ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #205 : The End of Nightmare

    • อัปเดตล่าสุด 1 ต.ค. 67


    The End of Nightmare
    Inspiration: Amnesia: Memories 「アムネシア」 (Video Game, 2013) & Dreamcatcher – Fly High (MV, 2017) & The Glass Staircase (Video Game, 2019) & Color Out Of Space (Film, 2019)
    Playlist: HYDE – FAKE DIVINE












    .

     

    นาริมิเกลียดเด็กผู้ชายที่ชื่อโยชิโนริ เป็นความเกลียดที่รุนแรงเข้มข้นกว่าความรู้สึกไหนๆ บนโลกใบนี้ที่เธอเคยได้ประสบ

    มันไม่ใช่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนับแต่แรกพบ แต่สั่งสมอยู่ข้างในอกมาเนิ่นนานวัน และนาริมิเองก็ไม่เคยปิดบังความรู้สึกอันแรงกล้านั้นผ่านสีหน้า ท่าที กระทั่งคำพูดห้วนกระชากหากสุดวิสัยเกินกว่าที่เธอจะทำเป็นเมินเฉยได้ ทุกอย่างยิ่งแย่เมื่อเธอถูกจับคู่ให้นั่งข้างเขาตามผลการเรียนเพื่อช่วยเหลือกันเมื่อขึ้นชั้นปีที่สอง จนเด็กสาวไม่อาจตั้งสมาธิกับการเรียนทั้งที่เคยมีคะแนนสอบอยู่ในระดับต้นๆ มาตลอดได้เลย

    นาริมิยังคงจดจำได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

    ต้นตอมาจากเหตุการณ์ไร้สาระที่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างเช่นว่าการที่เธอได้เห็นเขาวางแผนแกล้งหลอกผีใส่เพื่อนในห้องเก็บอุปกรณ์ตอนคาบพละ แล้วหัวเราะเยาะเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาลนลานด้วยความชอบอกชอบใจ มันไม่ใช่การกลั่นแกล้งจริงจังเหมือนอย่างที่เธอเคยเผชิญก่อนเข้าเรียนที่นี่ เพราะความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนหลังจากนั้นก็ยังคงเป็นไปด้วยดี แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้นาริมิรู้สึกกับโยชิโนริด้วยไม่ดี

    อันที่จริงเขามีใบหน้าหล่อเหลาดูดีมากอย่างที่ทำให้หัวใจของเธอพองโตได้ยิ่งในตอนที่ฉีกยิ้มกว้างๆ แต่บัดนี้เธอไม่อาจทนมองรอยยิ้มของเขาโดยไม่นึกหงุดหงิดขึ้นมาได้ หรือแม้แต่เสียงพูดที่เธอเคยคิดว่ามันน่าฟัง กระทั่งเสียงหัวเราะขบขันที่คอยสร้างบรรยากาศก็ยังกลายเป็นสิ่งแสลงหู ไม่มีทางที่ใครจะดูไม่ออกว่าเธอรู้สึกกับเด็กหนุ่มผู้นี้เช่นไร กระนั้นโยชิโนริก็ยังคงทำตัวเป็นปกติเหมือนแสร้งทำเป็นไม่รับรู้หรือว่าเข้าใจ ไม่สนใจถึงต่อให้คำถามหรือบทสนทนาต่างๆ ในห้องเรียนจะไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะถึงจุดหนึ่งเธอก็จำต้องยอมเปิดปากพูดอย่างเสียไม่ได้ทุกครั้งคราวไป และนาริมิก็ยิ่งกว่าแน่ใจว่าเขากำลังยั่วเย้า...ด้วยความรู้สึกพึงพอใจที่ได้เห็นเธอเป็นแบบนี้

     

    เหมือนกับตอนที่เธอบังเอิญได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะแผ่วค่อยดังแว่วมาจากระเบียงทางเดิน ตอนที่เพิ่งกลับมาจากการช่วยงานอาจารย์ชิโอริที่ห้องสมุดตอนเย็นแล้วติดลมบนคุยเรื่องวรรณกรรมร่วมสมัยที่เธอกำลังให้ความสนใจกันเพลินไปหน่อย ขณะนี้เลยเวลาเข้านอนแล้ว แต่ในเมื่อพวกเธอคือวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ยังคึกคักและรักที่จะแหกกฎ จึงมีทั้งกลุ่มเด็กชายหญิงที่แอบออกจากห้องนอนของตนเองเพื่อหาทำเรื่องบ้าบออะไรก็ตามแต่ในยามวิกาลกันอยู่บ่อยครั้ง ครั้งหนึ่งเพื่อนสนิทของเธอยังเคยแอบชวนย่องออกไปดื่มเหล้าเล่นไพ่ที่หอนอนของพวกผู้ชายคนละปีกตึกเลย เช่นนั้นแล้วเรื่องจำพวกรักๆ ใคร่ๆ ของหนุ่มสาวที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกันในโรงเรียนประจำตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบนี้ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ต่างอะไรกัน แต่เนื่องจากว่าทุกคนต้องมีรูมเมต จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่พวกเขาต้องแอบออกมานัดพบเพื่อพลอดรักกันตามลำพังในมุมอับของอาคารเมื่อถึงยามวิกาลจนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติ อาจแม้แต่ตัวอาจารย์เองที่นาริมิแน่ใจว่าทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หากไม่ได้มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น ถึงอย่างนั้นนาริมิก็ยังไม่เคยเห็นฉากแบบนั้นกับตาตัวเองเลยสักครั้ง แต่ด้วยวิสัยช่างสอดรู้สอดเห็นของมนุษย์ อีกทั้งความสัมพันธ์ของเพื่อนนักเรียนจำนวนไม่ถึงห้าสิบคนที่ต่างก็รู้จักหน้าค่าตากันหมด นาริมิที่ให้บังเอิญได้รู้เห็นเหตุการณ์จริงขึ้นมาเป็นครั้งแรก เลยอดไม่ได้ที่จะแอบลอบมองดูว่าชายหญิงสองคนนั้นคือใคร

    ใครคนหนึ่งที่นาริมิไม่เห็นใบหน้าคือเด็กสาวผมสีส้มสด แต่แม้จะเห็นแค่แผ่นหลังเธอก็รู้ได้ว่าคือชิกะ เด็กสาวที่สวยที่สุด รวยที่สุด และฉลาดที่สุดในโรงเรียน ทั้งยังเป็นที่หมายปองของเด็กหนุ่มกว่าครึ่งค่อนโรงเรียน อย่างน้อยๆ นาริมิก็มั่นใจว่าทุกคนต้องเคยเก็บเอาหล่อนไปเพ้อฝันสักครั้งสองครั้ง แต่ไม่มีใครเคยเห็นหล่อนที่ชอบอยู่กับกลุ่มเพื่อนสนิทที่เป็นหญิงล้วนคบควงหรือว่ามีใจให้กับเด็กหนุ่มคนไหน จนนัยน์ตาซุกซนของนาริมิในทีแรกเบิกโพลงขึ้นจากความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไป จากใบหน้าของใครอีกคนที่เธอมองเห็นได้อย่างถนัดชัดเจน เขาสบประสานสายตากับเธอผ่านแสงสลัวของเชิงเทียนที่วูบไหวอยู่ริมทางเดิน ไม่ใช่หลังจากที่ได้เห็นเธอแอบชะโงกใบหน้าออกมา แต่จดจ้องราวกับรับรู้อยู่แล้วว่าเป็นเธอ นาริมิมองไม่เห็นว่าเขากำลังยิ้มอยู่หรือไม่ เพราะริมฝีปากที่กำลังใช้มันประทับกับส่วนเดียวกันของชิกะซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นาริมิก็แน่ใจได้จากดวงตาที่ไม่ยอมละจากเธอว่าเขากำลังพึงพอใจ...ไม่ต่างจากที่เป็นมา

