คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #109 : for “he(r)art”
สำหรับผู้คนรอบข้างซึ่งรู้จักมักจี่เธอเป็นอย่างดี หรืออาจแค่คุ้นหน้าคุ้นตาฉันเพื่อนร่วมอพาร์ตเมนต์ก็ตามแต่ อย่างไรก็ดี การที่จะได้พบเห็นนกฮูกกลางคืนอย่างหญิงสาวยูรุกิ ยูกิโนะก่อนบ่ายสามโมงนั้น ดูคล้ายจะเป็นเรื่องแปลกประหลาดในช่วงหนึ่งปีหลังจากเรียนจบมานี้ ที่แม้ว่าปัจจุบันเธอจะเป็นดีไซเนอร์ร่วมกับกลุ่มเพื่อนตั้งแต่สมัยร่ำเรียนอยู่ในสถาบันออกแบบ จวบกระทั่ง ‘ซับเวย์ดรีมส์’ จะก้าวขึ้นมาถึงจุดที่สามารถเปิดช็อปเล็กๆ ในฮาราจูกุกันได้แล้วก็ตาม หากเรื่องราวเหล่านั้นก็ดูจะไม่ได้ทำให้เธอต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียๆ นี้แต่อย่างใด ถึงจะต้องผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าช็อปที่เปิดทำการทุกเที่ยงวันก็หาใช่ปัญหา เวลานอนปกติของเธอคือช่วงใกล้รุ่งและจะตื่นเมื่อพ้นบ่ายไปแล้ว โดยมีคำอ้างว่าเธอมักจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าในตอนกลางคืนที่เชียบงัน การที่เธอทำงานเสร็จรวดเร็วเสมอ ซ้ำยังช่วยเก็บงานให้กับเพื่อนร่วมทีมที่ทำงานกันมาตลอดทั้งเช้าเป็นอย่างดี ข้ออ้างนี้จึงได้รับการเห็นชอบ เพื่อนร่วมทีมทั้งสี่คนเต็มใจให้เธอเป็นพนักงานกะค่ำกันสมประสงค์ และการที่เธอกำลังนั่งเหม่อมองดูท้องถนนภายนอกบานหน้าต่างใสตอนสิบโมงเช้าแบบนี้ ก็มีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือนัดหมายกับชายคนรัก ซึ่งจะทำให้เธอรีบบึ่งมาจากอพาร์ตเมนต์ย่านจิยูงาโอกะ ถึงคาเฟ่น่ารักที่ชื่อฟลามิงโก้ใกล้กับสตูดิโอของซับเวย์ดรีมส์ในชิบุยะที่อยู่ห่างไปไม่ไกล แม้จะเข้านอนไวกว่าปกติแล้วก็ดูจะเป็นการพักผ่อนที่ไม่ค่อยสนิทนัก อันที่จริงมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ แค่ไม่ชินกับแสงอาทิตย์ในช่วงปลายฤดูร้อนที่เธอไม่ได้พบมันมากว่าอาทิตย์ก็เท่านั้น
“สายกว่านี้แดดจะแรงนะ มานั่งข้างในนี้แทนไหม?”
