คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #73 : DEAD END IN TOKYO ~4/4~
๗
ดูเหมือนว่าเขาจะทำสมาธิอยู่กับงานของตัวเองไม่ได้เลยจากการที่ต้องเห็นเธอฉอเลาะอยู่กับไอ้หมอนั่น
หรือยิ่ง — โดยเฉพาะ — ไอ้หมอนั่นที่ทั้งเขาและนากามูระต่างต้องสัมผัสถึงความหยามเหยียดผ่านสีหน้าและถ้อยคำตลอดเวลา
แค่เพียงเลือกที่จะไม่เก็บมันมาใส่ใจ ในเมื่อหลายปีที่ผ่าน เร็นในฐานะบาร์เทนเดอร์ได้มีประสบการณ์กับพวกที่เลือกแสดงความก้าวร้าวผ่านปมลึกๆ
ในใจของตัวเองดีจนรู้ว่าควรรับมืออย่างไร แต่กับสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าจะคิดให้ตกเพียงไร
เขาก็ไม่เข้าใจเอาเสียเลย
หลังเจอกันที่ทางแยกบนถนนตอนหัวค่ำ อาเกฮะที่ร้องเรียกชื่อเขาซ้ำไปซ้ำมาว่า
“เร็นนี่! เร็นใช่ไหม!” ด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ก็ทำให้เขาที่อยู่ในอารมณ์กรุ่นๆ ก่อนหน้านั้นเปล่งเสียงหัวเราะออกมาได้
มองดูรอยยิ้มบนใบหน้าที่เครื่องสำอางแต้มแต่ง เช่นเดียวกับผมสีดำเหยียดยาวที่กลายเป็นสีเงิน
ซึ่งผิดแปลกไปจากช่วงเวลาเหินห่างถึงกว่าเจ็ดปี หากไม่ว่าจะมากน้อยเพียงไร เร็นก็ไม่มีทางที่จะลืมเลือนรักแรกได้ลง
พวกเขาหยุดสนทนากันริมฝั่งถนนที่ข้ามมา
ถามไถ่ความเป็นไปซึ่งส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคำถามจากเธอเพียงฝ่ายเดียว เร็นแทบไม่ได้รู้เรื่องของเธอมากไปกว่าว่าเข้ามาอยู่ที่นีโอโตเกียวตั้งแต่จบชั้นมัธยมต้นเท่านั้น
ส่วนการงานหรือเรื่องราวอื่นๆ ยังคงเป็นปริศนา ซึ่งก็ไม่เป็นไร เพราะแต่ไหนแต่ไรเธอเคยเป็นผู้ฟังมากกว่าพูด
เขาจึงเป็นฝ่ายบอกเล่าก่อนเองว่าตอนนี้ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ที่คลับเซเรนดิพิตี้ทางเขตเหนือ
การใช้ชีวิตอย่างที่ต้องดิ้นรนในนีโอโตเกียวไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร
ทั้งเขาและเธอที่ต่างเคยเผชิญกับความตกต่ำในโอซาก้ามาแล้วย่อมเห็นพ้องตรงกันว่าชีวิตใหม่ในที่แห่งนี้แทบไม่ต่างจากสรวงสวรรค์
นั่นจะทำให้นัยน์ตาของเธอลุกวาว แม้กล่าวว่าไม่ค่อยชอบเที่ยวในสถานที่แบบนั้น
แต่เมื่อเป็นที่ทำงานของเขาก็อยากลองไปดูสักครั้งด้วยท่าทีแสดงความสนอกสนใจ
ไม่ว่าสิ่งใดจะเปลี่ยน แต่สิ่งหนึ่งในตัวทาจิบานะ
อาเกฮะที่ไม่เปลี่ยนคือความใส่ใจกับทุกเรื่องในช่วงชีวิตของเขา จะช่วงทุกข์
