ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #67 : Daydream

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.พ. 65


    Daydream
    Playlist: SixTONES – Cassette Tape / Aimer – Kataomoi 「カタオモイ」 / Aimer – Chikyugi with Vaundy 「地球儀」 SHE'S – Dance With Me











    .

    เป็นเพราะเสียงสายฝนที่ตกกระทบอยู่ภายนอกบานหน้าต่าง เรียกนัยน์ตาของคนที่นอนขดตัวอยู่บนเตียงให้เปิดปรือ บนจอโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ตั้งแต่หัวค่ำยังคงฉายซีรีส์ต่างประเทศที่เธอดูค้างไว้อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เช่นนั้นก็แปลว่าเขายังไม่ได้กลับมา

    เธอไม่รู้ว่าเขาออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่าพอตื่นขึ้นมาเช็กไลน์ตอนบ่ายก็จะเห็นข้อความที่บอกรายละเอียดเรื่องงานและประมาณเวลากลับ ซึ่งดูท่าว่าจะลากยาวไปไกลเกินกว่าแค่ทุ่มสองทุ่มอย่างที่เขาได้ว่าไว้ เมื่อเวลาบนหน้าจอมือถือที่เธอควานคว้าขึ้นจากใต้หมอนกำลังจะเปลี่ยนเป็นวันใหม่ในอีกไม่กี่นาที โดยไม่มีทั้งการโทรศัพท์มาหาหรือส่งข้อความมาบอก และนั่นจะทำให้เธอรู้สึกโหวงหวิวขึ้นมา ไม่ต่างจากห้องสี่เหลี่ยมที่ว่างเปล่าและมีเพียงเธอลำพัง ความร้อนชื้นที่ก่อตัวอยู่ตรงขอบตา ก่อนกลั่นลงมาผ่านใบหน้าแล้วตกกระทบลงบนหมอนไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจ เมื่อรู้ถึงเหตุผลของหยาดหยดนั้นดี

     

    ก่อนหน้านี้ มาอายะ ลูอิส เคยมีชีวิตที่ทั้งเรียบง่ายและสุดแสนจะธรรมดา ไม่เคยมีความฝันอื่นใดมากไปกว่าการเป็นไกด์นำเที่ยวในตัวเมืองโกเบที่อาศัยอยู่มาตั้งแต่เกิด ตามรอยพี่สาวที่บัดนี้ไปไกลเกินกว่านั้นและปักหลักอยู่กับสามีชาวอเมริกันที่มาทำงานแล้วพบรักกันที่นี่ ถึงแม้ว่าจุดประสงค์ของน้องสาวจะไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินคนละฟากฟ้าแบบนั้น มาอายะคิดว่าเพราะความเป็นคนไม่ชอบการแข่งขัน เธอจึงไม่เคยมีเป้าหมายหรือความทะเยอทะยานใดๆ ไม่แน่ว่าบางที เธออาจจะปักหลักอยู่ที่นี่กับพ่อและแม่ตลอดไป

    กระทั่งในช่วงชั้นปีสุดท้ายของรั้วมหาวิทยาลัยที่มาอายะจะได้รู้จักกับชายคนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ในงานนัดบอดที่เพื่อนร่วมคลาสอย่างริกะมาขอร้องให้เธอไปแทนเพื่อนในกลุ่ม มาอายะเกลียดงานนัดบอดมาแต่ไหนแต่ไร เพราะเธอมักจะรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินของพวกผู้หญิงที่ไม่ได้สนิทสนม ไหนจะรูปลักษณ์ภายนอกซึ่งทำให้ได้รับความสนใจมากกว่าคนอื่นอยู่เสมอ มาอายะจึงคิดว่าตัวเองมีคำตอบให้กับข้อสงสัยที่ว่าทำไมพวกริกะที่แสดงออกว่าเกลียดเธอมากกว่าใครจึงได้ตัดสินใจชักชวนกันมา และมันก็ไม่ผิดไปจากที่คิด เมื่อได้พบกับคู่นัดบอดต่างมหาวิทยาลัยในค่ำคืนนั้น พวกเขาต่างพุ่งความสนใจทั้งหมดมาที่เธอโดยไม่มีปิดบัง ก่อนคนหนึ่งจะพูดขึ้นทั้งเสียงหัวเราะว่า “โห! ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าจะได้เจอคุณลูอิสตัวจริง สมอย่างที่เขาร่ำลือเลย”

    จากหางตา เธอสามารถมองเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของริกะและอัตสึโกะ แม้อาจเลือนลางแต่กลับชัดเจนให้เธอได้รู้สึก

    ขณะเดินขึ้นบันไดไปยังร้านกินดื่มในย่านซันโนมิยะตามแรงลากของริกะที่ทำทีเข้ามาควงแขนอย่างสนิทสนม หากแต่ใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้หูกลับกระซิบส่งน้ำเสียงหนักแน่นถึงเจตนาที่แท้จริง

    “ฉันชอบฮาชิโมโตะคุงจริงๆ อัตจังเองก็ชอบเมกุโระคุงมากๆ หวังว่าคุณมาอายะคงจะเข้าใจนะ”

    ความกดดันในการนัดบอดที่เธอไม่ได้เต็มใจมาตั้งแต่แรกจะยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก จริงอยู่ที่สองหนุ่มเป้าหมายของริกะและอัตสึโกะอาจหน้าตาดี...ถึงดีมาก จนจัดให้อยู่ในระดับท็อปคลาสก็ยังได้ แต่มาอายะไม่ชอบผู้ชายท่ามากประเภทนี้ ว่ากันตามตรงแล้วอีกหนึ่งหนุ่มที่ไม่มีใครสนใจ และเขาเองก็ดูจะไม่สนโลกนั้นยังจะสะดุดตาเธอมากกว่า เขาไม่มีอะไรใกล้เคียงกับความเนี้ยบของสองหนุ่มท็อปคลาสที่เหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นเลยแม้แต่นิดเดียว ภายใต้ก้อนทรงผมสีน้ำตาลทองที่ชี้ฟูไม่เป็นทรง แว่นตาเชยๆ ที่สวมใส่ กับการแต่งตัวเซอร์ๆ แบบไม่แคร์สื่อ ให้ภาพของความแตกต่างกันคนละขั้ว เขาเองก็คงจะถูกลากมาเหมือนๆ กับเธอ แค่จากคนละเหตุผลเท่านั้น

    เมื่อเข้าไปนั่งประจำที่ในร้านแล้ว สองหนุ่มท็อปคลาสก็พยายามชักชวนเธอข้ามวงเข้ามาร่วมบทสนทนาด้วยเป็นอย่างมาก...จนอาจมากเกินพอดี ให้ริกะและอัตสึโกะรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกเสียเอง มาอายะรู้ว่าอีกไม่นานความอดทนของพวกหล่อนจะสิ้นสุดลงแล้วส่งระเบิดโครมใหญ่ทั้งหมดมาที่เธอ มั่นใจด้วยว่าคราวนี้จะต้องลากยาวไปถึงชีวิตที่ไม่ใคร่จะสุงสิงกับใครนักในรั้ววิทยาลัยของเธอด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นขึ้นมาล่ะก็ เธอต้องรับไม่ไหวแน่ๆ

    พอขอตัวไปเข้าห้องน้ำแล้วก็คิดว่าชิ่งหนีไปเลยดีกว่า แต่เพราะดันดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์เพื่อทำทีเป็นเลี่ยงบทสนทนามากเกินไปจนรู้สึกปวดฉี่ขึ้นมาจริงๆ แถมมัวแต่เสียเวลาพิมพ์ๆ ลบๆ ข้อความที่จะส่งให้ริกะอยู่นานสองนาน ก่อนจะยอมถอดใจด้วยรู้ว่าคนอย่างริกะจะสรรหาข้อแก้ตัวมาให้เธอได้เอง ถึงแน่ใจได้เลยว่ามันจะไม่ใช่เรื่องดี แต่จะสนใจไปทำไมในเมื่อมาอายะก็ไม่ได้อยากดูดีในสายตาของสองหนุ่มท็อปคลาสนั้นอยู่แล้ว เธอหย่อนมือถือเก็บกลับลงไปในกระเป๋าถือใบเล็ก หยิบลิปสติกสีชมพูขึ้นมาเติมตามความเคยชินเป็นครั้งสุดท้าย ครั้นออกจากห้องน้ำมาก็จะดันเจอเข้าให้กับผู้ชายไม่แคร์สื่อคนนั้นที่กำลังก้มหน้าเลื่อนมือถือ ใบหน้าของเขาแปลกตาเพราะแว่นตาที่หายไปจากกรอบหน้าซึ่งนั่นจะทำให้เขาดูดีขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นกอง ยิ่งเมื่อตอนที่เขากำลังยกยิ้มแบบนั้น

    ขณะที่มาอายะกำลังคิดว่าจะพูดอะไรบางอย่าง เขาก็จะพุ่งตัวเข้ามาหา โถมน้ำหนักทั้งหมดเข้าใส่ให้ร่างแบบบางที่ไม่ทันตั้งตัวเป็นต้องร่วงหล่นโดยมีร่างของเขาล้มทับตามไป ปล่อยเสียงอุทานหลุดรอดได้เพียงครู่สั้นๆ ก่อนที่มันจะถูกกลืนหายไปด้วยริมฝีปากที่ประกบลงมาอย่างหนักหน่วงจนแทบไม่มีช่องว่างให้หายใจ มือที่จับเขาไว้เปลี่ยนไปเป็นกำแน่นและเมื่อเธอจิกปลายเล็บลงบนท่อนแขน เขาก็จะยิ่งบดขยี้แล้วลากไล้ลิ้นร้อนเข้าไปในโพรงปาก เขากำลังทำให้เธอมึนเมาราวกับดื่มแอลกอฮอล์รสแรงทั้งที่เขามอบมันให้เพียงเจือจาง ที่มาอายะอยากให้มันเนิ่นนานไปชั่วนิรันดร์ ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงเรียกชื่อเธอที่จะทำให้เขาถอนจูบออกไปอย่างอ้อยอิ่ง อีกครั้งที่มาอายะไม่ทันได้ตั้งตัวเมื่อเขาจะดึงแขนเธอให้ลุกพรวดพราดขึ้นไปด้วยกัน โพล่งคำพูดใส่หน้านายหัวแดงที่เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของริกะว่า “แล้วเจอกัน” พร้อมเสียงหัวเราะในตอนที่ลากเธอเดินจากไป กับหัวใจที่เต้นรัวแรง

    ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาเริ่มต้นขึ้นอย่างแปลกประหลาดเช่นนี้เอง