ก่อนสติโบยละล่องจะถูกเรียกคืนจากสัมผัสที่แตะลงบนไหล่ลาดผ่านเสื้อแขนยาวตัวบาง เมื่อหันสายตากลับเข้ามา พี่สาวเจ้าของร้านก็กำลังส่งสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยเฉกเช่นเดียวกับน้ำเสียงมาให้
สำหรับหญิงสาวสังคมแคบอย่างยูกิโนะแล้ว อิโนะอุเอะ โซโยโกะก็เป็นอีกคนที่กล่าวว่าอยู่ในรายชื่อของ ‘คนคุ้นเคย’ ได้อย่างเต็มปาก เนื่องจากการแวะเวียนเข้ามาฝากท้องกับเครื่องดื่มและของว่างเบาๆ ในช่วงเย็นย่ำก่อนเข้าสตูดิโอเป็นประจำ สถานะ ‘คนคุ้นเคย’ ของยูกิโนะนั้น ไม่ใช่แค่หมายความว่ารู้จักชื่อแซ่หรือเคยพูดคุยกันระดับหนึ่งแล้วจะเป็นใครก็ได้ แต่ต้องเป็นคนที่ไม่สร้างบรรยากาศกระอ่วนกระอักให้เธอรู้สึกอึดอัดใจ ดังนั้นในชีวิตจวบวัยยี่สิบสองของยูกิโนะ จึงมี ‘คนคุ้นเคย’ อยู่เพียงแค่หยิบมือเดียวนอกจากเพื่อนร่วมทีมดีไซเนอร์ทั้งสี่
ด้วยความที่โซโยโกะเป็นหญิงสาวซึ่งคอยสังเกตผู้อื่นอยู่เสมอ จึงเป็นเรื่องชวนหัวอย่างมากเมื่อวันหนึ่งในเดือนมกราคม หล่อนจะกล่าวทักทายกับเธอนอกเหนือจากประโยคเช่น “ชาสตรอว์เบอร์รีเหมือนเดิมใช่ไหม?” หรือ “วันนี้มาค่ำนะ” เป็น “เจ้าของบาร์ข้างบนเค้าอยากรู้จักยูกิโนะจังแน่ะ” เธอหัวเราะเสียงใส เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง แต่อาจไร้ซึ่งความจริงจังอยู่ในนั้น จึงกระเซ้าเย้าคืนไปอย่างไม่จริงจังเช่นกันว่า “บอกเค้าว่าให้มาเคาะประตูหาพร้อมกับไวน์สักขวดสิคะ” ที่หลังเพลิดเพลินกับงานเย็บกระโปรงตลอดทั้งคืนนั้น ยูกิโนะก็ลืมเรื่องชวนหัวของหัวค่ำไปอย่างสิ้นเชิง
กระทั่งตีสอง บานประตูไม้ก็ถูกเคาะเป็นจังหวะสองครั้ง เธอไม่จำเป็นต้องระแวดระวังเลย มีเหตุการณ์ประเภทที่เพื่อนดีไซเนอร์คนอื่นแวะเข้ามาเผื่อเธอจะอยู่โดยไม่ได้พกกุญแจมาด้วยเป็นประจำ ดังนั้นจึงรีบกระโจนลงจากเก้าอี้ วิ่งทั่กๆ ทั้งเท้าเปล่าไปหมุนลูกบิดสีทองเหลือง หากทันทีที่ช่องว่างขยายกว้าง ผู้ชายแปลกหน้าที่รูปหล่อมาก ตัวสูงมาก เข้ากับเมคอัพมาก และดูดีเป็นบ้าในเรือนผมยาวระต้นคอที่ถูกมัดรวบไว้ คนที่ยูกิโนะมั่นใจว่าไม่เคยพบมาก่อน ก็เอ่ยขึ้นว่า
“ไวน์ขวดนี้เธอน่าจะชอบนะ”
แต่เธอไม่ได้ชอบมัน อันที่จริงเธอไม่ได้ชอบดื่มไวน์เลยด้วยซ้ำ พอบอกว่าแค่พูดไปอย่างนั้นเองเขาก็หาว่าเธอเป็นเด็กแก่แดด เรียกใบหน้ามู่ทู่ก่อนรีบแก้ตัวว่าปีนี้จะอายุยี่สิบสองแล้ว “สำหรับคนอายุสามสิบ ยี่สิบสองก็ยังเด็กอยู่ดีนั่นแหละ” และคืนนั้น จากไวน์ก็กลายเป็นน้ำอัดลมกระป๋องจากตู้กดสาธารณะที่เขาเต็มใจเลี้ยงแทน
