ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #82 : Dreamlover ❛夢中人❜

    • อัปเดตล่าสุด 16 ส.ค. 66


    Dreamlover 夢中人
    Inspiration: Chungking Express (Film, 1994)
    Playlist: Wang Chung – To Live And Die In L.A. (To Live and Die in L.A. Soundtrack) / The Cranberries – Dream











    .

    เธอมักจะขนหัวลุกเสมอ เมื่อได้ยินท่วงทำนองของดนตรีนิวเวฟอย่าง ‘ทู ลีฟ แอนด์ ดาย อิน แอล.เอ.’ ของแวงชอง แว่วผ่านสายลมเข้ามายังห้องพักซึ่งจะเปิดบานหน้าต่างที่เชื่อมต่อยังระเบียงออกไปเกือบตลอดเวลาในฤดูร้อนที่อบอ้าว ไม่มีกำหนดเวลาการฟังที่แน่นอน แค่ว่าถ้าเขาเล่นมันขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จะปล่อยให้เล่นซ้ำต่อเนื่องยาวนานถึงสองสามชั่วโมง อาจครึ่งค่อนวันหรือถึงค่อนคืน โดยไม่เคยมีคำต่อว่าจากผู้เช่าห้องรายอื่น และคงไม่มีทางที่จะมี เมื่อเขาเป็นเจ้าของตำแหน่งห้องริมสุดที่ดูเหมือนจะมีเพียงเธอเป็นฝ่ายโอบรับเสียงนั้นเอาไว้ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ปกติเธอเองก็ไม่ค่อยมีปากมีเสียงอยู่แล้ว แน่นอนว่านี่ก็เป็นอีกเหตุการณ์ที่เธอไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร แค่ปิดบานหน้าต่างเมื่อไหร่ก็เป็นอันจบ บ่อยครั้งที่เธอจะเปิดโทรทัศน์เอาไว้เป็นเพื่อนขณะอ่านหนังสือ ไม่ก็ทำของหวานหรือเครื่องดื่มเป็นงานอดิเรก จนแทบไม่มีเวลาจดจ่ออยู่กับมัน เธอไม่ได้เกลียดเพลงนี้ อันที่จริงแล้วเธอรู้สึกประทับใจกับแนวเพลงที่แทบไม่เคยผ่านหูเสียด้วยซ้ำไป เพียงแต่เธอไม่เคยสนใจอยากหาคำตอบอย่างจริงจัง จนเมื่อลูกค้าที่เป็นโปรดิวเซอร์แวะมาจึงได้เข้าใจ หากนานวันเข้าเธอก็กลับรู้สึกประสาทเสียขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เหมือนความเกลียดชังที่ค่อยๆ เกาะกุมข้างในใจอย่างไม่มีเหตุผล กระทั่งช่วงเย็นย่ำของวันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังยกเก้าอี้เตรียมออกไปดูพระอาทิตย์ตกและแสงสีส้มเรืองรองตรงระเบียง พร้อมกับบทเพลงที่ชัดแจ้งยิ่งขึ้นเพราะตำแหน่งที่นั่ง พลันเธอก็จะได้เห็นเงาร่างหนึ่งร่วงหวือลงไปต่อหน้าต่อตา เหตุการณ์ปรากฏราวกับภาพสโลว์โมชั่นท่ามกลางเสียงกรีดร้องเซ็งแซ่ของผู้คนเบื้องล่างในตรอกแคบๆ และเหล่าผู้เช่าห้องพักรายอื่นๆ ที่ชะโงกหน้าออกมาดู

    ที่เธอจะรับรู้ได้ว่ามันคือลางบอกเหตุ

    โชคดีที่เธอไม่ได้จ้องสบดวงตากับเงาร่างนั้นยามร่วงหล่น มิเช่นนั้นคงขวัญหนีถึงขั้นเสียสติยิ่งไปกว่านี้ หากเลือดที่ไหลอาบพร้อมกับร่างบิดเบี้ยวแทบไม่เป็นรูปทรงยังคงติดตาเธอที่มองลงไปจากระเบียงชั้นห้า ฝังลึกลงไปข้างในหัวสมองและความทรงจำ เฉกเช่นเดียวกับบทเพลงหนึ่งเดียวในเวลานั้น ซึ่งเขาก็ยังคงเล่นมันทุกวันโดยหาได้รับรู้ความคิดของเธออย่างไม่รู้เบื่อ

