คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #135 : LOVE ME, HATE THE GAME | B. Lead Actors
เป็นวันที่วุ่นวายสำหรับทาคาเบะ รินาริ
เริ่มตั้งแต่เสียงโหวกเหวกยามสายซึ่งปลุกเธอขึ้นมาก่อนนาฬิกาจะดังของสองเพื่อนรักที่สุดท้ายก็ดันมารักกันเองอย่างคุรุรุงิ ยูคาริ (ชื่อเล่นคุริ) และมิยาจิกะ ไคโตะ (ชื่อเล่นจากะ) โดยไม่จำเป็นต้องชะโงกหน้าลงจากระเบียงไปดูข้างล่างอย่างที่เธอกำลังพรวดพราดออกไปทำอยู่นี้เลยด้วยซ้ำ หากเมื่อถือคติว่าเรื่องของชาวบ้านคืองานของเรา ยิ่งโดยเฉพาะเพื่อนสนิทที่เธอต้องเหนื่อยหน่ายใจเสมอกับการเป็นคนกลางคอยรับฟังฝ่ายโน้น ปลอบใจฝ่ายนี้ ทั้งที่รู้เรื่องบ้าง...ไม่รู้เรื่องมากกว่า...อยู่เรื่อย รินาริจึงไม่คิดว่าการยืนฟังให้เห็นอยู่ทนโท่แบบนี้จะเป็นเรื่องที่ผิดมารยาท ในเมื่อคำว่ามารยาทก็ไม่ใช่อะไรที่เธอกับยูคาริซึ่งคบหากันมาเป็นสิบๆ ปีจะมีให้กันเท่าไหร่อยู่แล้ว
“คุริ! หายไปไหนมา! ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์ทั้งฉันแล้วก็รินาริเลย! รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงแค่ไหน!”
แต่สิ่งที่ทำให้รินาริผิดคาดคือคนที่เป็นฝ่ายขึ้นเสียงในคราวนี้ต่างหาก
“ฉันอาจออกไปส่งอาหารแล้วเหนื่อยมากจนเผลอหลับไม่รู้เรื่องก็ได้”
“อย่าประชดสิ”
ให้คู่สนทนาได้พ่นลมหายใจออกมา เย้ยเยาะใส่คนตรงหน้าโดยไม่สนใจสีหน้าน่าสงสารนั้นเลยว่า “โดนเข้ากับตัวแล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“คุริ” จากะเอื้อมไปจับข้อมือของยูคาริที่ทำท่าว่าจะเดินหนี หากหล่อนก็จะสะบัดทิ้งมันได้อย่างง่ายดาย เพราะไม่มีทางที่คนอย่างเขาจะกล้าทำอะไรรุนแรงกับเธอ แม้รินาริจะคิดอยู่บ่อยครั้งว่าคนอย่างยูคาริสมควรโดนฟาดปากให้เลิกทำตัวกร่างสักทีก็ตาม “พอที ตอนนี้ฉันเพลียมาก ไม่มีอารมณ์จะมาเถียงกับนาย” จากนั้นเดินผ่านคนที่ไม่คิดจะรั้งหล่อนไว้อีกแล้วขึ้นมาประสานสายตากับเธอที่ส่งยิ้มเผล่เป็นการทักทาย เพียงเพื่อที่จะได้ยินเสียงจึ๊เป็นการตอบแทน
“อย่าลืมไลฟ์เย็นนี้ที่ร้านนะ”
“รู้แล้วน่า” ยูคาริย้อนกลับไปด้วยน้ำเสียงรำคาญ ขณะทิ้งตัวลงไปนอนขดตัวห่มผ้าอยู่บนเตียงกว้างที่เธอเพิ่งจะลุกจากมาโดยไม่สนใจอะไรอีก
จึงเป็นทีของรินาริได้สลับตำแหน่งกับรูมเมตบ้างด้วยการเดินลงไปหาเพื่อนอีกคนที่ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา ซึ่งเขาใช้มันเป็นที่ระบายความคับข้องใจ เคล้าเบียร์กระป๋องแล้วกระป๋องเล่าให้เธอฟังตลอดทั้งค่ำคืน เพราะอย่างนั้นรินาริเลยต้องจำใจไลน์ไปรบกวนพี่ชายคนสนิทให้ช่วยฝ่าฝนมาอยู่เป็นเพื่อนด้วยกันหน่อย ขืนคนหวงก้างแบบนั้นมารู้ความจริงทีหลังว่าเธอบังอาจอยู่กับแฟนของหล่อนในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงสองต่อสอง มีหวังได้ถูกฆ่าหมกศพแบบไม่ต้องสืบ! ถึงรินาริจะรู้อยู่แล้วว่ายูคาริไม่ได้รักจากะมากมายขนาดนั้นก็ตาม
“คุริมีคนอื่นหรือเปล่า?”