คืนแรกผ่านพ้นไปแบบแปลกประหลาด ยูกิโนะยอมรับว่าไม่ได้ทำตัวน่าประทับใจเท่าไหร่เพราะนิสัยแบบสงวนท่าทีที่เป็นอยู่ก่อนแล้ว ผนวกกับอารมณ์กรุ่นๆ ที่ถูกมองว่าเป็นเด็กและการถูกยวนด้วยคำพูดน่าหมั่นไส้อย่างไรก็บอกไม่ถูก ยูกิโนะจึงแปลกใจนักหนาที่ที่หลังจากคืนนั้น เขาคนนั้นที่มีชื่อว่าเคียวโมโตะ ไทกะ เจ้าของบาร์อาร์ตพุทบนชั้นสองเหนือคาเฟ่ฟลามิงโก้ จะยังแวะเวียนมาหาเธอทุกคืนในช่วงเวลาตีหนึ่งถึงสองราวๆ นั้น ไม่ได้เร่งรัดอะไรเหมือนอย่างที่เธอคิดว่าคนวัยเท่านี้น่าจะเป็น แค่มานั่งคุยเป็นเพื่อนตอนทำงานบ้าง ชวนออกไปเดินเล่นหรือหาอะไรกินในภัตตาคารครอบครัวที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงบ้าง แต่กลับไม่เคยพาไปที่บาร์ของตัวเองทั้งที่อยู่ใกล้สตูดิโอแค่ไม่กี่ก้าวเดินเลย ก็ใช่ว่ายูกิโนะเริ่มนิยมชมชอบวัฒนธรรมการกินดื่มขึ้นมา เอาเป็นว่าเธอแค่นึกสงสัย ซึ่งเขาก็ขานไขให้เหตุผลว่าการพาผู้หญิงสักคนเข้าไปในสังคมของเขานั้นไม่ต่างอะไรจากการเปิดตัว ตราบเท่าที่เธอยังไม่ตกลงใจคบหา เขาคิดว่ามันจะช่วยทำให้เธอที่เป็นเด็กสังคมแคบรู้สึกสบายใจได้มากกว่า กระนั้นยูกิโนะก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาเองมากกว่าที่น่าจะรู้สึกอับอายถ้าคบหากับเด็กผู้หญิงท่าทางอึมครึมแบบเธอ จึงได้แต่เก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับตัวเองเช่นเดียวกับทีท่า แต่เขากลับมองผ่านความเสแสร้งแกล้งเข้าใจยากของเธอได้ขาด ก่อนบทลงเอยจริงๆ คือการที่เธอชอบเขา อย่างรวดเร็วมาก...และอย่างมากเสียด้วย
จนทุกวันนี้ ยูกิโนะยังนึกขอบใจโซโยโกะผู้เป็นแม่สื่อจากคำพูดประโยคเดียวนั้นอยู่เสมอ
“แค่รู้สึกว่าตามันล้าน่ะค่ะ”
“ถึงจะเป็นฤดูร้อนก็เถอะ แต่ขืนไม่ออกมาเจอแสงแดดบ้างจะแย่เอานะ” เจ้าของร้านที่ช่วยยกแก้วเครื่องดื่มเย็นไปวางบนโต๊ะด้านในสุดให้กับลูกค้าคนสนิทที่กำลังหย่อนตัวลงนั่งอดไม่ได้ที่จะเอ็ดอึง “แล้วนี่นอนไม่พอด้วยล่ะสิใช่ไหม? ปกติเราก็นอนเอาตอนพระอาทิตย์จะขึ้นแท้ๆ ถ้าไม่ไหวขอยกเลิกนัดไปก็ได้นี่นา อย่างกับเค้าจะกล้าว่าอะไรยูกิโนะจังอย่างนั้นแหละ”
“ก็...” เธองึมงำ ซุกหน้าลงกับหมอนเพนต์รูปฟลามิงโก้ที่ยกขึ้นมากอดแนบอก ไม่รู้ว่าด้วยความขัดเขินหรือเพราะง่วงงุนกันแน่ “คิดว่าอยากเจอเร็วๆ นี่คะ”
เป็นคำตอบที่ทำให้คนถามต้องสั่นศีรษะน้อยๆ หากก็ด้วยความเอ็นดู
“เฮ้อ หนุ่มสาว!”