    เรื่องราวถูกบอกเล่าต่อๆ กันทั่วอพาร์ตเมนต์ในภายหลังว่าเป็นเพราะปัญหาการค้ายาเสพติดที่ไม่ลงตัว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรในอพาร์ตเมนต์สีเทาๆ แห่งนี้ ในเมื่อเธอรู้ดีตั้งแต่ก่อนย้ายเข้ามาพำนักอาศัยเมื่อสองปีก่อนแล้ว เหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องยาเสพติด ลักเล็กขโมยน้อย ทะเลาะวิวาทนั้นเกิดขึ้นบ่อยทั้งแผลฟกช้ำจนถึงปางตาย น่าเหลือเชื่อที่ยังไม่เคยมีใครถึงขั้นเสียชีวิตกระทั่งมาเกิดคดีอุกฉกรรจ์เช่นนี้ขึ้น ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือมันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา จนเธอไม่สามารถทนอยู่คนเดียวในห้องของตนเองเมื่อท้องฟ้าเริ่มโรยตัวได้ นับจากวันนั้น เธอจะปิดหน้าต่างและรูดม่านผืนหนาเกือบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เมื่อไหร่ที่คิดจะล้มตัวลงนอนก็ต้องพึ่งยานอนหลับช่วยลบล้างภาพติดตา กระทั่งสติสตังของเธอจะค่อยๆ เริ่มกลับคืนมาในอีกหลายสัปดาห์ให้หลัง แม้จะยังเกิดอาการผวาเล็กน้อยและยังคงต้องพึ่งยานอนหลับอยู่บ้างเป็นครั้งคราวก็ตาม

    อย่างเช่นวันนี้ที่เธอกำลังนอนพลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่บนที่นอน ภาพเหตุการณ์ของวันนั้นหวนชัดเจนขึ้นทุกวินาที เธอเฝ้ารอจนกระทั่งบทเพลงนี้เล่นจบลงเป็นรอบที่สาม แล้วในที่สุดก็ผุดเด้งตัวลุกขึ้นทั้งผมที่ยังไม่ได้แปรง หน้าที่ยังไม่ได้ล้าง และชุดตัวเดิมจากเมื่อวานหมุนลูกบิดประตูออกไป

    แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้ทำอย่างนี้ เคาะประตูเพียงสองครั้ง กับชั่วเวลาเพียงอึดใจหนึ่ง บานประตูห้อง 508 ก็เปิดผางออก ชายหนุ่มที่มีส่วนสูงเท่ากันกับเธอก็พลันปรากฏตัวต่อหน้า ด้วยเพราะไม่คาดคิดว่าเจ้าของห้องนี้จะเป็นชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกัน เนื่องจากโปรดิวเซอร์คนนั้นยังเล่าให้ฟังว่ามันคือบทเพลงในช่วงปีแปดห้าและเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ที่มีชื่อเดียวกัน เธอเลยทึกทักเอาเองว่าเขาอาจจะอยู่ในช่วงวัยกลางคนถึงวัยดึก การณ์กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่ แถมลมหายใจของเธอก็คล้ายว่าจะขาดห้วงไปเช่นเดียวกับริมฝีปากที่เผยอค้าง

    ซึ่งอาจเนิ่นนานกว่านั้นจนบทเพลงวนเล่นใหม่เป็นรอบที่ห้าและหก ถ้าเขาจะไม่เป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นมาก่อนว่า

    “เสียใจด้วย แต่ผมไม่มีเงินพอจะจับจ่ายเพื่อของฟุ่มเฟือยอย่างอื่นนอกจากค่าห้องและค่าอาหารหรอก”




    “คัท!

    ต้องยอมรับว่าเธอไม่แปลกใจเลยที่ผู้กำกับจะแผดเสียงลั่นขึ้นมาทันทีที่นักแสดงชายเริ่มต้นประโยค หรือควรบอกว่าก็แปลกใจนิดๆ ดีที่เขายังมีโอกาสได้พูดจนจบประโยค เพราะทั้งน้ำเสียงและสีหน้าที่แสดงออกนั้นช่างเต็มไปด้วยความหยามเหยียด ซึ่งไม่ได้ใกล้เคียงกับอารมณ์ตัวละครที่เขาควรสื่อเลยแม้แต่น้อย

    “นายควรพูดเชิงถ่อมตัวและเสียใจสิ ไม่ใช่ดูถูกเธอ”

    ทั้งที่รู้ว่าไม่ควร แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าจุดรอยยิ้มน้อยๆ บนริมฝีปากที่หยักโค้งขึ้น ด้วยรู้ดีว่านั่นอาจเป็นเรื่องยากที่สุดในโลกที่เขาจะกระทำได้

    และมีเพียงคนสองคนซึ่งกำลังยืนประจันหน้ากันเท่านั้นที่รู้เหตุผล

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมองเห็นปฏิกิริยานี้จากคนที่ยังยืนอยู่เบื้องหน้าหรือด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวอยู่ก่อนแล้วกันแน่ เขาถึงได้กระแทกเสียงตะโกนกลับไปว่า “ขอโทษ อีกเทคก็แล้วกัน!” ก่อนหมุนตัวปิดประตูไล่หลังดัง ปัง! ที่ทำเอาคนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเป็นต้องสะดุ้งโหยง

    “รบกวนด้วยนะอาซาโกะจัง”

