ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #145 : MAFIA 3: Poetry in Motion

    • อัปเดตล่าสุด 16 ส.ค. 66


    Poetry in Motion
    Inspiration: Mafia III (Video Game, 2016) & Once Upon a Time In Hollywood (Film, 2019)
    Playlist: The Supremes – Baby Love


    ★ อรรถาธิบายที่อยากเอามาใส่ข้างบน 
    - เจสซี่เจอลอเรต้าครั้งแรกในปี 1961 ถูกเรียกไปรบในปี 1964 เป็นเวลาสี่ปี เพราะฉะนั้นเนื้อเรื่องจึงเกิดในปี 1968
    - ภาพปกของ The Midwich Cuckoos มาจากฉบับพิมพ์ครั้งแรกในอังกฤษ link
    - ตอนใน The Twilight Zone ที่ลอเรต้ากับเจสซี่พูดถึงคือตอน Two ฉายวันที่ 15 กันยายน 1961
    - ส่วน The Flintstones ฉายวันศุกร์เหมือนกันแต่เช้ากว่าและคนละช่อง
    - หนังที่ไปดูคือเรื่อง The City of the Dead เพราะหาหนังสยองที่เข้าฉายช่วงนั้นก็เจอเรื่องนี้ เข้าฉายวันที่ 30 สิงหาคม 1961










    .

    แต่ไหนแต่ไร เจสซี่ ลูอิสก็ไม่เคยนึกชอบบรรยากาศความครื้นเครงของเทศกาลมาร์ดิกราส์ที่เขาคิดว่ามันช่างแสนจะรุ่มรวยอย่างเปลืองเปล่า เฉกเช่นเดียวกับวัฒนธรรมและเศรษฐกิจขับเคลื่อนของนิวบอร์โดซ์ ลงลึกไปกว่านั้นคือมาตุภูมิที่เขาได้หวนกลับมาสู่ หลังปลดประจำการจากสงครามเวียดนามตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่าน ในสนามรบที่มีเพียงภาพความหดหู่และโหดร้าย ได้เปลี่ยนให้ความมีชีวิตชีวาที่อดีตเด็กหนุ่มในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเคยเดียดฉันท์เป็นนักหนากลายเป็นสิ่งน่าอภิรมย์ ขณะที่ทอดสายตาออกไปภายนอกบานกระจกใสของบาร์ริมถนน เป็นความคุ้นเคยที่ไม่คุ้นชิน กระนั้นก็ไม่ได้ยากเย็นเกินไปนัก

    รสชาติของเบียร์โอลด์เอมพิริคอล และบรรยากาศแบบกาลครั้งหนึ่งเป็นตัวกระตุ้นความทรงจำอันแสนสุขที่ดี หลังจับเจ้าโมบี้ ดิ๊ก เบิร์กลีย์ อัลตามอนต์สภาพดีเยี่ยมที่ถูกพาบึ่งมารับเจ้าของผู้จรจาก แล้วปล่อยให้เขาขับมันตะลุยรอบเมืองเหมือนเมื่อครั้งวันวานยังหวานอยู่ พี่ชายแท้ๆ ที่ถูกรับอุปถัมภ์มาพร้อมกันตั้งแต่ยังเล็กก็ทิ้งเขาไว้ที่บ้านกับพ่อแม่บุญธรรม เพื่อหลีกเลี่ยงฉากน้ำตาของนางบาร์บาร่าที่ฟูมฟายน่าดูกับการได้พบหน้าลูกชายคนเล็กที่เฝ้าหวงและห่วง จนเจ้าตัวต้องกลับเป็นฝ่ายปลอบใจเสียเองอยู่นานสองนาน กระทั่งหล่อนเริ่มต้นถามไถ่ถึงชีวิตในสมรภูมิที่เขาไม่ใคร่จะอยากพูดถึงสักเท่าใดนักแล้ว นายอลันที่เคยผ่านสงครามมาก่อนเมื่อครั้งยังหนุ่มกว่านี้และเข้าใจหัวอกถึงสิ่งที่ลูกบุญธรรมได้เผชิญจึงตัดบทสนทนา ไล่เขาไปพักผ่อนเอาแรงเนื่องจากเพิ่งเดินทางกลับมาเหนื่อยๆ แทน เช่นนั้นแล้วนางบาร์บาร่าจะกล้าคัดค้านได้อย่างไร ทั้งที่เขาไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเหมือนคำอ้างจากพ่อเลยแท้ๆ แต่ครั้นเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนที่สุดทางเดินบนชั้นสอง ไม่ว่าจะโปสเตอร์รถมอเตอร์ไซค์กับวงร็อคที่เคยแปะฝาผนังห้องตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่น กองนิตยสารประเภทเดียวกัน เสื้อผ้าในตู้จำนวนไม่มากที่แขวนเรียงราย รวมถึงวิทยุและโทรทัศน์ที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิม ก็ไม่เชิง...อันที่จริงมันอยู่ในสภาพที่เป็นระเบียบกว่าเดิมมากกว่าคำว่านิดหน่อย คงเพราะนางบาร์บาร่าหมั่นเข้ามาทำความสะอาดเป็นประจำ ไม่เหมือนกับตอนที่เขายังอยู่และค่อนข้างจะหวงความเป็นส่วนตัวจนไม่ค่อยจะยอมเปิดห้องต้อนรับใคร แม้แต่กับพี่ชายที่สนิทกันมากก็ตาม เมื่อทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ กับหมอนที่รองรับน้ำหนักศีรษะของเขาได้อย่างเหมาะเจาะ ไม่มีอะไรเหมือนหอนอนหรือบางทีก็เต็นท์เพื่อให้มีที่ซุกหัวนอนไปวันๆ อย่างเช่นที่เป็นมา เจสซี่ก็ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย

