คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #149 : Moon Over Bourbon Street
ไทโช อิวาซากิไม่เคยเบื่อกับการจับจ้องมองใบหน้าขาวเนียน หรือเกลี่ยเส้นผมสีทองสลวยจากสารเคมีที่แผ่สยายอยู่ทั่วพื้นที่ เมื่อร่างเล็กของอุสะ นากามูระจะโถมถั่งน้ำหนักตัวลงกับเตียงนอนทันทีที่เขาไขกุญแจดังกริ๊ก ส่งกลิ่นอับชื้นที่ต่างก็คุ้นชินภายในห้องเช่าคับแคบย่านเฟรนช์ควอเตอร์ที่ได้อาศัยพักพิงมาตลอดช่วงชีวิตการเริ่มต้นใหม่ ยังอีกซีกโลกหนึ่งซึ่งห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนอย่างนิวออร์ลีนส์นี้ แม้ว่าอุสะจะกำลังพร่ำบ่นด้วยความหัวเสีย แต่ไทโชก็ไม่เคยนึกเบื่อหน่ายกับการรับฟังน้ำเสียงหวานซึ้งดุจเทพธิดาของเธอเลยสักครั้ง
“มันผ่านไปแล้วน่า” เขาขยับตำแหน่งของตนจากข้อศอกที่ยันกับที่นอน ปัดเอาเส้นผมที่ปรกหน้าผากออก แล้วกดประทับริมฝีปากลงไปบนนั้น
พวกเขาทำงานอยู่ที่บาร์รุสโซซึ่งห่างไปสามบล็อกจากที่นี่ อุสะทำงานเป็นบาร์เทนดี้ ขณะที่ไทโชทำงานเสิร์ฟ ทั้งที่เป็นคืนวันอังคาร แต่งานในบาร์วันนี้กลับเรียกได้ว่าไม่ราบรื่นจนถึงขั้นหายนะ เพราะไอ้ยักษ์ขี้เมาที่ดูเดือดจัดกับการไม่ได้เบอร์โทรศัพท์ของบาร์เทนดี้แม้สักหลักติดไม้ติดมือกลับบ้าน มันเลยพ่นคำดูถูกเข้าใส่ขณะกดบีบข้อแขนเล็กผ่านเคาน์เตอร์บาร์ที่กั้นระหว่างกลาง ครั้นอุสะหวีดร้องออกมาด้วยความเจ็บ ก็จะถูกฝ่ามือใหญ่ฟาดลงบนศีรษะเต็มแรงจนคล้ายกับว่ากะโหลกจะระเบิดแตกเป็นเสี่ยง โชคดีที่เพื่อนบาร์เทนเดอร์พุ่งตัวเข้าไปประคองร่างแบบบางที่เสียการทรงตัวเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มฟาดลงไป หรืออย่างแย่ที่สุดคือกระแทกชั้นขวดเหล้าให้แตกกระจายเกลื่อนพื้น และนั่นอาจทำให้เธอต้องเพิ่มหนี้ เหมือนกับว่าที่เป็นอยู่ยังแร้นแค้นไม่พออย่างไรอย่างนั้น
“ตอนนั้นนายเหมือนกับว่าจะฆ่าหมอนั่นให้ตายเลย”
ไทโชหัวเราะออกมา ยังไม่ยอมละมือจากใบหน้าของอุสะ แม้จะทิ้งลำตัวซีกซ้ายลงไปสัมผัสกับผืนผ้าปูที่นอนเช่นเดียวกับเธอ
“ก็รู้ว่าฉันทำทุกอย่างได้เพื่อเธอ”
แม้จะเป็นคำพูดที่อุสะได้รับฟังมานับร้อยนับพันครั้งตลอดห้าปี แต่เธอก็ยังทำใจให้ชินกับประโยคเหล่านั้นและคำว่า “ฉันรักเธอ” ที่ถ่ายทอดออกมาอย่างลึกซึ้งให้หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เหมือนดั่งเช่นวินาทีแรกที่ตกหลุมรักเขาไม่ได้สักที