    “ไม่มีปัญหาค่ะ” รอยยิ้มแผ่กระจายเมื่อเธอผงกหัวรับอย่างว่าง่าย เดินกลับไปยังห้องที่เพิ่งจากมาอันเป็นฉากถ่ายทำเริ่มต้นของซีนนี้ ทิ้งตัวกลับลงไปนอนทั้งสภาพยุ่งเหยิงก่อนหน้าโดยไม่ต้องเซ็ตฉากหรือเมคอัพใหม่ ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล และเธอก็กล้าเอาหัวเป็นประกันเลยว่านี่จะไม่ใช่เทคสุดท้ายที่เธอต้องซ้ำรอยฉากเดิมๆ ในห้องนอนไล้แสงสีชมพูนี้ ไปจนถึงหน้าประตูห้องของเขาซึ่งไม่มีทางไกลเกินกว่าประโยคคำพูดอันยาวเหยียดนั้นอย่างแน่นอน

    ไม่ใช่เพราะเขาเป็นนักแสดงด้อยฝีมือหรือเธอเก่งมากเสียจนกล้าอาจหาญปรามาสเขา เพราะความจริงราวกับเหรียญคนละด้านเลยต่างหาก ขณะที่ฟุคุชิ อาซาโกะเข้าวงการมาตั้งกว่าสองสามปีและวนเวียนอยู่แต่กับบทบาทตัวประกอบเล็กๆ มาซาคาโดะ โยชิโนริซึ่งเป็นนักแสดงหน้าใหม่วัยยี่สิบที่เพิ่งเข้าวงการมาได้ไม่ถึงปีดีก็จะพิสูจน์ฝีมือให้ประจักษ์ กับบทบาทฆาตกรต่อเนื่องในทีวีสเปเชียลที่ต้องใช้ฝีมือเป็นอย่างมาก ทั้งนักแสดงมือเก๋าหรือผู้กำกับที่ต่างได้เคยร่วมงานด้วยก็ล้วนแล้วแต่ชมเปาะไม่มีตกหล่น หลังจากผ่านบทยากๆ เช่นนั้นมาแล้ว ไม่ว่าจะต้องเผชิญบทบาทท้าทายเช่นไหนอีก ทุกคนก็เชื่อว่าเขาสามารถทำได้

    บางที...นี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยกระมังที่ความเชื่อมั่นของทุกคนต้องสั่นคลอน ถ้าหากว่าเขายังแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันไม่ได้แบบนี้

    เธอได้แต่ซุกหน้าลงกับท่อนแขนของตัวเอง ปิดเปลือกตาลงพลางถอนหายใจออกมาราวกับการปลดปล่อยความสุขทั้งหมดทั้งมวลออกมา รอยยิ้มคล้ายเยาะหยันก่อนหน้านั้น ที่จริงก็แค่การปกปิดความรู้สึกข้างในใจที่ขมขื่นของตัวเอง

    จะว่าอะไรได้ ในเมื่อโยชิโนริเกลียดเธอเข้าไส้อย่างกับอะไร

     

    และก็เป็นจริงดั่งคาด เมื่อดำเนินมาถึงเทคที่เจ็ดแล้วเขาก็ยังไม่อาจกลั้นใจสวมบทบาทของตัวละครได้สักที ผู้กำกับจึงตัดสินใจสั่งแยกย้ายทุกคนไปพักก่อนจะขอเวลาส่วนตัวพูดคุยกับนักแสดงนำชายภายในห้องสี่เหลี่ยมกับแสงไฟสีน้ำเงินที่ถูกจัดเตรียมไว้ เป็นที่รู้กันว่างานกำกับภาพของเขาโดดเด่นในด้านการเล่นแสงสีสื่อความหมายของฉากต่างๆ ฉะนั้นมันจึงควรให้ความรู้สึกเย็นใจ แต่ดูเหมือนสิ่งนั้นจะไม่ปรากฏผ่านคนที่ขลุกอยู่กับเพลงตะวันตกของปีแปดห้าในห้องนี้ และเฝ้ารอคอยเสียงเคาะประตูซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว่าสองชั่วโมงเลย

    “ปกตินายไม่เคยเป็นแบบนี้”

    “ขอสูบบุหรี่ได้ไหม?”

    “ไม่ได้”

    แต่นักแสดงหนุ่มก็ทำเพิกเฉยต่อคำพูดของผู้กำกับถึงสองครั้งสองครา หยิบซองบุหรี่และไลเตอร์ที่วางเป็นพร็อพประกอบฉากอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาจุดสูบ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นข้างที่นอนเตี้ยๆ ซึ่งผู้กำกับฟุคาซาวะ ทัตสึยะ หรืออีกนัยหนึ่งคือลูกพี่ลูกน้องที่อายุมากกว่าเขาเกือบสิบปีกำลังนั่งอยู่ที่สุดปลาย

    “นายมีปัญหาอะไรกับอาซาโกะใช่ไหม?”

    “ถ้ามี พี่จะเปลี่ยนตัวเธอให้ผมหรือเปล่าล่ะ?”