    มาสะดุ้งตื่นเอาก็ตอนที่ท้องฟ้าภายนอกเริ่มกลายเป็นสีส้ม เขายังคงฝันร้ายถึงสงครามอัปยศที่คร่าชีวิตหรืออาจจะเป็นชิ้นส่วนของสหายร่วมรบต่อหน้าต่อตาไปมากมายนับไม่ถ้วน โชคดีแค่ไหนแล้วที่เอาตัวรอดกลับมาได้ในสภาพที่ยังครบสามสิบสอง เหงื่อกาฬไหลท่วมตัวจนเจสซี่ต้องรีบถอดเสื้อกล้ามที่สวมใส่ออก ลุกไปอาบน้ำล้างเนื้อตัว ความสุขสบายของการได้อ้อยอิ่งอยู่ใต้ฝักบัวโดยไม่ต้องรีบร้อนนี้ก็อีก กว่าที่เขาจะขยับพ้นจากสายน้ำอุ่นสบายมาแต่งตัวเพื่อไปตามนัดของจอห์นนี่ ความมืดมิดซึ่งถูกแทนที่ด้วยแสงไฟสังเคราะห์ก็มาเยือนแล้ว

    อีกครั้งที่เจสซี่ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดใจกับการที่ต้องขับรถจากย่านเดลเรย์ฮอลโลว์ แล้วข้ามฝั่งไปยังเฟรนช์วอร์ดเลยแม้แต่น้อย ขนาดเพลงโซลที่ไม่ตรงต้องรสนิยมยังฟังระรื่นหู ไม่ต่างจากเดอะ บีช บอยส์ที่เขากับจอห์นนี่นิยม น่าตลกดีที่สงครามเปลี่ยนทัศนคติของเขาต่อโลกที่น่าเบื่อหน่ายไปอย่างสิ้นเชิง พอคิดถึงตรงนี้ก็อดหัวเราะเบาๆ กับตัวเองไม่ได้ ขณะยกขวดเบียร์ขึ้นจ่อขอบปาก ก่อนแทบจะต้องสะอึก

    “เจสซี่ ลูอิส!” เสียงตะโกนเรียกชื่อเขาเต็มยศไม่เคยจะน่าฟังเท่านี้มาก่อน หลังโบกมือเร็วๆ ผ่านกระจกที่กั้นกลางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส ราวกับแสงสว่างอันเจิดจ้าที่สุดบนท้องถนนของเฟรนช์วอร์ด ร่างอันผอมบางของหล่อนก็จะผลักบานประตูเข้ามานั่งลงบนโซฟาหนังลอกล่อนที่คนละฟากฝั่งกับเขา ส่งน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจไม่ได้หยุดว่า “โอ้พระเจ้า! เจสซี่ ใช่เธอจริงๆ ด้วย เหลือเชื่อ! กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่! ทำไมถึงไม่บอกกันบ้างเลย!”

    อาจยกเว้นกับสิ่งที่น่าอภิรมย์อยู่แล้วซึ่งจะยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก

    “ก็...วันนี้”

    “ให้ตายสิ ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องเลยนะ?” หล่อนพึมพำ แม้อาจใกล้เคียงกับการเอ็ดอึงอย่างไม่ได้ถือสาว่าใคร “แล้วนี่เธอมาคนเดียวเหรอ?”

    “เปล่าครับ ผมนัดกับจอห์นนี่ไว้” มันช่วยไม่ได้ แต่ก้อนน้ำลายในคอเขาก็ดันฝืดเคืองขึ้นมาเสียเฉยๆ “แล้วคุณล่ะ?” ทั้งที่คำตอบกำลังยืนสูบบุหรี่พิงเสาฝั่งตรงกันข้ามด้วยใบหน้าไม่สื่ออารมณ์ ขณะมองผ่านเข้ามายังเขาและโดยเฉพาะหล่อนในบาร์เล็กๆ แห่งนี้ แต่ความประหม่าที่ตรงเข้าเล่นงานชายชาติทหารก็ส่งผลให้คำพูดโง่เง่าเลื่อนไหลออกมาโดยไม่ผ่านการกลั่นกรอง

    “ฉันมากับโนเอล แล้วก็เพื่อนที่ฮอลลีวูดอีกสามสี่คนน่ะ ที่จริงคืนนี้พวกเรากะว่าจะนัดกินดื่มกันประสาสาวๆ แท้ๆ แต่พอมีชื่อโนเอลเข้ามาทีไร พวกหล่อนก็ดี๊ด๊าเกินหน้าเกินตาทุกที เชื่อไหมล่ะ?”

    หรือแม้แต่เรื่องไร้สาระที่สุด หล่อนก็เป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำให้คนขี้รำคาญอย่างเขารู้สึกเพลิดเพลินไปกับมันได้

    ความรู้สึกที่ผกผันนี้ไม่ได้เพิ่งจะมาเริ่มต้น หากเกิดขึ้นอย่างเนิ่นนานตั้งแต่ก่อนเขาจะไปรบที่เวียดนามเสียอีก...

     

    มันเกิดขึ้นตั้งแต่วินาทีที่เขาได้พบหน้าหล่อนเป็นครั้งแรกเมื่อตอนอายุสิบหก สมัยที่ยังทำพาร์ทไทม์เป็นพนักงานบริการอยู่ที่สโมสรเรือยอชท์ในช่วงสุดสัปดาห์ ตรงกันข้ามกับหล่อนที่เป็นสมาชิกเหนือกว่าระดับวีไอพีเสียด้วยซ้ำไป โลกของชนชั้นกรรมกรอย่างเขาและอีลีตอย่างหล่อนไม่ควรจะมีวันบรรจบ ในเมื่อพวกคาวาชิมะเปรียบได้กับตระกูลผู้ครองจักรวรรดิในนิวบอร์โดซ์ แก๊งน้อยใหญ่แทบทุกเขตล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้อำนาจของพวกเขาทั้งสิ้น เจสซี่ทำได้แค่เพียงมองดูดอกฟ้าจากที่ไกลๆ กระทั่งระยะห่างจะเคลื่อนใกล้เมื่อพี่ชายของหล่อนเรียกตัวเขาไว้หลังจากนำเครื่องดื่มไปบริการ บนโต๊ะสีขาวนอกตัวอาคารที่นอกจากหัวหน้าและทายาทคนโตของตระกูลมาเฟียอันดับหนึ่งแล้ว ก็ยังมีสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐลุยเซียนาร่วมเจรจาพาทีในหัวข้อที่เจสซี่ไม่คิดจะกล้ำกราย นั่นเป็นหนึ่งในกฎสำคัญของพนักงานระดับล่างที่นี่ ถ้าหากว่าไม่อยากจะลงเอยกลายเป็นศพในมิสซิสซิปปีเหมือนที่เคยมีตัวอย่าง

    “นาย น้องของจอห์นนี่ใช่ไหม?”