    มือของเธอกำแน่นเข้ากับกระโปรงนักเรียนจนแน่ใจว่ามันคงจะยับยู่ยี่ในตอนที่คลายออก ขณะที่เธอเองก็จ้องสบกับเขาโดยไม่เบือนหลบ ตลอดชั่วระยะเหล่านั้นก่อนที่เธอจะวิ่งหนีกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง ความรู้สึกอันแรงกล้าบางอย่างก็พลันพุ่งสูงขึ้นที่ข้างในอก ก่อนที่หัวใจของเธอจะบิดเร้าจนแทบจะทนไม่ไหว

    เฉกเช่นเดียวกับดวงตาสีดำที่ยังฝังประทับอยู่อย่างแจ่มชัดในห้วงความคิดแม้ยามที่หลับตา กระทั่งในนิทรารมย์ที่เธอไม่อาจมองเห็นมันได้อีก เมื่อโยชิโนริดันแผ่นหลังของเธอไปชิดติดกับกำแพงอิฐแล้วกดก้มลงมา สิ่งเดียวที่รับรู้ได้คือสัมผัสบนริมฝีปากที่เป็นของเธอ...ไม่ใช่ชิกะ เธอยกท่อนแขนทั้งสองขึ้นคล้องรอบลำคอ ดึงรั้งร่างของเขาให้เข้ามาชิดใกล้จนไม่ต้องการช่องว่างอื่นใดนอกจากเสื้อผ้าที่ขวางกั้น ผิวกายของเธอร้อนรุ่มด้วยความรู้สึกที่ว่าเธอต้องการมากกว่านั้น เป็นความปรารถนาที่รุนแรงเข้มข้นกว่าครั้งไหนๆ ต่อเด็กหนุ่มคนที่เธอเอาแต่เฝ้าผลักไสเขาไปให้ไกล นาริมิต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับเขา ตอนนี้ เวลานี้ ไม่จำเป็นต้องโลมเล้าเธอให้ถึงจุดนั้นจากลิ้นที่หยอกล้ออย่างชำนาญ และมือของเขาที่เค้นคลึงเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตและกระโปรงเครื่องแบบ เพราะเธอถึงจุดที่คลั่งเพียงแค่ร่างกายที่เบียดเสียด

    เพราะมันคือความฝัน และเป็นหนึ่งในความฝันที่นาริมิตระหนักรู้ว่ามันคือความฝัน ถึงจะเป็นความรู้สึกที่สมจริงมากก็ตาม เธอจึงไม่กระดากอายที่จะขอให้เขา...ทำ

    แต่เขาจะเพียงหัวเราะออกมาอย่างยั่วเย้าและถือดี แบบที่นาริมิควรจะโกรธ เกลียด ไม่พอใจ หรือความรู้สึกในแง่ลบอื่นใดก็ตามแต่ที่เธอเคยมีต่อเขา ทว่าในครั้งครานี้มันกลับปลุกเร้าอะไรบางอย่าง เขาสอดปลายนิ้วเข้าไปด้วยจังหวะและจำนวนที่เพิ่มขึ้นจนนาริมิสะกดกลั้นเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอไม่ได้ เข่าของเธอคล้ายว่าจะทรุดจนทานน้ำหนักตัวเองไม่ไหว แต่เพราะมือทั้งสองที่เปลี่ยนมายึดไหล่แล้วเลื่อนลงมายังท่อนแขนของเขาอย่างแรงเลยทำให้ไม่ล้มลงไปเสียก่อน

    “ต้องการฉันแค่ไหนนาริมิ?”

    “มากกว่าทุกสิ่ง”

    เขาเร่งความเร็วขึ้นหลังคำตอบนั้น หากเธอก็ไม่อาจจะหวีดร้องออกมาจากความสุขสมแรกที่ได้รับ เมื่อเขาปิดกั้นมันด้วยริมฝีปากของตัวเอง กระนั้นนาริมิก็คาดหวังว่ามันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเพราะแค่นี้ยังไม่พอ ความปรารถนาของเธอยังไม่ได้รับการเติมเต็มจากตัวตนของเขาที่ต้องการให้มันหลอมรวมไปกับเธอ

     

    ใบหน้า รอยยิ้ม ถ้อยคำ และเสียงหัวเราะของโยชิโนริในวันนี้สร้างความแปลกประหลาดอย่างที่นาริมิไม่เคยรู้สึกมาก่อน แน่นอนว่าเธอเคยชอบเขาในแบบที่ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรก่อนเหตุการณ์ในห้องเก็บอุปกรณ์ แต่บัดนี้ เธอรู้สึกได้ถึงความร้อนทั่วร่างกายและหวังว่ามันจะไม่กลั่นกลายเป็นสีแดงเข้มเหมือนกับคนเป็นไข้ แม้นั่นอาจเป็นสิ่งที่เธอกำลังรู้สึกในตอนที่นั่งข้างกันกับเขาและต้องพยายามข่มใจตัวเองที่ราวกับว่าจะระเบิดออกมา

     

     

    ท้องฟ้าข้างนอกมืดครึ้ม ลมพัดแรง น่ากลัวว่าฝนจะตก ขณะนั้นนาริมิกำลังยืนเกาะราวที่โถงทางเดินซึ่งมองลงไปจะเห็นบริเวณส่วนหน้าโรงเรียนที่เบื้องล่างได้อยู่กับมาอง เพื่อนของเธอไม่ปิดบังข้ออ้างที่ว่าอยากเห็นเด็กหนุ่มที่แอบชอบอย่างชุนสุเกะเล่นฟุตบอลในสนาม และแม้ว่านาริมิจะเคยขุ่นข้องหมองใจเพราะหนึ่งในกลุ่มนั้นรวมถึงโยชิโนริด้วย แต่ไม่ใช่กับวันนี้ที่เธอไม่อาจหักห้ามสายตาไม่ให้เฝ้ามองหาเขาอยู่บ่อยครั้ง เมื่อไหร่ที่เขาเงยมองขึ้นมา ก็จะส่งยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่เธอเคยคิดว่ารบกวนจิตใจมาโดยตลอด แต่ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว หลังจากมันทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวแรงมากจนน่ากลัวว่ามาองจะได้ยิน ถึงอาจไม่ผ่านใบหน้านิ่งเฉยที่นาริมิพยายามปั้นแต่งให้ดูเหมือนว่าระหว่างเธอกับเขายังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยก็ตามแต่ ขณะที่มาองก็ชวนเธอคุยเรื่อยเปื่อยตั้งแต่เรื่องของชุนสุเกะ การสอบที่ใกล้จะมาถึง ครอบครัวที่จะพาไปอยู่กับญาติที่ต่างประเทศตอนช่วงปิดภาคเรียน จนถึงเรื่องลมฟ้าอากาศ นาริมิทำได้แค่เออออไปตามเรื่องเพราะจับใจความจากบทสนทนาของเพื่อนแทบไม่ได้เลย