    เคียวโมโตะ ไทกะ คือชื่อของชายที่ได้กลายมาเป็นคนรักของเธอ เปลือกนอกที่หลอกตาทำให้ใครต่อใครที่เคยมองเมินเขาเป็นต้องอ้าปากค้าง ชีวิตที่เคยเลื่อนลอยของมาอายะพลันเปลี่ยนแปลงไป เพราะความมุ่งมั่นของไทกะที่มีความฝันว่าอยากจะทำเพลงของตัวเองอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เล่นสนุกไปวันๆ เหมือนอย่างทุกวันนี้ ทันทีที่เรียนจบ เขาก็ชักชวนให้เธอย้ายไปอยู่ด้วยกันที่โตเกียว ด้วยความเต็มใจอย่างที่สุด ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่นั่นมาก่อนเลยในชีวิต เธอยอมตัดสินใจเสี่ยงออกจากเซฟโซนไปอยู่ในโลกใบใหม่ที่ไม่คุ้นเคยเพียงเพราะคำว่า รัก ที่ใครหลายคนให้นิยามว่ามันคือ หลงมากกว่าคำเดียวเท่านั้น ในช่วงเวลาไม่ถึงปี ไทกะก็ได้มีผลงานซิงเกิลแรกปล่อยออกมาเพราะเส้นสายจากรุ่นพี่ที่รู้จักตั้งแต่สมัยยังอยู่ที่โกเบ ขณะที่เขามีชื่อเสียงอยู่ในโลกคนละใบ มาอายะกลับใช้ชีวิตอยู่กับการเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารละแวกที่พักไปวันๆ บ้างบางครั้งก็จะมีคนมาทาบทามเป็นนางแบบบนท้องถนนหรือร้านเสริมสวย หากเพราะการอยู่หน้ากล้องไม่ใช่สิ่งที่เธอถนัดและเชื่อว่าตัวเองจะทำได้ดี จึงปัดปฏิเสธคำชักชวนแล้วยึดอาชีพของงานบริการที่รายได้ไม่มากนัก แต่ก็พอเลี้ยงตัวได้จากทิปของลูกค้าแบบนี้ต่อไป ท่ามกลางความแตกต่างและระยะห่างที่เขยิบจากกันไปทีละน้อย ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยน การเฝ้ารอเขากลับมาที่ห้องตอนดึกดื่นหรือหลังจากทัวร์คอนเสิร์ตต่างจังหวัดติดกันคราวละสองสามเดือนกลายเป็นกิจวัตร มาอายะเคยคิดมาตลอดว่าสามารถอดทนกับชีวิตแบบนี้ได้ ก่อนจะได้ตระหนักในที่สุดว่ามันคือความกล้ำกลืน ช่วงเวลาบนโต๊ะอาหารกับบทสนทนาที่มีแต่เรื่องชีวิตของตัวเอง ไม่เหลือพื้นที่แทรกกลางให้กับคนรักอย่างเธอเลยแม้แต่น้อย ความอดทนของเธอมาสิ้นสุดกับการกรีดร้องตะโกนออกมา โยนความผิดทั้งหมดไปที่เขาซึ่งไม่เคยใส่ใจใยดีเธอเพื่อจะถูกตอกหน้าใส่ให้ได้เจ็บปวดจนตัวชาว่า “ฉันไม่มีส่วนรับผิดชอบในความล้มเหลวของเธอ!” ก่อนที่เขาจะเดินส่งสบถออกจากห้องไปอย่างหัวเสีย พร้อมๆ กับความสัมพันธ์สองปีที่จบลงอย่างง่ายดายยิ่งกว่าเมื่อแรกรักระหว่างกัน

    เธอตัดสินใจเก็บข้าวของ ลากกระเป๋าเดินทางออกมาพร้อมกับความเคว้งคว้างและน้ำตาที่นองหน้า วินาทีนั้น มาอายะไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้นอกจากค้นหารายชื่อเพื่อนจำนวนน้อยนิดที่น่าจะพอช่วยได้ แต่คงเพราะนัยน์ตาที่พร่ามัวเกินไปจากน้ำใสๆ ที่ไม่ยอมหยุดไหลสักที ถึงได้พิมพ์ข้อความทั้งมือที่สั่นเทาส่งไปหาผิดคน ไม่ใช่ 'คันนะ' รุ่นน้องจากร้านอาหารที่มาอายะมั่นใจว่าหล่อนจะยินดีให้ที่ซุกหัวนอนสักคืน แต่กลับเป็นเจ้าของรายชื่อข้างบนอย่าง 'ไคโตะ' ที่ไม่ได้คุยกันมาตั้งกว่าสี่ห้าปีได้แล้ว จนไม่นึกว่าเขาจะยังคงใช้ไลน์เดิมอยู่

    ในตอนนั้นเขาจะขอให้เธอช่วยแชร์โลเคชั่นมา และมาอายะก็ยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าส่งข้อความไปหาผิดคน กระทั่งจะรู้สึกถึงเงาร่างข้างตัวที่ทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นมาจากการก้มหน้าซุกท่อนแขนอยู่บนโต๊ะ ในร้านเบอร์เกอร์ที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง

    “คนที่พี่ส่งข้อความไปหาไม่ใช่คันนะ”

    เมื่อยกมือขึ้นปาดป่ายน้ำตา ภาพที่เลือนลางถึงก่อนหน้าจึงพลันปรากฏ นึกถึงความผิดพลาดที่ตนเองได้ตระหนักแล้วจึงหัวเราะออกมาก่อนจะส่งรอยยิ้มไปให้พร้อมกับศีรษะที่ค้อมปะหลก ไคโตะไม่ได้ถามอะไรเธอสักคำ นอกจากเอ่ยเพียงแค่ว่า “ไปเถอะ อพาร์ตเมนต์ผมอยู่ที่โอทสึกะนี่เอง” แล้วจัดแจงลากกระเป๋าเดินทางของเธอขึ้นไปบนรถยนต์คันสีดำที่จอดอยู่ไม่ไกล ในตอนที่เหลือบสายตามองคนหลังพวงมาลัย มาอายะก็รู้สึกว่านากามูระ ไคโตะ ได้เติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มที่แตกต่างจากเด็กหนุ่มในความทรงจำของเธอมากจริงๆ

    เขาเต็มใจช่วยเหลือเธอในอพาร์ตเมนต์ขนาดเพียง 1LDK ไม่มีคำพูดใดส่งผ่านมาจากเขาที่นั่งอยู่เคียงข้างกับเธอบนโซฟา ก่อนความคับข้องที่อัดแน่นอยู่ข้างในอกจะเป็นตัวเร่งเร้าให้เธอพรั่งพรูทุกอย่างผ่านถ้อยคำที่ขาดห้วงและริมฝีปากที่สั่นเครือ ตลอดเวลานั้น เขาเพียงจดจ้องมองเธอเพื่อแสดงออกว่ารับฟังโดยไม่ได้เอ่ยแทรกคำพูดของเธอแต่อย่างใด และนั่นช่วยทำให้มาอายะไม่รู้สึกเหงาใจ เหมือนกับตอนที่ไทกะเอาแต่พูดถึงโลกใบของเขาตลอดมาเลยแม้แต่นิดเดียว

    คืนนั้น ไคโตะยกห้องนอนเดียวที่มีให้โดยไม่ฟังคำทัดทาน ขณะที่ตัวเองก็ขนหมอนออกมานอนที่โซฟาแทน เธอพร่ำคำขอบคุณจนเขาเลื่อนปิดบานประตูหากไม่ให้แนบสนิทออกไป ทั้งที่เหนื่อยล้าอย่างสุดขีดทั้งกายและใจ แต่ไม่ว่าจะพยายามข่มตาให้หลับเพียงไร มาอายะก็ลืมภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสุขและทุกข์ตลอดสองปีกับอดีตชายคนรักไม่ลง เธอใช้เวลาไปกับการใคร่ครวญและสะอื้นไห้อยู่อย่างนั้น กว่าที่จะผล็อยหลับไปก็ใกล้รุ่งสางเต็มทน

    มาตื่นนอนเอาในตอนที่ล่วงวันใหม่เข้าไปแล้ว ทั้งที่ตั้งใจว่าจะรบกวนเขาแค่คืนเดียวแท้ๆ ขณะที่คิดว่าจะทำเช่นไรต่อไปดี มาอายะก็รู้สึกคอแห้งขึ้นมาจนทนไม่ไหว ในที่สุดก็ตัดสินใจเลื่อนบานประตูเชื่องช้าออกไป ด้วยไม่อยากรบกวนคนที่นอนอยู่ เธอจึงอาศัยเพียงแสงจากดวงจันทร์เลือนรางผ่าเข้าไปในห้องครัวแล้วค่อยๆ ก้มตัวลงไปเปิดตู้เย็น เป็นวินาทีเดียวกันนั้นเองที่บานประตูจะเลื่อนเปิดพร้อมกับสวิตช์ไฟดวงเล็กที่ส่องสว่างในจังหวะที่พอเหมาะพอดี สีหน้าของชายหนุ่มมีแววประหลาดใจเมื่อจ้องสบตา เฉกเช่นเดียวกับเธอที่ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเขาเพิ่งจะกลับมาถึงห้องในเวลาตีสองกว่าๆ แบบนี้

    “เอ่อ...ขอดื่มน้ำได้ไหม?”

    เขาพยักหน้า ปล่อยให้เธอหมุนตัวไปหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่บนอ่างมารินเท ขณะที่ตัวเองก็ถอดรองเท้าผ้าใบ เดินเลี้ยวมาหยิบน้ำขวดออกจากตู้เย็น ครั้นโยนกระเป๋าลงไปบนโซฟาแล้วก็จะทิ้งตัวตามลงไปก่อนยกขวดน้ำนั้นดื่มอึกๆ จนหมดในคราวเดียว ท่าทางดูเหนื่อยไม่น้อยเสียจนเธออดรนไม่ได้

    “ขอโทษด้วยนะที่ทำให้ไคโตะต้องลำบาก”

    “ผมเหนื่อยเพราะงาน ไม่ได้เหนื่อยเพราะรุ่นพี่สักหน่อย”

    “ฉันไม่รบกวนเธอแล้วล่ะ ถ้ายังไง...”