หรือช่วงสุข พวกเขาต่างก็คอยแบ่งปันกันในฐานะผู้ถูกกลั่นแกล้งจากความก้าวร้าวของเด็กมีปมทั้งหลายในสถานศึกษาช่วงหลังสงครามระหว่างทวีป
เพราะความร่ำรวยเมื่อครั้งอดีตของเขาก่อร่างเป็นความอิจฉา ขณะที่เชื้อชาติของเธอนั้นคือปัญหา
พวกเขาได้แต่อดทนกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยการเพิกเฉยและปล่อยให้มันเป็นไป
เหมือนกับกิจวัตรประจำวันที่เกิดขึ้นทุกวันจนชาชินไปเอง
เขาได้รอยแผลกลับบ้านเป็นประจำ เช่นกันกับความบอบช้ำทางจิตใจของเธอ
มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นตลอดชีวิตในรั้วโรงเรียน ถ้าพ่อของเขาไม่ได้มาด่วนจากไปในช่วงชั้นปีที่สอง
เหตุผลของการฆ่าตัวตายทำให้กำแพงหนาแน่นที่ก่อร่างพังทลายลงไปในชั่วกะพริบตา
พร้อมกับความอดทนที่สิ้นสุดลงจากคำล้อเลียนและเก้าอี้ที่ยกขึ้นฟาดซ้ำๆ เพื่อระบายทุกอย่างข้างในใจทั้งหมดจนแผ่นไม้หลุดกระจาย
เลือดสีชาดจากภายในอันเน่าเฟะของพวกมันเกรอะกรังอยู่ทั่ว เช่นเดียวกับไม้ถูพื้นที่เขาคว้ามันฟาดใส่หน้ากลุ่มเด็กผู้หญิงที่มักจับเธอขังไว้ในส้วมและสาดน้ำเน่าๆ
ใส่โดยไม่ออมแรง
จะว่าสายสัมพันธ์อันแปลกประหลาดของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นด้วยการสูญเสียเลือดเนื้อก็ไม่ผิด
อาเกฮะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าวันหนึ่ง คนที่คอยเป็นตัวรองมือรองเท้าให้กับพวกเด็กผู้ชายในห้องเรียนจะลุกขึ้นมาก่อการกบฏด้วยตนเองลำพัง
มือหนาของเขาที่ยื่นส่งมาให้ได้กลายเป็นหลักยึดในชีวิตอันปวกเปียกของเธอนับแต่นั้น
และหลังจากเกิดเหตุการณ์อันลือลั่นนี้ขึ้น ก็ไม่มีใครกล้าวอแวกับเขาหรืออาเกฮะอีกเลย
จากความเร่งรีบนับแต่ทีแรกเปลี่ยนกลายเป็นสิ่งเล็กจ้อยเมื่อเป็นเรื่องของเธอ
เขายอมแลกทุกอย่างในตอนนี้เพียงเพื่อจะได้อยู่กับหญิงผู้เป็นรักแรกสมัยมัธยมต้นให้นานขึ้นอีกแค่วินาทีเดียวก็ยังดี
แต่ดูเหมือนคำขอต่อพระผู้เป็นเจ้าที่ไม่มีอยู่จริงในโลกอนาคตอันจอมปลอมนี้จะไม่เป็นผล
ในตอนที่สายเรียกเข้ามือถือของเธอแผดลั่นขึ้นมา
เธอล้วงมันจากกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวสีขาว มองดูหน้าจอเพียงปราดเดียว
ก่อนขอตัวกดรับสายโดยเอ่ยทิ้งท้ายว่า “ต้องไปแล้วล่ะ แล้วฉันจะแวะไปหานะเร็น
บ๊ายบาย!” เขายกมือขึ้นโบกกลับ
มองดูแผ่นหลังของเธอกลืนลับไปกับผู้คนบนท้องถนนอย่างเงียบงัน
ความคำนึงถึงเธอยังลอยกรุ่นอยู่ไม่จาง
ทว่าเขาไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจอเธออีกครั้งในคืนเดียวกันนี้เอง