    ถึงจะแปลกใจไม่น้อยว่าชายระดับสูงผู้นี้ไปรู้จักกับพี่ชายของตนได้อย่างไร แต่เจสซี่ก็เพียงผงกหัวรับอย่างสุภาพ

    “แปลว่าหมอนี่ไว้ใจได้ครับพ่อ” เขาตวัดใบหน้าหันไปหาบิดาที่ไม่ได้ปริปากหรือแสดงออกว่าอย่างไร ขณะที่เจสซี่ก็ไม่อาจหาญจะมองใบหน้าของผู้ใดยกเว้นคู่สนทนา “ไปตามหาน้องสาวของฉันแล้วพาไปส่งที่บ้านให้ที ถ้าไม่อยู่ที่ห้องโถงก็ลองไปดูแถวๆ ที่ที่มีเสียงเปียโน บอกเธอด้วยว่าเย็นนี้ฉันกับพ่อคงจะกลับดึก”

    “ได้ครับท่าน” เจสซี่ตอบรับคำสั่งอันน่างงงวยนั้นโดยไม่กล้าจะมีคำถาม อย่าว่าแต่พวกคาวาชิมะเลย ต่อให้เป็นคำสั่งของลูกค้าสโมสรที่มียศถาบรรดาศักดิ์น้อยกว่านี้มาก พนักงานระดับล่างอย่างเขาก็ขัดไม่ได้

    เจสซี่เสียเวลาเดินตามหาตลอดชั้นล่าง ก่อนจะพบเด็กสาวผู้นั้นในชุดกระโปรงสีส้มเข้ากับถุงน่องและรองเท้ารัดส้นสีเดียวกันที่ชั้นบน แค่เห็นจากด้านหลังเขาก็จดจำหล่อนได้ทันที ในเมื่อการเฝ้าดูหล่อนทุกครั้งคราวที่มายังสโมสรพร้อมกับครอบครัวก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นกิจวัตร ขณะนั้น หล่อนกำลังนั่งเอนหลังอยู่บนโซฟาพร้อมกับหนังสือเล่มเล็กในมือ ไม่ห่างจากแกรนด์เปียโนที่กำลังบรรเลงสร้างเสียงเพลงอยู่ทั่วบริเวณอย่างที่พี่ชายของหล่อนว่าเอาไว้จริงๆ ครั้นขยับฝีเท้าไปยืนอยู่ข้างหล่อน ริมฝีปากสีส้มของใบหน้าที่เงยขึ้นจดจ้องมองก็จะขยับส่งคำถามด้วยน้ำเสียงแรกที่เคยได้ยินอย่างสุภาพและแสนจะไพเราะว่า “มีเรื่องอะไรให้ช่วยไหม?” และนั่นเรียกอาการประหม่ายิ่งกว่าตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับบิดาและพี่ชายผู้ทรงอำนาจของสาวน้อยหน้าตาสะสวยรายนี้เสียอีก แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้อ้าปากละล่ำละลักพูดอะไร หล่อนก็จะเปลี่ยนไปเอียงคอคล้ายครุ่นคิด จากนั้นจู่โจมด้วยคำถามใหม่โดยไม่รั้งรอ “ที่จริงฉันมีเรื่องอยากถามตั้งนานแล้วแต่ว่าหาโอกาสไม่ได้สักที แต่เธอบังเอิญมีญาติพี่น้องเป็นพนักงานรับรถที่โรงละครหรือเปล่า?”

    “พี่ชายของผมทำงานอยู่ที่นั่นครับ” เจสซี่อยากลุกขึ้นปรบมือให้กับตัวเองเหลือเกินที่ยังรักษาระดับความเป็นปกติเอาไว้ได้

    “ว่าแล้วเชียว!” กลับเป็นหล่อนที่แสดงท่าทีลิงโลด อย่างกับผู้เข้าแข่งขันในเกมทายคำตอบทางโทรทัศน์อย่างไรอย่างนั้น “มิน่าล่ะ เขาหน้าคล้ายเธอมากเลยนะ”

    ขนาดยามเปล่งน้ำเสียงหัวเราะของหล่อนยังจับใจ เจสซี่เกือบจะลืมคำพูดทั้งหมดในโลกไปแล้วด้วยซ้ำ ถ้าหล่อนไม่ได้เอ่ยย้ำคำถามแรกสุดอีกครั้งให้เขาได้รู้สึกตัว

    “พี่ชายของคุณหนูวานให้ผมไปส่งที่บ้าน แล้วบอกว่าวันนี้คงจะกลับดึกหน่อยครับ”

    “ฉันคิดว่าเราน่าจะอายุพอๆ กัน ฉะนั้นช่วยหยุดพูดจาน่าขนลุกแบบนั้นที ขอร้อง!” รอยยิ้มสวยถึงก่อนหน้าพลันหุบลงไปอย่างรวดเร็ว พับสันหนังสือปิดฉับด้วยอารมณ์รุนแรงอย่างไม่กลัวว่ามันจะเสียหาย เผยให้เห็นปกเด็กหนุ่มที่นอนหลับตาบนพื้นอยู่ข้างนกในกรงของ 'เดอะ มิดวิช คุกคูส์' ที่มองอย่างไรก็ไม่น่าตรงต้องกับรสนิยมซึ่งเขาวาดภาพไว้ในหัวจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ทั้งหวานหยดและสดใสของสาวน้อยเลยแม้แต่นิดเดียว เก็บกลับมันลงไปในกระเป๋า

    “ฉันชื่อลอเรต้า เรียกแค่ลอเรต้าเฉยๆ ก็พอ ไม่ต้องเรียกนามสกุล ไม่ต้องมีคำนำหน้าอะไรทั้งนั้น เข้าใจไหม?”

    “ค...ครับ”

    “แล้วชื่อของเธอล่ะ?”