    ก่อนเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหวราวกับฟ้าผ่าจะบังเกิดจนทุกคนพากันส่งเสียงหวีดร้องออกมา หากไม่มีทางที่ใครจะได้ยินเสียงของกันหรือกระทั่งของตัวเอง ตามมาด้วยแสงสว่างวาบที่เจิดจ้ามากจนเปลือกตาของเธอปิดหลับลงไปโดยอัตโนมัติ

    ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ กว่าที่แสงสีขาวซึ่งวูบไหวจะเปลี่ยนเป็นเส้นสายเริงระบำของสีสันที่แปลกตาให้นาริมิได้ลืมมอง ดวงตากลมโตของเธอขยายกว้างขึ้นจากภาพเบื้องหน้ากับสีสันที่ไม่เคยได้พานพบเจอ อาบย้อมท้องฟ้าและป่าสีเขียวขจีที่อยู่เลยไกลออกไป มันไม่ใช่เฉดสีใดๆ ที่โลกใบนี้เคยมีมา ต่อให้จะใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อศึกษาหรือค้นคว้าเธอก็แน่ใจว่าไม่มีทางหาคำนิยามให้กับมันได้ นอกจากบอกได้แค่ว่ามันคือสีสันที่งดงามที่สุดเหนือกว่ากฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ อาจมาจากจักรวาลหรือมิติอื่นที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจ ไม่มีสรรพเสียงอื่นใดรอบข้างราวกับกาลเวลาหยุดนิ่งไปกับความพิศวงเช่นเดียวกับเธอ จนเมื่อเสียงกริ่งบอกเวลาเข้าเรียนดังขึ้น เรียกสติฉุดรั้งของทุกคนให้กลับคืนมา พร้อมกับร่างกายที่สะดุ้งไหว นัยน์ตาของเธอกะพริบปริบหลังจากนิ่งค้างอยู่นาน ทั้งเธอและมาองยังคงไม่มีใครปริปากพูดอะไรในตอนที่เดินเคียงคู่ไปด้วยกัน ราวกับต้องการซึมซาบความรู้สึกก่อนหน้านั้นไว้กับตัวเองลำพังให้เนิ่นนานที่สุด

     

    คาบเรียนช่วงบ่ายมีอันต้องยกเลิกไปเมื่อเหล่าคณาจารย์เรียกประชุมถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกันอย่างเร่งด่วน นาริมิกับมาองเลยไปรวมกลุ่มกับพวกผู้หญิงในห้องโถงรวม ขณะที่พวกผู้ชายต่างพากันกระจัดกระจายออกไปในสนามเผื่อว่าอาจจะเจอเบาะแสอะไร นาริมิยอมรับว่ารู้สึกขุ่นข้องใจไม่น้อยที่ต้องทนเห็นใบหน้าสะสวยของชิกะ ซึ่งจะเรียกภาพของฉากที่ไม่ถูกไม่ควรเมื่อคืนให้หวนกลับมา และการที่หล่อนแย้มยิ้มให้เธอ ร่วมวงสนทนาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ซาระพูดถึงกลุ่มพวกผู้ชายที่เล่นเตะบอลก่อนหน้านั้นในสนาม หล่อนก็ยังไม่ได้ให้ความสนใจหรือพูดถึงชื่อของโยชิโนริออกมาเลยแม้แต่น้อย การที่หล่อนทำแบบนั้นจะยิ่งทำให้ข้างในใจของนาริมิร้อนเป็นไฟ ทั้งที่หล่อนก็หาได้ทำอะไรผิด และการที่โยชิโนริจะคบหาหรืออาจแค่หลับนอนกับหล่อนตามประสาวัยรุ่นก็ไม่ใช่เรื่องผิด ในเมื่อเธอเองก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับโยชิโนริเลยแม้แต่นิดเดียว

    แต่การที่เขาพยายามยั่วเย้าเธอตลอดมา ก็ย่อมแปลว่าเขาสนใจเธอต่างหากไม่ใช่หรอกหรือ?

    นาริมิพยายามปัดความคิดในแง่ลบนั้นทิ้งไปด้วยการโพล่งขึ้นว่า “เอ...หรือว่าจะมีคนเรียกปีศาจมา?” เรียกทุกสายตาให้มองจ้องมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

    “ฉันเห็นในตำราแม่มดที่ห้องสมุดพูดถึงการเรียกปีศาจในคืนพระจันทร์เต็มดวง จะว่าไปเมื่อวานก็เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงพอดีเลยนี่นา”

    “โอ๊ยตายแล้ว! คนที่หมกมุ่นเรื่องนี้ก็มีแต่เธอนั่นแหละนาริมิ!” ซาระที่นั่งเป็นจุดศูนย์กลางอยู่บนโซฟาหัวเราะขบขัน ทั้งยังพูดจาดูถูกดูแคลนโดยไม่เกรงอกเกรงใจกันเลยแม้แต่น้อย “ตำราแม่มดนั่นก็แค่เรื่องหลอกเด็ก เชื่อสิว่าถึงต่อให้ทำไปก็ไม่ได้ผลหรอก ทั้งคาถาเรียกปีศาจเอย ยาเสน่ห์เอย เหลวไหลทั้งนั้น ถ้าทำได้จริงอาจารย์คงจะเอามาวางให้นักเรียนหยิบยืมไปได้ง่ายๆ หรอก อีกอย่างนะ สีสันสวยๆ แบบนั้นจะเป็นฝีมือของปีศาจไปได้ยังไง ถ้าเป็นพระเจ้าก็ว่าไปอย่าง อ้อ! ถึงฉันจะไม่เชื่อเรื่องนั้นเหมือนกันก็เถอะนะ”

    “ปีศาจทั้งนั้นแหละที่เอาภาพลวงตามาล่อ!” นาริมิยอกย้อนกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ “ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะซาระ คนที่เรียกปีศาจมาอาจใช้เธอเป็นเครื่องสังเวยก็ได้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นโทโมเอะที่เธอไปแกล้งพูดให้อายต่อหน้าอัตสึชิก็ได้”

    คราวนี้ซาระไม่ปิดบังเสียงหัวเราะที่ระเบิดออกมาดังลั่นอีกต่อไป

    “อย่างแรกเลยนะ คนอย่างยัยโทโมเอะน่ะเหรอจะกล้าทำผิดกฎโรงเรียนแล้วแอบออกไปข้างนอกตอนดึกๆ ดื่นๆ ด้วยเรื่องแม่มดปีศาจงี่เง่าอะไรนั่นน่ะ และอย่างที่สอง ฉันไม่ได้แกล้งพูดให้ยัยนั่นอายสักหน่อย ในเมื่อมันเป็นเรื่องจริงต่างหาก คิดดูสิ อายุตั้งขนาดนี้แล้วยังฉี่รดที่นอนอยู่อีก มีใครเขาทำกันหรือไง?”