บาร์เทนเดอร์ที่กำลังพูดคุยอยู่กับลูกค้าคนสนิทมองเห็นเธอนับแต่วินาทีแรกที่เดินเหลียวซ้ายแลขวาเข้ามาในคลับนีออนแห่งนี้แล้ว
เขาคิดว่าได้สบตาเธอ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะแสงมัวพร่าที่ทำให้เขาเห็นเป็นเช่นนั้น
เมื่อเธอไม่ได้เดินตรงมาที่เคาน์เตอร์เพื่อเอ่ยทักทายหรือสั่งเครื่องดื่มแต่อย่างใด
กลับเบี่ยงทิศทางไปทิ้งตัวนั่งบนม้าหมุนประดับที่มุมหนึ่งของร้านเฉยๆ ไม่ทำอะไร
ไม่ดื่มอะไร ไม่คุยกับใคร เขาเกือบจะเข้าข้างตัวเองแล้วด้วยซ้ำว่าเธอกำลังเฝ้ารอเขาอยู่
กระทั่งไอ้หมอนั่นที่ทั้งเขาและนากามูระชอบหยิบยกขึ้นมาด่าตอนหลังเลิกงานอย่างเผ็ดร้อนเสมอจะเดินวางท่าเข้าไปแนะนำตัวกับเธอ
ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือการที่เธอเองก็ตอบรับไมตรีโดยไม่มีท่าทีรังเกียจ
แน่นอนว่าคงไม่มีใครในนีโอโตเกียวไม่เคยเห็นใบหน้าหล่อเหลาบนป้ายโฆษณาเสื้อผ้า หรือโปรโมชั่นวิดีโอที่ครองอันดับหนึ่งอยู่ในขณะนี้
‘ไอ้หมอนั่น’ ที่ทั้งเขาและนากามูระเรียกกันลับหลังจนเกินเลยในบางครั้งว่า ‘ไอ้ห่า’ ก็คือเจสซี่ ลูอิส
นายแบบที่กำลังมาแรงที่สุด และเป็นที่คลั่งไคล้ในหมู่สาวๆ มากที่สุดในศตวรรษใหม่นี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงไม่อยากยอมรับ แต่ความเป็นไปได้ว่าอาจหมายรวมถึงเธอด้วยก็ทำให้เขารู้สึกถึงอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นมาจนต้องขอตัวไปสงบสติที่หลังร้าน
พลันความคิดมากมายถึงเรื่องของหญิงสาวผู้เป็นที่รักก็ท่วมท้นเข้ามาอย่างไม่อาจห้าม
คนที่โทรมาหาเธอตอนก่อนจะแยกกันนั้นคือใคร เธอมาที่นี่ทำไม แล้วเธอตั้งใจที่จะสานสัมพันธ์กับไอ้หมอนั่นที่มีดีแค่หน้าตาจริงๆ อย่างนั้นหรือ เขาไม่รู้ว่าตัวเองโกรธไอ้หมอนั่นหรือว่าเธอมากกว่ากันแน่
เจ็ดปีในดินแดนแห่งแสงสีลวงตานั้นมากพอที่จะเปลี่ยนตัวตนของคนๆ หนึ่งไปอย่างสิ้นเชิง
เธออาจไม่ใช่อาเกฮะคนเดิมที่เคยพึ่งพิงแต่เขาเหมือนในวันวานอีกต่อไปแล้ว
ด้วยเหตุผลข้อนี้
มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกลดทอนบทบาทสำคัญในชีวิตของเธออย่างยากที่จะยอมรับได้
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องยอมรับมันให้ได้
แค่ไม่ใช่วันนี้...ตอนนี้
ฉับพลัน
ความรู้สึกปวดแปลบก็แล่นปราดขึ้นมาเรียกสติของเขาให้หวนคืน