ยูกิโนะหัวเราะร่วนกับการเปรยแบบคนแก่ของหญิงสาววัยยี่สิบแปดที่อ่อนเยาว์กว่าคนรักของเธอเสียอีก แล้วจึงปล่อยให้หล่อนซึ่งทำหน้าที่ในร้านคนเดียวช่วงวันธรรมดาต้อนรับลูกค้ารายใหม่ที่ผลักบานประตูเข้ามา ขณะที่ยูกิโนะก็ไม่คิดว่าอยากหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเลื่อนทำอะไร ครั้นจะให้เขม้นมองบรรยากาศภายในร้านที่คนโปร่งโล่งอยู่ก็เห็นว่าไม่เข้าท่า แต่จะให้ซุกหน้าลงกับหมอนแล้วนอนหลับสักงีบหนึ่งก็ยิ่งไม่เข้าท่าไปกันใหญ่ ถ้าบังเอิญเขามาเห็นเข้ามีหวังต้องรู้ว่าเธอโกหกที่บอกว่าจะหลับไม่เกินตีสองแล้วถูกไล่กลับไปนอนแน่ อย่างนั้นแล้วเธอจะยอมเสียเวลาลุกจากเตียงแสนสบายเพื่อฝ่าแดดเปรี้ยงมาถึงที่นี่ทำไม เมื่อคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก ทั้งไม่รู้ด้วยว่านึกอยากจะทำอะไรดีในตอนนี้ จึงเพียงนั่งกอดอกมองดูฟลามิงโก้กระเบื้องเคลือบตัวจิ๋วที่ประดับอยู่บนโต๊ะ ก่อนวิสัยจะค่อยลอยเหม่อออกไป พอๆ กับความคิดที่โบยบินไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่ทันได้รู้ตัว จู่ๆ ที่นั่งบนโซฟาข้างกันกับเธอก็จะถูกเบียดชิดเข้ามา เรือนผมสีทองที่ปล่อยยาวสยายค่อยถูกขยี้เบาๆ จากสัมผัสที่เคยคุ้น เช่นน้ำเสียงที่เธอคุ้นเคย...และรอคอย
“ขอโทษนะ มาสายไปหน่อย”
“ไทกะจัง!”
“เหม่ออะไรอยู่? อย่าบอกนะว่านอนไม่พอ”
หากหญิงสาวจะรีบสั่นหัว ฉีกยิ้มกว้าง แล้วหันจดจ้องมองใบหน้าคนรักให้ชัดเจนเต็มสองตา เธอคิดว่าอยากจะสวมกอดเขาแรงๆ หรือกดจูบให้นานๆ แทนทดต่อช่วงเวลาทั้งหมดที่เสียไป อันที่จริงจะทำแบบนั้นก็ได้ พี่โซโยโกะคงจะแกล้งทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เหมือนเคย แต่เพราะคนที่ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามต่างหาก มือของไทกะที่วางบนศีรษะเลื่อนลงมาตบบ่าเธอเบาๆ ก่อนเขาจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นแนะนำ ‘ลูกพี่ลูกน้อง’ จากฮาวายที่เพิ่งจะบินไปรับตัวกลับมาเนื่องจากปัญหาทางครอบครัวของฝ่ายโน้น การเลือกนัดพบกับยูกิโนะที่นี่แทนที่จะเป็นห้องของใครสักคนก็เพราะเหตุนี้ และทันทีที่หันไปสบประสาน นัยน์ตาของเธอก็พลันเลิกกว้าง ละล่ำละลักเอ่ยปากทัก ‘ลูกพี่ลูกน้อง’ ของชายคนรักเป็นการใหญ่
“เอ๊ะ! ไทโชนี่!”
“อ้าว สองคนรู้จักกันด้วยเหรอ?”
“พวกเราเคยเรียนด้วยกันสมัยไฮสคูลน่ะค่ะ เนอะ!” ประโยคหลังเธอหันไปพยักเพยิดกับอดีตเพื่อนร่วมห้องที่เพียงส่งยิ้มให้แทนคำตอบ ไม่ทันได้สังเกตท่าทีแปลกแปร่งก่อนเขาจะค้อมหัวขอบคุณเจ้าของร้านสาวและทำเสยกโกโก้เย็นที่เพิ่งถูกนำมาเสิร์ฟขึ้นดูด ในขณะที่เธอยังกระตือรือร้นกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ไม่หยุด เหตุผลข้อที่หนึ่งคือคาดไม่ถึง และเหตุผลข้อที่สอง — ข้อสำคัญที่สุด — ก็คืออิวาซากิ ไทโชคนนี้เป็นหนึ่งในเด็กจำนวนน้อยนิดในโรงเรียนที่ทำดีกับเธออย่างจริงใจ แม้ว่าคนส่วนใหญ่ในห้องจะไม่มีใครอยากคบหากับยัยคนอวดดีที่ริไปเป็นมือที่สามของคู่รักประจำห้องได้ลง ทั้งที่ความจริงคือฝ่ายชายต่างหากที่มาตามตื๊อเธออยู่ฝ่ายเดียว พอไม่เล่นด้วยก็โกรธแค้นและเป็นตัวการปล่อยข่าวลือเหลวไหลทั้งเพ แต่ก็ช่างปะไร! ให้มันรู้กันไปว่าคนอย่างยูรุกิ ยูกิโนะจะอยู่คนเดียวไม่ได้สิ! จนขึ้นเทอมที่สาม เธอก็ย้ายตามพ่อไปอยู่ที่นิวยอร์ก ไม่ปริปากบอกเล่าหรือบอกลาเพื่อนร่วมชั้นคนไหนแม้แต่คนเดียวด้วยความปรีดา!