    “เจสซี่ครับ เจสซี่ ลูอิส”

    แล้วหล่อนก็ลุกขึ้น คล้องกระเป๋าถือไว้กับแขนข้างหนึ่ง “เอาล่ะ งั้นเราไปกันเถอะ เจสซี่”

     

    ขณะที่ความละอายใจของเจสซี่กับรถยนต์มือสองคันสีฮาร์เบอร์บลูที่แม้ว่าจะอยู่ในสภาพดีถึงดีเยี่ยม แต่หากให้เทียบกับดี ลีโอ แคชเมียร์ของพี่ชายที่หล่อนโดยสารมาด้วยทุกครั้งเมื่อมายังสโมสรคือไม่เห็นฝุ่น เจสซี่ยังรู้สึกคาใจไม่หายว่าเพราะเหตุใด พวกเขาจึงได้กล้าฝากฝังน้องสาวไว้กับพนักงานบริการในสโมสรกระจอกๆ เช่นนี้? แล้วไหนจะความเกี่ยวพันกับจอห์นนี่ด้วยอีก เขาทำได้เพียงคิด ส่วนคำพูดของหล่อนดูเหมือนจะใช้เวลาเดินทางอย่างรวดเร็วเสมอ

    “รถของเธอน่ารักจัง สีสวยอย่างกับน้ำทะเลเลย”

    ไม่ว่าหล่อนจะออกปากชมจากใจจริงๆ หรือไม่ มันก็ทำให้เจสซี่รู้สึกดีขึ้นมาได้ เชื่อได้ว่าถ้าโมบี้ ดิ๊กเข้าใจภาษาคน มันก็จะต้องปลาบปลื้มใจเหมือนกับเขาอย่างแน่นอน

    รถซีดานสองที่นั่งซึ่งเคยรับส่งแต่สมาชิกในครอบครัว หรืออย่างมากที่สุดก็จูดี้ คนรักของพี่ชาย ไม่เคยจะมีชีวิตชีวาได้มากขนาดนี้ ขนาดวิทยุคลื่นเพลงริทึม แอนด์ บลูส์และแจ๊ซที่หล่อนถือวิสาสะเอื้อมไปหมุนเปลี่ยนเอาเองอย่างที่เจสซี่จะไม่มีวันยอมให้ใครมายุ่มย่ามก็กลับกลายเป็นข้อยกเว้น บทเพลง วันเดอร์ฟูล เวิลด์ จากแซม คุก อบอวลเป็นดนตรีประกอบฉากระหว่างเขากับหล่อนได้อย่าง...มหัศจรรย์

    “เธอชอบดูหนังหรือเปล่า?”

    “ก็...ถ้ามีเวลาครับ” เขาตอบเสียงเบา เสริมเหตุผลที่ฟังดูไม่ตัดรอนหัวข้อสนทนาอันชี้ชวนนี้ว่า “ปกติผมจะดูละครที่บ้านตามพ่อกับแม่มากกว่า”

    “เหรอ? ฉันก็ชอบดูละครนะ ไม่รู้ว่าเธอกับพ่อแม่ชอบดู 'เดอะ ทไวไลท์ โซน' เหมือนกันหรือเปล่า? ถึงวันศุกร์ทีไรฉันจะรีบตรงกลับบ้านมางีบแล้วตื่นมาดูไม่เคยพลาดสักตอนเลย โนเอลชอบบ่นใส่ฉันอยู่เรื่อยว่าทำไมถึงได้ชอบดูอะไรที่พิลึกพิลั่นแบบนี้ สงสัยว่าคงต้องชอบดู 'เดอะ ฟลินต์ สโตนส์' แบบพี่ถึงจะเลิกบ่นล่ะมั้ง ฮึ!”

    เจสซี่อดหัวเราะพรืดออกมากับคำประชดประชันถึงชายหนุ่มเจ้าของใบหน้านิ่งกับรสนิยมคนละโยชน์ผู้นั้นไม่ได้

    “บ่น แต่ก็ยอมดูด้วยใช่ไหม?”

    “ถูกเผง! รู้ได้ยังไงเนี่ย?”

    “เพราะว่าพี่ชายของผมก็เป็นเหมือนกัน แต่ว่ารายนั้นเป็นฝ่ายชวนผมดูเองตลอด ดูไปก็บ่นไป อย่างสัปดาห์ที่แล้วนี่ยิ่งบ่นใหญ่เลยว่าอยากมาดูเรื่องลึกลับ ไม่ได้อยากมาดูเรื่องรักสักหน่อย”

    “คงไม่ใช่ว่าบ่น บ่น บ่น แต่พอเขาชมหล่อนว่า เพรคาสนี ก็แอบยิ้มตามไปด้วยหรอกนะ”

    เมื่อเจสซี่หันมองลอเรต้าด้วยสีหน้าที่แสดงความทึ่งใจ โดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆ หล่อนก็จะเปล่งเสียงหัวเราะรวนร่าออกมาดังๆ เขาก็เลยห้ามตัวเองให้ประสานเสียงขบขันกับหล่อนไปด้วยไม่ไหว เป็นอันว่าต่างฝ่ายต่างเผชิญหัวอกเดียวกัน แค่คิดว่าอย่างน้อยๆ เขาก็ได้มีสิ่งหนึ่งที่คล้ายคลึงกับหล่อน ถึงนั่นจะหมายถึงคนอื่น หัวใจของเขาก็พองฟูขึ้นมา

    “แต่ผมเคยดู 'วิลเลจ ออฟ เดอะ แดมน์' นะ”

    ราวกับคำพูดประกาศิตที่ทำให้นัยน์ตาสีน้ำตาลซุกซนของหล่อนส่องประกายวิบวับขึ้นกว่าเดิม สำหรับเจสซี่ โรงภาพยนตร์ไม่ใช่ตัวเลือกแรกของสิ่งบันเทิงเริงใจ มาบัดนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่เหนื่อยหน่ายกับชีวิตจนติดสอยห้อยตามไปเป็นกอขอคอในเดตของจอห์นนี่กับจูดี้ที่โรงภาพยนตร์เพื่อดูหนังไซไฟสยองขวัญชั้นดีเรื่องนี้ด้วย แม้ว่าเขาจะไม่เคยอ่านหนังสือต้นฉบับเรื่อง 'เดอะ มิดวิช คุกคูส์' ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในภายหลังเหมือนกันกับหล่อนก็ตาม ลอเรต้าที่ช่างจาอยู่แล้วยิ่งเพลิดเพลินเข้าไปใหญ่เมื่อพบคนที่สามารถพูดคุยถึง อะไรที่พิลึกพิลั่นได้โดยไม่ต้องถูกบ่นว่าอยู่เรื่อยเหมือนโนเอล ขณะที่เจสซี่นอกจากรับฟังแล้วยังคอยออกความเห็นเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้หล่อนรู้สึกว่าตัวเองกำลังพล่ามพูดอยู่คนเดียว ทั้งที่เจสซี่ ลูอิสเคยเป็นเด็กชายขี้รำคาญมาแต่ไหนแต่ไร ขนาดจอห์นนี่ยังเคยไล่เตะเขาเพราะรำคาญคำว่ารำคาญตั้งหลายครั้ง นอกจากครอบครัว นายจ้าง และลูกค้า (ซึ่งถือว่าเป็นเหตุหลบเลี่ยงไม่ได้) แล้ว เขาก็แทบจะทนใครหน้าไหนไม่ได้อีกเลย น่าขันดีที่ความรักทำให้สิ่งซึ่งไม่ว่าจะน่าเหลือเชื่อแค่ไหนเป็นไปได้จริง