เขาเผลอซัดกำแพงอิฐหลังร้านไปเต็มแรงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เขาปล่อยให้ความโกรธครอบงำตัวเองมากเกินไปเหมือนสมัยมัธยมต้นอีกแล้ว
ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกรู้สาต่อเรื่องของคนรอบตัวมานานแสนนาน แม้แต่ตัวเองก็ไม่คิดว่าผู้หญิงจากอดีตจะมีอิทธิพลได้มากถึงเพียงนี้
เพื่อนบาร์เทนเดอร์อย่างคุณวาตานาเบะที่ออกมาตามหาเขาหลังจากหายไปกว่าชั่วโมง
พอเห็นมือที่บวมแดงก็ไล่ให้เขากลับบ้านไปทำแผลโดยไม่ถามไถ่เหตุผลแม้แต่ข้อเดียว
ด้วยเพราะไม่มีใครซอกแซกเรื่องของกัน เขาถึงได้ชอบเพื่อนร่วมงานที่นี่
เขากล่าวขอโทษคุณวาตานาเบะ ล้างมือ
จัดการพันแผลด้วยเครื่องมือในกล่องปฐมพยาบาลอย่างง่ายๆ ไม่ได้ทายา
หยิบจับอะไรก็มือสั่นแบบนี้เห็นทีว่าอาจจะต้องลางานสักสองสามวัน
จากนั้นก็เปลี่ยนเครื่องแบบกลับไปใส่ชุดลำลองตัวเดิม ที่จริงก็อยากจะพบหน้าเธออีกสักครั้ง
แต่ถ้าขืนเห็นเธอกำลังนัวเนียอยู่กับไอ้หมอนั่นต้องได้สติแตกมากกว่านี้แน่ๆ เขาคิด
ขณะสวมเสื้อโค้ทตัวยาวทับลงไปแล้วหมุนลูกบิดประตูออกไปในเส้นทางข้างหลังร้าน
มือทั้งสองข้างบัดนี้ถูกซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทอันหาใช่เพราะความหนาวเหน็บ
แต่เพื่อปกปิดผ้าพันแผลที่พันรอบมือขวาของตน
พวกนักเลงจะเห็นเป็นโอกาสถ้าเหยื่อมีจุดอ่อนยิ่งกับมือข้างที่ถนัดแบบนี้
แต่เขาคงปกปิดซาราระไม่ได้ หล่อนจะต้องคาดคั้นเป็นการใหญ่
เอาเป็นว่าเขาจะบอกว่ามีเรื่องชกต่อยกับคนเมาก็แล้วกัน
เรื่องพรรค์นี้ประสบได้ทั่วไปในเขตตะวันออกที่ตั้งอพาร์ตเมนต์ของเขา
ทันทีที่คิดถึงใบหน้าของหล่อนขึ้นมานั้นเอง อยู่ๆ เขาก็รู้สึกต้องการหล่อนอย่างแรงกล้า
เขาต้องการหล่อน...ไม่ใช่ผู้หญิงมารยาคนนั้นที่หัวสมองของเขาเอาแต่คิดถึงมาตลอดทั้งคืน
ก่อนเสียงร้องจากทางแยกข้างหน้าจะฉุดภวังค์และความหน่วงหนักให้กลับคืน
ปกติเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เขาจะเพียงเดินเลยผ่านไป ไม่มอง
ไม่สนใจว่าผู้ประสบเหตุจะเป็นใครหรืออาจต้องตายอย่างน่าอเนจอนาถเพียงไร แค่เพราะเขาไม่ยอมยื่นมือเข้าไปช่วย
แน่นอนที่สุดว่าครั้งนี้เขาก็จะทำแบบนั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะร่างของหญิงสาวที่กำลังดึงมีดซึ่งปักอยู่ที่มือขวาของพวกกุ๊ยซึ่งกำลังแหกปากร้องลั่น
แล้วรีบเผ่นหนีกระแทกไหล่เขาไปอย่างรวดเร็วจะปรากฏชัดแจ้งอยู่เบื้องหน้า
“อาเกฮะ?”