    “คิดจริงๆ หรือว่าฉันจะเปลี่ยนตัวเธอ?” โยชิโนริตีสีหน้าเมื่อยทันทีหลังได้ยินประโยคกลั้วเสียงหัวเราะที่ชวนรำคาญใจ ถึงมั่นใจว่านายทุนคงไม่ยอมและอาจถึงขั้นเลิกสนับสนุนแน่ถ้าถอดเขาออกจากบทนำ แต่ลึกๆ เขาก็รู้ดีเช่นกันว่าพี่ชายคงไม่ยี่หระ แม้การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องยาวเรื่องแรกหลังจากงานกำกับมิวสิกวิดีโอและโฆษณาจะต้องล่าช้าออกไป

    แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่มีวันยอมด้วยเช่นกัน ค่าความไม่ชอบหน้าแปรผกผันออกมาเท่าไหร่ ก็เทียบเท่ากับความหลงใหลต่อผลงานสไตล์นีออน-นัวร์ของผู้เป็นพี่ชายมากเท่านั้น หนึ่งในเรื่องแปลกใจตลอดกาลของโยชิโนริคือการไม่ใคร่จะมีภาพยนตร์คนแสดงกับแสงสีนีออนในประเทศนี้มากนัก ทั้งที่ภาพจำของไซเบอร์พังค์อาจอยู่แค่เพียงไม่ใกล้ไม่ไกล ขณะที่ในอนิเมะหรือเกมต่างๆ กลับปรากฏฉากเหล่านั้นอยู่มากมายนับไม่ถ้วน จึงเฝ้ารอโอกาสอันดีที่พี่ชายจะโดดเข้ามารับงานกำกับภาพยนตร์อย่างเต็มตัวอยู่เสมอ ก่อนโอกาสจะบังเกิดหลังจากที่เขาได้อ่านบทหนังร่างแรกที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์และตกหลุมรักบทเจ้าของห้องสีฟ้าผู้นี้ทันที แต่ฟุคาซาวะกลับไม่คิดว่าอยากให้เขารับเล่นบทนี้เพราะคิดว่ายังขาดเสน่ห์บางอย่างของตัวละครไป ครั้นเส้นก๋วยจั๊บดูท่าจะใช้ไม่ได้ผลจึงตัดสินใจทุ่มเทเอาฝีมือเข้าสู้ในการออดิชั่นแทน กระทั่งอย่างนั้นผู้กำกับก็ยังไม่ใคร่จะเต็มใจ หากก็ต้องจำยอมเมื่อทนแรงกดดันจากทีมงานคนอื่นๆ รวมถึงนายทุนไม่ไหว

    โยชิโนริไม่เคยคิดมากกับบทบาทตัวละครที่ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อเขา เนื่องจากมันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยนักอยู่แล้วแม้แต่กับนักแสดงที่อยู่ในวงการมาหลายสิบปี กระทั่งจะได้มารับรู้ในภายหลังว่าบทบาทของสาวข้างห้องที่ดำเนินเส้นเรื่องเดียวกับเขา ได้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อฟุคุชิ อาซาโกะคนเดียว...เท่านั้น

    นักแสดงเจ้าของรางวัลอย่างเขามีความสำคัญน้อยกว่าตัวประกอบโนเนมที่พูดชื่อไปก็คงแทบไม่มีใครรู้จัก แถมยังเป็นตัวประกอบโนเนมที่เขาเกลียด รังเกียจ ขยะแขยง หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะสาธยายความชิงชังอย่างเหลือแสนออกมาได้จนน่าเจ็บใจ!

    “ฉันไม่คิดว่าเราจะต้องถ่ายซีนง่ายๆ แบบนี้กันเกินห้าเทค” ฟุคาซาวะขยับตัว เอื้อมมือมาแย่งคว้าบุหรี่ในมือของเขาไป “และฉันคิดว่าคนที่ทำผิดพลาดจะต้องไม่มีทางใช่นักแสดงเจ้าของรางวัลอย่างนายแน่ๆ” ประโยคหลังนั้นจงใจล้อเลียนเขาอย่างชัดเจน เรียกเสียงสบถยาวเหยียดที่คนบนเตียงไม่สนใจจะจดจ่อฟังด้วยความหัวเสีย แล้วเป็นต้องหัวเราะขันกับแง่มุมที่ยากจะมีใครได้เห็นเช่นนี้ ปกติโยชิโนริคือหนุ่มร่าเริงและอัธยาศัยดีที่ใครๆ ก็ตกหลุมรักได้ไม่ยากถึงอาจเพียงแค่แรกพบ ไม่แน่ว่าในกองถ่ายนี้อาจมีเพียงผู้กำกับคนเดียวที่มองผ่านเบื้องลึกที่แท้จริงไปได้ในฐานะลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมาตั้งแต่เกิด ว่าภายนอกภูเขาไฟที่งดงามน่าชื่นชม ยังมีลาวาน่ากลัวที่รอคอยวันปะทุอย่างสงบนิ่งที่ใต้แผ่นเปลือกหินเบื้องล่างอยู่ ขืนดันทุรังต่อไป เขามั่นใจได้เลยว่าต้องมีผู้รับเคราะห์ และกองถ่ายก็จะต้องอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะปัญหาความบาดหมางระหว่างนักแสดงนำที่เขาไม่ต้องการจะให้เกิดแน่