    “แต่ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องพูดต่อหน้าคนที่โทโมเอะชอบสักหน่อย”

    หนนี้ซาระไม่ได้แก้ตัวอะไรอีก นอกจากกรีดเสียงหัวเราะแหลมสูงออกมาไม่ได้หยุด เสียจนนาริมิเองก็ชักจะกรุ่นๆ แทนคนที่ถูกหัวเราะเยาะใส่ทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ได้มารับรู้ ซาระอาจเป็นคนโผงผาง ช่างคุย ไม่ใช่เพื่อนที่แย่อะไรสำหรับเธอและมาอง แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่ชอบโทโมเอะด้วยเหตุผลตื้นๆ แค่ว่า “เห็นหน้าแล้วทำให้หงุดหงิดไปทั้งวัน” หากพวกเธอรู้ดีเลยว่าเป็นเพราะรูปลักษณ์ของโทโมเอะที่ยากจะเทียบเคียงได้ต่างหาก หล่อนมีผมสีดำสนิทรับกับผิวขาวจัดอย่างกับหิมะ ดูมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด ที่ก็น่าประหลาดอีกเหมือนกันว่าไม่มีผู้ชายคนใดในโรงเรียนนึกชอบพอหล่อน อาจเพราะรัศมีความอึมครึมที่แผ่กระจายออกมาเหมือนกับแม่มด ทั้งที่โทโมเอะก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง นาริมิยังเคยเห็นหล่อนในห้องสมุดกำลังพูดถึงวรรณกรรมตะวันตกกับอาจารย์ชิโอริด้วยความกระตือรือร้นออกจะตายไป ขณะที่คิดเช่นนั้น มาองก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย ตัดสินใจชวนเธอไปที่สนามของโรงเรียนเผื่อว่าจะมีอะไรน่าสนใจกว่านี้ให้ทำ นาริมิไม่ปฏิเสธคำชักชวนนั้น ไม่กล่าวคำลากับซาระด้วยตอนที่ลุกจากมา

     

    ไม่มีอุกกาบาตหรือสิ่งใดที่เป็นรูปธรรมอย่างที่คิดว่าจะเป็น ทั้งที่ได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขนาดนั้นอย่างกับวันสิ้นโลก...ถ้ามีจริง ทั้งเธอและมาองต่างพากันบ่นกระปอดกระแปดด้วยความเสียดายเพราะอยากเห็นอุกกาบาตของจริงกับตาตัวเองดูสักครั้ง ระหว่างที่แหงนมองท้องฟ้าพลางพูดคุยถึงความเป็นไปได้ของการเรียกปีศาจอย่างที่เธอให้ความเห็นในห้องโถงนั้นเอง เสียงเรียกชื่อของพวกเธอก็จะดังแว่วมาให้เด็กสาวทั้งสองหันขวับไปมอง

    “ชุนสุเกะ เรโอะ โยชิ ฟูกะ”

    ที่มาองก็จะสวนย้อนชื่อของเด็กหนุ่มทั้งสี่ที่เข้ามารวมกลุ่มด้วยกลับคืนไปให้ครบครันเช่นกัน

    “น่ากลัวเนอะ” ฟูกะเป็นคนแรกที่เอ่ยถึงมัน “ทำให้ฉันนึกถึงวันสิ้นโลกเลย”

    “ขนลุกน่า” มาองไม่ปิดบังความกลัวในตอนที่ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นลูบผ่านชุดเครื่องแบบแขนยาวของตัวเอง ให้เรโอะที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เอื้อมมือไปบีบไหล่ของหล่อนพร้อมรอยยิ้มคล้ายกับการแสดงความเห็นอกเห็นใจเพื่อปลอบประโลม

    “พูดถึงวันสิ้นโลกนะ” นาริมิพยายามไม่หันมองโยชิโนริที่ยืนอยู่ถัดไปจากชุนสุเกะซึ่งกำลังยืนกอดอกแหงนมองท้องฟ้าอยู่ข้างๆ เธอ “ฉันว่าเสียงที่ดังก่อนสีสันจะบังเกิดนั่นต่างหากที่เหมือนกับวันสิ้นโลก ทีแรกฉันนึกว่ามันคืออุกกาบาตซะอีก แต่ไม่ยักกะเห็นอะไรตกลงมาเลยสักอย่าง ไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ?”

    “นั่นสินะ”

    มีแค่ชุนสุเกะที่พึมพำเห็นด้วยโดยไม่หันมองเธอ เหมือนกับที่นาริมิเองก็ไม่ได้เงยมองเขาเฉกเช่นกัน

    “มันอาจเป็นฟ้าผ่าก็ได้นะ” เรโอะให้ความเห็น “ครั้งหนึ่งตอนยังเด็กฉันก็เคยได้ยินเสียงแบบนี้ ตอนนั้นฉันสะดุ้งตื่นแล้วรีบวิ่งพรวดพราดออกมาเพราะนึกว่าบ้านถล่ม แต่พ่อกับแม่บอกว่าไม่ใช่ มันก็แค่ฟ้าผ่า”

    “เอเลี่ยนบุกโลกหรือเปล่า?” ฟูกะกล่าวเสริมอย่างติดตลก ซึ่งเรียกเสียงแผ่วค่อยของมาองออกมาได้ แม้จะหมายถึงเสียงแค่นหัวเราะด้วยความสมเพชก็ตามแต่ นาริมิรู้ดีว่ามาองไม่เคยชอบมุกตลกของเขาและเอาแต่บ่นว่าถึงความน่ารำคาญได้ไม่หยุดหย่อน ถ้าไม่ติดที่ว่าฟูกะเป็นเพื่อนสนิทของชุนสุเกะที่แอบชอบแล้ว เชื่อเลยว่าหล่อนคงจะไม่ทนเก็บปากเก็บคำแบบนี้แน่

    “หรือบางที...” ในที่สุด โยชิโนริที่ปิดปากเงียบอยู่นานก็เอ่ยขึ้น “เราอาจตายกันไปแล้วตั้งแต่ตอนที่เกิดเหตุการณ์นั่น มันอาจเป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่ทำลายทุกอย่างจนราบ รวดเร็วจนไม่ทันได้รู้สึกตัว แล้วตอนนี้เราทุกคนก็ติดอยู่ใน...นรก”

    “ทำไมนายถึงพูดว่านรกล่ะ?” เรโอะสวน “การที่เราได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไม่ใช่สวรรค์สำหรับนายเหรอ?”