    ถึงแม้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนับต่อจากนี้...จะไม่น่าเป็นไปได้จริงเลยก็ตาม

    นั่นคือตอนที่เจสซี่พบตัวเองนั่งเอนหลังอยู่ในโรงภาพยนตร์ แหงนมองดูใบหน้าหยาดเยิ้มของนักแสดงอังกฤษในภาพยนตร์สยองขวัญแนวแม่มดและซาตานที่เขาไม่เคยให้ความสนใจมาก่อน ต่อให้พยายามหวนย้อนกลับไปรำลึกถึงมันอีกครั้ง เจสซี่ก็จดจำเรื่องราวใน 'เดอะ ซิตี้ ออฟ เดอะ เดด' ไม่ได้เลยสักอย่าง หรือแค่คำถามง่ายๆ อย่างเช่นว่า “หนังเรื่องนี้สนุกไหม?” เขาก็ยังให้คำตอบไม่ได้ เพราะมีเพียงสาวน้อยผมหางม้าสีน้ำตาลสลวยที่อยู่ในแววตาเหลือบมองและความนึกคิดที่เตลิดไปไกล กว่าที่พวกเขาจะออกจากโรงภาพยนตร์มาก็เป็นเวลาล่วงเย็นมากแล้ว ไม่ทันที่เจสซี่จะได้อ้าปากด้วยซ้ำ ลอเรต้าก็จะโอดครวญขึ้นมาเสียก่อนว่าหิวจนแสบไส้และเสนอให้ไปรับประทานมื้อค่ำกันที่ไดรฟ์อิน แทนที่จะเป็นร้านอาหารหรูๆ สักแห่งในฟริสโก้ฟีลด์สซึ่งเจสซี่ไม่มีปัญญาจะจ่าย เขาแน่ใจทีเดียวว่าหล่อนรู้เหตุผลข้อนี้ดี ถึงเหตุผลที่บอกเล่าอย่างจริงแท้เฉกเช่นเดียวกันจะเป็น “เวลาออกไปไหนมาไหนกับที่บ้านแล้วฉันไม่เคยได้กินอะไรแบบนี้เลย ให้ตายเถอะ! วัยรุ่นที่ไหนจะอยากไปนั่งชูคออยู่แต่ในร้านอาหารหรูๆ กันเล่า” ด้วยสีหน้าที่ย่นยู่ลงไปอย่างน่ารักน่าชัง...เป็นบ้า! หรือจะเป็นตอนที่หล่อนกินแซนด์วิชเนื้อหมูชิ้นโตอย่างคนไม่ประสาจนเลอะเทอะ แต่ก็เอร็ดอร่อยไปกับมันและฉีกยิ้มกว้างเหมือนเด็กน้อยให้เจสซี่ต้องข่มใจ ทำได้เพียงยื่นทิชชู่ไปให้หล่อนซับรอบวงแก้มและริมฝีปากสีส้มด้วยตัวเอง

    ถ้าเพียงแต่หล่อนจะไม่ใช่ทายาทของตระกูลคาวาชิมะแล้ว ความกล้าและความหวังของเขาคงจะไม่ลมๆ แล้งๆ ขนาดนี้

    หลังเดตครั้งแรกที่จบลงราวกับความฝันของหนุ่มน้อย ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลอเรต้าก็ไม่ได้คืบหน้าอะไรมากไปกว่ารอยยิ้มสดใส มือที่ขยับโบกไปมาอย่างแข็งขัน ก่อนชูหนังสือนิยายสยองขวัญเล่มแล้วเล่มเล่าที่กำลังอ่านอยู่ให้ดู เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอหน้าเขาในสโมสร ตรงกันข้ามกับพี่ชายของหล่อน เมื่อเจสซี่เพิ่งได้ค้นพบว่าจอห์นนี่ทำงานหลายๆ อย่างให้กับพวกคาวาชิมะ เขาเองจึงพลอยถูกโน้มน้าวและฝากฝังกับโนเอลไปด้วย ก่อนเส้นทางของเขาในนิวบอร์โดซ์จะต้องหยุดชะงัก ในตอนที่ดันมาถูกเรียกตัวไปรบที่เวียดนามเมื่ออายุสิบเก้า ด้วยความที่เป็นคนไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิตอยู่แล้วจึงไม่ได้รู้สึกทั้งตกใจหรือว่าดีใจ เหมือนอย่างนางบาร์บาร่าที่เป็นลมล้มพับไปหลายตลบ ขณะที่จอห์นนี่และโนเอลต่างพากันแสดงความเสียดายถึงโอกาสในชีวิตที่ต้องถูกใช้ไปอย่างเปลืองเปล่า แต่อย่างไรทุกคนก็อวยพรขอให้เขาโชคดี

    เจสซี่ไม่มีโอกาสได้พบลอเรต้าเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อบอกความในใจที่เก็บซ่อนเอาไว้มาตลอดสามปี หรือแม้แต่ฟังคำอวยพรล่ำลาซึ่งหล่อนคงจะมีให้อย่างยาวเหยียด ปลายทางของหล่อนที่ฮอลลีวูดคือความรุ่งโรจน์และดาวจรัสแสง ส่วนเส้นทางของเขาที่เวียดนามคือกลิ่นคาวเลือดและความตาย เขาเผื่อใจไว้แล้วว่าตนเองอาจจะไม่ได้กลับคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอนในสภาพมีลมหายใจอีกต่อไป ทั้งอย่างนั้น เจสซี่ก็ไม่ได้ใช้หล่อนเป็นแรงขับดันเพื่อการมีชีวิตรอดในทุกๆ วัน ด้วยรู้ดีว่าอย่างไร ความรักของตนกับสตรีต่างชนชั้นผู้เป็นที่รักก็ไม่มีวันบรรจบ