    “งั้นฉันจะพักการถ่ายซีนของนายกับอาซาโกะออกไปก่อนสักพักก็แล้วกัน”

    “แค่สักพักเองเหรอ?” โยชิโนริคล้ายว่าจะต่อรอง

    “นี่ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกนายมีปัญหาอะไรกัน แต่ไปลองคิดทบทวนดูให้ดีๆ ถ้านายเกลียดเธอมากจนคิดว่าไม่สามารถฝืนใจเล่นเป็นคนรักของเธอได้ ฉันก็อยากให้นายถอนตัวไปตั้งแต่ตอนนี้ จะว่าไปให้ฉันสลับบทของนายกับฟุคุโมโตะก็ได้นะ”

    โยชิโนริกลอกตา พึมพำว่าไม่มีทางที่เขาจะยอมทิ้งบทนี้ไปเล่นเป็นตัวละครที่เขาสาปส่งตั้งแต่อ่านร่างแรกอย่างแน่นอน

    “จะว่าไปทำไมพี่ถึงได้เลือกเธอ?”

    คนถูกถามพ่นควันบุหรี่ขึ้นเป็นสายในอากาศ สายตาทอดตรงไปโดยไม่ได้หันมาทางเขา มีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏอยู่ที่โยชิโนริรู้ได้ทันทีว่ามันคือสีหน้าแสดงความพึงใจ และนั่นก็ทำให้เขาหงุดหงิดอย่างที่สุดก่อนจะได้ยินคำตอบซึ่งยิ่งเป็นตัวขับเร้าขึ้นไปอีกว่า

    “เพราะเจ้าหญิงนิทราไง”

     

    ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของตนเองเลยแม้แต่น้อย หากผู้กำกับก็จะกล่าวขอโทษขอโพยเธอซ้ำๆ ประหนึ่งว่ามันเป็นเรื่องร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต เมื่อจำต้องยกกอง รวมถึงเลื่อนการถ่ายฉากร่วมกับนักแสดงชายที่ไม่แม้แต่จะเหลือบแลมองมาทางเธอที่กำลังยืนคุยอยู่กับผู้ช่วยผู้กำกับให้รกสายตา ในตอนที่ย่ำฝีก้าวหนักๆ ลงบันไดไป ทำเอาอาซาโกะต้องโบกไม้โบกมือ ปฏิเสธเขาด้วยคำว่าไม่เป็นไรเป็นการใหญ่เฉกเช่นกัน กระนั้นเธอก็อดคิดไม่ได้ว่า สักระยะหนึ่งอย่างที่ผู้กำกับว่า มันจะไปลงเอยที่ความพ่ายแพ้ของโยชิโนริกับการยอมทิ้งบทที่ต้องฝืนใจเล่นนี้ไป หรือที่ความพ่ายแพ้ของเธอกับการถูกนายทุนกดดันให้เปลี่ยนเอาตัวปัญหาออกเพื่อนักแสดงที่สามารถขายได้มากกว่ากันแน่?