แต่อย่างน้อยๆ หล่อนก็ไม่เคยแสดงทีท่าว่าสนใจผู้ชายคนอื่นจนเธอต้องรีบตะโกนสวน ด้วยระดับเสียงที่ไม่ได้แผดดังจนปลุกคนข้างบนว่า “บ้า! คนอื่นอะไรไม่มีหรอก! ตอนที่นายไม่อยู่คุริก็ขลุกอยู่แต่ในห้องไม่ก็ที่ร้านกับพวกฉัน งานการไม่ยอมทำเลยด้วยซ้ำ” รินาริหาข้อแก้ตัวให้ด้วยเรื่องที่เป็นความจริง “เมื่อวานคุริแค่ไม่อยากคุยกับนายเลยหาเรื่องไม่ยอมกลับบ้านเฉยๆ แค่นั้นแหละ อีกอย่างตอนนั้นฝนก็ตกหนักออกจะตายไป นายก็รู้ว่าคนอย่างคุริยอมเสียตังค์เช่าโรงแรมนอนดีกว่าปั่นจักรยานตากฝนตัวเปียกอยู่แล้ว อย่าคิดมากเลยน่า”
“ปลอบใจได้ดี สมกับเป็นสุดยอดเพื่อนสนิท”
“แน่นอนอยู่แล้ว ทั้งกับคุริแล้วก็นายเลย” รินาริยืดอกรับคำชมนั้นไว้โดยไม่เกรงใจ ครั้นพอแกล้งทำหน้าเศร้าแล้วว่า “เฮ้อ ถ้านายชอบฉันตั้งแต่แรกแทนที่จะเป็นคุริ นายคงไม่ต้องน้ำตาตกใน ยอมทนเป็นที่รองรับอารมณ์ของคนสติไม่ดีแบบนี้อยู่ได้หรอก” ก็จะทำให้จากะอดส่ายหัวน้อยๆ พร้อมกับรอยยิ้มขันไม่ได้
“พูดอย่างกับว่าเธอจะยอมคบคนที่ไม่ได้ชอบ”
“ฉันก็ชอบนายนะ”
“น้อยกว่าคุณสุเอซาวะ อาจน้อยกว่าฟุคุโมโตะคุงด้วยก็ได้”
“รู้ดีนักนะ” รินาริตบไหล่เขาแล้วเปล่งเสียงหัวเราะสดใสออกมา
เพราะตื่นนอนก่อนเวลาที่ตั้งใจไว้เกือบสองชั่วโมง รินาริจึงมีเวลาให้ใช้อย่างเหลือเฟือ อย่างเช่นการแต่งหน้าทำผมพลางดูรายการวาไรตี้ของต่างประเทศคั่นเวลา ออกไปหามื้อเที่ยงกินกับจากะในคาเฟ่ละแวกใกล้เคียงแล้วพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย ก่อนที่เขาจะขอแยกตัวกลับห้องไปพักแล้วตอนเย็นจะมาพายูคาริไปตามนัด เห็นอย่างนั้นรินาริเลยคุ้ยกุญแจห้องจากถุงผ้าแล้วยื่นส่งให้ ด้วยแน่ใจว่าไม่มีทางที่รูมเมตของเธอจะหอบสังขารลงมาเปิดประตูให้ยิ่งเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครแหง แม้จากะจะบอกว่าไม่ต้องลำบากก็ได้ แต่รินาริที่ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องลำบากตรงไหนก็จะยัดเยียดมันใส่มืออีกฝ่ายอยู่ท่าเดียว ให้คนที่ไม่เคยชอบการโต้เถียงอย่างจากะจำต้องยกธงขาวยอมแพ้กับความเอาแต่ใจคนละแบบของเพื่อนสาวทั้งสองคน รินาริไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายว่า “ฉันเข้าข้างนายมากกว่าคุริเสมอนะ” และการที่ได้เห็นเขาตอบรับด้วยรอยยิ้มพร้อมกับความรู้สึกที่จัดเจือไปด้วยความขอบคุณก็จะทำให้รินาริรู้สึกดีขึ้นมา
ใช่ว่ารินาริชอบจากะในแง่นั้น เพราะตั้งแต่ที่เพื่อนสมัยไฮสคูลซึ่งรู้จักกันแค่ผิวเผินได้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกลุ่มเดียวกัน รินาริก็ดูออกถึงเจ้าตัวจะไม่ได้แสดงออกให้ได้มีพิรุธว่าเขาคิดกับยูคาริเกินเพื่อน ถึงสิ่งเดียวที่รินาริไม่แน่ใจคือตั้งแต่สมัยร่ำเรียนด้วยกันมาเลยหรือเปล่า เธอไม่กล้าพอที่จะถามเขาด้วยเรื่องที่โหดร้ายอย่างนั้น ในเมื่อครั้งหนึ่งยูคาริก็เคยคบกับเพื่อนสนิทในตอนนั้นของเขาถึงจะแค่ช่วงสั้นๆ แต่สำหรับเพื่อนร่วมห้องเดียวกันแล้วก็ถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่น่าดู
ทั้งที่คุรุรุงิ ยูคาริ คือคนที่เพื่อนรักเกินสิบปีอย่างเธอสามารถนิยามให้ได้แบบกระชับฉับไวเลยว่านิสัยเสีย ปากยิ่งเสีย แถมยังเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ แต่ทำไมถึงได้มีแต่ผู้ชายดีๆ ที่ปักอกปักใจรักผู้หญิงแบบนี้นักหนาด้วยนะ?