เธอหันเสี้ยวหน้าที่ถูกเรือนผมปรกบัง ก่อนย่างรองเท้าส้นสูงสามนิ้วเข้าใกล้เขาที่ได้แต่ยืนแข็งเกร็งอยู่กับที่
ไม่ใช่เพราะความกลัวสำหรับคนที่ต้องเอาตัวรอดในโลกสกปรกโสมมใบนี้มาตั้งแต่อายุยังน้อย
อีกอย่างหนึ่งคือเขามั่นใจว่าถึงต่อให้จวนตัว
เขาก็สามารถจัดการกับผู้หญิงตัวขนาดเธอได้อย่างแน่นอน
แค่ในตอนนี้เขากำลังรู้สึก...สับสน
คนที่เอาแต่ทำตาแดงๆ และหลบอยู่หลังเขาทุกครั้งที่มาโรงเรียนเหมือนเด็กตัวเล็กๆ
กลับกำลังถือมีดสีเงินวาววับที่เช็ดเลือดกับผ้าเช็ดหน้าที่เธอจะโยนทิ้งมันหลังจากนั้น
พร้อมกับรอยยิ้มเข้ามาหาโดยไม่มีความหวาดกลัวอยู่แม้แต่น้อย ที่จริง
มันคือใบหน้าเฉยชาราวกับสวมหน้ากากทาบทับความเป็นมนุษย์สามัญของตน
จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าตลอดเจ็ดปีที่ผ่าน
เด็กผู้หญิงที่เคยอ่อนไหวคนนั้นเผชิญสิ่งใดมา เสียงส้นรองเท้าเคาะพื้นหยุดลง
ร่างเล็กของเธอเว้นระยะห่างเหมาะเจาะอยู่เบื้องหน้าเขา
มือข้างที่ว่างเอื้อมมาดึงแขนขวาของเขาออกจากกระเป๋าเสื้อโค้ท
เขาชักมันกลับคืนไม่ทันและได้แต่อึกอักกับสีหน้าที่เธอจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น
แล้วโดยไม่ทันคาดคิด เธอก็กดกรีดใบมีดแหลมคมลงบนฝ่ามือข้างขวาของตนเองอย่างช้าๆ
ปากของเขาอ้าค้าง และเมื่อได้สติก็จะรีบปัดมีดด้ามนั้นให้พ้นออก
เขาไม่พกผ้าเช็ดหน้าติดตัว จึงกดนิ้วมือของตัวเองลงกับปากแผลยาวของเธอเพื่อห้ามเลือดที่ทะลักล้นไว้
“ทำบ้าอะไรของเธอ!”
“ที่เร็นต้องเจ็บก็เพราะฉัน” เธอเอ่ยเสียงค่อย
ยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมาทาบทับกับมือหนาภายใต้ผ้าพันแผลที่เธอจะค่อยๆ ม้วนมันออก
แตะสัมผัสลงบนรอยแผลช้ำแดงนั้นอย่างแผ่วเบา เขาไม่รู้ว่าเธอรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
“รู้ไหมว่าฉันโกรธมากที่เร็นต้องมาเจ็บตัวแบบนี้
ถึงได้เลือดขึ้นหน้าเอามีดแทงมือขวาของไอ้สารเลวพวกนั้น ฉันแทงไปสามคนแล้วล่ะ
แต่มันก็ไม่พอ...” คำพูดอันน่าเหลือเชื่อเหล่านั้นส่งถ้อยของเขากลับกลืนลงไป
“เพราะฉันรู้ว่าคนที่เป็นต้นเหตุจริงๆ ก็คือฉัน ฉันถึงได้อยากจะไถ่โทษ”
ลิ้นของเขายังคงควานหาคำพูด
“ฉันน่ะ ก็แค่อยากรู้ว่าเร็นยังชอบฉันอยู่หรือเปล่า”
“อา...”