    แต่เขาจะเพิกเฉยต่อคำพูดนั้นด้วยการโพล่งขึ้นตัดบทสนทนาเอาดื้อๆ ว่า “หิวไหม? ผมว่าจะทำอุด้งกิน”

    “งั้นฉันทำให้”

    “ผมทำเองเป็นน่า พี่ไปจัดการตัวเองก่อนเถอะ ดูไม่ได้เลย”

    ให้ริมฝีปากของมาอายะขยับงึมงำคล้ายกับคำบ่นให้คนที่นั่งไม่รู้ร้อนต้องยกยิ้ม

    หลังเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำที่อยู่ติดกับห้องนอนพร้อมชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงวอร์มแล้ว กลิ่นอาหารก็จะลอยเข้ามายังท้องว่างๆ ที่ไม่มีอะไรตกถึงเลยตั้งแต่เมื่อคืนวาน จนต้องเร่งฝีก้าวยาวๆ ไปนั่งเท้าคางรอพ่อครัวที่กำลังรินน้ำอุด้งจากหม้อลงไปในถ้วยทั้งสองใบ มาอายะไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นแง่มุมนี้จากผู้ชายที่ไม่ได้เป็นคนในครอบครัวหรือว่าคนรัก ลงลึกให้ชัดเจนไปกว่านั้นก็คือเพื่อนสนิทของน้องชายตัวเอง ถึงสมัยเขาจะยังอยู่ที่โกเบในช่วงเวลาสั้นๆ เนื่องจากการย้ายตำแหน่งงานไปมาของพ่อ ด้วยความที่เขามักไปไหนมาไหนกับเจสซี่บ่อยๆ เลยพลอยได้รู้จักกับเธอซึ่งจะคอยติดสอยไปกับน้องชายเสมอ เมื่อไหร่ก็ตามที่คนรักในตอนนั้นยุ่งกับงานในห้างสรรพสินค้า ด้วยฐานะระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องแค่เพียงเท่านั้น

    ถ้าเจสซี่ได้ยินเรื่องระหว่างเธอกับไคโตะเข้า มีหวังได้ร้องลั่นมาไกลจากลาสเวกัสแน่

    “ขอโทษด้วย ผมลืมไปว่าไข่หมด”

    “ไม่เป็นไร” เธอสั่นหัว “ขอบคุณมากๆ เลยนะไคโตะ”

    แค่มื้ออาหารอันแสนเรียบง่ายที่ไม่ได้หรูหราเหมือนอย่างที่เธอตั้งใจทำต้อนรับไทกะ บนโต๊ะตัวยาวในห้องอพาร์ตเมนต์ธรรมดาที่ไม่ได้ประดับแต่งอย่างหวือหวาเหมือนอย่างห้องชุดที่เธอเพิ่งจากมา แต่ก็กลับทำให้อุ่นซ่านไปทั้งใจ คิดถึงช่วงเวลาในโกเบที่เคียวโมโตะ ไทกะยังคงเป็นผู้ชายของเธอเพียงคนเดียวแล้วก็ให้ได้กล้ำกลืน จนต้องรีบหาหัวข้อสนทนาไม่ให้บ่อน้ำตาแตกขึ้นกลางวงอาหาร

    “กินเสร็จแล้วฉันจะเก็บล้างให้นะ ถือเป็นการตอบแทนที่ไคโตะให้ฉันพักด้วยตั้งสองคืน”

    “แล้วพี่จะไปไหน?”

    “ก็...สักที่แหละ”

    แล้วรีบก้มหน้างุด กลับไปจัดการอุด้งร้อนๆ ตรงหน้าเพื่อไม่ให้เขาได้ทันสังเกตท่าที หากก็เป็นอันต้องชะงักค้าง เมื่อไคโตะเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงที่เรียบเรื่อยราวกับว่านั่นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรเลย

    “มาอยู่กับผมสิ”

    ไม่มีคำสารภาพรัก มือที่กอบกุม หรือจุมพิตหวานซึ้งใดๆ ไม่ว่าจะในตอนนั้น...กระทั่งเวลาจะล่วงเลยผ่านมากว่าครึ่งปีถึงตอนนี้ก็ตาม

    อพาร์ตเมนต์ขนาด 1LDK กลับพอดีกับผู้อยู่อาศัยในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องที่ไม่มีอะไรเกินเลยมากไปกว่านั้น อาจฟังดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ในห้องนอนเดียวกันก็ไม่มีใครเคยล้ำเส้น ซึ่งในที่นี้คือไม้ประกอบเตียงสองชั้นที่กีดกั้นกลาง แม้ว่าในตอนนี้พวกเขาจะมีเงินมากพอไปหาเช่าอพาร์ตเมนต์กว้างขวางกว่านี้ก็ไม่เคยมีใครหยิบยกมันขึ้นมาพูดถึง ด้วยต่างก็รู้ดีว่ามันจะทำให้ทุกอย่างระหว่างกันต้องเปลี่ยนแปลงไป และมั่นใจได้ว่าจะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงในแง่ดีเหมือนการที่เธอลาออกจากงานร้านอาหารเดิมใกล้ละแวกที่พักเก่า ระหว่างที่กำลังใคร่ครวญถึงงานที่อยากทำเพื่อเลี้ยงชีพ ไคโตะก็เสนอความเห็นที่ใกล้เคียงกับการเสียดสีมากกว่าว่าถ้าไม่อยากเป็น คนล้มเหลว แบบที่คนรักเก่าเคยปรามาสไว้ ก็ไม่ควรเอาชีวิตไปฝากไว้กับงานประเภทเดิมๆ เธอไม่รีบร้อนที่จะหาว่าตัวเองต้องการสิ่งใดกันแน่ เมื่อใช้เวลาตลอดสามเดือนแรกไปกับการคร่ำและใคร่ครวญถึงเรื่องของไทกะ กว่าบาดแผลที่ถูกกรีดจะค่อยๆ สมานกันดี ไม่ใช่เพราะเงินเก็บที่แทบไม่มีแต่เป็นการหยิบยืมจากพี่สาวต่างหาก หล่อนเองก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรถึงจะรู้เพียงแค่ว่าน้องสาวเลิกรากับชายคนรัก นั่นคือเหตุผลที่มาอายะเลือกพึ่งพาซาอายะมากกว่าพ่อ แม่ หรือเจสซี่ ที่รับรองได้เลยว่าจะต้องพาตัวเธอกลับไปโกเบ ด้วยรู้ว่าลูกสาวคนรองไม่มีทางเอาตัวรอดได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างแน่นอน

    อย่างน้อยๆ ก็มีเรื่องหนึ่งที่มาอายะแน่ใจ

    นั่นคือเธอไม่อยากจะจากโตเกียวที่ตกหลุมรักนี้ไปที่ไหนทั้งนั้น

    โชคดีที่มาอายะไม่จำเป็นต้องดิ้นรนและรบกวนพี่สาวให้ได้นึกอดสูตัวเองมากไปกว่านี้ บ่อยครั้งที่โมเดลเอเจนซี่จะมาทาบทามเธอ และทุกครั้งพวกเขาก็จะได้รับคำปฏิเสธกลับไปด้วยไม่อยากยึดเป็นอาชีพอย่างจริงจัง แต่แล้วคำพูดของไคโตะก็แล่นปราดเข้ามาให้เธอได้ตระหนักว่าจะมัวแต่ทำตัวเป็น คนล้มเหลว อยู่แบบนี้ถึงอีกเมื่อไหร่? ในที่สุดจึงตัดสินใจลองดูสักตั้ง ถึงทสึบากิอาจเป็นแค่โมเดลเอเจนซี่เล็กๆ ไม่ได้ใหญ่โตและมีชื่อเสียงระดับแนวหน้าของประเทศชนิดที่เอ่ยชื่อไปใครก็ต้องรู้จักเหมือนอย่างต้นสังกัดของไคโตะ แต่มาอายะก็พอใจกับที่นี่ เช่นเดียวกับความมุ่งมั่นของคุณทสึบากิดี

    มาอายะยกเครดิตทั้งหมดให้กับไคโตะและเฝ้าขอบคุณเขาอยู่เสมอ ไม่ว่าจะพูดแค่ในใจหรือว่าพูดออกมาดังๆ ให้ได้รับรู้ ถ้าหากวันนั้นเขาเมินเฉยต่อข้อความที่ส่งให้ผิดคนแล้วปล่อยให้ผ่านเลยไป วันนี้เธอก็ยังคงเป็นได้แค่ คนล้มเหลว ที่จมปลักอยู่กับอดีตคนรักไม่ไปไหน

    ใช่จะไม่รู้...เพราะอย่างนั้นมาอายะถึงได้เกลียดความอ่อนแอที่คอยแต่หวังพึ่งพิงคนอื่นของตัวเองอยู่เสมอ ก่อนหน้านั้นถึงจะเลิกรากับคนรักต่อกี่คนไปเธอก็ยังมีน้องชายคอยดูแลไม่ให้เหงา ครั้นจากบ้านเกิดมาก็เอาชีวิตทั้งหมดไปผูกติดอยู่กับไทกะ และตอนนี้ไคโตะก็เปรียบเหมือนเส้นเชือกที่เธอพยายามรั้งเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ต่อให้ความเป็นไปได้จะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ถ้ามีความเป็นไปได้แม้เพียงนิด มาอายะก็ไม่ขอเสี่ยงที่จะสูญเสียเขาไป

     

    นัยน์ตาของเธอปิดกลับลงไปอีกครั้งแม้น้ำตาจะยังคงไม่หยุดไหล ไม่ต่างอะไรกับสายฝนที่คงจะบรรเลงท่วงทำนองไม่รู้จบในค่ำคืนนี้

    ก่อนหลุดจากภวังค์เพราะรู้สึกถึงการขยับเคลื่อนไหวภายในห้องสี่เหลี่ยม เสียงโทรทัศน์ที่เงียบหายบ่งบอกความเป็นไป เธอกำลังจะลุกขึ้นกลับไปนอนเตียงชั้นบนของตัวเองอยู่แล้วถ้าไม่ใช่เพราะกลิ่นหวานเอียนของวานิลลาที่แตะโชยมา หาใช่กลิ่นแอลกอฮอล์อย่างที่คิดเอาไว้ว่าเขาออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ แต่อย่างใด ในตอนที่เขาก้มตัวลงมาห่มผ้าที่กองร่นลงไปกับปลายเท้าให้เธอ พลันนั้นเองที่ความรู้สึกปวดแปลบในใจได้ถาโถมเข้าใส่ อาจเพราะมาอายะเอาแต่มองในมุมของตัวเองที่อยากให้เขาอยู่เคียงข้างแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเผลอหลงลืมไปว่าเขาก็มีชีวิตเป็นของตัวเองเหมือนกัน

    ระยะห่างกลับดูเหมือนไกล ทั้งที่ใกล้เพียงเอื้อม



    ไม่บ่อยนักที่มาอายะจะตื่นนอนตอนเช้าก่อนร้านรวงต่างๆ จะพากันเปิดขนาดนี้ ถึงแม้ว่าปกติเธอจะใช้ชีวิตไม่เป็นเวลาอยู่แล้วเพราะอาชีพที่เรียกได้ว่าอิสระ อีกทั้งงานที่มีเข้ามาไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นงานเล็กๆ จำพวกงานถ่ายแบบนิตยสาร ยกเว้นครั้งหนึ่งที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อยคือการได้เป็นนางแบบเสื้อผ้าแบรนด์ดังในเว็บไซต์ ด้วยค่าจ้างที่หักเปอร์เซ็นต์กับคุณทสึบากิแล้วก็ยังทำให้เธอตาลุกวาว จนสามารถชวนไคโตะไปเลี้ยงที่ห้องอาหารชั้นดาดฟ้าในโรงแรมหรูๆ อย่างที่เคยฝันว่าอยากจะมาดื่มด่ำกับบรรยากาศที่มองเห็นโตเกียวประดาแสงสีดูสักครั้งได้ ขนาดตอนนั้นไคโตะที่อายุเพิ่งจะพ้นยี่สิบมาได้ไม่เท่าไหร่ก็ยังทำตัวไม่ประดักประเดิดเหมือนกับเธอเลยสักนิด นั่นเพราะมาอายะหลงลืมไปจริงๆ ว่าถึงเขาจะใช้ชีวิตอยู่อย่างคนสมถะในอพาร์ตเมนต์ขนาดแค่ 1LDK ที่แบ่งปันร่วมกับเธอกับรถญี่ปุ่นคันเล็กๆ แต่ความเป็นจริงก็คือนายนากามูระคนพ่อทำงานเป็นนายธนาคารระดับสูง ขณะที่การเซ็นสัญญาเป็นนายแบบภายใต้สังกัดบันเทิงรายใหญ่ของคนลูกก็ทำให้เจ้าตัวมีรายได้ที่ดีพอจะไปใช้ชีวิตอยู่อย่างหรูหรากว่านี้มาก ฉะนั้นมาอายะจึงอดทึ่งใจไม่ได้ที่ไคโตะกลับพอใจอยู่กับโลกใบเล็กๆ แบบนี้ของตัวเองดี

    แต่สิ่งหนึ่งที่ยังค้างคาในใจคือเขาพอใจกับการที่มีเธออยู่ด้วยแบบนี้...มากเท่ากับที่เธอรู้สึกหรือเปล่า?