“ความรักมันก็ซับซ้อนแบบนี้แหละ”
รินาริเอ่ยขอบคุณสำหรับน้ำส้มจากคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ เพราะไม่รู้ว่าจะไปแกร่วทำอะไรต่อเลยตัดสินใจมุ่งตรงมาที่บลูมูน บาร์ดนตรีอันเป็นที่ทำงานในวันอื่นของเธอ ด้วยความตั้งใจที่จะลางานในวันนี้เพื่อจะได้ดูไลฟ์ของศิลปินที่ทั้งสามคนในกลุ่มต่างก็ชื่นชอบ เนื่องจากตระเตรียมพื้นที่เอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เช้าแล้วตามประสาโอนเนอร์อย่างสุเอซาวะ เซย์ยะ หรือที่เธอกับยูคาริเรียกกันจนติดปากว่าพี่เซย์ยะ รินาริเลยได้คู่สนทนารายใหม่ที่ไม่ต้องวิ่งวุ่นด้วยเรื่องที่ยังคงคั่งค้างอยู่ในอกมาตั้งแต่เช้า
“อาจฟังดูไม่ค่อยดีในฐานะเพื่อน แต่บางทีฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าอยากให้คุริเป็นฝ่ายโดนบ้างเหมือนที่ตัวเองทำกับคนอื่นสักที เมื่อคืนพี่เซย์ยะก็เห็น พร่ำเพ้อเมามายตั้งขนาดนั้น น่าสงสารจากะ”
“มิยาจิกะคุงอาจไม่ได้ต้องการให้ใครมาสงสารก็ได้”
เธอตีหน้ายู่เป็นเชิงไม่เห็นด้วย “ดีนะที่คนดีๆ อย่างพี่เซย์ยะไม่ถูกนางแม่มดแบบนั้นลวงตาไปอีกคน”
“ไม่ว่าเพื่อนแบบนั้นสิ” คนสูงวัยกว่าเอ็ดอึงด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ได้ถือสาจริงจังนัก “ว่าแต่เราเถอะรินาริจัง ตั้งแต่รู้จักกันมายังไม่เห็นมีแฟนเลยสักคน ใช่ว่าไม่มีคนมาจีบสักหน่อย”
“ถ้าไทเซย์รู้จักฉันก่อนนานาเสะ ฉันก็คงมีแฟนไปแล้วค่ะ” เธอเล่นมุกตอบกลับหน้าตาย ที่จะเรียกเสียงหัวเราะจากคู่สนทนาออกมาได้ “เอาจริงๆ เลยนะคะ ถ้าไม่ใช่คนที่รู้สึกชอบมาตั้งแต่แรกฉันก็ไม่คิดว่าอยากคบให้เสียเวลา ฉันไม่ใช่คนประเภทที่ว่าคบๆ ไปแล้วสักวันก็คงชอบเขาได้เอง หรือรู้ว่ายังไงก็ไม่มีวันชอบหรอกแต่ก็ยอมคบด้วยจะเพราะอะไรก็เถอะอย่างคุริ ต่อให้คนที่ฉันชอบจะมีคนรักอยู่แล้ว ฉันก็จะขอชอบเขาข้างเดียวต่อไปจนกว่าจะเหนื่อยไปเองดีกว่า”
“รินาริจังเคยชอบใครนานขนาดนั้นด้วยเหรอ?”
รินาริยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง งึมงำตอบกลับไปคล้ายพูดกับตัวเองว่า
“บางที...เขาอาจเป็นเหตุผลที่ฉันยังโสดมาจนถึงตอนนี้ก็ได้”
เมื่อถึงเวลาหนึ่งทุ่ม แขกที่ซื้อบัตรเข้างานจากในอินเทอร์เน็ตก่อนแล้วก็ทยอยเข้ามาในบาร์ขนาดย่อม แน่นอนว่าวันนี้เห็นทีจะแน่นขนัดกว่าวันอื่นๆ เพราะไลฟ์จากวงไฟว์ นิว โอลด์ที่จากะผู้นิยมคอเพลงอินดี้รู้จักก่อน จากนั้นก็เอามาแนะนำให้ยูคาริที่ชอบเพลงแนวเดียวกันฟังตาม ขณะที่รินาริซึ่งถูกกีดกันเป็นวงนอกเรื่องแนวเพลงของสองคนนั้นถึงเพิ่งจะได้เคยฟังเป็นครั้งแรกเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนตอนพี่เซย์ยะพูดถึงศิลปินที่จะขึ้นไลฟ์ในวันนี้ พอเห็นว่าเนื้อเพลงส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษก็วี้ดว้ายหอบแผ่นซีดีจากร้านกลับมาเปิดเล่นอยู่นั่นจนยูคาริบ่นใส่ได้ไม่หยุด ถึงอย่างนั้นพวกเขาทั้งสามต่างก็ตื่นเต้นกับไลฟ์ในวันนี้ที่ต้องมาดูด้วยกันให้ได้ แต่ทั้งที่ใกล้เวลาแสดงเข้าไปทุกทีก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ จากสองคนนั้นเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเดินออกไปหน้าร้านพร้อมกับโทรศัพท์ที่กดโทร.ออกแล้วแนบมันเข้ากับใบหู รอฟังเสียงสัญญาณตอบรับพลาง รินาริก็ยิ่งกว่าแน่ใจว่าเธอไม่ได้ตาฝาดไปเองที่เห็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนเดินผ่านหน้าไปในระยะฉิวเฉียด หากอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ทันสังเกตเห็นเพราะเขากำลังหันไปพูดคุยหัวเราะกับผู้หญิงผมแดงที่มองจากดาวอังคารก็ยังดูออกว่าเป็นแฟนกัน ปลายนิ้วของเธอเปลี่ยนเป็นกดตัดสายด้วยความเร็วแสงพร้อมกับความคิดที่ตีรวนกันในหัว เธอควรจะบอกยูคาริไหมว่าแฟนเก่าหล่อนก็มาดูไลฟ์แถมยังควงแฟนสาวมาด้วย ถึงจะผ่านมาตั้งนานแล้วรินาริก็ยังจดจำสีหน้าและน้ำเสียงดูถูกตอนที่ยูคาริบอกว่าเลิกกับเขาด้วยเหตุผลที่ว่า “น่าเบื่อ! น่ารำคาญ!” ได้ไม่ลืม ขนาดรินาริยังอดฉุนกึกขึ้นมาแทนไม่ได้ว่าถ้าไม่รักแล้วจะคบด้วยทำไมตั้งแต่แรก อันที่จริงก็แอบคิดว่าถ้าให้ยัยนั่นมาเห็นแฟนเก่าที่หล่อลากขึ้นกว่าเดิมมาก แถมยังควงแฟนหน้าตาดีที่ดูรักกันมาก มาดูไลฟ์วงที่หล่อนก็ชอบมากคงสะใจดีพิลึก! แต่พอคิดถึงจากะขึ้นมาก็ทำใจไม่ลง รินาริรู้ว่ายูคาริจะแสดงสีหน้าแบบไหน พอเดาได้ว่าไคโตะจะทำตัวยังไง แต่กับจากะ...เธอคิดไม่ออกเลยจริงๆ หรือถ้าจะห้ามไม่ให้พวกเขามาที่ร้านก็มองไม่เห็นเหตุผลที่เข้าท่า ขืนทำแบบนั้นยูคาริอาจจะยิ่งรีบมาเพราะอยากรู้ว่ามันมีอะไรกันแน่ก็ได้ คิดแล้วก็พรูลมหายใจออกมาเต็มแรง กอดอกเอนหลังพิงกำแพง ได้แต่ชั่งใจอยู่อย่างนั้น
“รินาริ?”
คนที่ก้มหน้าลงมาหาเธอที่จะรีบเงยมองขึ้นไปเมื่อรู้สึกถึงเงาร่างเบื้องหน้าเป็นต้องสะดุ้งเฮือก จากความตื่นตกใจในทีแรก ก่อนแปรเปลี่ยนไปเป็นความตื่นเต้นยินดีในวินาทีถัดมา
“เจสซี่ ลูอิส!”
รวมถึงหัวใจที่กลับมาเป็นเต้นเป็นจังหวะอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า...เฉกเช่นเดียวกับรักแรกของเธอ
เจสซี่ ลูอิส เลือกนั่งเป็นเพื่อนเธออยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์หลังจากไลฟ์จบลง แทนที่จะไปรวมกลุ่มกับเพื่อนสนิทและคนรักที่มาด้วยกัน เมื่อรินาริมองตามไปก็จะได้รับรอยยิ้มกว้างๆ จากนากามูระ ไคโตะ ที่ส่งมาให้อดีตเพื่อนร่วมชั้นควบตำแหน่งเพื่อนรักของแฟนเก่า (นิสัยเสีย) อย่างไม่ถือสา ตลอดช่วงเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงนั้น ความสนใจของรินาริจดจ่ออยู่กับเพียงสิ่งเดียวนั่นคือชายหนุ่มคนข้างกาย บ้างบางครั้งก็จะได้ยินน้ำเสียงที่ไพเราะที่สุดในโลกของเขาร้องตามเนื้อเพลงออกมา ด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษที่ทำเอาใจเต้นไม่เป็นส่ำ จนรินาริต้องข่มใจไม่ตะโกนออกไปตามเนื้อเพลงท่อนที่ว่า ‘อยู่กับฉันตลอดไป อย่าเดินจากไปไหน ฉันจะตกหลุมรักอีกครั้งได้ยังไงเมื่อไม่มีเธอ’ ให้เขาได้รับรู้ใจเธอเสียเหลือเกิน
เพราะมัวแต่มีความสุขอยู่กับช่วงเวลาที่เป็นความจริง รินาริถึงไม่ได้สนใจเช็กมือถือเลยจนพี่เซย์ยะที่หายไปรับโทรศัพท์ที่หลังร้านจะกลับออกมาเพื่อแจ้งข่าว
“มิยาจิกะคุงฝากให้มาบอกว่ายูคาริจังไม่สบาย คงต้องรบกวนขอค้างที่ห้องอีกคืนด้วยนะ”
“อย่าบอกนะว่ามิยาจิกะที่ว่าก็คือ...”