    “สำหรับบางคนอาจไม่ใช่ก็ได้”

    นาริมอดไม่ได้ที่จะขยับใบหน้าหันไปยังทิศทางของผู้พูด แล้วเธอก็ได้สบสายตากับโยชิโนริที่จดจ้องมองอยู่ก่อนแล้วและกำลังส่งยิ้มมาให้ เป็นรอยยิ้มที่ยกขึ้นเพียงมุมริมฝีปาก แต่ก็ทำให้นาริมิรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมาเมื่อห้วงความคิดโบกโบยไปถึงเหตุการณ์ของเมื่อคืนวาน เธอรีบหันขวับกลับมา หากก็แทบจะตั้งสมาธิอยู่กับบทสนทนาต่อจากนี้ไม่ได้เลย

     

     

    แม้จะล่วงดึกเข้าไปแล้ว นาริมิก็ยังคงยืนมองท้องฟ้าที่ปรากฏสีสันชัดเจนผ่านราตรีกาลจนไม่ทำให้ค่ำคืนมืดมิดอย่างที่ควรจะเป็นผ่านบานหน้าต่างในห้องของตัวเอง ตอนเย็นระหว่างที่เธอเดินกลับหอนอนคนเดียวเพราะมาองดูจะอยากใช้เวลากับชุนสุเกะที่ยังรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนทั้งสามของเขา ก็ให้บังเอิญเจอกับโทโมเอะที่เดินสวนกันบนระเบียงทางเดิน แล้วเมื่อนึกถึงเรื่องที่ซาระพูดถึงขึ้นมา นาริมิเลยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากทักหล่อนด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างเต็มเปี่ยม

    ทว่าเด็กสาวไม่ได้ต้องการมัน สีหน้าของหล่อนดูตื่นเต้นและผ่องใสกว่าที่นาริมิเคยได้เห็นมาตลอดสองปี

    “เมื่อวานฉันเรียกท่านมา! ฉันเรียกท่านมาด้วยการสังเวยเลือด! ท่านตอบรับคำขอของฉันแล้ว และท่านจะมามอบพลังให้กับผู้ถูกเลือก! ใช่แล้ว! และฉันคือผู้ถูกเลือก! ฉันจะได้เป็นพระเจ้า!

    “พูดอะไรของ...”

    นาริมิทันถามได้เพียงแค่นั้น ก่อนที่หล่อนจะกรีดเสียงหัวเราะร่าเหมือนกับคนเสียสติ แล้ววิ่งหนีหายไปโดยไม่ทันให้ได้ล่ำลา

    มันทำให้นาริมิว้าวุ่นกระวนกระวายจนไม่อาจนอนหลับได้ลง ถึงจะไม่มีทางเป็นไปได้ แต่คำกล่าวของโยชิโนริที่ว่าพวกเธออาจตายไปแล้วเพราะเหตุการณ์ลึกลับนั้นและกำลังติดอยู่ในนรกก็จะแว่บผ่านเข้ามา และมันอาจเป็นนรกที่แท้จริงถ้าหากเธอไม่สามารถเป็นเจ้าของโยชิโนริได้

    โยชิโนริ...นาริมิไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้หมกมุ่นกับเรื่องของเขามากขนาดนี้ เธอไม่อยากนอนเพราะแม้แต่การนอนยังไม่ทำให้เธอได้เป็นเจ้าของเด็กชายผู้นั้น เธอต้องทำอย่างไรถึงจะได้ครอบครองเขาแม้จะแค่ชั่วขณะหนึ่งเหมือนอย่างที่ชิกะได้มันไป และการที่นาริมิจะบอกสิ่งที่คิดออกไปตามตรงกับคนที่ตั้งแง่มาตลอดก็เป็นเรื่องที่น่าอับอายเกินกว่าคนถือศักดิ์ศรีอย่างเธอจะกระทำ อีกครั้งที่เธอได้แต่พรูลมหายใจออกมาเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจที่ไม่อาจจะเอ่ยต่อ ยังพอมีเวลา เธอตัดสินใจว่าจะออกไปเดินเล่นยามค่ำคืนให้สมองโล่งสักหน่อยก่อนที่จะถึงเวลาปิดไฟแล้วเข้านอน

    เป็นตอนนั้นเองที่เธอจะได้เจอกับชิกะซึ่งเอนหลังมองดูท้องฟ้าลำพังอยู่บนม้านั่งในสวน หะแรก นาริมิคิดว่าจะเดินเลยผ่านหล่อนไปเมื่อปกติก็ใช่ว่าจะสนิทสนมอะไรกัน แต่กลับเป็นหล่อนที่เอ่ยปากทักก่อน นาริมิจึงจำยอมต้องตอบรับกลับไปอย่างเสียไม่ได้

    และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด เธอก็หลุดปากถามออกไปว่า

    “ไม่ได้อยู่กับโยชิเหรอ?”

    สีหน้าของชิกะไม่ได้ฉายฉาดความประหลาดใจออกมาเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มของหล่อนทำให้นาริมิต้องพยายามกักเก็บความไม่พอใจอย่างแรงกล้าเอาไว้ข้างใน

    “ทำไมถึงได้ถามถึงผู้ชายคนที่เธอเกลียดนักหนาล่ะ นาริมิ?”

    “ก็แค่...”

    แต่ไม่ทันชิกะที่พูดแทรกขึ้นมาราวกับไม่ได้สนใจใคร่อยากฟังคำตอบแต่แรกว่า “เธอคิดไหมว่าบางทีการมองดูมัน” ที่นาริมิรู้ดีว่าหมายถึงอะไร “นานๆ เข้า อาจทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง”

    “เหรอ? แล้วตอนนี้เธอเป็นตัวของตัวเองไหมล่ะ?” คำพูดกระแนะกระแหนหลุดออกไปไวกว่าที่เธอจะเรียกคืนกลับมาได้ทัน ทั้งอย่างนั้นหล่อนก็ไม่มีทีท่าว่าจะถือสาในตอนที่หัวเราะน้อยๆ มองดูคนที่ทิ้งตัวลงนั่งข้างกันแค่ครู่สั้นๆ ลุกพรวดพราดขึ้นแล้วทำท่าว่าจะเดินจากไปโดยไม่ใส่ใจแม้แต่จะบอกลา หากเป็นชิกะที่ร้องเรียกชื่อเธอเพื่อหยุดฝีก้าวที่กำลังจะพ้นผ่านหล่อนไปเหมือนเมื่อขามา ในตอนที่นาริมิข่มใจหันกลับไปหาหล่อน ใบหน้าและริมฝีปากที่เคยสดใสจนถึงก่อนหน้ากลับไม่หลงเหลือวี่แววของการล้อเล่นอีกต่อไป เมื่อเอ่ยประโยคนั้นออกมา

    “อย่าไว้ใจโยชิ”

    แววตาที่ว่างเปล่าซึ่งจดจ้องมองมาของหล่อนจะทำให้นาริมิรู้สึกพรั่นพรึงเสียจนต้องวิ่งหนีจากมาโดยไม่หันกลับไปมอง




     

    มาองสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อกาฬที่ไหลท่วมตัว หัวใจยังคงเต้นรัวแรงเหมือนหนึ่งเพิ่งจะหลั่งอะดรีนาลีนออกมา  หากเป็นไปได้หรือที่มันจะเกิดจากความฝันเพียงเท่านั้น ถึงต่อให้จะเป็นความฝันอันสมจริงแค่ไหนก็ตาม แต่มันจะเป็นเช่นนั้นหรือเปล่าเธอเองก็ไม่รู้ ในเมื่อเธอจดจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว เหมือนกับตอนที่วางเท้าเปลือยเปล่าลงไปหยัดยืนบนพื้นไม้ เพื่อจะรู้สึกถึงสัมผัสแปลกปลอมของเศษดินที่แน่ใจได้ว่าจะไม่มีวันพบหากย่างก้าวอยู่แต่ในหอนอนที่สะอาดเอี่ยมอ่อง มาองเคยมีอาการละเมอเดินมาก่อนตอนที่ยังเด็กกว่านี้ หากด้วยการเข้าบำบัดรักษา มันจึงค่อยๆ ดีขึ้นจนหายขาดไปได้กว่าสามปีแล้ว พ่อกับแม่เองก็ช่วยยืนยันเรื่องนั้นให้ได้ แต่ต่อให้อาการละเมอเดินจะกลับมาอีกจริง ก็ไม่มีทางที่เธอจะออกไปพ้นจากปราสาทที่ถูกล็อกอย่างแน่นหนาได้ อีกทั้งรูมเมตที่เป็นคนสะดุ้งตื่นได้ง่ายก็ย่อมต้องจับสัมผัสของการขยับไหวหรือเสียงก๊อกแก๊กภายในห้องได้ กระนั้นสิ่งที่หล่อนทำก็คือการนอนหลับสนิทอย่างคนไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ที่เตียงนอนตัวข้างๆ