    ขณะที่เหม่อมองลงไปจากบานหน้าต่างชั้นสองของร้านอาหารครอบครัวที่เธอเลือกมาฝากท้องในตอนเช้าตรู่ มาอายะก็ครวญคิดถึงเด็กหนุ่มนากามูระ ไคโตะที่ได้เคยรู้จักนับตั้งแต่หลายปีก่อนเป็นครั้งแรก หากก็แทบจะจำจดอะไรไม่ได้มากไปกว่าเรื่องที่ว่าเขาเล่นเกมเก่งมาก ไม่ว่าจะเกมอาเขตหรือเกมคอนโซลที่ชอบมานั่งเล่นกับเจสซี่ที่บ้าน แทบจะไม่เคยมีบทสนทนาหรือช่วงเวลาที่เป็นส่วนตัวระหว่างกัน ขณะที่มาอายะมองเห็นไคโตะเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งของน้องชาย ไคโตะเองก็ไม่เคยแสดงท่าทีว่าชอบเธอในเชิงชู้สาวเลยแม้สักครั้ง กระทั่งตอนนี้เองก็เหมือนกัน เขายังคงรักษาความสัมพันธ์ถึงระยะห่างจะเขยิบขึ้นมาอีกหลายระดับ กลับเป็นตัวเธอเองมากกว่าที่แน่ใจว่าคิดอะไรมากเกินกว่านั้น แม้อาจจะยังไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า 'รัก' เขาแบบเดียวกับคนรักตลอดสามปี หากความชิดใกล้ที่ไม่ทำให้เธอต้องรู้สึกเหงาก็ช่วยคลายความเศร้าไปได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คิดว่าจะเป็น เพราะอย่างนั้นถึงได้ไม่อยากกำหนดสถานะเจาะจงลงไปให้กับมัน ด้วยคิดว่าขอแค่มีกันเรื่อยไปแบบนี้ก็เพียงพอแล้ว แต่ดูเหมือนนั่นอาจจะเป็นความต้องการแค่เพียงฝ่ายเดียว สักวันหนึ่งการตัดสินใจจะต้องมาถึง และมาอายะก็ไม่มั่นใจเลยจริงๆ กับคำตอบที่จะได้รับ

    ก่อนถอนหายใจแล้วดึงความคิดกลับมายังสลัดไก่ ที่แน่นอนว่าไม่ใช่จานหลักอย่างสเต๊กเนื้อมื้อหนักซึ่งเธอสวาปามไปจนหมดแล้ว ขืนคุณทสึบากิรู้เข้ามีหวังได้บ่นจนหูชา แต่มาอายะไม่สนใจ ในเมื่อการกินคือหนึ่งในสิ่งที่เธอรักที่สุดในโลก และเธอก็ไม่คิดว่าอยากเสียสละมันให้กับอาชีพที่ไม่ยั่งยืนหรือคิดจะทำเพียงชั่วระยะสั้นๆ เป็นตอนนั้นเองที่มือถือจะสั่นครืดคราดขึ้นมา ด้วยรู้ว่าไม่มีทางใช่ไคโตะที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงชั้นบน ขนาดว่าเธอเผลอทำกระเป๋าหล่นดังโครมก็ยังเงียบสนิท มาอายะจึงมั่นใจเต็มร้อยว่านั่นต้องเป็นข้อความในไลน์จากสุภาพสตรีที่กำลังคิดถึงแน่

    ยังไม่ทันที่ปลายนิ้วเรียวจะได้พิมพ์ข้อความตอบกลับ แค่ตัวอักษรเพียงเล็กๆ ที่ขึ้นว่า อ่านแล้ว หล่อนก็จะรีบต่อสายตรงมาหา “วันนี้ตื่นเร็วนะเธอ” อย่างด่วนทันใจไม่ต่างกัน จนมาอายะที่ชักช้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้วได้แต่อ้าปาก “งั้นก็รีบๆ มาที่ออฟฟิศซะ”

    “เอ๊ะ? ทำไม...”

    พูดได้แค่นั้น ปลายสายก็จะรีบตัดทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใยทันที ทิ้งให้คู่สนทนานั่งงงงวยอยู่อีกครู่ขณะ จากนั้นจึงค่อยสั่นหัวน้อยๆ ให้กับความเจ้ากี้เจ้าการของมิสเดวิลที่เธอเรียกต่อหน้าว่าคุณทสึบากิ แต่ลับหลังกับสาวๆ ในสังกัด เมื่อหล่อนออกคำสั่งประกาศิตมาเช่นนี้แล้วจะมัวเอ้อระเหยอยู่ไม่ได้ จำต้องรีบจิ้มสลัดไก่เข้าปากที่เหลืออยู่ก่อนดูดโค้กเข้าไปจนเกลี้ยง

    มีวิธีเดินทางที่สะดวกสุดๆ อย่างแท็กซี่ไม่ก็รถยนต์ส่วนตัวที่เธอบังคับพวงมาลัยไม่เป็นอยู่ แต่มาอายะอยากจะใช้เวลาอยู่กับตัวเองมากกว่านี้อีกนิด จึงเลือกขึ้นรถไฟในเวลาไม่เร่งรีบไป เวลาอย่างต่ำราวครึ่งชั่วโมงคือสิ่งที่คุณทสึบากิยอมรับได้จากโอทสึกะถึงออฟฟิศในรปปงงิของหล่อน อีกทั้งนางแบบในสังกัดคนนี้ก็ไม่เคยทำพฤติกรรมให้ได้บ่นว่าแต่อย่างใด มาอายะไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร แต่เธอชอบคุณทสึบากิ ถึงหล่อนจะพูดจาโผงผางจนเกือบเรียกได้ว่าเราะร้ายก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอเก็บมาถือสา อีกเหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะหล่อนให้ความรู้สึกเหมือนกับพี่ซาอายะนิดๆ อาจเว้นแต่ว่าพี่สาวแท้ๆ ไม่ได้สูงยาวเข่าดี และมีหน้าตาสะสวยเหมือนกับเจ้านายของเธอจนอาจแพ้ราบคาบกันทั้งสังกัดเลยด้วยซ้ำ

    เหตุผลที่คุณทสึบากิจะเรียกเธอเข้าออฟฟิศก็ย่อมต้องเป็นเรื่องงาน เพราะถ้าเป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วไปหล่อนจะชอบนัดไปกินดื่มร้านข้างนอกมากกว่า เพียงแต่มาอายะไม่คาดคิดเลยว่านี่จะเป็นประโยคที่เธอได้ยินกับหูจริงๆ

    “มีค่ายติดต่อมาให้เธอเล่นมิวสิควิดีโอนะ”

    “เอ๊ะ...มิวสิควิดีโอเหรอคะ? พูดจริงเหรอคะ? แล้ว...แล้ว...ฉันจะได้เล่นให้ใครเหรอคะ?” คำถามจากน้ำเสียงตะกุกตะกักที่รัวติดกันด้วยความตื่นเต้นกับประโยคที่ได้ยิน ทำให้หล่อนต้องโคลงศีรษะอย่างอ่อนใจ

    “ฉันบอกได้แค่ว่าไม่ใช่ค่ายใหญ่อะไรหรอก”

    “ค่ายเล็กค่ายใหญ่ฉันไม่เกี่ยงหรอกค่ะ ตอบรับไปได้เลยค่ะ ฉันไม่ปฏิเสธแน่นอน!” เธอสั่นศีรษะรัวแรงจนเส้นผมยาวสีเข้มที่ปล่อยสยายสั่นกระจาย

    “เธอไม่เรื่องมากเหมือนกับคนอื่นๆ ดีนะ แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยเข้าตาลูกค้าเท่าไหร่”

    หากคำพูดที่เป็นความจริงนั้นก็ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวรู้สึกผิดหวังอะไร มาอายะยังคงยิ้มกว้างๆ ออกมาได้ พูดกับหล่อนด้วยน้ำเสียงติดจะรื่นเริงเสียด้วยซ้ำไปว่า

    “เท่านี้ก็ดีแล้วค่ะ”

    “ถ้าเธอทะเยอทะยาน ฉันเชื่อว่าเธอจะไปได้ไกลกว่านี้”

    ทะเยอทะยาน...ช่างเป็นคำที่ห่างไกลตัวเธอมาตลอดยี่สิบสี่ปีที่ลืมตาดูโลกเสียเหลือเกิน แม้ว่าทุกคนในบ้านจะพากันรบเร้าให้เธอไปอยู่ที่อเมริกาเหมือนอย่างพี่ซาอายะเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า มาอายะก็ไม่เห็นว่าชีวิตที่โกเบจะเสียหายอะไร พ่อกับแม่คิดว่าเธอกลัวการเปลี่ยนแปลง ขณะที่พี่ซาอายะคิดว่าเป็นเพราะเธอติดแฟนจนไม่อยากจากไปไหน แต่เจสซี่ที่สนิทกับเธอมากที่สุดต่างหากที่มองขาดว่าเป็นเพราะพี่สาวคนกลางเป็นพวกกลัวความเหงา ซ้ำยังชอบพูดย้ำอยู่บ่อยๆ ว่าถ้ามีใครเข้ามาในช่วงเวลาที่เธอรู้สึกดิ่งแล้วล่ะก็ เธอคงจะตกลงปลงใจกับคนคนนั้นทั้งที่ไม่มั่นใจเลยด้วยซ้ำว่าเป็นความรักหรือเปล่าแน่ๆ ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยเมื่อเธอได้พิสูจน์เรื่องนั้นกับไคโตะแล้วว่ามันไม่เป็นความจริง แต่หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนวาน นี่เป็นครั้งแรกที่มาอายะคิดว่าถ้าเธอทำอะไรแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ก็คงดี