“อื้อ” รินาริพยักหน้า อดใจไม่หันไปมองไคโตะอีกคนที่ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจพวกเขานอกไปจากคนรักร่วมโต๊ะของตัวเอง กระนั้นก็ยังอดลดระดับเสียงลงเมื่อตอบคำถามเจสซี่ไม่ได้ว่า “มิยาจิกะ ไคโตะเพื่อนเรานั่นแหละ”
“ว้าว”
“ดีนะที่วันนี้คุริไม่มา ไม่งั้นมีหวังวงแตก ทั้งนาย ทั้งอุมิ”
“ยัยนั่นเกลียดฉันจะตาย แล้วถ้าได้มาเห็นแฟนเก่าที่ตัวเองไม่เคยใยดีมีความสุขกับผู้หญิงคนอื่นอาจจะอกแตกตายด้วยก็ได้” สีหน้าของเจสซี่ไม่ปิดบังความเย้ยเยาะ แม้รินาริจะรู้ว่าไม่ดีกับเพื่อน แต่เธอก็หลุดยิ้มออกมาภายใต้แก้วฟรุ๊ตแซงเกรียที่ทำทีเป็นยกขึ้นจิบ เพราะคนที่กล้าด่านิสัยเสียๆ ของยูคาริในตอนนั้นก็เห็นจะมีแต่เจสซี่ ยิ่งหลังจากตอนที่หล่อนทิ้งเพื่อนสนิทของเขาไปควงกับหนุ่มห้องอื่นอย่างเปิดเผย แล้ววางมวยกันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตขนาดถูกพักการเรียนกันคนละหนึ่งสัปดาห์ หากแม้ว่าความสัมพันธ์ของสองคนนั้นจะแย่ลง มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับความสัมพันธ์ของเธอกับเจสซี่ที่ครอบครัวอาศัยอยู่ในอพาร์เมนต์ตึกเดียวกันแต่อย่างใด
“ห่วงก็แต่จากะนี่แหละ จะเข้าหน้ากับอุมิยังไงนี่สิ”
“จนป่านนี้เธอก็ยังห่วงแต่เรื่องของคนอื่นมากกว่าตัวเองอยู่เรื่อย” เจสซี่โคลงศีรษะของคนข้างตัวที่จะหัวเราะน้อยๆ ออกมา “คืนนี้ช่างเรื่องคนอื่นดีกว่า เราสองคนอุตส่าห์ได้กลับมาเจอกันหลังจากเรียนจบมาตั้งชาติแล้วทั้งที”
“จู่ๆ ครอบครัวนายก็ย้ายบ้านไปอเมริกาปุบปับไม่บอกไม่กล่าว ฉันกลับมาจากบ้านยายที่ชิมาเนะอีกทีก็ไม่เจอแล้ว แถมตอนนั้นเรายังทะเลาะกันด้วยอีก” พอรินาริพูดมาถึงตรงนี้ เจสซี่ก็เพียงไหวไหล่ “แต่จะว่าไปหมู่นี้ฉันได้เห็นหน้านายบ่อยมากเลยนะ เดือนก่อนนายได้ลงไนลอนด้วยนี่ แน่นอนว่าเพื่อนคนดีอย่างฉันก็ต้องซื้อเก็บไว้แล้ว ถึงจะโดนคุริบ่นใส่ก็เถอะ”
“งั้นทำไมไม่ทักมาหากันบ้างล่ะ? ข้อความอินสตาแกรมก็ได้”
“นายเป็นคนดังแล้ว จะตอบข้อความของใครก็ไม่รู้หรือไงล่ะ?”