    เขาเคยเชื่อว่าอย่างนั้น

     

    บทสนทนาแรกของเขากับหล่อนในรอบสี่ปีที่บาร์ไม่ได้มีอะไรมากนักเนื่องจากโอกาสที่ไม่เอื้อต่อกัน และส่วนใหญ่ยังคงถือครองโดยหญิงสาวช่างจำนรรจาไม่เปลี่ยนแปลง เจสซี่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าหล่อนออกนอกหน้าเมื่อพบว่าเขากลับมาในสภาพที่ปลอดภัยดี ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ที่ดูเหมือนว่าอย่างหลังจะยิ่งดีขึ้นไปอีกเมื่อได้พบเห็นใบหน้าที่งดงามขึ้นตามวัย เปล่งประกายให้เขายิ่งตระหนักเจียมตัว

    วันงานมาร์ดิกราส์เธอจะมาดูหรือเปล่า?”

    ก็...อาจจะครับ”

    แต่บุรุษคนใดเล่าจะกล้าปฏิเสธเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดินิวบอร์โดซ์และนักแสดงสาวดาวรุ่งแห่งฮอลลีวูด อย่างลอเรต้า คาวาชิมะได้ลง?

     

    งานมาร์ดิกราส์มีขึ้นในอีกสามวันหลังจากนั้น ขณะที่จูดี้คุยโวเรื่องชุดคอสตูมที่จะใส่ไปร่วมเดินขบวนให้เขาฟังได้ไม่หยุดหย่อน แน่ใจทีเดียวว่าเป็นการอวดโฉมถึงขนาดลงมือตัดเย็บเองให้ทั้งตนและคนรักอย่างที่หล่อนว่า อลังการงานสร้างโดยมีจอห์นนี่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ข้างหลัง เจสซี่เป็นต้องกลั้นขำเมื่อนึกภาพพี่ชายในมาดผู้ดีอังกฤษอย่างเรื่อง ไพรด์ แอนด์ เพรจูดิสก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งที่ได้เห็นพี่ชายถูกหญิงคนรักแปลงโฉมใหม่เสียเรี่ยมเร้ ไม่เหลือคราบชนชั้นแรงงานเลยแม้แต่น้อย ส่วนจูดี้นั้นเล่า หล่อนแทบไม่มีอะไรที่ต้องติ ไม่ว่าจะเป็นยามซ่อนใบหน้าไว้หลังพุ่มดอกไม้ หรือตอนที่หลุดเข้าไปในยุครีเจนซี่ตามอย่างนิยายของเจน ออสตินที่จอห์นนี่บ่นว่าพักนี้หล่อนเอาแต่เก็บมาเพ้อฝันอยู่ได้ทุกวี่วัน! กระนั้นก็ต้องยอมรับว่าชุดกระโปรงผ้าฝ้ายยาวกรอมพื้นสีขาวกับถุงมือสีเดียวกันช่างเข้ากับหล่อนมากจริงๆ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่าจูดี้ เบอร์รี่ เป็นแม่ค้าขายดอกไม้ในสลัมแล้ว ขอแค่จับหล่อนมาขัดสีฉวีวรรณเสียหน่อย ก็เทียบเคียงกับเหล่าสตรีชั้นสูงที่เดินกรุยกรายชูคอได้สบายๆ

    ให้เจสซี่รู้สึกโชคดีเป็นล้นพ้นที่ตัวเองเพิ่งจะปลดประจำการมา ไม่อย่างนั้นมีหวังจูดี้ได้จับเขาแต่งเป็นคนรับใช้โดยมีจอห์นนี่ช่วยสนับสนุนเต็มที่ เพราะไม่อยากแต่งเป็นตัวประหลาดที่ไม่เข้ากับสารรูปเอาเสียเลยคนเดียวแน่

    อย่างที่รู้ๆ กันว่าเจสซี่เป็นพวกไม่แยแสสังคมมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งหลังกลับจากแนวหน้าด้วยแล้วจะยิ่งไปกันใหญ่ เพราะฉะนั้นเหตุผลเดียวที่ทำให้คนอย่างเขาจะกระตือรือร้นเกี่ยวกับงานมาดิกราส์ได้ก็มีแค่...หล่อน

    เขาไม่ได้ต้องการชุดคอสตูมที่หรูหราหรือว่าฟู่ฟ่า เพียงชุดธรรมดาๆ สักตัวที่ไม่ได้อยู่ในตู้เสื้อผ้าและส่งกลิ่นอับของเมื่อสี่ปีก่อนก็พอแล้ว เนื่องจากตอนนี้เขาไม่มีเงินให้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้ขนาดนั้น และไม่อยากจะตอกย้ำจอห์นนี่ที่ต้องชีช้ำกับการเดินพาเหรดที่น่าขายหน้าร่วมกับโฉมงามของตน หากดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้คิดเช่นเดียวกัน ในตอนที่ขับรถมาบีบแตรหน้าบ้านซ้ำๆ ให้นางบาร์บาร่าตะโกนด่าว่าหนวกหูชาวบ้านชาวช่องเขาจะพักผ่อน เดือดร้อนถึงลูกชายคนเล็กที่ต้องรีบลงจากห้องมาห้ามศึกน้ำลายที่อาจลุกลามไปถึงเครื่องใช้ในครัวมาฟาดหัวไอ้หนุ่มหน้าทะเล้นเสียก่อน แล้วกระโจนขึ้นไปบนสมิธ มอเรย์คันสีแดงเปิดประทุนสุดเจ๋งให้จอห์นนี่รีบเหยียบคันเร่งพายวดยานแล่นฉิวไปบนท้องถนนในยามเช้า พร้อมกับเสียงหัวเราะของสองพี่น้องที่ประสานไปกับแนวเพลงที่ต่างชื่นชอบเหมือนๆ กันอย่างเบิกบาน

    จะพาไปซื้อเสื้อผ้าเท่ๆ ใส่วันงานมาร์ดิกราส์”

    ไม่ต้องลำบากหรอกน่า ฉันจัดการได้”

    จัดการได้ ขนาดไปเปิดตู้เสื้อผ้าของตาแก่อลันดูเลยว่างั้น?”