    ถึงไคโตะจะไม่เคยแสดงท่าทีว่ามีใจให้เธอเลยสักครั้งเลยก็ตาม

    หลังคุณทสึบากิบอกว่าจะนัดมาคุยเรื่องรายละเอียดอีกทีแล้วก็ไล่นางแบบสาวกลับบ้านไปโดยไม่ใยดีตามประสา ถ้าเป็นปกติมาอายะคงจะทำตามอย่างที่หล่อนว่า แต่ไม่ใช่กับวันนี้ที่เธอไม่คิดว่าตัวเองพร้อมจะเจอหน้าเพื่อนร่วมห้องหรือว่าถามไถ่ถึงเรื่องเมื่อวาน บางครั้ง...หรือหมู่นี้ อาจเรียกได้ว่าบ่อยครั้งที่มาอายะอดนึกเสียดายที่ไม่มีคนให้ระบายเรื่องที่คับข้องใจบ้างเหมือนอย่างใครเขา คนหนึ่งที่ใกล้เคียงกับตำแหน่งนั้นที่สุดก็ดูท่าว่าจะเป็นเจสซี่ หากมาอายะจะเล่าเรื่องของไคโตะให้เพื่อนสนิทของเจ้าตัวฟังไปเพื่ออะไร ยอมรับเลยก็ได้ว่าเธอไม่ไว้ใจนายน้องชายตัวดีว่าจะไม่เผลอหลุดปากออกไป ถึงเขาจะรู้เรื่องสถานะของการเป็นเพื่อนร่วมห้องและไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าการเย้าแหย่ และมาอายะก็ไม่แน่ใจนักว่าเหตุผลนั้นเป็นเพราะเขาเชื่อในตัวเพื่อน พี่สาว หรือไม่ก็ทั้งสองเลยกันแน่

    ครั้นจะให้เดินเล่นช้อปปิ้งก็ไม่มีอารมณ์ หรือจะให้ไปนั่งดื่มด่ำกับวันฟ้าหม่นที่ร้านกาแฟขาประจำก็ไม่นึกอยาก ทางเลือกเดียวตอนนี้คงมีแค่มังงะคิสสะให้ไปนอนดูหนังอ่านหนังสือเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ก็ไม่เลว เธอคิด จากนั้นจึงยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วเริ่มต้นออกเดินไป



    ไคโตะไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่เมื่อเขาตื่นนอนเอาตอนสายๆ แล้วจะพบเพียงความว่างเปล่าเฉกเช่นเดียวกับข้อความในไลน์ ถึงแม้ว่ามาอายะ ลูอิส คนที่เขารู้จัก จะเป็นประเภทคิดและทำอะไรปุบปับจนดูเหมือนไม่ค่อยคิดถึงคนรอบข้างสักเท่าไหร่นักอยู่แล้ว แต่ถ้าหากว่าออกไปไหนนานๆ แล้วนึกขึ้นมาได้เธอก็จะส่งไลน์หาหรือไม่ก็โทร.มา ยิ่งโดยเฉพาะในวันที่รู้ว่าเขาว่างสุดๆ แบบนี้ เพราะเมื่อไหร่ที่มีวันว่างตรงกัน พวกเขาก็จะใช้เวลาขลุกอยู่ด้วยกันหน้าทีวีเพื่อเล่นเกมและดูหนังมากกว่าการออกไปข้างนอก เช่นนั้นแล้วทำไมเขาถึงจะไม่รู้?

    อันที่จริงไม่ใช่แค่รู้ แต่ไคโตะแน่ใจเลยต่างหากว่าเหตุผลก็คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน อันเนื่องมาจากงานถ่ายแบบซึ่งล่าช้ากว่าที่คาดการณ์เอาไว้เกือบๆ ชั่วโมง จึงทำให้แทบไม่มีโอกาสได้แตะโทรศัพท์เลยระหว่างนั้น รวมถึงหลังจากนั้นเมื่อเขาต้องรวมหัวกับกลุ่มเพื่อนๆ ของหล่อนและทีมงานทำเซอร์ไพรส์วันเกิดให้นางแบบที่ถ่ายงานด้วยกัน เมื่อนัตสึเมะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีมาโดยตลอด เขาจึงไม่อยากทำลายช่วงเวลาสำคัญในชีวิตของคนอื่นด้วยการคิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง แล้วเอาไว้ค่อยกลับไปเคลียร์กับมาอายะทีหลัง เท่าที่รู้จักกันมาก็ใช่ว่าเธอจะเป็นคนไร้เหตุผลจนไม่ยอมฟังอะไรเลยเสียที่ไหน ถ้าเพียงแต่เหตุการณ์ที่กระทั่งตัวเขาก็ไม่คาดคิดมาก่อนจะบังเกิดขึ้น ในตอนที่นัตสึเมะจะเรียกเขาไปคุยด้วยในมุมหนึ่งเป็นการส่วนตัว

    “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

    เพราะหญิงสาวที่เอาแต่ก้มหน้าให้เขารู้สึกอึดอัดจนต้องเป็นฝ่ายทำลายมันเอง เพื่อที่เธอจะได้แหงนเงยใบหน้าขึ้นมาสบจ้องกับเขา

    “ฉัน...ฉันชอบไคโตะคุงนะ”

    คำสารภาพรักที่ไม่ทันตั้งตัวหรือว่านึกฝันจะทำให้ไคโตะนิ่งค้างไปจริงๆ นัตสึเมะเป็นคนสวย นิสัยใจคอก็น่ารัก หากแม้เขาจะบอกว่าหล่อนเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีก็ใช่ว่าเคยร่วมงานกันบ่อยๆ หรือเคยแลกช่องทางติดต่อกัน การที่หล่อนไม่แสดงท่าทีในแง่นั้นออกมาให้เขาได้รู้สึก ทั้งที่เพิ่งจะถ่ายงานในฐานะคู่รักด้วยกันก็ทำให้เขาแทบไม่เชื่อหู ไคโตะไม่อยากทำลายวันสำคัญของหล่อน แต่จะให้หลอกตัวเองเพื่อรักษาปณิธานต่อไปก็ทำไม่ลง ในเมื่อเขาก็ไม่ใช่คนดีอะไรขนาดนั้น

    “ขอโทษด้วย แต่ฉัน...”

    กลับเป็นหล่อนที่โพล่งแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ราวกับช่วยต่อประโยคที่เขาพูดไม่ทันจะจบให้ว่า “มีคนที่ชอบแล้ว...ใช่ไหม?”

    “อืม”

    “แล้ว...คนคนนั้นเขาดีกว่าฉัน น่ารักกว่าฉันมากหรือเปล่า?”

    คราวนี้ไคโตะตัดสินใจไม่พูดอะไร คงเพราะความเสียใจทำให้เธอถามเรื่องที่ไม่ได้อยากจะรู้เพื่อตอกย้ำตัวเองออกมา

    น้ำตาของเธอยิ่งพร่างพรูลงมาหนักขึ้นไปอีกกับความเงียบงันที่ดูเหมือนกับเย็นชา จากชายคนที่หล่อนตกหลุมรักตั้งแต่ได้ทำงานร่วมกันเป็นครั้งแรกเมื่อหลายเดือนก่อน นัตสึเมะชอบความใจดี คอยใส่ใจไม่ทำให้หล่อนรู้สึกประหม่าของเขามากขนาดนี้เชียวหรือ? ร่างเล็กที่กลับไปก้มหน้าสะอื้นไห้จนตัวโยนช่างดูน่าสงสารเสียจนเขาไม่สามารถทอดทิ้งได้ลง ไม่แม้แต่ในตอนที่เธอโผเข้ามากอดเขาเอาไว้แน่นๆ ถึงอาจไม่ใช่คนดีอะไรนักหนา ไคโตะก็ไม่ได้ใจร้ายพอที่จะผลักไส

    กลิ่นแห่งความผิดหวังที่หวานเอียนของหญิงสาวเพิ่งครบวัยยี่สิบเอ็ดโชยแตะจมูกขึ้นมา

    ทั้งอย่างนั้น การหนีหน้าในยามเช้าของเพื่อนร่วมห้องก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแย่แต่อย่างใด ตรงกันข้าม เขากลับพอใจที่เหตุการณ์ออกมาในรูปแบบนี้

    ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมด เขาก็ดีใจที่เธอรู้สึกแบบเดียวกัน

    มันไม่ใช่อะไรน้ำเน่าอย่างรักแรกพบ แต่เขาก็ตกหลุมรักพี่สาวของเพื่อนสนิทตั้งแต่วินาทีที่เธอคร่ำเครียดอยู่กับตู้คีบตุ๊กตาซึ่งไร้วี่แวว กระทั่งเขาเสนอตัวช่วยคีบอาจารย์เนียนโกะตัวกลมบ๊อกมาให้ได้สำเร็จหลังจากสามครั้ง ถึงตอนนี้ไคโตะก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าเป็นเพราะรอยยิ้มกว้างๆ คำชื่นชมและขอบคุณที่พร่ำออกมาไม่หยุด หรือท่าทีตอนที่เธอกอดเจ้าเหมียวยักษ์หน้าตาตลกๆ เอาไว้ไม่ยอมปล่อย หากเมื่อเขาไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ในเมื่อความสัมพันธ์ของเธอกับคนรักก็ราบรื่นดี แถมเขามีเวลาอยู่ที่โกเบแค่เพียงหนึ่งปีสั้นๆ ถึงได้ตัดสินใจปล่อยให้เธอเป็นแค่ความฝันอันสวยงาม แล้วใช้ชีวิตของตัวเองโดยไม่มองย้อนกลับไป คบหาผู้หญิงในช่วงเวลาระหว่างนั้นบ้าง แม้ยังคงติดต่อกับเจสซี่และเล่นเกมด้วยกันอย่างสม่ำเสมอก็ไม่ได้ถามไถ่ถึงเธออีกเว้นแต่เจ้าตัวจะเล่าให้ฟังเอง ถ้าไม่ใช่เพราะข้อความไลน์จากเจ้าของรายชื่อที่เขาไม่เคยลบในค่ำคืนหนึ่ง แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะทักไปอีกว่า คืนนี้ขอฉันไปค้างกับคันนะได้ไหม?’ และคำพูดของเจสซี่ที่เคยบอกว่าเธอย้ายมาอยู่ที่โตเกียวกับคนรักนักดนตรี ฉะนั้นข้อความแบบนี้จะเป็นอะไรได้ถ้าไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ที่แตกหัก และหยดน้ำที่กลบกลืนแววตาจนไม่ทันสังเกตว่าคนที่เธอส่งข้อความมาให้จะไม่ใช่คันนะคนนั้น

    เขาไม่เคยเห็นหญิงผู้ยังเป็นที่รักแสดงความอ่อนแอและสิ้นหวังเหมือนโลกจะถล่มทลายแบบนี้มาก่อน อีกครั้งที่คำพูดของเจสซี่จะปราดเข้ามาว่าพี่สาวของตนใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเฉื่อยมากเกินไป เขาตัดสินใจไม่ปริปากว่าสิ่งที่คนรักของเธอพูดนั้นถูกต้องแล้ว รวมถึงเรื่องที่ว่าเขาดีใจมากแค่ไหนที่ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างนี้ เพราะอย่างน้อยๆ การเลิกรานั้นก็ทำให้เขาได้มาพบกับเธอ