    เช่นนั้นแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

     

    แต่ไม่ว่าจะพยายามคิดใคร่ครวญเพียงไร มาองก็ไม่สามารถนึกหาคำตอบทั้งในแง่ของความเป็นไปได้และไม่ได้ออก ความเคลือบแคลงสงสัยยังคงเล่นวนอยู่ในหัวสมองของเธอเหมือนกับเส้นสายที่โยงใย ต่อเนื่องไปจนถึงคาบเรียนตอนเช้าที่ทำให้มาองได้แต่นั่งเหม่อลอย และทันทีที่กริ่งเลิกพักดังขึ้น เธอก็จะรีบเก็บข้าวของพรวดพราดออกไป ไม่ได้เอ่ยปากบอกลา...หรือทักทาย...เด็กหนุ่มเจ้าของที่นั่งตัวข้างๆ อันที่จริงแล้วดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ใส่ใจต่อการมีอยู่ของเขา...หรือใคร...เลยด้วยซ้ำในวันนี้ นอกจากเพื่อนสนิทควบตำแหน่งเพื่อนร่วมห้องเรียนและห้องนอนที่นั่งอยู่หน้าสุด มาองบอกปัดการกินมื้อเที่ยงโดยให้เหตุผลกับนาริมิเพียงแค่ว่ามีธุระต้องไปทำ ไม่มีการขยายความเข้าใจให้มากกว่านั้น เพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานให้นาริมิเข้าใจได้อย่างไรเหมือนกัน

    ไม่ใช่ห้องอาหารที่เธอกำลังมุ่งหน้าไปเหมือนอย่างเด็กนักเรียนคนอื่นๆ แต่เป็นห้องสมุดที่อยู่คนละปีกตึก เมื่อมาองวิ่งตึงตังเข้าไป อาจารย์ชิโอริที่นั่งอ่านหนังสืออยู่หลังเคาน์เตอร์ก็จะเงยหน้าขึ้นมาส่งสายตาดุๆ เป็นเชิงปราม เด็กสาวกดก้มศีรษะ งึมงำเอ่ยคำขอโทษ แต่เพราะความสนิทสนมที่มีต่ออาจารย์บรรณารักษ์ผู้นี้จากการแวะเวียนมากับนาริมิอยู่บ่อยครั้ง หล่อนจึงไม่ได้ถือสาหาความ

    ก่อนมาองจะปราดเข้าไปเกาะขอบเคาน์เตอร์ เริ่มต้นไขปริศนาไปทีละข้อกับคนที่เชื่อว่าน่าจะสามารถให้คำตอบแรกได้ในทันที

    “ที่นี่มีทางเข้าออกอื่นนอกจากประตูที่มองเห็นได้อีกไหมคะ?”

    “ปราสาทเก่าแก่อายุตั้งหลายร้อยปีแบบนี้ย่อมต้องมีอยู่แล้ว” หล่อนหมายความถึงจุดประสงค์ของอาคารหลังเดิม ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนประจำแบบสหศึกษาเมื่อหมดยุคสงครามกลางเมืองในภายหลัง “แต่ไม่ใช่เรื่องที่นักเรียนอย่างเธอควรต้องรู้”

    “หนูก็คิดว่าอย่างนั้นแหละค่ะ”

    เหมือนกับที่มาองเองก็ไม่มีความเห็นเป็นอื่น

     

    “ทำไมเธอถึงถามอาจารย์ชิโอริอย่างนั้น?”

    คำถามหลังการตะโกนร้องเรียกชื่อที่ไม่ทันให้ได้ตั้งตัวของเด็กสาวที่โผล่พรวดเข้ามาขวางหน้าไว้ในตอนที่กำลังเดินไปยังชั้นหนังสือในหมวดหมู่ที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้จะทำให้มาองสะดุ้งเฮือก ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครจึงค่อยเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขัน

    “ตกใจหมดเลย โทโมเอะ!”

    หากหล่อนไม่ได้ใส่ใจจะตอบรับ เอ่ยทวนคำถามก่อนหน้านั้นที่ถูกร่นเหลือเพียงแค่ว่า “ทำไม?”

    มาองรู้ว่าถ้าจะมีใครในโรงเรียนที่รับฟังเรื่องราวพิสดารพันลึกของเธอโดยไม่ตัดสิน ไม่แน่ว่าอาจมีคำตอบที่เป็นไปได้ให้ด้วย คนคนนั้นก็น่าจะเป็นเด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้าเธอในยามนี้ เพราะผมยาวตรงสีดำขลับ ผิวสีขาวจัด ริมฝีปากสีแดงสด พ่วงมากับท่าทีอึมครึมซึ่งหล่อนมักจะแสดงออกมาจนเหมือนกับนางแม่มด — ที่พวกผู้หญิงหลายคนใช้แอบเรียกกันลับหลัง — แม้มาองและนาริมิที่มักเจอหล่อนพูดคุยอย่างกระปรี้กระเปร่าอยู่กับอาจารย์ชิโอริด้วยเรื่องวรรณกรรมตะวันตกมากมายจะไม่ได้มองเห็นเป็นแบบนั้น เช่นนั้น มาองจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้หล่อนฟัง

    “เมื่อคืนนี้ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับเศษดินที่เท้า หัวใจก็เต้นแรงมากอย่างกับออกวิ่งสี่คูณร้อยมา ทีแรกฉันคิดว่าเป็นเพราะอาการละเมอเดินที่เคยเป็นสมัยเด็กกลับมาหรือเปล่า แต่ถึงจะใช่ ยังไงฉันก็ไม่มีทางออกไปเดินหรือไม่ก็วิ่งนอกปราสาทแบบนั้นได้แน่”

    “ความฝัน...”

    “เอ๊ะ?”

    “เธอจำเรื่องราวในความฝันได้ไหม?”

    มาองสั่นหัว ตกอกตกใจไปกับน้ำเสียงดุดันและการพุ่งตัวเข้าจู่โจมของโทโมเอะไปเล็กน้อย

    “งั้นเธอจำได้ไหมว่ามันเคยเกิดขึ้นมาก่อนหรือเปล่า?”