    ถึงค่อนข้างแน่ใจว่าแนวโน้มจะเป็นข้อหลัง แต่อาซาโกะก็ไม่อยากจะถอดใจเอาง่ายๆ ในเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้คือผลงานเรื่องแรกที่เธอจะได้รับบทเป็นหนึ่งในตัวละครหลัก หลังจากวนเวียนอยู่กับบทบาทตัวประกอบเล็กๆ มาโดยตลอด เธอกรีดร้องออกมาลั่นห้องจริงๆ เมื่อเอเจนซี่ติดต่อมาโดยไม่คาดคิด ก่อนความประหลาดใจจะเข้าแทนที่เมื่อได้พูดคุยกับผู้กำกับวัยสามสิบผู้นี้ตัวต่อตัว จากเหตุผลที่ว่าเขาเลือกเธอเพราะผ่านตาโฆษณาไอศกรีมคอนเซปต์ เจ้าหญิงนิทราที่ออกอากาศทั้งหมดสามชุด ชุดละสามสิบวินาที ซึ่งเธอถ่ายไว้ตั้งแต่ตอนอายุยังน้อยที่เธอเพิ่งจะเข้าวงการใหม่ๆ อาซาโกะกล้าเอาหัวเป็นประกันเลยว่าไม่มีใครในประเทศนี้คิดว่าคอนเซปต์ เจ้าหญิงนิทราที่พวกเขาหมายถึงจะไม่ใช่แบบภาพยนตร์ของวอลต์ ดิสนีย์ หากเป็นผลงานจากปลายปากกาของยาสึนาริ คาวาบาตะต่างหาก! เธอไม่ได้หน้าม้านเพราะเนื้อหาของนวนิยายอีโรติกที่ตรงไปตรงมานั้น แต่เป็นเพราะเรื่องราวเหนือความคาดหมายในชีวิตจริงที่เธอได้เผชิญ ทั้งการต้องเปิดเผยเนื้อหนังวับๆ แวมๆ และท่าทางยั่วยวนที่ยิ่งส่อไปในทางเพศอย่างชัดเจนหลังจากการตัดต่อสุดท้าย เป็นผลงานเดียวในชีวิตที่อาซาโกะไม่เคยย้อนกลับไปดูและตัดสินใจฝังกลบมันให้ลึกสุดหยั่ง หลังวิงวอนขอร้องต่อพระเป็นเจ้าแทบจะทุกโมงยาม ในที่สุดโฆษณาชิ้นอัปยศนี้ก็ถูกแบนหลังออกฉายไปได้ไม่ถึงสัปดาห์ คงหลงเหลืออยู่แต่ในเว็บบอร์ดใต้ดินซึ่งไม่เป็นที่นิยมนัก จนเมื่อฟุคาซาวะหยิบยกมันขึ้นมา เธอก็สำลักน้ำมะนาวที่กำลังดื่มอยู่จนแสบหูแสบคอไปหมด อาซาโกะไม่คิดว่าอยากเล่นบทที่ต้องเปลืองตัวแบบนั้นอีกแล้ว แต่การที่เขามอบโอกาสทางการแสดงอันหาได้ยากยิ่งมาให้โดยไม่ต้องผ่านการออดิชั่นเหมือนอย่างนักแสดงดังคนอื่นๆ ที่ถึงแม้ว่าเธออาจไม่ได้ประกบด้วยเส้นเรื่องที่แบ่งเป็นสอง กระนั้นการได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องเดียวกันก็มากพอที่อาซาโกะจะโยนปณิธานทิ้งไปให้ไกล การสวมบทบาทเป็นโสเภณีและเล่นฉากเลิฟซีนที่ไม่มากไปกว่าการจูบ ถูกสัมผัส หรือเปลือยแผ่นหลังให้กับผู้ชายสามคนที่รับบทลูกค้า ยังไม่ทำให้อาซาโกะรู้สึกอึดอัดใจได้เท่ากับการจินตนาการถึงฉากรักที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก หลังจากรู้ว่านักแสดงชายคนใดที่ได้รับบทนี้ไป

    รอยยิ้มที่หุบลงไปในวินาทีที่พบหน้าเธอครั้งแรก และอาจเป็นครั้งแรกเช่นกันที่ได้รู้ว่าเธอเป็นเจ้าของบทคนรักข้างห้องของเขา ยังติดตรึงอยู่ไม่หาย

    โยชิโนริไม่ได้พูดมันออกมา หรืออันที่จริงต้องบอกว่าเขาไม่เคยปริปากพูดกับเธอเลยสักคำแม้แต่คำทักทายหรือบอกลา แต่อาซาโกะก็เข้าใจได้ถึงความหมายที่เขาต้องการให้เธอเป็นฝ่ายถอนตัวจากบทนี้ รวมถึงเรื่องนี้

    ถึงในใจเธอจะรู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึกๆ แต่ปัญหาส่วนตัวของเขา ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องเป็นคนรับผิดชอบด้วยการเสียสละบทนักแสดงนำครั้งแรกที่เฝ้าฝันมาตลอดไม่ใช่หรอกหรือ?

     

    “ขึ้นมาสิ”

    เป็นผู้กำกับที่เลื่อนกระจกรถฝั่งคนขับลงมา ชักชวนนักแสดงสาวที่กำลังเดินก้มหน้ากดมือถือด้วยเสียงแตรให้เงยมอง อาซาโกะส่งเสียงร้อง “อ๊ะ! คุณผู้กำกับ!” ผ่านใบหน้าสดใส กลั้วไปกับเสียงหัวเราะบางเบา ในตอนที่พารองเท้าผ้าใบส้นเตี้ยไปหยุดอยู่ข้างพาหนะคันสีดำที่ขึ้นเงาวับ

    “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเรียกแท็กซี่ได้”

    “ขึ้นมาเถอะ ฉันไปส่งเอง”

    ด้วยไม่ใช่คนชอบการโต้เถียง อาซาโกะจึงไม่ขัดศรัทธา หย่อนเครื่องมือสื่อสารเก็บกลับลงไปในกระเป๋าสะพายใบเล็กที่สวมไหล่ แล้วเปิดประตูขึ้นไปนั่งข้างคนขับพร้อมกล่าวขอบคุณในขณะที่พาดเข็มขัด ฟุคาซาวะรั้งรอจนเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มต้นเหยียบคันเร่งออกไปบนท้องถนน พ้นจากส่วนของอพาร์ตเมนต์คร่ำครึ ซึ่งอาซาโกะพอจะเรียกได้ว่าคุ้นเคยแล้วหลังจากถ่ายฉากในห้องของเธอมาได้หลายสัปดาห์ บทของเธอเกินกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์อยู่แต่ในอพาร์ตเมนต์นี้ อาจสลับระหว่างห้องสีชมพู...และสีฟ้าบ้างในภายหลัง ตรงกันข้ามกับโยชิโนริที่มีซีนนอกสถานที่เยอะกว่า เพราะบทบาทของหนุ่มนักศึกษาที่รักความอิสระเสรี ทั้งยังเป็นตัวเชื่อมเส้นเรื่องทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกัน พวกเขาอาจเพลิดเพลินกับการถ่ายทำฉากแยกของใครของมันมากเสียจนไม่ทันตระหนักว่าการเข้าฉากร่วมกันเป็นครั้งแรกจะเละเทะไม่เป็นท่าขนาดนี้