“เหลือเชื่อ! ไม่คิดเลยว่าไทโชจะเป็นญาติของไทกะจัง!” ใบหน้าซึ่งเริงร่ากว่าสมัยเรียนที่ไทโชยังจำจดได้ของเธอเปล่งประกายไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนนิดหน่อยเมื่อเธอหันไปหัวเราะกับญาติผู้พี่ของเขาหรือสถานะชายคนรักของเธอ หากเมื่อน้ำเสียงสดใสร้องเอ่ย “ยังไงก็ดีใจที่ได้เจอนะ ไทโช!” แล้ว ที่สุดเขาจึงยอมแพ้ วาดรอยยิ้มกว้างออกมา
“ดีใจที่ได้เจอ ยูกิโนะ”
อีกไม่นานก็จะสิ้นสุดฤดูร้อนแล้ว ขณะคิดเช่นนั้น เธอก็หรี่ตามองท้องฟ้าที่อาทิตย์เริ่มโรยแสงและปล่อยให้สายลมเย็นสบายไล้ต้องผิวหน้า ปอยผมส่วนที่ไม่ได้ถูกมัดต่ำไว้หลวมๆ ปัดปลิวจนต้องยกมือขึ้นป่ายอยู่บ่อยครั้ง กระนั้น มันก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกรำคาญใจมากไปกว่ารู้สึกดี...ที่ฤดูร้อนช่างสมกับเป็นฤดูร้อนเสียเหลือเกิน
เธอไม่เคยชอบแสงแดดรุนแรงที่แผดไหม้ ผิวขาวที่คล้ำแดด เหงื่อที่เหนอะหนะ และความจัดจ้าจนเกินพอดีของโลกใบสีหม่นมาแต่ไหนแต่ไร แต่นับจากล่ำลาชีวิตพนักงานเดินเอกสารในบริษัทท่องเที่ยว (สัปปะรังเค) และได้เริ่มต้นชีวิตการเป็นนางแบบประจำไวบ์ แมกกาซีนสำหรับหญิงสาววัยยี่สิบต้นๆ ตั้งแต่เดือนกันยายนของปีที่แล้ว ด้วยการชักชวนจากอดีตคนรักของยัยแม่มดหัวหน้าแผนกที่อดีตบริษัทท่องเที่ยว (สัปปะรังเค) ของเธอ ในที่สุด คุโรโนะ เอเรนะกับชะตาที่ผกผันในวัยยี่สิบเอ็ดขณะนั้น ก็ตกหลุมรักฤดูร้อนเป็นครั้งแรก
หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ตกหลุมรัก ‘ชายที่พบในฤดูร้อน’ อย่างเจสซี่ ลูอิสเป็นครั้งแรก
“อาทิตย์หน้าผมต้องไปทำงานที่อเมริกานะ”
หลังความเงียบงันเมื่อพ้นจากปั๊มน้ำมันที่แวะเติมอยู่ครู่ใหญ่ๆ ได้ยินเช่นนั้น เธอจึงละสายตาจากทิวทัศน์ภายนอกบานกระจกที่ถูกกดลงจนสุด เอนตัวกลับมาพิงเบาะสปอร์ตภายในออสตินรุ่นคลาสสิกอีกครั้ง เธอรู้แค่ว่ามันคลาสสิก อาจมาจากปีสี่ศูนย์หรือห้าศูนย์ แต่ครั้นจะให้เจาะจงว่าเป็นรุ่นไหน ปีไหน เธอที่ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับยวดยานดีนักถึงแม้จะเคยฟังเขาเล่าอย่างภาคภูมิมาก่อนก็จำไม่ได้ ดูเหมือนจะจำได้เพียงแค่ว่ามันเป็นมรดกตกทอดจากพ่อผู้ล่วงลับไปแสนนานแล้วก็เท่านั้น