    ไคโตะจะไม่ปฏิเสธว่าเขาฉวยโอกาสจากความอ่อนแอของมาอายะ เพียงเพื่ออยากให้เธอมาอยู่ใกล้ๆ แล้วหวังว่าสักวันหนึ่ง เขาจะได้เป็นคนคนนั้น เมื่อเธอลืมเรื่องราวของคนรักเก่าได้จนหมดใจ

    น่าขันที่เมื่อเขาตัดสินใจเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เจสซี่ฟัง หมอนั่นจะหัวเราะลั่นผ่านมาทางวิดีโอคอลแล้วบอกว่า “ฉันก็กะไว้อยู่แล้ว”

    “พูดเป็นเล่น

    “ที่ฉันรู้เพราะนายเป็นคนเดียวที่จงใจไม่สนใจยัยนั่นยังไงล่ะ แต่ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครรู้หรอกนอกจากเซนส์น้องชายของฉันมันแรงเกินไปเท่านั้นแหละ” ฝั่งสนทนาดูจะชอบอกชอบใจเหลือเกินที่ตัวเองหงายไพ่หน้าแต้มถูกมาเป็นเวลานานขนาดนี้ ถึงได้ชอบพูดเรื่องของพี่สาวทั้งตั้งใจและเผลอหลุดออกมาเองให้ฟังอยู่บ่อยๆ นั่นปะไร “แต่จำไว้ด้วยว่ายัยนั่นเป็นประเภทเกาะไม้พายไม่ยอมปล่อยในตอนที่เรือจะจม ถ้านายไม่อยากเสียใจทีหลังก็อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจจนกว่าจะแน่ใจแล้วกัน”

    ขณะที่น้องชายรู้ทุกอย่างโดยที่เขาอาจไม่จำเป็นต้องพูดออกมาดังๆ แต่เจ้าตัวพี่สาวเองกลับไม่รู้อะไรสักอย่าง ก็ใช่ว่าเธอจะซื่อบื้อจนมองดูความต้องการของผู้ชายที่เข้าหาไม่ออก เพียงแต่เขาปกปิดมันแนบสนิทเกินไปจนไม่น่าจะมีใครในโลกนี้อีกแล้วที่รู้ว่านากามูระ ไคโตะตกหลุมรักมาอายะ ลูอิสอยู่

     

     

    เพราะเสียงสั่นครืดคราดที่ข้างลำตัวที่ทำให้มาอายะหลุดจากภวังค์อันเบาบาง ควานมือสะเปะสะปะไปเอื้อมหาต้นทาง ด้วยนัยน์ตาที่หรี่ปรือแค่เพียงนิดเดียวเท่านั้นในตอนมองหาปุ่มรับสาย ไม่ใช่รายชื่อของคนที่โทร.เข้ามา ครั้นเมื่อกรอกน้ำเสียงงัวเงียลงไปก็จะถูกน้ำเสียงดุๆ ของอีกฝ่ายหนึ่งถามเข้าให้ว่า “ตอนนี้อยู่มังงะคิสสะที่ไหน?” จนเธอต้องทำตาโตในความคิด เพราะความจริงแล้วมันยังคงปิดฉับอยู่อย่างเดิม

    “เอ่อ...ที่รปปงงิ”

    แล้วบอกชื่อร้านไปเสร็จสรรพ แน่นอนว่าจะได้ยินปลายสายถอนหายใจแล้วว่าจะไปหา ไม่ทันให้เธอได้อ้าปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวเหมือนกับคุณทสึบากิไม่มีผิด! ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังคงไม่ลืมตา ตอนนี้ไม่รู้สึกง่วงแล้วแต่ขอแค่ได้ปิดเปลือกตาอีกเดี๋ยวตามประสาคนขี้เซาเท่านั้นแหละ ราวๆ ห้านาทีถึงค่อยหาวออกมาหวอดใหญ่ๆ ตอนที่เปิดเปลือกตาขึ้นดูเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์แล้วก็ทำให้ต้องอ้าปากค้าง เธอเข้ามาอ่านหนังสือการ์ตูนตั้งแต่สิบโมง อ่านไปอ่านมาแล้วก็ดันผล็อยหลับไป ถ้าไม่รู้สึกตัวจากเสียงสั่นของสายเรียกเข้าครั้งที่สามของไคโตะ (นอกเหนือจากข้อความและสายที่ไม่ได้รับในไลน์อีกนับไม่ถ้วน) ก็อาจจะไปตื่นเอาตอนเย็นๆ นู่นเลยก็ได้ ดูเอาเถอะว่าตอนนี้ก็ล่วงบ่ายสามเข้าไปแล้ว คนที่บ้านชอบบ่นว่าเธอที่ว่างเมื่อไหร่ก็เอาแต่นอนกินบ้านกินเมือง จริงอยู่ที่ไคโตะไม่เคยบ่นว่าเธอเรื่องนี้เหมือนกับคนที่บ้านเลยสักครั้ง แต่มาอายะเองก็มานึกได้ว่าหลายต่อหลายครั้งที่เขากลับเข้าห้องมาจะต้องเป็นตอนที่เธองัวเงียส่งเสียงทักทายจากบนเตียงอยู่เสมอ เขาต้องคิดแน่ๆ ว่าขนาดออกมาข้างนอกเธอยังจะหาที่หลับได้อยู่อีก คิดแล้วก็พาลหดหู่ขึ้นมาอีก ทั้งในตอนที่ลุกไปล้างหน้าล้างตาแล้วกลับมาแต่งหน้าเร็วๆ ไม่ถึงยี่สิบนาทีดีโทรศัพท์ก็จะสั่น เป็นข้อความไลน์ที่ถามว่า อยู่ห้องไหน? หลังขยับปลายนิ้วพิมพ์บอกตัวเลขไป เขาก็จะผลักบานประตูเข้ามาในวินาทีเกือบถัดมาให้คนในห้องเป็นได้สะดุ้งเฮือก แถมยังทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างเธอแหมะด้วยระยะห่างที่ใกล้ที่สุดในชีวิต ขณะเอื้อมตัดหน้าไปคว้าเอาหนังสือการ์ตูนผู้หญิงที่เธอยืมมาพลิกเปิดจนเกือบลืมหายใจ

    “ออกมาหาที่นอนเปลี่ยนบรรยากาศหรือไง?”

    “เปล่าสักหน่อย แค่อ่านหนังสือแล้วเผลอหลับไปก็เท่านั้นเอง” มาอายะบ่นงึมงำ ทำทีเป็นปิดฝาลิปสติก จัดการกวาดเครื่องสำอางที่เรียงรายบนโต๊ะกลับเข้ากระเป๋าถือใบเล็กไป

    “หิวไหม?”

    “ไม่เห็นจะหิว” ทั้งที่ท้องกิ่วจะแย่ แต่มาอายะก็ยังทำคอเชิดไม่สนใจคำถามของเขา เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังคงกรุ่นๆ กับเรื่องเมื่อวานอยู่ไม่หาย

    แน่นอนว่าไคโตะรู้เหตุผลการกระทำของเธออยู่เต็มอก เขาเกือบจะหลุดขำอยู่แล้ว แต่เพราะไม่อยากทำให้คนข้างตัวลุกผลุนผลันไปเสียก่อน จึงหันไปจ้องหน้าเธอที่ดันเผลอหันไปพอดีให้ได้ผงะถอย

    “เรื่องเมื่อวานฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ” พร้อมกับศีรษะที่กดก้มลงไปหน่อยหนึ่ง “แต่เมื่อวานงานเลิกดึกมาก แล้วหลังจากนั้นทุกคนก็ทำเซอร์ไพรส์วันเกิดให้คุณนัตสึเมะกัน ก็เลย...”

    “ก็เลยไม่มีเวลาส่งข้อความมาบอก” เธอต่อประโยคที่เขาค้างเอาไว้ให้จบเสียเอง หลังจากนั้นก็ปิดปากเงียบ หากดูมีท่าทีครุ่นคิดคล้ายกับว่าอยากจะพูดอะไรออกมาสักอย่าง และไคโตะก็มั่นใจเต็มร้อยเลยว่าเธอต้องอยากถามเรื่องที่มาที่ไปของน้ำหอมกลิ่นวานิลลานั้น เพราะตอนที่โน้มตัวลงไปหยิบผ้าห่มมาคลุมตัวเธอที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงของเขาให้เมื่อวาน มีจังหวะหนึ่งที่เขาสัมผัสได้ว่าเธอขยับตัว

    ขืนมัวแต่รอให้เธอถาม ไคโตะก็คิดว่าอาจเป็นโลกหน้าถึงจะได้คำตอบ

    “แล้วเมื่อวานคุณนัตสึเมะก็มาสารภาพรักกับฉัน”

    เหมือนกับคนที่ทำอะไรไม่ถูกเลยทำทีเป็นพยักหน้า ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปัดผมที่ปรกบังใบหน้า แสดงท่าทีที่ไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลยให้เขายิ่งแน่ใจ

    “แต่ฉันปฏิเสธ”

    “เหรอ?”

    ถึงจะตอบรับไปเหมือนไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แต่รอยยิ้มบนริมฝีปากสีชมพูคู่นั้นก็ปรากฏขึ้นที่มุมหนึ่งให้เขาได้มองเห็นมันอยู่ดี เขาชอบมัน เหมือนกับที่ชอบกลิ่นแชมพูจางๆ ซึ่งอวลอลรอบตัวเธออยู่เสมอ

    มันไม่มีทางอยู่แล้วที่กลิ่นหวานเอียนของวานิลลาจะสู้กลิ่นหอมละมุนของต้นส้มได้



    เพราะชีวิตที่ไม่ใคร่จะมีอะไรให้พูดถึงมากนักจากการหมกตัวอยู่แต่ในห้องซะเป็นส่วนใหญ่ มาอายะจึงมักเป็นฝ่ายโยนคำถามเข้าใส่ชีวิตประจำวันทั่วๆ ไปของไคโตะมากกว่าจะเป็นฝ่ายหาเรื่องมาสนทนา มีพักนี้ที่ดูเหมือนจะได้สลับบทบาทกันบ้าง หลังเธอกลับจากการเซ็นสัญญา หรือนัดพบกับทีมงานบางส่วนล่วงหน้าเพื่อพูดคุยถึงรายละเอียดเรื่องการถ่ายทำคร่าวๆ และทุกครั้งก็จะมีเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจกลับมาเล่าให้ไคโตะฟังอยู่เสมอ เหมือนกับเด็กประถมที่เพิ่งจะได้เคยไปทัศนศึกษาเป็นครั้งแรก...ซึ่งก็อาจจะเรียกได้ว่าใกล้เคียง เมื่อผลงานการถ่ายมิวสิควิดีโอชิ้นนี้กำลังจะเป็นผลงานการแสดงชิ้นแรกในชีวิตของเธอ โดยมีไคโตะทำหน้าที่คอยรับฟังด้วยความใส่ใจเหมือนอย่างที่เธอได้เคยปฏิบัติต่อ และนี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่เขาชอบเธอ เช่นเดียวกับความเดียงสาที่ไม่ว่ามันจะเป็นของจริงหรือสิ่งปั้นแต่งก็ตามแต่ หากทุกอย่างทั้งดีร้ายที่หลอมรวมกันเป็นมาอายะ ลูอิส ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่นากามูระ ไคโตะรักใคร่ยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น

    เพราะอย่างนั้น เขาถึงเพียงขอแค่ให้เธอมีความสุขกับชีวิตในทุกๆ วันไปแบบนี้ก็พอ

    “จะไม่ไปด้วยกันจริงๆ เหรอ?”