    ทั้งที่อุตส่าห์คิดว่าจะไม่มีใครเห็นตอนเขาแอบย่องเข้าไปในห้องของพ่อกับแม่แล้วแท้ๆ อีหรอบนี้เห็นทีคงเป็นนางบาร์บาร่าที่หูตาไว แถมยังเท้าเบายิ่งกว่าตีนแมวให้เจสซี่ที่กำลังว้าวุ่นไม่ทันได้เอะใจ

    สงสัยว่าจะมีเดตกับสาว น้องชายที่ไม่สนโลกของฉันเลยไม่อยากใส่ชุดตัวเก่าเห่ยๆ ไปร่วมงาน”

    เห่ยมากกว่าหรือน้อยกว่าชุดผู้ดีอังกฤษของนายล่ะ?”

    ไอ้เจ้านี่!” จอห์นนี่ผลักหัวของเจสซี่ที่เกือบหน้าคะมำไปเสียหนึ่งที แต่เสียงที่เปล่งออกมาแสดงความชอบใจน่าดู “แล้วไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าสาวคนนั้นคือใคร?”

    ไม่มีทั้งนั้นแหละ” เจสซี่แสร้งทำเป็นรำคาญแล้วเบือนหน้าหนี เท้าแขนกับขอบหน้าต่างรถโดยไม่เฉียดกรายไปหาสารถีประจำวันอีก พวกเขาอาจเป็นพี่น้องที่สนิทกันจนเรียกได้ว่ามากก็จริง ถึงอย่างนั้นเรื่องของลอเรต้าก็เป็นข้อยกเว้น เขาไม่ได้กลัวว่าจอห์นนี่จะล้อ ไม่ได้กลัวว่าโนเอลจะหยามเหยียด หากเพราะเขารู้ดีว่าความรักที่มีให้หล่อนนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว กระทั่งในความฝันมันยังช่างน่าละอาย พอๆ กับความน่าเวทนาเมื่อยามลืมตาตื่น น่าเสียดายที่เขาดวงดีพอที่จะรอดชีวิตมาจากแนวหน้า ซึ่งสหายร่วมรบมากมายได้ถูกพรากลมหายใจไปคนแล้วคนเล่า ความลับเจ็ดปีจึงไม่ได้ถูกฝังลงไปในหลุมศพตื้นพร้อมๆ กัน

    เพราะฉะนั้นอดีตนายทหารกองกำลังพิเศษจึงจำต้องแบกมันกลับคืนมายังพื้นเพ ด้วยความหมายมั่นที่ว่าจะกลบฝังมันลงไปในอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ เมื่อเขาคิดว่าตนเองจะได้เห็นสุภาพบุรุษที่ควรคู่ตระกองกอดหล่อนอยู่ข้างกาย ไม่ใช่การได้พบใบหน้าหยดย้อยของหล่อนฉีกยิ้มกว้างๆ ให้เขาด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง กับถ้อยคำที่เอ่ยอยู่ริมใบหูว่า “ช่วยไปรอฉันที่สุสานตอนทุ่มนึงทีนะ” ทั้งสัมผัสที่เฉียดกรายผ่านมืออันหยาบกร้าน อีกทั้งน้ำหอมกลิ่นลาเวนเดอร์และกุหลาบที่ยังคงอบอวลแม้เมื่อร่างอรชรจะจรจากไปแล้ว อย่างจงใจ เท่านั้นก็เพียงพอให้เจตนาแต่แรกเริ่มของเขาต้องกระเจิดกระเจิง

    เจสซี่พยายามไม่วาดภาพต่อความคิดในแง่ร้ายใดๆ แต่บางครั้ง ความคิดที่ว่าหล่อนอาจจะโผล่มาพร้อมกับโนเอล หรือเพื่อนสาวจากฮอลลีวูด แล้วพากันหัวเราะเยาะเย้ยไอ้หน้าโง่อย่างเขาก็จะโผล่เข้ามา

    เสื้อสูทสีดำสวมทับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าเข้ากับกางเกงยีนสีน้ำเงินคือชุดที่จัดว่าเรียบง่าย อย่างน้อยๆ ก็สำหรับงานมาร์ดิกราส์ ไม่ว่าจะแก๊งหน้ากากสัตว์ กลุ่มคนที่ทาหน้าเป็นตัวตลกสยองขวัญ มีแม้แต่กลุ่มวัยรุ่นที่แต่งกายในชุดเครื่องแบบทหารให้เขาได้หัวเราะหึในลำคอ ขณะทิ้งตัวลงบนม้านั่งให้ห่างจากคู่ชายหญิงที่พร่ำพลอดรักรำพัน เขาที่แน่วแน่ว่าจะไม่กวาดสายตามองหล่อนหรือหายนะที่อาจจะมาถึงก็พาดแขนข้างหนึ่งลงไปจนสุดความยาว แหงนศีรษะเงยขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ดื่มด่ำกับดวงดาวน้อยใหญ่และบุหรี่ยี่ห้อบิ๊กเบรคอย่างที่ไม่สามารถทำได้สมัยอยู่ที่เวียดนาม

    ขอโทษจริงๆ ที่มาช้า”

    เจสซี่คิดว่าควรจะชักมือที่พาดกับม้านั่งยาวกลับหลังจากที่หล่อนค่อยๆ นั่งลงอย่างนุ่มนวลเคียงข้างเขา หากร่างกายดูเหมือนจะแข็งทื่อไปเสียดื้อๆ เมื่อหันไปเห็นหญิงสาวที่อยู่ในชุดเดรสสายเดี่ยวสีแดงเข้ารูปจนเห็นส่วนเว้าของเอวที่เรียวบางเหนือกระโปรงเป็นชั้นๆ กับส่วนเนินอกที่เขาพยายามไม่จดจ้องมอง เด็กหญิงวัยสิบหกในความทรงจำได้กลายเป็นผู้หญิงเต็มตัวในวัยยี่สิบสาม กระทั่งจินตนาการใดๆ ก็ยังไม่อาจเร้าอารมณ์เขาได้เท่ากับวินาทีเคียงข้างหล่อนขณะนี้