    และเมื่อมาองสั่นหัวรัวเร็วขึ้นกว่าเดิม หล่อนจึงค่อยผละจาก พึมพำกับตัวเองเป็นถ้อยคำที่เธอพอจับความได้เลาๆ ว่า “ฉันเรียกท่านมาได้สำเร็จ” “มันเกิดขึ้นจริงแล้ว” “ฉันคือพระเจ้า” หรืออะไรทำนองนั้นที่เธอไม่ยักจะเข้าใจ แต่ก่อนจะได้ทันถามไถ่ โทโมเอะกับใบหน้าแสดงความตื่นเต้นที่อาบไปด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยวผิดประหลาดก็จะรีบสาวฝีเท้ายาวๆ ออกไปนอกห้องสมุดแล้ว

     

    เป็นวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้มและมีลมพัดแรงแม้ไม่ถึงกับกรรโชก ถึงอย่างนั้นพวกเด็กนักเรียนชายก็ยังหาข้ออ้างไปเล่นเตะบอลในสนามกันได้อยู่อีก มาองไม่ค่อยเข้าใจความหมกมุ่นแบบผิดที่ผิดทางของพวกเขาสักเท่าใดนัก ขณะยืนเกาะราวอยู่ที่โถงทางเดินบนชั้นสองและทอดมองลงไป ลงท้ายเธอก็ออกจากห้องสมุดมาด้วยไม่รู้ว่าควรต้องหาอะไร แถมคำพูดของโทโมเอะที่บอกว่าเรียก ท่านมานั้นก็ฟังดูน่าขนลุกจนเธอไม่อยากจะอยู่คนเดียว แม้ว่าบรรยากาศภายนอกของยามนี้จะดูเสริมรับคำพูดชวนขนหัวลุกของหล่อนมากกว่าก็ตาม แต่การได้เห็นเด็กหนุ่มคนที่แอบชอบอย่างชุนสุเกะเล่นเตะบอลด้วยรอยยิ้มและความมุ่งมั่นตั้งใจอยู่กับเพื่อนๆ เพียงเท่านั้นก็ช่วยทำให้ความกังวลของมาองค่อยคลายลงไปได้

    “มาอง”

    “อ้าว เรโอะเธอตอบรับเด็กหนุ่มที่เดินมายืนเกาะราวอยู่ข้างๆ เหมือนกับตำแหน่งที่นั่งในชั่วโมงเรียนซึ่งเด็กนักเรียนชายและหญิงจะถูกจับคู่ช่วยเหลือกันตามผลการเรียน (ในที่นี้หมายถึงเธอที่มีผลการเรียนดีเยี่ยมเป็นอันดับสองของชั้นปี) ด้วยความประหลาดใจเสียจนมาองต้องเอ่ยปากถามไปว่า “วันนี้ไม่อยู่กับเพื่อนเหรอ?” เพราะเพื่อนสนิททั้งสามคนของเขายังคงเล่นกีฬากันอยู่ในสนามข้างล่างนั่น

    “มาองต่างหาก” เรโอะสวนย้อน “วันนี้ไม่สบายเหรอ? เห็นดูเหม่อๆ ตั้งแต่ตอนอยู่ในห้องเรียนแล้ว แถมพอกริ่งดังปุ๊บก็รีบวิ่งออกไปคนเดียวไม่รอเพื่อนแบบนั้นด้วย”

    หากเป็นเพราะเสียงหวีดหวิดของลมที่พัดกระพือ เขาจึงจำเป็นต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เป็นเหตุผลเดียวกันกับที่กำลังพัดเรือนผมสีชมพูยาวสยายทั้งที่รวบไปไว้ข้างหนึ่งอย่างลวกๆ แล้วจนเรโอะต้องมาช่วยทัดมันเข้ากับใบหู พร้อมกับเสียงหัวเราะแสดงความเอ็นดูต่อนิสัยไม่ค่อยระมัดระวังของเธอ

    ทั้งที่ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิมเช่นปกติ เรโอะที่เธอรู้จักก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่มคนเดิมที่มาพร้อมกับคำถามและรอยยิ้มใสซื่อเหมือนกับเด็กน้อยที่ก็ทำให้เธอยิ้มออกมาได้เป็นปกติ ทว่าบัดนี้ มาองกลับรู้สึกถึงแต่ความหนาวเยือกที่แล่นปราดเข้ามาถึงกระดูกภายใต้เนื้อหนังให้ขนที่หลังคอลุกชัน

    เหมือนกับ...ความกลัว

    แต่เธอมีอะไรให้ต้องกลัวคนอย่างเรโอะกัน?

    แต่ก่อนที่มาองจะได้หาคำตอบนั้น ฉับพลันทันใด ก็ให้บังเกิดเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหวราวกับฟ้าผ่า ตามมาด้วยแสงสีขาวที่สว่างวาบเสียจนดวงตาของเธอปิดหลับลงไปโดยอัตโนมัติ แม้จะอย่างนั้น เธอก็ยังคงมองเห็นเส้นสายของมันไม่ต่างอะไรจากภาพติดตา

    ซึ่งจะถูกแทนที่ด้วยความมืดมิดในตอนที่ร่างของเธอถูกดึงเข้าไปซุกใบหน้าลงกับหน้าอกของเขา สัมผัสที่ยิ่งแนบชิดของเรโอะจะทำให้มาองยิ่งสับสนกับความหวาดหวั่นที่ตัวเองกำลังรู้สึก หากความต้องการที่อยากจะหนีจากแสงสว่างอันไม่รู้ที่มานั้นก็มากพอที่จะตอกตรึงเธอไว้ ด้วยร่างกายที่สั่นเทากับจังหวะของหัวใจที่สั่นสะท้านด้วยความตื่นตระหนก อย่างที่มาองแน่ใจว่าเขาเองก็รู้สึกได้

    “ไม่ต้องกลัวนะมาอง”

    ภาพของแสงสีขาวที่ติดตาเปลี่ยนไปเป็นเส้นสายของสีสันแปลกตาเข้ามาแทนที่ ยามเมื่อเขาดันร่างของเธอออกในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา เพียงเพื่อให้มาองได้วางใจแค่ครู่ขณะ เพราะไม่นานหลังจากนั้น โดยที่ยังไม่ทันได้ลืมตาตื่นหรือขยับเคลื่อนไหวใด ริมฝีปากของเธอก็จะถูกฉกฉวยแย่งชิงไป ด้วยความรุนแรงที่เขาตั้งใจทำมันด้วยการกดจูบและขบกัดลงไปจนมาองได้กลิ่นและรสของสนิมตีตื้นขึ้นมา ตะกายเข้าไปในโพรงปากด้วยลิ้นขณะที่เธออ้าปากเพื่อพยายามจะเปล่งเสียงร้อง สิ่งต่อไปที่เธอรู้สึกได้คือความตะเกียกตะกายของการขาดอากาศ ความเจ็บแสบตรงรอยแผลซ้ำเดิมที่เขายังคงบดขยี้มันลงไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทา และจากความเจ็บปวดที่ต้นแขนทั้งสองข้างซึ่งเขากดบีบมันเอาไว้แน่น กระแทกแผ่นหลังของเธอไปชนเข้ากับราว

    ดวงตาที่มัวพร่าไปด้วยหยาดน้ำที่คลอหน่วยขยับปรือขึ้น เมื่อสิ่งที่คล้ายกับทัณฑ์ทรมานอันแสนยาวนานเหล่านั้นสิ้นสุดลง สีสันงดงามผิดประหลาดจากนอกอวกาศ — นอกความเข้าใจ — ที่ไม่มีชื่อเรียก ปรากฏผ่านเข้ามาในแววตาที่ไม่อาจจะดื่มด่ำ สาดแสงสีพาดผ่านใบหน้าของเขาที่ก้มลงมองเธอซึ่งทรุดฮวบลงไปนั่งพังพาบอยู่บนพื้นอย่างคนสิ้นไร้เรี่ยวแรง ไม่แน่ว่าอาจรวมถึงจิตวิญญาณ มีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากข้างหนึ่งซึ่งเปื้อนเปรอะจากการถูกละเลงไปด้วยเลือดสีแดงสดที่เป็น...ของเธอ

