คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #100 : FF7: La Vita Nuova
มีบรรยากาศของความไม่น่าไว้วางใจปกคลุมอยู่ทั่วฮีลินลอดจ์ นับตั้งแต่เธอได้เห็นภาพของหน้าผาที่เต็มไปด้วยแมกไม้และน้ำตกลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ มีเคบินที่ซ่อนตัวอยู่ในสีเขียวครึ้มเป็นระยะๆ อยู่เบื้องหน้า สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นรีสอร์ตตากอากาศราคาแพง ไม่นานมานี้ได้ถูกบริษัทอุตสาหกรรมข้ามชาติอันดับหนึ่งของโลกกว้านซื้อไปทั้งหมด และเปลี่ยนกลายมาเป็นสถานพักฟื้นสำหรับผู้ป่วยจากจีโอสติกมา (แผลเป็นจากดวงดาว) ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากธารชีวิตที่รั่วไหลไปทั่วทั้งดวงดาว โดยเฉพาะมิดการ์ ขณะที่เมอร์ซี่อาจรอดพ้นจากโรคระบาดมาได้ เพราะพำนักอยู่กับคุณย่าวัยชราเพื่อคอยดูแลอาการหลงลืมของนางที่ไอซิเคิลลอดจ์ เธอก็กลับต้องสูญเสียครอบครัวที่เพิ่งจะย้ายไปมิดการ์ทั้งหมด ไม่ว่าจะพ่อ แม่ น้องชายวัยสิบขวบ หรือแม้แต่คู่หมั้นที่เพิ่งจะเดินทางกลับบ้านหลังแวะมาเยี่ยมเยือนเป็นเวลาสองสัปดาห์เต็ม โดยที่เธอยังไม่ทันได้กลับไปร่ำลา ตลอดค่ำคืนของความอาดูร เมอร์ซี่ที่เข้าไปปลุกคุณย่าเป็นกิจวัตรเหมือนเช่นทุกเช้าจึงได้พบว่านางจากไปแล้วอย่างสงบ ชีวิตที่เคยพร้อมหน้าของเธอพังทลายลงไปในชั่ววินาทีนั้น หลังจากงานศพที่ผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลแอสเตอร์ในวัยสิบแปดต้องเป็นคนจัดการมันทั้งหมด เธอก็หลีกหนีจากความเวทนาของผู้คนรอบข้าง เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านหลังที่เปลี่ยวเหงาของคุณย่ากับความหนาวเหน็บที่ยิ่งทวีคูณ จนกระทั่งการปรากฏตัวของหมอโคจิที่เคยรักษาคุณย่าซึ่งยังคงแวะมาตรวจสอบอาการปีละสองสามครั้งอยู่เนืองๆ เขากล่าวแสดงความเสียใจเมื่อรู้ข่าวจากการบอกเล่าผ่านน้ำเสียงเฉยชา ราวกับกำลังพูดถึงคนอื่นคนไกลที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวพันกับเธอเลยสักนิด คงเพราะความเวทนา เขาจึงชักชวนให้เธอไปทำงานรักษาผู้ป่วยจีโอสติกมาที่มิดีลด้วยกัน แทนที่จะเอาแต่จมอยู่กับความคิดลำพังของตัวเองจนแทบจะสูญสิ้นความรู้สึกแบบที่มนุษย์ควรจะมี เพียงประโยคเดียวที่ว่า “คุณย่าของเธอคงต้องการเช่นนั้น” และแรงบีบเบาๆ ที่มือ ก็จะทำให้น้ำตาของเธอไหลหลั่งลงมาเป็นครั้งแรก นับจากการสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไปเป็นเวลานานกว่าครึ่งปี เฉกเช่นความรู้สึกแบบมนุษย์ที่หวนกลับคืนมาอีกครั้ง จากการทำหน้าที่เป็นพยาบาลให้แก่ผู้ป่วย
ถึงจะยังไม่มียารักษา และนับไม่ถ้วนที่ต้องพบกับความล้มเหลว แต่ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีครึ่งในมิดีล เมอร์ซี่ก็ได้อุทิศทั้งกายและใจให้กับการรักษาผู้ป่วยสุดชีวิตโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หรือหวาดกลัวว่าสักวันจะเป็นคราวของตัวเอง เมอร์ซี่คิดว่าคงเป็นเพราะเหตุผลนั้น หมอโคจิจึงเลือกเธอให้มาทำหน้าที่ดูแลบุคคลสำคัญ ณ ฮีลินลอดจ์อันแสนสันโดษ กระทั่งบัดนี้ที่ภาพของเคบินบนยอดเขาจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นชัดเจนในแววตา เมื่อรถคันเก่าของหมอโคจิขยับเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า มีเพียงเสียงหึ่งๆ ของเครื่องยนต์และน้ำตกที่ไหลลงไปกระทบกับผืนน้ำเบื้องล่าง แม้จะเป็นเวลาสาย แต่ความอึมครึมของท้องฟ้าที่แทบไม่มีแสงแดดสาดส่อง ผนวกกับสภาพแวดล้อมรายรอบด้าน ก็ทำให้เมอร์ซี่รู้สึกพรั่นพรึง ราวกับกำลังย่างเท้าเข้าสู่ดินแดนลับแลก็ไม่ปาน
“เธอต้องขึ้นไปคนเดียวนะ”
“คุณหมอไม่ขึ้นไปด้วยกันเหรอคะ?”