    ผมก็เพิ่งมา”

    ริมฝีปากสีแดงของหล่อนวาดขึ้นเป็นรอยยิ้ม “บุหรี่จะหมดมวนอยู่แล้วนะ” ก่อนที่จะฉวยมันมาจากมือหนาซึ่งคีบค้างไว้ถึงตอนก่อนหน้า เจสซี่ได้เรียนรู้แล้วว่าลอเรต้าเป็นพวกถือวิสาสะ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ต้องการปฏิเสธความเอาแต่ใจของเจ้าหญิงแห่งนิวบอร์โดซ์ผู้นี้ กระทั่งตอนที่หล่อนจะยื่นมวนบุหรี่กลับคืนมาให้อีกครั้งหนึ่ง

    เขารู้สึกมวนวาบในช่องท้อง ยามที่แท่งนิโคตินจ่ออยู่ตรงขอบปากที่แห้งผากของเขา

    สูบต่อสิ” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของหล่อนยั่วเย้า ท้าทายเขา อย่างจงใจ และเมื่อเขาได้รับรสหวานปร่าอันเจือจางที่ปลายลิ้น ถึงหล่อนจะบอกให้เขาไปกระโดดแม่น้ำมิสซิสซิปปีในวินาทีนั้น เจสซี่ก็คงจะไม่ลังเลเลย

     









     


    2021年01月17日
    _______________
      เพราะอยากคงนามสกุลนางเอกเป็นญี่ปุ่นเหมือนตอนแต่งเป็นชินระไว้ เลยตกลงใจให้โนเอลเป็นพี่ของลอเรต้า นึกภาพลุคใส่สูทอะไรก็เปิงเป็นมาเฟียได้อยู่นะเฮ้ย (ไม่ใช่เอเยนต์ อย่าล้อมาก ขอร้อง เพราะกูขำ) จอห์นนี่ก็นึกเป็น NCT แล้วกันนะ กูว่าได้อยู่ ส่วนจูดี้ก็เป็นอนุสรณ์ให้จูดี้จังของมึงน่ะ แล้วแบบมันจะมีเพลงของ Lesley Gore ที่ชื่อ Judy's Turn To Cry ละคือเป็นชื่อจอห์นนี่กับจูดี้พอดี ตอนบังเอิญเจอเพลงนี้ครั้งแรกกูตกใจมาก นึกว่าฟิคชิคาโกมึงที่นางเอกชื่อจูดี้เพราะเพลงนี้จริง
      พล็อตต่อจากนี้คือสองคนนี้จะไปเที่ยวกัน จะได้ไปดูหนังเรื่อง Planet of the Apes ด้วย เพราะเราอยากใส่เรื่องนี้ลงไปเหมือนในเกมที่พูดถึงมากๆ แต่สุดท้ายก็อดไปพิภพวานรเลยว่ะ เศร้า (กูซีซาร์ มึงโคบา) เสียดายที่ไม่ได้แต่งฉากต่อจากนี้ด้วยเพราะเราชอบฉากตอนดึกในนิวบอร์โดซ์มากๆ เข้าเกมไปขับรถเล่นแล้วก็ออก เนี่ยป่ะ อย่างลอเรต้าก็อ่อยไปเรื่อยแบบไม่คิดอะไร แต่ยังไงสองคนนี้ก็ไม่ได้กัน ไม่ว่าในคืนนี้หรือหลังจากนี้ ลอเรต้าจะชวนเจสซี่ไปเป็นคนขับรถให้ในกอง แล้วเจสซี่ก็จะได้เป็นสตันท์ แต่สุดท้ายลอเรต้าก็จะแต่งงานกับผู้กำกับคนดัง จากนั้นอีกหลายปีเจสซี่ก็คงกลับมาอยู่นิวบอร์โดซ์ แต่งงานกับสาวชาวบ้านธรรมดาๆ สักคน อาจลงเอยกลับไปเป็นลูกน้องมาเฟียระดับสูงให้โนเอล อวสาน แต่พูดก็พูดนะ ขนาดน้ำเน่าแบบนี้พล็อตยังดี ภาษาดี ฟิคก็ดี เรามั่นใจว่าแต่งฟิคในเอยูนี้ดีทุกเรื่องจริงๆ ต่อให้มาแค่บรรทัดเดียวก็ยังว่าดี ขนลุกความมั่นหน้า ว่าไปเราอยากแต่งฉากในห้องที่คุณพ่อเจมส์พาแอนนาไปหลบใน DLC มากๆ พล็อตเป็นไงช่างมันแต่ฉากต้องอยู่ที่นี่! แต่เอาจริงนะ พล็อตที่กูอยากแต่งที่สุดคือให้นางเอกมึงบอร์นออนเดอะบายู ถลกหนังจระเข้ขาย ส่วนพระเอกมึงก็เป็นมาเฟียปลายแถวอะไรแนวๆ นี้ แต่แนวเถื่อนๆ กูก็ไม่ถนัด ถ้าสนใจอยากได้พล็อตนี้ไปแต่งเองก็บอกกูนะ ไม่หวง
      รถของเจสซี่เราตั้งตามวาฬ Moby อ่ะ เพราะรถเป็นสีน้ำเงินเราเลยอยากตั้งชื่อเล่นที่เกี่ยวกับทะเล แล้วแบบหนังเรื่องนี้ก็เข้าฉายปี 1956 ขอเล่าหน่อยว่าเราเคยแปลสารคดีเอลวิสแล้วมันจะมีตอนนึงที่รายการเลทไนท์สัมภาษณ์ทีมนักแสดงเรื่องนี้ชนกับอีกรายการที่เอาเอลวิสตอนเริ่มขาลงแล้วไปออกด้วย แต่สุดท้ายรายการที่เอลวิสไปออกก็คือมีคนดูเยอะกว่าแบบถล่มทลาย เฮ้ย ใหญ่ชนยักษ์! / ขอเล่าอีกอย่างสุดท้ายว่าชื่อเรื่องเราเอามาจากชื่อเพลงของ Johnny Tillotson ละเราแต่งไว้ก่อนเกม FF7R จะออกใช่ป่ะ ทีนี้ถ้าเราไปแข่งมินิเกมในยิมมันจะมีคนพูดคำนี้ด้วย แบบเฮ้ย เกิ๊น!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×