    ขณะนั้น มาอายะที่กำลังนั่งหันหลังแต่งหน้าอยู่ไม่ห่างจะตะโกนถามเขาที่กำลังนั่งพิงแผ่นหลังชิดกำแพงขณะกดจอยเกมบนเตียงนอนชั้นล่างของตัวเอง พลางออกล่ามอนสเตอร์แบบวิถีฮันเตอร์อยู่เงียบๆ ขนาดเพื่อนร่วมทีมทำให้ภารกิจล้มเหลวติดกันถึงสองครั้งก็ยังไม่หัวร้อนเลยสักนิด กลับเป็นมาอายะที่มองภาพบนจอทีวีผ่านบานกระจก สลับกับหันมองตรงเป็นพักๆ ที่เป็นฝ่ายส่งเสียงตะโกนเสียเอง

    “พรุ่งนี้มีเรียน”

    “นั่นสิเนอะ แล้วไหนจะต้องเก็บข้าวของเตรียมตัวเดินทางอีก” เพราะประโยคที่คล้ายกับการรำพึง ไคโตะจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องตอบ นอกจากปล่อยให้หญิงสาวที่แต่งหน้าจนหมดจดแล้ว หันไปม้วนผมเหยียดตรงให้ดัดออกมาเป็นลอนสลวยเมื่อมีเวลาว่างเหลือเฟืออย่างเช่นตอนนี้ เป็นเวลาราวครึ่งชั่วโมงที่ความเงียบระหว่างคนทั้งสองเข้าครอบคลุมเมื่อเธอเอาแต่หมกมุ่นอยู่จนไม่ได้หันมอง เมื่อแล้วเสร็จ มาอายะก็จะรีบปรี่ลงจากเก้าอี้ไปทิ้งตัวแหมะลงบนพื้น เท้าแขนกับขอบเตียงแล้วจ้องคนตรงหน้าตาปริบๆ

    “ว่าแต่ไคโตะจะกลับเมื่อไหร่นะ?

    “ก็สักประมาณวันเสาร์หน้า” คำตอบที่ได้รับจะทำให้เธอยิ่งคอตก นอกจากระยะทางระหว่างโตเกียวกับฮกไกโดที่ห่างไกลกันมากพออยู่แล้ว ยังพ่วงมาด้วยระยะเวลาตั้งสิบวันเข้าไปอีก ความตื่นเต้นที่เขาจะได้ร่วมเล่นเป็นนักแสดงสมทบในภาพยนตร์โทรทัศน์เมื่อแรกฟัง กลับกลายเป็นความหดหู่ใจขึ้นมาทั้งที่รู้ดีว่าไม่ควรจะเห็นแก่ตัวแบบนี้ หากการได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันมาตั้งกว่าครึ่งปี ก็ไม่เคยมีฝ่ายไหนต้องแยกตัวไปทำงานที่ไกลและนานขนาดนี้เลยสักครั้งเดียว คงเพราะการได้เจอหน้ากันแทบทุกวัน หรือถึงแม้ว่าจะมีช่วงเวลาที่สวนทางกันบ้าง หากอย่างน้อยๆ พวกเขาก็ต่างรู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะกลับมาที่ บ้านเสมอ ถึงได้ทำให้มาอายะรู้สึกผูกพันกับไคโตะมากเสียจนความสัมพันธ์บางอย่างค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจ เขาไม่เคยทอดทิ้งให้เธอรู้สึกเหว่ว้า แตกต่างจากไทกะที่ดีแต่ทำให้เธอรู้สึกเหงา ไม่ว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเธอหรือไม่ก็ตาม

    แต่ทำไมเธอถึงยังไม่ลืมคนใจร้ายพรรค์นั้นเสียที?

    ครั้นเห็นสีหน้าของเธอที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำพูดใดๆ แล้ว คนที่อุตส่าห์ทำหน้าเมื่อยอยู่นานก็เป็นต้องหลุด

    “ถ้าว่างแล้วจะส่งข้อความมาหา”

    “วิดีโอคอลมาด้วยได้ไหม?” ก่อนจะต้องเปล่งเป็นเสียงหัวเราะในตอนที่เธอก้มหน้างุบงิบกับตัวเอง เหมือนว่าใจหนึ่งก็อยากจะพูดมันออกมา แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าเขาจะได้ยิน

    “ได้สิ”

    “อย่าลืมของฝากด้วยนะ”

    “จะขนของกินอร่อยๆ กลับมาให้เต็มกระเป๋าเลย”

    คำตอบที่น่าพึงพอใจสำหรับคนที่ถือเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ จะทำให้รอยยิ้มกลับมาประดับอยู่บนใบหน้าที่แต้มแต่งจนสะสวยของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็นั่งกรุ้มกริ่มอยู่คนเดียวในตอนที่ผินใบหน้าหันไปทางจอสี่เหลี่ยมที่ทั้งน่าขัน แต่เขากลับคิดว่ามันน่ารักดี หากในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา เธอก็จะเปลี่ยนสีหน้าทำตาโต เหมือนหนึ่งเพิ่งนึกบางอย่างออก ก่อนรีบหันขวับแล้วว่า

    “นี่ๆ ไคโตะ ไหนๆ เราก็จะไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันแล้ว อยากออกไปเดินเล่นด้วยกันไหม? แค่แถวๆ นี้ก็ได้”

    “แล้วเธอไม่ต้องรีบไปหรือไง?”

    “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนน่า” มาอายะบอกปัด “ไปเถอะ นะๆ เผื่อว่าคืนนี้ฉันกลับดึกหรือพรุ่งนี้เราอาจคลาดกันจนไม่ได้เจอกันก็ได้ คิดดูสิ เธอจะไม่อยู่ตั้งสิบวันเชียวนะ...สิบวัน!

    “ทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ไปได้”

    “เรื่องใหญ่สิ ใหญ่มากด้วย!

    เขาทำทีเป็นไหวไหล่ไม่ใส่ใจ ทั้งที่ข้างในใจกำลังรู้สึกยินดีที่ตัวเองได้กลายเป็นเรื่องสำคัญหนึ่งในชีวิตของเธอ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนหว่านมันเองก็ตาม

    “ทำยังไงดี? ฉันยกเลิกนัดดีไหม?

    “ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกน่า”

    เชารีบเบรคไว้ก่อนเธอจะตัดสินใจปุบปับ อันเป็นนิสัยประจำตัวหนึ่งที่เขาคิดว่าจะดีก็ไม่ใช่ หรือจะแย่ก็ไม่เชิง เคยมีบางครั้งที่เธอนึกครึ้มใจ ลุกขึ้นเดินดุ่มๆ ไปคว้ากระเป๋าเงินแล้วออกจากห้องไปโดยไม่บอกไม่กล่าวเลยก็มี

    “ก็ได้”

    แต่อย่างกับว่าเขาจะกล้าปฏิเสธได้ลง

     

    ถึงจะบอกว่าเป็นการเดินเล่นไปเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต่างมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายเดียวกันโดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมา ระหว่างเดินทอดน่องอย่างไม่เร่งรีบกับบทสนทนาเรื่องสัพเพเหระทั่วไป เมื่อแวะร้านสะดวกซื้อแล้วก็เดินเรื่อยมาจนถึงสวนสาธารณะในละแวกที่ก็ใช่ว่าจะได้แวะเวียนมาบ่อยสักเท่าใดนัก พอทิ้งตัวลงแล้วก็กลับมีแต่ความเงียบราวกับนัดหมาย ขณะที่มาอายะกำลังเคี้ยวแซนด์วิชแฮมที่ซื้อมากินรองท้องหลังจากมื้อดึกสุดท้ายของเมื่อวาน ไคโตะก็จะยกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นดื่มเป็นระยะๆ

    “ฉันคิดมาตลอดเลยว่าท้องฟ้ายามเย็นทำให้รู้สึกเหงา” มาอายะโพล่งขึ้นเมื่อจดจ้องมองดูทัศนียภาพที่อยู่เบื้องหน้า “มันทำให้ฉันเศร้ายิ่งกว่าตอนกลางคืนที่ต้องอยู่คนเดียวซะอีก”

    แม้ไม่ได้ขยายความลึกลงไปกว่านั้น ไคโตะก็รู้ว่าเธอหมายความถึงตอนที่ยังคบหากับคนรักเก่า กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเธอทนไปได้อย่างไรกับสองปีที่ต้องจมอยู่กับความรู้สึกแบบนั้น และเคียวโมโตะ ไทกะ เป็นคนรักประเภทไหนถึงได้ทอดทิ้งใครอีกคนให้เหงาลำพังได้ลง

    ใช่จะไม่รู้ว่าพวกนักดนตรีนั้นยุ่งแค่ไหน แต่มันมีวิธีตั้งมากที่จะรักษาสมดุลของชีวิตทั้งสองด้านเอาไว้ ถึงเรื่องเล่าที่ได้ฟังจากปากของมาอายะฝ่ายเดียวจะคล้ายกับการลำเอียง เพราะเธอย่อมมองเห็นแต่ด้านของตัวเอง หากไคโตะก็สามารถมองทะลุได้อย่างปรุโปร่งว่าเคียวโมโตะ ไทกะ มีใจรักในดนตรีเป็นอย่างมาก...และมากเกินกว่าหญิงสาวที่ไม่มีความหลงใหลต่อสิ่งใดแบบเป็นรูปธรรมจะเข้าใจ แค่ได้เห็นภาพจากแผ่นคอนเสิร์ตที่เปิดโปรโมตอยู่ในทาวเวอร์เรคคอร์ดส์ซึ่งเขาเคยหยุดยืนดูก็สื่อความหมายทั้งหมดได้อย่างครบถ้วน ขนาดที่ไคโตะอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าเมื่ออยู่กับมาอายะแล้ว ผู้ชายคนนี้จะมีแววตาและสีหน้าที่เป็นประกายเหมือนตอนร้องเพลงอยู่บนเวทีท่ามกลางคนดูมากมายแบบนี้หรือเปล่า

    เส้นขอบฟ้าสีส้มอมชมพูเมื่อพระอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยต่ำลงในยามเย็นปรากฏขึ้นในแววตาราวกับสิ่งมหัศจรรย์ ให้มาอายะได้หลุดปากร้องว้าวออกมา ด้วยความรู้สึกที่พลันเต็มตื้นขึ้นในอก