“เกรงว่าท่านประธานจะไม่ต้องการให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นไป” เขาตอบขณะยกกระเป๋าเดินทางใบสีน้ำตาลอ่อนลงจากท้ายรถให้หญิงสาวซึ่งกล่าวขอบคุณ รับมันมาถือไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ไม่มีทั้งคำเตือน คำแนะนำ หรือแม้กระทั่งคำบอกลาจากคนที่กลับขึ้นไปนั่งโดยสารอยู่หลังพวงมาลัย เธอไม่แน่ใจว่าได้สบสายตาว่างเปล่าอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนของเขาผ่านกระจกมองหลังจริงๆ หรือว่าแค่ฟุ้งซ่านไปเองกันแน่ เมื่อเหลือเพียงแค่ตนเองกับธรรมชาติรายรอบกายแล้วจึงหมุนตัว แหงนเงยมองเคบินทรงกลมหลังใหญ่สีขาวหม่น ตัดด้วยกรอบไม้สีน้ำตาลเข้มเช่นเดียวกับราวบันไดให้ความรู้สึกขึงขัง ซึ่งจะเป็นทั้งที่ทำงานและบ้านของเธอตลอดระยะเวลาสามเดือนนับตั้งแต่วันนี้
เพราะรู้สึกถึงจังหวะที่ไม่มั่นคงเล็กน้อยในตอนเดินขึ้นบันได เธอจึงตัดสินใจหยุดยืนระหว่างทางโค้งเพื่อสงบสติอารมณ์ ความหนักอึ้งเพิ่มขึ้นทุกครั้งในแต่ละก้าวเดิน ถ้าความรู้สึกมีมวลน้ำหนัก เมอร์ซี่ก็แน่ใจได้เลยว่าเธอคงจะร่วงหล่นลงไปตั้งนานแล้ว
“เฮ้! เธอ! หมอที่มาดูแลหัวหน้าใช่ไหม!”
เสียงร้องเรียกทำให้สติของคนที่กำลังยืนเหม่อลอยถูกดึงกลับมา ก่อนค่อยๆ ขยับใบหน้าหันไปตามทิศทาง ที่หน้าประตูเคบิน เธอได้เห็นผู้ชายตัวใหญ่ เจ้าของเรือนผมสีดำยาวปรกใบหน้าดูยุ่งเหยิง คาดแว่นตากันลมไว้บนหน้าผาก เป็นส่วนผสมที่แปลกประหลาดกับชุดสูทสีดำ ถึงจะในแบบปล่อยสบาย ไม่ผูกเนคไทและยังปลดกระดุมสองเม็ดข้างบน แม้ตอนนี้เขาจะส่งยิ้มกว้างให้เธออย่างสดใส ไม่มีมาดของความเคร่งขรึมเลยแม้สักเสี้ยวเศษ หากเมอร์ซี่รู้ว่าเขาก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนท่าทางน่ากลัวที่มาพบหมอโคจิในมิดีลเพื่อมอบหมายงานนี้ให้ ก่อนที่หมอจะส่งต่อมันมาให้เธอ
“สวัสดีค่ะ”