เอเรนะพิสมัยความรู้สึกโหยหาอดีต เมื่อจินตนาการภาพที่ลูอิสคนพ่อเคยขับรถคันนี้พาเขาครั้งยังเยาว์ไปโน่นมานี่เพื่อการเชื่อมสายใยแห่งความผูกพันจึงคิดว่ามันน่าหลงใหลและชวนประทับใจดี เขาเองก็คงจะต้องเคยเพ่งจ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างของผู้เป็นพ่อซึ่งกำลังบังคับพวงมาลัยกับท่าทางเบาสบายด้วยความปลาบปลื้มใจเหมือนเอเรนะอยู่เช่นเดียวกันนี้เป็นแน่
เพลงป๊อปจากศิลปินสาวเสียงใสแว่วหวานผ่านลำโพงวิทยุไม่ให้เกิดความเงียบเหงาระหว่างผู้โดยสารที่นานครั้งจะสนทนาต่อเนื่องกัน บนท้องถนนของชานเมืองที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงในช่วงย่ำค่ำ แล้วเอเรนะก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมา คงเพราะเขามองเห็นปฏิกิริยานั้นจากทางหางตา จึงหันมาส่งรอยยิ้มคืนให้แก่เธอ
“ที่ไหนเหรอ?”
“ชิคาโกน่ะ”
“ไปกี่วัน พักที่ไหน แล้วทำอะไรบ้าง?”
“ไม่รู้สิ ทางบริษัทกับเขาเป็นคนจัดการให้หมดเลย แล้วเอเรนะล่ะ?” เหมือนอย่างทุกครั้งคราวที่มีการเอ่ยถึงบุคคลที่สามผู้นั้นซึ่งเขามักจะหลีกเลี่ยงการเอ่ยถึงชื่อเสียงเรียงนามหรือแสดงทีท่าว่าใส่ใจ ก่อนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเรื่องใหม่มายังเธอด้วยสีหน้าและน้ำเสียงอันนุ่มนวล ทั้งที่เอเรนะไม่เคยถือเป็นเรื่องใหญ่ ในเมื่อเธอต่างหากควรจะเป็นฝ่ายตระหนัก
“ก็ทำงานอยู่ที่นี่เหมือนเดิมนั่นแหละ”
“น่าเสียดายจังนะ ผมกำลังคิดว่าจะชวนเอเรนะไปด้วยกันแท้ๆ”
“พูดจริงหรือเปล่าเนี่ย?” เธอแกล้งเย้า
“จริงสิ ผมไปคนเดียว ไปทำงานแล้วรวดเลยไปสังสรรค์กับเพื่อนเก่าที่โน่น ไม่มีใครมาก้าวก่ายเรื่องของผมหรอก ผมอุตส่าห์ให้เพื่อนๆ ช่วยบอกเขาว่าจะอยู่เที่ยวต่ออีกสักสี่ห้าวันเพราะคิดว่าเอเรนะจะไปด้วยกันซะอีก” ก่อนที่ชายหนุ่มจะลดมือขวาจากพวงมาลัยแล้วเอื้อมมากอบประสานกับมือข้างซ้ายของเธอ “คงเหงาแย่เลยที่จะไม่ได้เจอเอเรนะตั้งนาน” ให้หญิงสาวได้เปล่งเสียงหัวเราะรวนใส ตีย้อนกลับคืนว่า “ของแบบนี้ต้องบอกกันก่อนไม่ใช่หรือไงเล่า จะได้เตรียมตัวถูก” เรียกเสียงหัวเราะน้อยๆ อันเป็นเอกลักษณ์จากเขาได้เฉกเช่นกัน
“แล้วเอเรนะจะมาหาผมไม่ได้จริงๆ เหรอ?”