    ตลอดครึ่งปีที่ผ่าน ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ คนคนเดียวที่คอยอยู่เคียงข้างเธอไม่ไปไหนก็คือไคโตะ ทั้งที่เธอก็เป็นแค่พี่สาวของเพื่อนสนิทที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากไปกว่านั้น คนละเรื่องกับไทกะที่เป็นคนรัก หากทว่ากลับทอดทิ้งกันไปอยู่ในโลกอีกใบที่ไม่มีเธอเป็นส่วนหนึ่ง...และดูเหมือนว่าเขาก็ไม่พยายามจะดึงเธอให้เป็นส่วนหนึ่ง มาอายะไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เขามีใครใหม่ไปแล้วหรือยัง แต่ยังไงสักวันเขาก็ต้องได้พบกับคนที่คู่ควรบนโลกใบนั้นโดยไม่ต้องพยายามตะเกียกตะกายเหมือนอย่างเธอ นี่เป็นช่วงเวลาให้มาอายะได้ตระหนักว่าการเอาแต่หลบหนีความเป็นจริงไม่ได้ให้อะไรกับชีวิตเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เธอควรจะปลดโซ่พันธนาการเพื่อให้หัวใจของตัวเองได้เป็นอิสระจากอดีต แล้วเริ่มต้นใหม่เสียที

    ขณะมองดูทิวทัศน์ที่ร้างราและปล่อยความคิดให้ใคร่ครวญไป มาอายะก็คิดว่าตัวเองแน่ใจ

    ถึงจะยังไม่กล้าเอ่ยมันออกไป แต่อย่างน้อยๆ ในตอนนี้ เธอก็สามารถเอ่ยคำคำหนึ่งที่อยู่ในใจตลอดมาได้

    “ขอบคุณนะ ไคโตะ”











    2022年02月12日
    _______________
    ★ ตอนแรกว่าจะคอมมิชรูปให้เรื่องนี้ แต่ไหนๆ แล้วก็คิดว่าหยุด พอ ไม่รอแล้ว อยากมาหวีด เพราะสโตนส์ร้องเพลงคาสเสตต์เทปที่โชคุระตอนต้นเดือน เพราะสโตนส์เพิ่งปล่อยเพลงเคียวเมย์ และเพราะทราจาไปออกเอ็มสเตเมื่อวาน วีค เดียว กับ เอ เม่!!! (และเพราะอีกไม่กี่วันจะประกาศเดบิวต์ หยอกๆ แต่คิดจริง)
    ★ บทเดิมเวอร์ต้นฉบับแบบแรกสุดก่อนที่กูจะกลับมาติ่งจอห์นนีส์จนทุกวันนี้เชื่อว่าอ่านแล้วต้องอึ้ง (ขำ) ๑. ไคโตะ: ซาโนะ ฮายาโตะ วง M!LK ที่เพิ่งจะเมเจอร์เดบิวต์เมื่อปลายปีที่แล้ว เมาท์ สองสามปีก่อนกูชอบคนนี้ที่สุดจากเรื่องจิฮายะฟุรุ 3 ตอนนี้ก็ยังติดตามอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ (ที่พอกูไม่ได้ตามอะไรมากแล้วเค้าก็หล่อขึ้นเฉยเลย งง แถมเดด้วย เอ้า!) / ๒. เจสซี่: อิตางากิ มิซึกิ อดีตวง M!LK ที่ชอบเพราะอยู่วงเดียวกับฮายาโตะ แล้วตอนหัวส้มเล่นฮอตกิมมิคก็หล่ออ่ะ (ที่ตอนนี้ไม่เอาแล้วจ้า แต่ละเรื่องคือ) / ๓. ไทกะ: สุดะ จะเล่าเลยว่าฉากที่ดักรอจูบหน้าห้องน้ำมาจากเรื่อง Piece of Cake ที่กูไม่เคยดูหรอก แต่ทีนี้ตอนนั้นไปเจอคลิปรวมคิสซีนของสุดะในหนังแล้วเด็ดมาก เด็ดจริง ยิ่งเรื่องโอโบเรรุไนฟุที่เล่นกับนานะคือโคตรเรียล ขนลุก โอ๊ยบ่ไหว ใจสั่น ส่วนฉากที่ไทกะกับมาอายะทะเลาะกันน่าจะจากลาลาแลนด์ด้วยมั้ง คุ้นๆ ส่วนคุณทสึบากิก็คือคุณนานาโอะเท่านั้น สวยที่สุด ในใจ จะเอาอะไรมาสู้
    ★ อย่างที่เคยบอกว่าจริงๆ ไม่ได้ชอบเรื่องนี้เลย แต่แต่งได้ยาวจริง งง ช่วงบ้านักแสดงแล้วแต่งฟิคแนวอินดี้คือนางเอกกระแดะหมดทุกเรื่อง มากบ้างน้อยบ้าง งง แต่ก็รู้ตัวว่าแต่งออกมาไม่ดีจริง ไม่ได้มาอวยตัวเอง คิดว่านิสัยนางเอกตัวเองดีมากมั้ง มีเส้นบางๆ ระหว่างคำว่าตอแหล...กับตอแหลแบบสะท้อนกระจกนะจ๊ะ ละพล็อตก็ขำมาก ตอแหลจริง สาวปลาแห้งเหรอ อยู่ห้องเดียวกันแล้วไม่ได้กันทั้งที่ก็ชอบกัน เอางี้ ใครทำได้ กูทำไม่ได้ จบ แยก แต่ภาษาดีจริงอันนี้รู้ตัว มีเวิ่นเว้อบ้างแต่ก็ไม่ได้ยัดคำเลอะเทอะแล้วคิดว่าสวยมากมั้ง ไม่เคยพยายามแต่งฟิคเพื่อยัดภาษาสวย (นอกจากแนวแฟนตาซีหรือย้อนยุคนะ) คิดอะไรออกก็แต่งไป ละอย่างน้อยก็มั่นใจว่าเราแต่งให้มาอายะไม่ได้อ่อยอุมิจริงๆ ใครบอกว่าอ่อยก็ แหะๆ นั่นตัวเองแต่งเองหรือเปล่า อ่อยแล้วบอกไม่อ่อยเนี่ย หรือแต่งแล้วไม่รู้ตัวว่าอ่อยจริงๆ นี่ก็
    ★ ตอนแรกจะไม่เอาพาร์ทไปเดินเล่นด้วยกันมาลงแล้ว แต่เสียดายว่ะ น่ารัก อยากมีฉากให้อุมิเล่นมอนฮัน (เรื่องนี้แต่งประมาณปี '18 ที่มอนฮันภาคเวิลด์เพิ่งลงเพลย์ แล้วกูก็ติดมากจริงเลยเอามาใส่ แต่ผิดนะ อุมิตัวจริงต้องเปิดไมค์ด่าเลย) จากนั้นพอจบด้วยคำว่าขอบคุณก็รู้สึกว่าปิดท้ายได้สวยงามและลงตัว หัวใจ / เพราะช่วงนั้นกูชอบออกบ้านตอนเย็นๆ ค่ำๆ แล้วช่วงเปลี่ยนผ่านนี่ท้องฟ้ามันสวยจริงๆ บรรยากาศบอกรักได้เลย เห้อ ละไม่บอกวะ แต่หลังจากโควิดกูก็ลืมภาพนั้นไปหมดเลย ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน / ช่วงนี้กำลังอินกลิ่นซิตรัส เลยลาแล้วกลิ่นพีช มาเป็นกลิ่นส้มแทน มะกอก มะกรูด มะนาวใดๆ กูก็ชอบจ้า ขนาดฟิชเชอร์แมนเฟรนด์กูยังซื้อรสซิตรัสเลย (ไม่อร่อย) / เออมึง กูรู้ละว่าเพราะกูฟังแนวอินดี้แล้วมีเพลงที่อยากใช้เยอะแยะไปหมด แต่เพราะฟิคอินดี้มันดันไปไม่รอดสักเรื่องเลยดันทุรังเข็นออกมาทุกปีไงวะ ถึงพล็อตจะซ้ำๆ ซากๆ ก็แล้วไง กูแต่งเอง อ่านเองกับมึง ต้องแคร์อะไร นอกจากมึงด่ากู กูก็ด่ากลับไป O_O)b 
    ★ เมื่อวานจากะจังร้องเพลงของเอเม่ในเอ็มสเต ราจิราเดือนก่อนก็เลือกเพลงโคอิวาซุไรในช่วงเดียวกับที่กูแปลงฟิคนี้แล้วเลือกเพลงของเอเม่พอดี ไม่ได้แอ๊บแอ๋ ไม่ได้ตอแหล สาบานต่อหน้าไฟ วอนดี้นี่กูก็ฟังตามจากะในราจิราเหมือนกันนี่แหละ แต่ไม่มีที่ว่างให้เค้าเลยว่ะ โอ๊ย จะให้เป็นพระเอกก็ไม่ได้ เพราะใจกูปักธงให้อุมิขนาดนี้ 55555 เป็นน้องก็ไม่ได้เพราะอยากใช้นามสกุลลูอิส อิอิ มั่นใจว่าในวงมีจากะนี่แหละที่ฟังเพลงแนวเดียวกับกูสุดแล้ว อ่าฆ์ ไคโตะคนนี้สิที่กูควรจะรัก U_U (แต่ภาพจำของจากะสำหรับกูคือโดนจูริตบหัว) ส่วนมึงก็เก็นตะเพลงญี่ปุ่นยุคเก่า กับมัตสึคุเพลงฝรั่งยุคเก่า ของจริง อิจฉาจัง แต่มึงอย่าห้าวนัก กูก็คอสปิตซ์! อุมิก็ร้องเพลงของสปิตซ์เหมือนกัน! จัม!
    ★ ปล. โลกรู้ว่ากูรักเพลงซินเดอเรลล่าเกิร์ลมากแค่ไหน และ ใน ที่ สุด ทราจาก็ร้องแล้วโว้ย!!! มึงงง ตอนที่รู้ว่าได้ร้องแน่น้ำตากูก็ไหลพรากๆ ไม่เล่น อุมิเซนเซกับเจสสี้เซนเซใดๆ ต้องมา พล็อตงานคริสต์มาสโรงเรียนคริสต์ของเราแบบเว่อร์ๆ ฮาๆ แพลนไว้ตั้งแต่เจสสี้จูริร้องเพลงนี้ปลายปี 2020 แล้ว กูจะบ้า สัญญาว่าปีนี้กูต้องแต่งให้ได้ มึงช่วยสวดมนต์อวยพร (น้อทพอร์น) ให้กูด้วย เออ แต่มีอันนึงที่แฟนญี่ปุ่นเคยทำแบบว่าถ้าทราวิสไปเดตแล้วแฟนต้องรีบกลับบ้าน (เหมือนซินเดอเรลล่า) จะทำยังไง พอได้เห็นเพิร์ฟแล้วกูก็มีแรงใจที่จะแต่งขึ้นมาเลย วะฮ่า (น้อทพอร์น)
    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×