ผู้ชายคนนั้นวิ่งลงบันไดมาแย่งกระเป๋าใบขนาดกลางจากมือเธอไปถือโดยไม่ให้ทันตั้งตัว เมอร์ซี่คิดว่าจะร้องห้าม แต่เขาก็นำลิ่วไปแล้วจนเธอตัดสินใจล้มเลิกความคิดนั้น เพียงกล่าวขอบคุณสั้นๆ ขณะก้าวเร็วๆ ตามเขาเข้าไปข้างใน ด้วยความอุ่นใจที่เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
“เอ่อ ถ้ายังไงอย่าเรียกฉันว่าหมอเลยนะคะ ฉันเป็นแค่ผู้ช่วยของคุณหมอโคจิเท่านั้น” เธอแก้ไขคำพูดก่อนหน้านั้นของเขา “เรียกฉันว่าเมอร์ซี่ก็พอค่ะ”
“ส่วนฉันชินทาโร่”
ใบหน้าของเธอปรากฏรอยยิ้มบางเบาขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน แต่ไม่ทันได้มากไปกว่านั้น เมื่อชายตัวสูงอีกคนจะเดินพ้นกำแพงออกมาหาพวกเขาซึ่งหยุดยืนอยู่ที่ส่วนหน้า เมอร์ซี่จำได้ว่าเขาคือหนึ่งในกลุ่มคนที่ไปยังมิดีล ถึงอย่างนั้นเมอร์ซี่ก็ไม่ได้รู้สึกกลัวเขามากเท่ากับหญิงชายอีกสองคนที่ไปด้วยกัน ศีรษะของเธอค้อมลงเป็นเชิงทักทายให้ชายผู้นั้น ที่ตอบรับด้วยการขยับไหวเพียงเสี้ยวมิลลิเมตร
“หมอโคจิกลับไปแล้วเหรอ?”
“ค่ะ” เธอตอบรับสั้นๆ แค่นั้น จากคำถามของเขา ดูเหมือนว่าท่านประธานจะไม่ได้สั่งห้ามคนที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมา แต่เป็นหมอโคจิที่ไม่อยากขึ้นมาเองมากกว่า
“หมอมาแล้ว งั้นเราก็กลับกันได้แล้ว”
“แต่เรายังไม่ทันได้คุยอะไรกับหมอเลยนี่นาโฮคุโตะ อยู่ต่ออีกหน่อยไม่ได้หรือไง?”
“ก็ได้ แต่ขากลับเดินลงเขาไปเองก็แล้วกัน”
ขณะที่ชินทาโร่เริ่มต้นโวยวาย ส่งคำพูดประกอบฉากอย่างต่อเนื่องแม้ในตอนที่คู่หูของเขาจะกำลังเดินตรงมาหาเธอ ด้วยระยะห่างที่พอเหมาะพอดี ไม่ให้เธอที่ตัวเล็กกว่ามากต้องแหงนเงยเกินไปนัก
“หัวหน้ารอหมออยู่ในห้องแล้ว” เขาพยักเพยิดไปยังทิศทางที่เพิ่งเดินจากมา เมอร์ซี่แน่ใจเลยว่าถึงต่อให้เธอจะแก้คำพูดเข้าใจผิดอีกกี่ร้อยพันครั้ง ถ้าพวกเขายืนกรานจะเรียกเธอว่า 'หมอ' เธอก็คงไม่สามารถเป็นอะไรได้นอกจาก 'หมอ' ของพวกเขา “เราจะแวะเข้ามาเติมของอาทิตย์ละครั้ง ถ้าหมอต้องการอะไรก็บอกเราได้ทุกเมื่อ มีเบอร์โทร.แปะอยู่ที่บอร์ด...”