“ไม่ใช่สิ อย่างน้อยๆ เราก็เคยสนิทกันมาตั้งสามปีเชียวนะ”
“แต่จบไม่สวยสักหน่อยนี่นา” รินาริท้วง
แล้วอย่างปุบปับ เจสซี่ก็จะยกขวดเบียร์ขึ้นดื่มเป็นอึกสุดท้าย ก่อนลุกขึ้นชักชวนรินาริด้วยคำพูดสั้นๆ เพียงแค่ “ไปเถอะ” ที่แม้ว่าเจ้าตัวจะยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่รินาริก็ย่อมไม่มีทางปฏิเสธช่วงเวลาที่จะได้ใช้ร่วมกับเขาแม้อีกสักนิดก็ยังดี
เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทางที่เจสซี่เรียกแท็กซี่จากบลูมูนในโยโยงิให้ไปส่งแถวไหนก็ได้ในเซตะกายะ จากนั้นพาลัดเลาะผ่านตรอกซอกซอยมาเรื่อยโดยไม่ยอมบอกสักคำว่ากำลังจะไปไหน ถึงจะถูกลูกตื๊อของหญิงสาวที่กระโดดเหยงๆ ตามหลังมาถามไถ่ได้ไม่หยุดหย่อน เพราะส่วนสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบสี่เซนติเมตรที่เกินมาตรฐานไปไกลโข จนแค่การก้าวเท้ายาวๆ ก็ทำเอารินาริต้องก้มตัวยันแขนกับเข่าข้างหนึ่งพลางหอบหายใจ ไม่มีแรงจะเปิดปากบ่นเหมือนอย่างเขาที่ดูจะหัวเราะชอบใจมากขณะมองดูทีท่าของเธอ ในตอนที่พามาหยุดอยู่หน้าอาคารเก่าแก่แห่งหนึ่ง
“จำที่นี่ได้ไหม?”
ครั้นแล้วรินาริก็เงยหน้าขึ้น เหนือพื้นที่ขนาดสองคูหามีป้ายนีออนสีเหลืองแดงที่เขียนว่า ‘โรงภาพยนตร์โรแมนซ์’ มีรอยยิ้มกว้างประดับอยู่บนใบหน้าสีแดงเพราะความเหนื่อยอ่อนของเธอที่หันไปสบกับเจสซี่ กระนั้นมันก็ดูจะอาบท้นไปด้วยความสุข เช่นเดียวกับดวงตาวาววับที่เป็นประกายคู่นั้น
“ตลอดชีวิตก็จะไม่มีวันลืมเลยล่ะ!” เจสซี่หัวเราะไปกับคำตอบของเธอ
“หนังเรื่องแรกที่เราได้มาดูด้วยกันที่นี่คือ ‘เพ็ต เซมาทารี่’“
“และเรื่องที่สองที่เราได้กำลังจะได้ดูด้วยกันก็คือ ‘เพ็ต เซมาทารี่ ทู’“
รินาริกับเจสซี่มานั่งแกร่วรอเวลาหนังเข้าอีกยี่สิบนาทีอยู่บนเก้าอี้โซฟาตัวสีน้ำตาลที่ตั้งอยู่ระหว่างทางเดิน มีโปสเตอร์ภาพยนตร์เก่าๆ ทั้งของญี่ปุ่นและต่างประเทศในแบบรูปวาดที่หาดูได้ยากยิ่งในปัจจุบันอยู่ตลอดสองข้างทาง บ่งบอกถึงความเก่าแก่ของโรงภาพยนตร์แห่งนี้ที่น่าจะมีอยู่มาตั้งแต่ก่อนพวกเขาจะเกิดเสียด้วยซ้ำ และนั่นก็คือเสน่ห์ที่ทำให้รินาริรู้สึกประทับใจ เหมือนกับการได้หวนย้อนเวลากลับไป แม้จะไม่ไกลเกินกว่าศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนี้ก็ตาม พอคิดแบบนั้นแล้วเสียงหัวเราะของรินาริจึงค่อยๆ เงียบลงไปในตอนที่ก้มหน้ามองตั๋วในมือ เพียงเพื่อให้มีจุดโฟกัสสายตากับอะไรสักอย่างแทนที่จะเป็นคนข้างตัว ความคิดของเธอล่องลอยไปไกลอยู่เป็นครู่ ก่อนในที่สุดรินาริจะสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่ง ยืดตัวตรง แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“เพราะเราทะเลาะกันก่อนฉันเลยรู้สึกว่ายังไม่ได้พูดคำนี้อย่างเป็นทางการ ถึงจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เรื่องตอนนั้นฉันขอบคุณนายมากจริงๆ นะเจสซี่ การที่นายพาฉันมาที่นี่ตอนที่ฉันทะเลาะกับที่บ้าน อยู่เป็นเพื่อนคอยรับฟังปัญหาของฉันจนถึงดึกดื่น หรือแม้แต่ตอนที่กล่อมฉันกลับบ้านได้นายก็ยังยอมออกหน้าถูกที่บ้านฉันด่าแทน มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับฉันจริงๆ”
“มันก็เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับฉันเหมือนกัน เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันถูกผู้หญิงตบหน้าเลยนะ!” คำพูดติดตลกของเจสซี่ช่วยทำให้บรรยากาศอึดอัดคลายลงไปได้ ถึงกับเรียกเสียงหัวเราะรวนร่าจากรินาริพอนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นที่แม่ของเธอจะฟาดฝ่ามือลงไปกระทบเสียเต็มแรง