    ราวกับเรโอะคนแปลกหน้าที่เธอไม่รู้จักอีกต่อไป

    มาองได้เข้าใจคำตอบของคำถามนั้นแล้ว

     











    2024年10月01日
    _______________
     ขอบคุณคอนฯคันจูหน้าวัดปี '22 ที่ทำให้กูเอ๊ะแล้วหนึ่ง ตามด้วยคลิปในคอนฯเกาหมีนั่นแหละที่กูไม่อยากพูด แต่เอาเป็นว่าคนเราย่อมมีฟางเส้นสุดท้าย และเพราะว่าไทเสแม่มไม่ใช่เด็กสตาร์โตะแล้ว ไม่มีวันที่กูจะกลับมาวอแวแบบเคสอุมิอีก ข้าพเจ้าขอประกาศตรงนี้เลยว่าจะเลิกอาลัยอาวรณ์จริงๆ ละ เย้ดแม่ม ตอนอยู่ในค่ายกับเพื่อนในวงยังดูมีอะไร พอออกไปบินเดี่ยวปุ๊บ เพลงก็... ทักษะก็... ฮ่าๆๆ / เพราะงั้นก็ลืมที่กูเคยป่าวประกาศไปให้หมด ถึงฤดูแปลงฟิคทิ้ง ไม่อยู่แล้วโว้ยยย เซ็งชิบหาย ดังนี้ O เป็นมิจิเอดะ, Sweet Dreams เป็นไทโช, Dead Silhouettes เป็นฮิดะ, Nightmare เป็นเรโอะ โอ้โห ทำไมไม่ซ้ำกันสักคนเลย ส่วนเรื่องอื่นที่ยัง(พอ)อยู่ได้หรือกูไม่สนใจอะไรมากก็อยู่ตรงนั้นแหละ เพราะในฟิคเกลย์กูก็ยังอยากได้คนเล่นเบสอยู่น่ะนะ -_- หรือแอนีมอยอา 4 ที่กูก็อยากรวมวงคันไซลงแชปนั้นอยู่ดีแหละนะ
     ตอนหยิบฟิคเรื่องนี้มาแปลงกูเลยย้อนไปอ่านภาคของนาริมิด้วย แล้วก็คิดว่างั้นเอามาแปลงเป็น KANSAI EDITION ให้หมดเลยแล้วกัน 55555 (แต่เวอร์เก็นตะก็ยังอยู่เหมือนเดิมนะ กูไม่ลบ ถึงพี่เค้าจะห้าวเป้งไปละ) มิจิกับโยชิยังอยู่เหมือนเดิม แต่เพราะตั้งใจเลือกวงไม่ซ้ำ เลยส่งต่อบทเจสซี่จากพี่โจเป็นฟูกะ...ที่ก็น่ารำคาญได้อยู่ ปากคอเราะร้ายนะเรา ส่วนพระเอกที่แทนไทเสตอนแรกจริงๆ ก็กะจะเอาโคทาโร่แหละ แต่ภาพในหัวกูยังไม่ใช่ มันติดอะไรสักอย่าง ในอนาคตอาจได้ แต่ ณ เวลานี้ ตอนนี้คือไม่ได้ ทีนี้เมื่อวานไปอ่านแมกฯเก่ามาแล้วเรโอะดูสีท่าจะโง่จริง แล้วหน้าก็ดูใสๆ ซื่อๆ จริง ก็เลยเอาวะ มา
     ขอบคุณดรีมแคชเชอร์สำหรับการเป็นไอเดียหลักใหญ่ใจความให้กับฟิคเรื่องนี้ ทั้งชื่อเรื่องที่ก็ไม่ได้ชอบอะไรมาก แต่ขี้เกียจเปลี่ยนแล้วก็เอาเถอะ และฉากของชาโตจากในเอ็มวี Fly High ที่ไปถ่ายฝรั่งเศส เห้อออ อยากย้อนกลับไปสมัยนั้นจังวะ ไอเดียก็ดี พล็อตก็ดี ภาษาก็ดี แต่งจบไปตั้งหลายเรื่อง มีแต่งไม่จบบ้างแต่ไม่ได้แต่งทิ้งเหมือนสมัยนี้ หรือเพราะพล็อตในหัวเรามันเยอะเกินไปวะ อยากตะบ้า Orz
     ว่าไปจนถึงตอนนี้ก็ยังนึกตอนต่อไม่ออกสักเรื่อง -_- ของโยชิไปหาอ่านเรื่องย่อเอาในเวอร์เก็นตะเอง แต่บทเรโอะจะพิมพ์ให้อ่านตรงนี้ เพราะไม่เคยพิมพ์ที่ไหนมาก่อน (มั้ง) / อย่างที่กูได้เคยเล่าว่าสีสันในนี้คืออะไรไม่รู้ แต่คนที่ได้พลังมาก็คือบ่าวทั้งสี่คนนี้แหละ  ให้ถือซะว่าเป็นคนละจักรวาลเดียวกัน เอาไปใช้ใครใช้มัน มีนางเอกของแต่ละคนกันหมด (ตอนนั้นกูบอกว่านางเอกเร็นเดิม=มิจิใหม่คือซาระ เพราะอะไรวะ จำไม่ได้ละนิ -_-) แต่พาร์ทนี้จะเป็นลูปที่มีแค่เรโอะตื่นรู้คนเดียว นี่เป็นลูปที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ในความฝันคือมาองวิ่งหนีเรโอะที่ตามไล่ฆ่าเพราะไม่รับรัก กี่ลูปก็ไม่มีวันรักเพราะชอบมิจิคนเดียว (เป็นกูเจอลูปที่เป็นบ้าก็รักละนิ) สุดท้ายเพราะต้องลงเอยฆ่ามาองในทุกลูปก็เลยกลายเป็นบ้า มีสองบุคลิกที่ก็ทั้งรักทั้งเกลียด เนี่ยแหละคือพล็อตที่ได้มาจากเกมแอมนีเซียที่กูรักบทนี้มากกก บ้ามากกก แต่แต่งไม่ได้สักที อ่าฆ์ T_____T
     และเพลงประกอบก็จากนักร้องคันไซ ครบองค์ๆ >_< อิอิ / ปล. โอ๊ยยยย รำคาญไอ้เคนในคลิปคันจูชิบหาย ไปอยู่เบื้องหลังไม่ได้เหรอวะ ทำไมไม่ให้เด็กๆ เล่นกันเอง เติบโตกันเอง ดูแลกันเอง ให้มีแค่บอยบีแอมบิก่อนไม่ได้เหรอ จะรีบดันเด็กตัวกะเปี๊ยกทำไม ถึงกูจะชอบน้องๆ หลายคนก็เถอะ เห้อออ เข้าไม่ถึงฝั่งนี้จริง กลับคันโตแล้วโกนิวหยอกดีกว่า ไปละ บรัย
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×