ก่อนคำพูดจะจบประโยค ชินทาโร่ก็จะพลันโพล่งขึ้น โดยไม่สนใจต่อโฮคุโตะที่ค่อยๆ เปลี่ยนองศาของใบหน้าและดวงตาจดเขม็งเลยแม้แต่น้อยว่า “ส่วนห้องของหมออยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับหัวหน้า เดี๋ยวฉันจะยกกระเป๋าของหมอไปเก็บให้นะ” เป็นอีกครั้งที่จังหวะของเธอเชื่องช้ากว่าชายหนุ่มผู้มีพลังงานล้นเหลือ ถึงคราวนี้เธอจะพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” ออกมาได้ทันเวลาก็ตาม
“รีบไปหาหัวหน้าเถอะ”
แล้วความหวาดหวั่นของเธอก็พลันหวนกลับคืนมา ไม่ใช่แค่ด้วยสถานะ ‘หัวหน้า’ ของพวกเขา หรือที่เมอร์ซี่รู้จักในฐานะ ‘ท่านประธาน’ ตามหมอโคจิหรืออาจหมายรวมถึงทุกคนในมิดการ์เท่านั้น หากทว่าเหตุผลที่เมอร์ซี่ตกลงใจรับงานนี้ ไม่ใช่เพราะคำขอร้องกึ่งวิงวอนของหมอโคจิ ไม่ใช่เพราะค่าจ้างที่สูงลิบลิ่วจนสามารถมีกินมีใช้ไปตลอดทั้งชีวิต และไม่ใช่เพราะเธอเป็นพยาบาลผู้เมตตาให้กับผู้ป่วยทุกรายอย่างเท่าเทียมกันจนหมอโคจิให้ความไว้วางใจแต่อย่างใด
แต่เป็นเพราะเธออยากมาเห็นประธานเจสซี่ ลูอิส — คนที่เป็นต้นเหตุทำให้เธอต้องสูญเสียครอบครัวและคนรัก — ต้องทุกข์ทรมานกับจีโอสติกมาด้วยตาตัวเองต่างหาก
ทั้งที่ภายในห้องนอนสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดกับเครื่องเรือนจำนวนน้อยก็ดูโล่งโปร่งสบาย ไหนจะกรอบหน้าต่างกรุกระจกทั้งบานที่เมื่อรูดม่านเปิดออกไปแล้วจะมองเห็นบรรยากาศของหุบเขาภายนอก รวมถึงอากาศที่บริสุทธิ์สมกับเป็นสถานพักฟื้นสำหรับผู้ป่วยอย่างแท้จริง แต่เมอร์ซี่กลับรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก
ร่างสูงสง่าและใบหน้าหยิ่งยโสของนายจ้างที่เมอร์ซี่เคยเห็นผ่านทางทีวี จากพาเหรดเฉลิมฉลองต้อนรับตำแหน่งประธานบริษัทพลังงานไฟฟ้าคนใหม่แทนบิดาที่เสียชีวิตไปในจูนอน บัดนี้ได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็น มีผ้าคลุมสีขาวปกปิดทั้งใบหน้าและลำตัว ยกเว้นจมูก ริมฝีปากและมือข้างขวาที่โผล่พ้นออกมา แม้เขาจะไม่ได้จ้องสบนัยน์ตากับเธอตรงๆ แต่เมอร์ซี่ก็รู้สึกว่าตัวของเธอกำลังหดลีบลงไป ความคิดที่ว่าอยากจะมองตากับฆาตกรซึ่งพรากชีวิตครอบครัว คนรัก และทุกๆ คนที่ต้องได้รับผลกระทบจากจีโอสติกมาให้สาแก่ใจกลับเป็นสิ่งที่เมอร์ซี่อยากจะผลักไปให้ไกล ในเมื่อแม้จะแค่เพียงเสี้ยวเศษ แต่ความน่าเกรงขามของประธานชินระก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลย มือของเธอที่เปลี่ยนไปกุมกันข้างหน้าชื้นเหงื่อ นึกขอบคุณที่ยังพอมีสติรับฟังคำพูดของเขาและตอบรับกลับไปได้อย่างชัดเจน
“ไม่คิดว่าโคจิจะส่งเด็กอย่างเธอมาทำหน้าที่นี้”
“ฉันอายุยี่สิบแล้วค่ะ” เธอพยายามรักษาน้ำเสียงไม่ให้ฟังดูไม่เคารพ ถึงการสวนกลับไปทันควันจะดูไม่ไปในทิศทางเดียวกันนัก จนต้องรีบเสริมไปว่า “ที่คุณหมอส่งฉันมาเพราะว่าฉันเคยดูแลญาติที่ป่วยมาก่อน เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“ไม่คิดจะแนะนำตัวหน่อยหรือ”