“ขอโทษนะ”
ชั่วขณะที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัวนั้นเอง เธอก็จะกรีดเล็บสีมุกยาวของตัวเองกดลงบนปากแผลเปิดบนข้อนิ้วหนึ่งของเขาจนต้องหลุดปากร้องออกมา
เขาพยายามสะบัดมือหนี แต่เรี่ยวแรงของหญิงสาวตัวบางที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนก็จับมันไว้ไม่ยอมปล่อย
จากนั้น เธอก็กระทำในสิ่งที่เขายากจะเชื่อสายตาคือกดปากแผลของตัวเองแนบลงไป
เธอไม่ส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่คำเดียวนอกจากรอยยิ้มและนัยน์ตาที่เป็นประกาย กอบกุมมือข้างขวาเดียวกันของเขาเอาไว้แน่น
ความอ่อนนุ่มกลับสร้างความอึดอัดและกร้าวแข็งจนแทบจะแหลกละเอียด
ก่อนมืออีกข้างหนึ่งของเธอจะเลื่อนขึ้นแตะลำคอของเขา
แต่ไม่ทันได้เกิดสิ่งใดที่แม้แต่เขาก็คาดคิดไปไม่ถึงขึ้น
น้ำเสียงที่ตะโกนร้องเรียกชื่อเขาก็ดังแหวกผ่านความมืดมิดของราตรีกาล
เขามองเลยไปเห็นซาราระที่กำลังปั้นหน้ายากกับภาพที่เห็น แค่เพียงเสี้ยววินาที
ความรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ลำคอก็แล่นขึ้นมาจนเขาเผลอหรี่ตา
เธอรีบลดมือ หันไปหาต้นเสียง กดก้มศีรษะลงไปแล้วเอ่ยละล่ำละลักบอกหล่อนด้วยน้ำเสียงสั่นๆว่า
“ย...อย่าเข้าใจผิดนะคะ! ค...คือผู้ชายคนนี้เค้า...บังเอิญมาช่วยฉันไว้จากพวกนักเลงค่ะ! ถ้าไม่ได้เค้า ฉัน...ฉันคงจะแย่ไปแล้ว” ด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นทั้งที่ไม่เคยมีวี่แวว
และเมื่อได้ยินดังนั้น หล่อนจึงเปลี่ยนสีหน้าแล้วกึ่งวิ่งตรงมาหาด้วยความเป็นห่วงเป็นใยทั้งหญิงผู้เคราะห์ร้ายและชายคนรักแทบจะทันที ซาราระอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึงเมื่อเห็นเลือดเปรอะไปทั่วมือขาวๆ กับใบมีดที่ร่วงหล่น หล่อนเสนอความช่วยเหลือโดยว่าควรจะไปแจ้งตำรวจ แต่อาเกฮะปฏิเสธไมตรี เธอเพียงว่าคนรักเป็นตำรวจและเขาจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเอง จมูกของเธอแดงก่ำและขอบตาก็รื้นไปด้วยหยาดน้ำอุ่นๆ เป็นการเสแสร้งแกล้งทำได้อย่างแนบเนียนทั้งที่ก่อนหน้าเธอยังเหยียดยิ้มพอใจจนเร็นต้องนึกทึ่ง ตอนนี้เหมือนเขากำลังมองดูคนแปลกหน้าที่สวมใส่หน้ากากของหญิงผู้เป็นรักแรกและเล่นละครตบตาคนอื่น พลางเย้ยเยาะต่อปฏิกิริยาโง่เง่าของพวกเขาเหล่านั้นอยู่ข้างใน อาเกฮะกล่าวขอบคุณพลเมืองดีและคนรักของชายผู้นั้นเป็นครั้งสุดท้าย และเป็นอีกครั้งที่เร็นได้แต่มองตามแผ่นหลังและผมยาวสยายของเธอไป ขณะซาราระเอาแต่สติแตกกับมือที่เต็มไปด้วยเลือดซึ่งมาจากปากแผลของเธอหาใช่เขาไม่ หล่อนโผเข้ากอดเขาพร้อมกับน้ำตาที่เป็นของจริงแล้วพร่ำพูดว่า “อย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงแบบนี้อีกนะ ฉันทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นเร็นเป็นอะไร” เขากอดตอบหล่อน หล่อนผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม หากเมื่อเขาต้องนิ่วหน้าเพราะรอยแผลเล็กๆ ที่ลำคอ เขาก็กลับคิดถึงผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ฝากร่องรอยนี้เอาไว้
_______________
ความคิดเห็น