    ที่อาซาโกะต้องขอย้ำว่าความเละเทะส่วนใหญ่มาจากคู่กรณีของเธอต่างหาก

    “ขอโทษอีกครั้งนะที่ทำให้ต้องลำบาก”

    “ฉันพูดคำว่าไม่เป็นไรเยอะเท่ากับที่คุณผู้กำกับพูดว่าขอโทษหรือยังคะ?” เธอแกล้งเย้า จนอีกฝ่ายเองก็เปล่งเสียงหัวเราะขบขันออกมาได้

    “กับโยชิโนริ รู้จักกันมาก่อนใช่ไหม?”

    “ค่ะ” ไม่เห็นว่าควรจะปกปิดไปเพื่ออะไร ในเมื่อการกระทำของเขามันก็ทนโท่อยู่แล้ว “อยากรู้อะไรก็ถามมาได้เลยนะคะ ถ้าตอบได้ฉันก็จะตอบ”

    “เรื่องนั้นไม่จำเป็น” เขาว่า “ฉันแค่อยากให้เธอรู้ว่าไม่ต้องห่วง ยังไงบทนี้ก็ต้องเป็นของเธออยู่วันยังค่ำนั่นแหละ”

     











    2021年10月14日
    _______________
     กูนี่แหละเคยพูดเองว่าเพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับหนัง ถ้าแปลงมาก็ต้องเลือกสายนักแสดงเท่านั้น แต่กูแต่งเอง แปลงเอง หน้าด้านแถเองว่ากูก็เลือกจอห์นนีส์สายนักแสดงมาแล้วกันวะ! (แต่จริงๆ ก็ได้แสดงกันทั้งค่ายแหละ เก่งจริงบ้าง ขายพ่วงบ้าง ก็ว่ากันไป) ที่กูเปลี่ยนจากเก็นตะมาเป็นมาซาคาโดะแค่เพราะกูจะเลือกคนหล่อที่หน้าไทป์เดียวกันมาให้มึงเฉยๆ ซึ่งกูก็ต้องดันวงเมนกูไหมล่ะ! ที่ก็บังเอิญว่าบทพระเอกที่วางไว้ตั้งแต่ต้นคือเจ้าของห้องสีน้ำเงิน แล้วมาซาคาโดะก็สีน้ำเงินพอดีเว้ย! ตอนกูหารูปก็คิดว่าอีเหี้ยเอ๊ย! หล่อมาก! หล่อจริง! คนอะไรวะหล่อชิบหาย! ตัวท็อปคันไซอยู่นี่เองเรอะ! ถ่ายกี่แมกก็หล่อ คอนเซปต์ก็โคตรดี ไม่อยากจะเชื่อเรยส์ ไค่หัวนิ
     ส่วนรูปคอมมิชก็จากคุณพอยดอลี่คนดีคนเดิมของกูเองจ้า สวยงามตามท้องเรื่อง ใจอยากให้เห็นความรุ่มรวยหรูหราของญี่ปุ่นยุคเก่าเลยเลือกฉากหลังเป็น high-rise (ไม่ใช่ตึกที่ถ่ายหนังเรื่องนี้หรอก อันนั้นกระจอก) ที่จริงๆ กูบอกไปว่าขอแบบฮ่องกงต่างหาก อิอิ แต่มันก็ญี่ปุ่นได้แหละ ไทยเกาหลียังได้ โว๊ะ! ส่วนชุดเอามาจากของอันยา แต่เปลี่ยนสี (อีเหี้ยกูจะโดนฟ้องบ่านิ) เน้นความโอกูตูร์ สรุปก็คือในภาพมีแต่ความดูดีมีระดับ ไฮโซกระซิบ ก๊อซซิปกระซิบ ถึงแม้ว่าพล็อตนี้จะมีแต่ความจ๊นจน และงานภาพในหนังที่พี่ฟุกกะทำอาจไม่ได้วิบวับแบบนี้หรอก เผลอๆ อาจแตกเป็นนอยซ์ (หยอกๆ จ้า จริงๆ คุณตะพาบดีมาก ถ่ายแบบ 4K ลงแอมะซอนไพรม์) แต่แร้วไง กูอยากเห็นอะไรก็บรีฟไปเท่าที่ใจอยากทำ จริงๆ ขอโทนสีน้ำเงินไป แต่พอติดเขียวมาแล้วกูก็ว่าเอ้อสวยดีเลยไม่ได้ให้แก้อะไร ก็เงี้ยแหละ นักวาดวาดอะไรกูเออออหมดอ่ะ 55555