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปเป็นอ้อนออด ยกมือบางที่ยังคงไม่ปล่อยแยกขึ้นมาแตะกับริมฝีปากเพียงแผ่วเบา หากก็ทำให้ข้างในอกของเธอสั่นรัวแรงอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะต้องการแก้เก้อบนใบหน้าที่เริ่มร้อนเห่อเทียบกับอุณหภูมิภายนอกขึ้นมา เอเรนะจึงรีบชักมือกลับแล้วทำทีเป็นผลักไหล่เขาไม่เบาไปสักทีหนึ่งให้คู่สนทนาได้พอรู้สึก
“คนอื่นก็สงสัยหมดน่ะสิว่าฉันไปทำอะไรไกลถึงชิคาโก”
“คนอื่นที่ว่าหมายถึงคุณอุกิโชหรือเปล่านะ?” ด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย หรือถ้ารู้สึก ก็คงจะปกปิดมันได้แนบสนิทมาก ตรงกันข้ามกับเอเรนะ ทุกคราวที่ได้ยินไม่ว่าจะเป็นชื่อ นามสกุล หรืออาจแค่ตำแหน่งของ ‘คนรักของเธอ’ ออกมาจากปากของเขาตรงๆ เช่นนั้น เธอก็ยังแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยไม่รู้สึกรู้สาไม่ได้สักที เอเรนะไม่รู้หรอกว่ามันคือความละอาย ความรู้สึกผิด หรือความหวาดกลัวกันแน่ แต่รอยยิ้มถึงเมื่อครู่ก็พลันเจื่อนจางลงไปอย่างช่วยไม่ได้
แม้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชายคนรักที่เป็นบรรณาธิการบริหารประจำไวบ์แมกกาซีนคนปัจจุบัน หรือก็คืออดีตคนรักของยัยแม่มดหัวหน้าแผนกเก่าที่บริษัท (ท่องเที่ยวสัปปะรังเค) จะอยู่ในสถานะที่ต้องเก็บเป็นความลับไม่ต่างอะไรกัน มิเช่นนั้น ต้องมีความแคลงใจในหน้าที่การงานของนางแบบสาวกับบรรณาธิการหนุ่มให้ได้ลือกันสนุกปาก ถึงความจริงเธอจะรู้ดีว่ามันไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรระหว่างเธอกับคุณอุกิโชก็ยังเป็นความสัมพันธ์ที่ถูก ขณะที่ชายผู้นี้คือสิ่งที่พระเจ้าเรียกมันว่าบาป
เอเรนะรู้...และรู้ดีมาตลอด
เธอพบเจสซี่ ลูอิสครั้งแรกในงานเลี้ยงวันเกิดของรุ่นพี่สไตลิสต์ประจำแมกกาซีนเมื่อช่วงต้นฤดูร้อนที่ผ่านมา ทั้งที่รู้แน่แก่ใจว่าชายผู้นี้เป็นคนรักของคอลัมนิสต์ซึ่งเธอไม่ได้สนิทสนมด้วยนัก เขาเป็นฝ่ายเริ่มต้นเอ่ยปากพูดคุยกับเธอที่ระเบียงของโรงแรม หลังเอเรนะเสร็จสิ้นการคุยโทรศัพท์อันน่าเหนื่อยหน่ายด้วยประโยคทักทายสุดแสนจะธรรมดาว่า “สวัสดีครับ คุณคุโรโนะ” ที่เมื่อเธอแสดงสีหน้าเหรอหราคล้ายจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าควรจะตอบรับทำเป็นรู้จักเขาหรือไม่ดี เขาก็จะเปล่งเสียงหัวเราะ เอนหลังพิงพนักและท้าวศอกกับราวระเบียงด้วยท่าทีเบาสบายอารมณ์ “ข้างในวุ่นวายน่าดูเลยนะ” ก่อนพยักเพยิดให้เอเรนะที่ยังได้แต่นิ่งค้างมายืนอยู่ใกล้ๆ ไม่รู้เพราะเหตุใด ราวกับถูกแรงดึงดูดสะกดให้เธอเขยิบไปยืนหันหน้าออกนอกระเบียงทอดมองตัวเมืองข้างกันกับเขา ไม่มีใครอ้าปากพูดอะไรออกมาอีก