“ขออภัยด้วยค่ะ ฉันชื่อเมอร์ซี่ แอสเตอร์ค่ะ ท่านประธาน”
“หวังว่าโคจิจะไม่ทำผิดพลาด”
ใบหน้าของเมอร์ซี่กระตุกไปเล็กน้อย หากก็ยังรักษาระดับรอยยิ้มไม่มากไม่น้อยได้ แม้หลังจากท่านประธานจะเชิญเธอออกจากห้องอย่างไม่ก้าวร้าว แต่ก็ไม่ได้สุภาพอะไรนัก เป็นการสนทนาที่แสนสั้น กระนั้นกลับรู้สึกเหมือนยาวนาน ครั้นพ้นจากบรรยากาศน่าอึดอัดเหล่านั้นมาได้จึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วรีบสาวฝีเท้าไปยังห้องพักฝั่งตรงกันข้ามที่ประตูเปิดอ้าออกราวกับรอต้อนรับเธออยู่ นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าขนาดของมันเล็กกว่าห้องนอนหลักที่เพิ่งจากมาประมาณสองในสี่ส่วนแล้ว การตกแต่งด้วยผนังสีขาวและบานกระจกใสเผยวิวธรรมชาติก็ไม่ได้แตกต่างจากห้องของท่านประธานเลย เพิ่มเติมคือเฟอร์นิเจอร์พันละเล็กละน้อยที่ตัดด้วยสีน้ำตาลอ่อนดูเข้ากัน ความคับแคบมาจากโต๊ะเขียนหนังสือตัวยาวที่อยู่ถัดจากเตียงไปไม่ไกล ส่วนริมหน้าต่างมีโต๊ะและชุดเก้าอี้โซฟาสำหรับการรับประทานอาหารหรือทำกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ไป ไม่มีโทรทัศน์อยู่ในห้อง แต่มีวิทยุเครื่องเล็กวางอยู่ที่โต๊ะตัวน้อยข้างหัวเตียง ใกล้กับโคมไฟทรงกลมเป็นลวดลายของพระจันทร์ และตู้เสื้อผ้าไม้ติดผนังที่มุมหนึ่งซึ่งเชื่อมไปยังห้องน้ำภายในตัว ห้องของท่านประธานอาจจะกว้างขวางและโล่งโปร่งสบายก็จริง แต่สำหรับเมอร์ซี่แล้ว เธอชอบบรรยากาศแบบอบอุ่นที่ชวนให้นึกถึงบ้าน และองค์ประกอบทุกอย่างของห้องนี้ก็ล้วนสวยงามอย่างลงตัว ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย สมกับเคยเป็นบ้านพักตากอากาศมาก่อนอย่างแท้จริง
เธอไม่ได้เอาข้าวของออกจากกระเป๋าหรือทิ้งตัวลงนอนให้สาแก่ใจ ทว่ากลับเดินไปหยิบซองจดหมายที่วางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงขึ้นมาเปิดอ่าน ขณะทิ้งตัวนั่งทับผ้าห่มซึ่งคลี่คลุมเตียงไว้อย่างกับในโรงแรม
ข้อความจำนวนไม่มากในนั้นคือกฎและข้อบังคับสำหรับการดูแลท่านประธาน ด้วยลายมือที่เป็นระเบียบอย่างน่าอัศจรรย์ มันมีความอ่อนช้อยแต่ก็หนักแน่นอยู่ เจ้าของลายมือน่าจะเป็นผู้หญิงอีกคนที่อยู่ในกลุ่มชุดสูท...ถ้าเธอเข้าใจไม่ผิด แน่นอนว่านี่ไม่ใช่งานที่ยากเย็นเลยแม้แต่น้อยถ้าเทียบกับค่าจ้างจำนวนมหาศาล ทั้งการดูแลเขาในฐานะพยาบาลและแม่บ้าน ท่านประธานเองถึงจะดูไม่แยแสไปบ้างแต่ก็ไม่น่าจะใช่คนรับมือยากอะไร
ครั้นแหงนเงยใบหน้าแล้วทอดสายตาออกไป เมอร์ซี่ก็ได้เห็นภาพของท้องฟ้าขมุกขมัว ถ้าไม่ใช่เพราะความโลภของบริษัทชินระ โลกก็คงจะไม่ต้องกลายมาเป็นแบบนี้
บางที การถูกลงโทษด้วยจีโอสติกมานั้นอาจจะสาสมกับคนอย่างเจสซี่ ลูอิสดีแล้ว เมื่อเมอร์ซี่คิดว่าเขาไม่สมควรจะได้รับการให้อภัยจากใครทั้งนั้น
_______________
ความคิดเห็น