     มาฟังกูโม้หน่อยว่ากูก็แต่งเรื่องแสงสีก่อนตามจอห์นนีส์อีก ไม่ได้ก็อปใครด้วย ไม่ได้ก็อปมึงด้วยเพราะเราตีกันอยู่แล้วกูจะไปอ่านฟิคมึงทำไม (ไม่ใช่ว่าเกลียดแต่จริงๆ แอบอ่านฟิคเค้าทุกเรื่อง เกลียดคนแต่ง ด่าพล็อตที่เค้าแต่งก็ยังสไลด์เข้ามาอ่าน ว่างดีเนอะ แหวะ เกลียดอีพวกตอแหล) แค่เพราะตอนนั้นอินกับทูโอลด์ทูดายยังของคุณนิโคลัสพ่อกูเอง แล้วมันนีองนีออนอะไรก็ว่าไป (คนนี้คือคนที่ทำให้กูชอบงานภาพแบบนีออนจริง ตั้งแต่เรื่องไดรฟ์ กูจำได้เลย ตอนได้ดูน่าจะประมาณ 7-8 ปีที่แล้ว กับเรื่องทรอน: เลกาซี่ ไม่เคยหวังจะเขียนแต่หนังแมส หนังคัลท์ หนังแอสกะติกให้คนมาอวยว่าฉลาดหรือทำเหมือนมีรสนิยม ชอบอะไรก็กล้าเขียนหมด เพราะใครๆ ก็รู้ว่ากูคอหนังเกรดบี) เลยอยากลองแต่งฉากแบบนีออน ละก็บังเอิญได้พล็อตมาจากหนังหว่องที่ตอนนั้นหยิบสตาร์พิคส์มาอ่านพอดี เพราะเราสองคนเก่งไง จับโน่นนี่มายำมั่วๆ ได้หมด และเพราะในหนัง (ของฟิคเรื่องนี้) มีการใช้สี กูเลยตั้งชื่อให้ตัวละครในหนังมีนามสกุลเป็นสีที่เกี่ยวข้องหมดเลย สาบานว่าคิดไว้ตั้งแต่แรกสุดเลย ปีสองปีก่อนโน่นแล้วดังนี้ * อาซาโกะ-มุราซากิ เชอรี่ / มาซาคาโดะ-อาโออิ คาโอรุ / พระเอกสอง-อาคาบาเนะ ชูเซ / นางเอกสอง-คิเสะ มาริเอะ * ฮู่ว! ส่วนบทของพระนางอีกสองคนจะอยู่ที่ร้านอาหารเหมือนชุงกิ้ง (เสียใจมากที่ไม่ได้ไปดูเรื่องนี้ในโรง ตอนนั้นอยู่เชียงราย งานยุ่งมากปลีกตัวไม่ได้ ถึงจะมีแผ่นอยู่แล้วแต่กูก็เสียใจ U_U) ละสีนางเอกสองคนคือควรสลับบทกูมึงไหมวะ คนนึงชมพูม่วง คนนึงเหลือง อ้าวกรรม 55555 แต่เอาจริงๆ คือไม่มีพล็อตหลักในหัวเลย แค่ตอนนั้นมันคิดฉากตอนต้นนี้ขึ้นมาได้ก็แต่งเลย อย่างที่มึงเคยถามว่าทำไมพระเอกถึงเกลียดนางเอก เอาจริงๆ คือกูก็ไม่รู้ กูคิดแค่ให้สองคนนี้เป็นแฟนเก่ากัน แต่เหตุผลที่เกลียดขนาดนั้นคงเพราะเรื่องที่ไปถ่ายเจ้าหญิงนิทรามั้ง คิดว่าใช่ แต่มันต้องโกรธขนาดนี้เลยเหรอวะ กูคนแต่งก็งง หัวร้อนอะไรขนาดนั้น คุยกันดีๆ ก็ได้ เป็นเรื่องที่เคยอยากแต่งต่อแต่ทั้งไฟทั้งพล็อตมันมอดไปพร้อมๆ กัน เลยตัดสินใจเอาเพลงที่เป็นแรงบันดาลใจด้วยมาลงให้จบๆ
     เดือนสองที่กูโม้ว่ามีพล็อตจาก 2046 ล่วงเลยมาจนตอนนี้ยังไม่มี แต่พล็อตยังอยู่ในหัวอยู่เลย เป็นเจสสี้กับโฮคุโตะในญปยุค 60s ด้วยนะโว้ย! (แบบโฮคุโตะเป็นนักเขียนด้วยนะ กรี๊ดมากอยากแต่ง) ละเดือนก่อนโฮคุโตะก็ถ่ายแมกใหม่ในพิพิธภัณฑ์มั้งแล้วมีคนอีดิทเป็นโปสเรื่อง 2046 กูนี่คันไม้คันมือมาก แต่ถามว่าจะมีวันได้เห็นไหม กูคนแต่งก็ขอตอบแทนเลยว่าไม่ อีสัส พับๆๆ ไปหมดแล้ว สโตนส์ไปหมดแล้ว หมายถึงกูมึงเทหมดแล้ว o<--<
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×