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นจะทำให้รอยยิ้มของรินาริเจื่อนจางลงไปอย่างรวดเร็ว ตัดสินใจไม่พูดเรื่องที่โรงเรียนในวันต่อมาออกมาดังๆ อย่างการที่มันคือต้นเหตุที่ทำให้เขาทะเลาะกับคนรักหกเดือน รินาริรู้ว่าเขาเลือกเพิกเฉยต่อสายโทร.เข้าของหล่อนตอนที่อยู่กับเธอ แม้แน่ใจว่าสุดท้ายแล้วอย่างไรพวกเขาก็จะกลับไปคืนดีกันได้เองเหมือนอย่างที่ได้เห็นมาตลอด แต่การได้เป็นคนสำคัญ ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันกับเขาตามลำพังเหมือนที่เฝ้าฝันเพียงแค่ชั่วข้ามคืนเดียว เท่านั้นก็มากพอที่จะเปลี่ยนจากความชอบตลอดสองปีไปเป็นสิ่งที่รินาริแน่ใจว่ามันคือความรัก
เพราะอย่างนั้นเธอถึงได้ทะเลาะกับเขาด้วยเรื่องที่ไม่มีสิทธิ์ อย่างการไปบอกว่าเขาควรเลิกกับคนรักที่แอบไปกิ๊กกับรุ่นพี่แทนที่จะทนคบต่อไปเหมือนคนโง่อยู่อย่างนี้ พอถูกเจสซี่ตะคอกใส่หน้าว่า “เธอไม่ใช่เพื่อนสนิทของฉันด้วยซ้ำรินาริ!” ก็จะทำให้พวกเขาเข้าหน้ากันไม่ติดอีกเลยนับตั้งแต่นั้น
แต่ความสัมพันธ์ที่ไม่เคยราบรื่นก็จะทำให้รินาริรู้ดีว่าเธอไม่เคย...ไม่มีวัน...ลืมเลือนรักแรกออกไปจากหัวใจได้เลย
“รู้ไหม ตอนที่เรามาดูเรื่องนี้ด้วยกัน ฉันเคยคิดว่าถ้าเธอตาย ยังไงฉันก็จะยอมเอาเธอไปฝังในสุสานอินเดียนแดง”
“เอ๊ะ?”
เจสซี่ไม่ได้หันมาจ้องสบตากับรินาริที่จดจ้องอยู่กับใบหน้าด้านข้างของเขาด้วยความงุนงง
“ไม่สิ ไม่ใช่แค่เคยหรอก”
อีกครั้งที่รินาริจะหลุดหัวเราะออกมายามเอ่ยกลั้วประโยคไปว่า “แต่ฉันจะไม่ได้กลับมาเป็นคนแล้วนะ! แบบนั้นฉันอาจจะฆ่านายเลยก็ได้! ถึงเป็นยักษ์อย่างนายก็อาจสู้ไม่ไหวหรอก!”
หากเจสซี่จะเพียงไหวไหล่ ตัดบทสนทนาที่ตัวเองเป็นคนเริ่มแท้ๆ ด้วยการยกแก้วน้ำอัดลมขึ้นดูดแทน
เมื่อทั้งสองคนออกจากโรงหนังพลางถกเถียงพูดคุยถึงเรื่องที่ดูมาด้วยกันตลอดทางเดินถึงได้พบว่าข้างนอกฝนกำลังตก รินาริไม่ได้ดูข่าวพยากรณ์อากาศทั้งทางโทรทัศน์หรือโทรศัพท์มือถือในวันนี้เลย ทั้งที่ปกติก่อนออกจากห้องทีไรก็ไม่เคยพลาด แต่เธอจะไม่โทษจากะซึ่งหดหู่พอแล้วกับฝนที่ตกอยู่ในใจเพราะคนรักที่เขาต้องมอบความรักเพียงฝ่ายเดียวให้ ขณะที่เธอกำลังยืนอยู่กับเพื่อนคนที่แอบรักซึ่งกำลังยื่นมืออกไปรองน้ำฝนที่ตกเปาะแปะ มองดูท้องถนนภายนอกอยู่สักพักแล้วหันมาบอกกับเธอว่า “เราไปตากฝนเล่นกันดีกว่า” จากนั้นฉวยคว้าข้อแขนเล็กผ่านเสื้อเชิ้ตแขนยาว มอบเสียงหัวเราะเริงร่าให้แก่หญิงสาวที่เจ้าตัวก็จะตอบรับกลับคืนไปเฉกเช่นกัน
“บ้ามากเลย มีหวังได้เป็นหวัดแน่ แต่คุริคงไม่มาดูแลฉันหรอก”
“ไคโตะมันก็ไม่มาดูแลฉันเหมือนกันนั่นแหละ” รินาริถึงกับหลุดหัวเราะพรืดออกมากับคำยอกย้อนของเขา
“แต่นายคงไม่ต้องมาโดนด่าหัวเหมือนฉัน อีกอย่าง ยังไงก็มีสาวๆ มาต่อคิวรอดูแลนายให้เพียบอยู่ดีนั่นแหละ” รินาริถองไหล่คนที่เดินอยู่ข้างตัวด้วยความหมั่นไส้ ก่อนยืดแขนขึ้นจนสุดพลางถอนหายใจออกมาเสียเต็มแรง “ถ้าฉันมีแฟนที่รักและห่วงใยมากๆ แบบจากะหรือไม่ก็อุมิสักคนก็ดีสิ ทำไมฉันถึงได้อาภัพรักแบบนี้นะ”
แล้วทันใด จังหวะการก้าวเดินบนรองเท้าส้นเตี้ยของเธอก็เป็นอันต้องชะงักไป เมื่อเจสซี่จะก้าวยาวๆ มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เอ่ยเรียกชื่อเธอด้วยสีหน้าและท่าทีที่จู่ๆ ก็จริงจังผิดไปเป็นคนละคน ให้รินาริต้องแหงนเงยมองพร้อมคิ้วที่เลิกขึ้นแสดงความประหลาดใจ
“วันนั้นมีเรื่องหนึ่งที่ฉันไม่ได้ทำ”
“วันนั้น?”