ในตอนที่เอเรนะกำลังยืนมองดูวิวกลางคืนประดาแสงสีของกรุงโตเกียวท่ามกลางความคิดที่ไหลหลากอยู่นั้น โดยไม่ทันได้รู้ตัว เขาก็โน้มใบหน้าลงมาประกบริมฝีปากแนบสนิทจนแทบจะลืมหายใจ ทุกความยุ่งเหยิงในหัวเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน หากโบยบิน อาจเป็นเวลาเพียงแค่ชั่วครู่ หรือไม่ก็เนิ่นนานราวนิจนิรันดร์ สติสัมปชัญญะของเธอกลับคืนมาอีกครั้งก็ตอนที่เพื่อนนางแบบเดินมาเขย่าตัวและบอกว่าเธอหายออกมานานเกินไปแล้ว ดูเหมือนเพราะคนรักของเขาชักจะเมา ทั้งคู่จึงพากันขอตัวกลับไปก่อน ข้างในนี้วุ่นวายจริงๆ แต่ไม่ใช่กับเอเรนะที่แทบจะไม่รู้สึกถึงสิ่งใดรอบข้างอีก เมื่อสิ่งเดียวที่หลงเหลือยังคงหวานล้ำอยู่ในริมฝีปากที่แตะสัมผัส เธอนั่งดื่มอยู่อีกสักพัก ครั้นเพ่งสมาธิไม่ได้แล้วจึงขอตัวกลับ คนรักของเธอมีนัดเรื่องงานและคงจะปลีกตัวมารับไม่ได้ แน่นอนว่าเอเรนะไม่เคยคิดจะรบกวนเขากับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้อยู่แล้ว จึงเลือกที่จะเดินสูดอากาศเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเองไปจนถึงสถานี
เดินไปได้ไม่เท่าไหร่ เสียงบีบแตรสองครั้งก็จะฉุดเรียกสติที่ลอยละล่องของเธอ ครั้นเมื่อหยุดฝีก้าวบนรองเท้าส้นสูงแล้วจึงเอียงคอจับจ้องมองรถคลาสสิกไม่คุ้นตาที่เข้ามาจอดชะลออยู่ริมทาง บานกระจกถูกลดลงมาพร้อมกับคำพูดสั้นๆ เพียงว่า “ขึ้นมาสิ” เท่านั้น ความผิดชอบชั่วดีทั้งหมดของเอเรนะก็ปลิวสลายหายไปกับสายลมอบอ้าวของฤดูร้อนอย่างสิ้นเชิง
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” เจสซี่วางมือหนาลงบนศีรษะคนข้างตัวพร้อมลูบผ่านมันเบาๆ “เอาเป็นว่าผมขอโทษก็แล้วกันที่พูดขึ้นมา ผมไม่กดดันเอเรนะหรอก ไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ”
เธอสั่นหัว เรียกรอยยิ้มกว้างให้กลับคืนมาอีกครั้ง “ฉันสิต้องขอโทษเจสซี่มากกว่า ชิคาโกเหรอ? ฉันยังไม่เคยไปเลยน้า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะไปให้ได้สักครั้งเหมือนกัน”
“ไม่ว่าเอเรนะอยากไปที่ไหน ผมก็จะพาไป”
“แค่นอกเมืองนานๆ ครั้งแบบนี้ก็พอแล้วล่ะ”
“มักน้อยจัง”
เรียกเสียงหัวเราะสดใสจากเอเรนะเมื่อย้อนคืนไปว่า “ถ้าฉันมักน้อยจริงๆ ฉันคงไม่อยากได้เจสซี่หรอกเนอะ” ด้วยสีหน้าล้อเลียนที่ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจจัดเจืออยู่เลย เขาละสายตากลับไปมองท้องถนนเบื้องหน้าที่ยังโล่งโปร่งด้วยความตั้งใจ เงียบไปสักพักจึงเอ่ย “เราสองคนเหมือนกันเลยนะ” แล้วเขาก็ยิ้มโดยไม่หันมองเธอที่รีบเงยขวับขึ้นจับจ้องทันที ครั้นแล้ว เอเรนะก็ฉีกยิ้มกว้างๆ ออกมา ยามผินหน้าออกไปรับสายลมเย็นอีกครั้ง
_______________
ความคิดเห็น