตาหรือว่าขยับหนี แม้ประกายภายในนั้นจะสั่นไหว
แล้วเขาก็โน้มใบหน้าลงมา
_______________
ความคิดเห็น