“วันนั้นคือวันที่ฉันได้เห็นเธอร้องไห้เป็นครั้งแรก วินาทีนั้นฉันก็คิดเลยว่าอยากปกป้องเธอให้ได้ ไม่ว่าเธอจะเป็นยังไงฉันก็อยากอยู่กับเธอ”
รินาริได้แต่ยืนนิ่ง ยืนจ้องสบตากับเขาด้วยความสับสน จนแม้แต่การเปิดปากยังเป็นคำพูดละล่ำละลัก “ล...แล้ว...ทำไม?”
“แต่เพราะช่วงนั้นเธอสนิทกับชินทาโร่เพราะได้จับคู่ทำรายงานด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน แล้วเธอก็ดูชอบเขามาก ฉันเลยคิดว่าถ้าตัดไฟแต่เนิ่นๆ ก็จะได้ไม่ต้องเสียใจ”
เจสซี่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังไหลหยดตรงแก้มของเธอคือน้ำตาบนขอบตาที่อุ่นร้อน หาใช่สายฝนเย็นเยียบที่ตกกระทบลงมา แต่มันก็คือภาพที่งดงามที่สุดในสายตา สิ่งแรกที่ทำให้เขาตกหลุมรักเพื่อนร่วมห้องและเพื่อนร่วมอพาร์ตเมนต์คนที่ไม่เคยคิดอะไรมากไปกว่านั้น กระทั่งได้ใช้เวลาอยู่เคียงข้างเธอ ปลอบใจเธอ โอบรับทุกความเจ็บปวดแทนเธอ ทว่ามีเพียงสิ่งเดียวในเวลานั้นที่เจสซี่ไม่ได้ทำ ถึงแม้ว่าอยากจะทำมันมากแค่ไหน เพราะเขายังมีพันธะและอยากจะทำให้อะไรๆ มันถูกต้อง เพราะเขาไม่อยากให้รินาริต้องโกรธเกลียดตัวเองถ้าคิดว่าเป็นต้นเหตุที่ต้องเลิกรา แต่สุดท้ายแล้วการได้เห็นเพื่อนที่แอบรักไปสนิทสนมกับเด็กผู้ชายคนอื่นมากกว่า ถูกคนรักที่ตัวเองซื่อสัตย์ด้วยมาตลอดแทงข้างหลัง ก็จะทำให้ความอดทนทั้งหมดของเจสซี่สิ้นสุดลงไป ถึงขนาดตัดสินใจยอมตัดขาดทุกอย่างเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากเรียนจบ และเขาทำได้...ในที่สุดเขาก็สามารถลืมเรื่องของรินาริได้จนหมดใจ หรืออย่างน้อยๆ เขาก็คิดแบบนั้น เพื่อนสนิทในห้องเรียนคนเดียวที่ยังคงติดต่อด้วยก็คือไคโตะที่อย่างไรก็ไม่มีทางใช้ชีวิตอยู่ในวงโคจรเดียวกันกับเพื่อนรักของแฟนเก่าอยู่ดี
ก่อนเจสซี่จะได้เข้าใจว่าไม่ใช่เลย การได้พานพบเธอในค่ำคืนนี้เรียกเอาความทรงจำในค่ำคืนนั้นให้หวนกลับคืนมา แท้จริงแล้วมันไม่เคยหายไปไหน มันยังอยู่ตรงนั้นมาตลอด
“นายมันบ้า โง่ งี่เง่าที่สุดเลยเจสซี่ ทั้งที่คนเดียวที่ฉันรักก็คือนายมาตลอด”
“ตอนนี้ฉันรู้แล้ว” จากนั้นเจสซี่ก็ก้มลงไปประคองใบหน้าเธอไว้ด้วยมือทั้งสอง แล้วกระทำในสิ่งที่เขายังไม่ได้ทำ
นั่นคือการจูบเธออย่างที่เขาเฝ้าปรารถนาว่าจะทำ ทั้งเนื้อตัวและริมฝีปากของเธอสั่นเทา อาจมาจากความหนาวเหน็บ การร้องไห้ หรือไม่ก็จากการกระทำของเขา ก่อนเจสซี่จะมอบความอบอุ่นให้เธอผ่านอ้อมกอดที่แนบแน่น
เพื่อกลับไปยังจุดเริ่มต้นอีกครั้ง
_______________
ความคิดเห็น