อุสะกลบเกลื่อนรอยยิ้มเก้อเขินด้วยการยื่นมือเล็กของตนไปกุมมือของเขาอย่างแผ่วเบา ทั้งรอยเลือดที่เกรอะกรังและบาดแผลที่ปรากฏ ถึงอาจไม่ได้ร้ายแรงอะไร หากก็ไม่ได้ช่วยให้อุสะที่รู้ว่าเป็นตัวต้นเหตุรู้สึกดีขึ้นมาได้
ไทโชที่เพิ่งจะเดินออกมาจากหลังร้านทันได้มองเห็นเหตุการณ์ตอนที่คนรักถูกทำร้ายอย่างพอเหมาะพอเจาะ ถาดอาหารในมือของเขาร่วงหล่น คล้ายกับว่าสติได้ขาดผึงลงไปเมื่อเดินไปคว้าไหล่ของไอ้ร่างยักษ์นั่นให้หันมาเผชิญหน้า ก่อนปล่อยหมัดกระแทกใบหน้าจนมันล้มลงไปชนกองเก้าอี้ระเนระนาด ท่ามกลางเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกและไอ้ขี้เมาที่จ้องเขม็งมองผู้ชายตัวผอมบางในชุดเครื่องแบบทับผ้ากันเปื้อนของร้าน นั่นทำให้มันได้ทีเหยียดยิ้มหยัน ก่อนลุกขึ้นถ่มถุยของเหลวสีแดงสดที่ไหลผ่านเข้าไปในโพรงปาก
“ไอ้ตุ๊ดอย่างแกจะมีปัญญาทำอะไรฉันได้วะ!”
“ก็ลองดูไหมล่ะวะ!”
ความอดทนของไทโชสิ้นสุดลงกับหมัดที่ตั๊นเข้าหน้าอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า พิสูจน์ว่าไอ้ตุ๊ดที่มันดูถูกสามารถจัดการคนที่ตัวใหญ่กว่าถึงสองเท่าอยู่ฝ่ายเดียวโดยที่มันไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาตอบโต้เอาคืน ถ้าเพื่อนร่วมงานไม่รีบวิ่งออกจากหลังเคาน์เตอร์มาล็อกตัวเขาไว้ ป่านนี้มันอาจนอนจมกองเลือดตายคาร้านไปแล้วก็ได้
แม้ว่าเจ้าของร้านจะเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่สภาพความเสียหายของร้านก็ทำให้หล่อนต้องจำใจหักเงินเดือนกึ่งหนึ่งเพื่อซ่อมแซมความเสียหายจากลูกจ้างคนนี้ไปอีกสามเดือน ให้ไทโชต้องเอ่ยขอโทษต่อการกระทำไม่ยั้งคิดของตัวเองตลอดเส้นทางกลับบ้าน จนอุสะต้องยกมือขึ้นปิดปากคนตัวสูงกว่า กล่าวย้ำว่าไม่เป็นไรกับภาระค่าเช่าห้องและค่ากินอยู่ที่หารกับพี่ชายของเธออีกคนหนึ่ง เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าไคโตะคงต้องเริ่มกลับไปทำโอทีเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายแทนส่วนของไทโช เพียงเพื่อให้พวกเขาไม่ต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบไร้หัวนอนปลายทางเยี่ยงโฮมเลสน่าอดสูแบบนั้นอีก นั่นเป็นเหตุผลที่ไคโตะดึงดันที่จะเช่าอพาร์ตเมนต์คอมเพล็กซ์สภาพไม่ย่ำแย่นักในเฟรนช์ควอเตอร์ ทั้งที่รายได้ของเขาคนเดียวแทบจะเรียกว่าสวนทาง กระนั้นไคโตะก็ยังดื้อดึงไม่ยอมให้น้องสาวและคนรักของน้องสาวที่เปรียบเสมือนกับน้องชายต้องลำบากไปรับจ้างทำงานที่ไหนอีก นอกจากบาร์รุสโซที่อดีตเจ้าของร้านคนเก่าอย่างโซฟีได้เคยให้ความช่วยเหลือ แม้แต่การฉุดดึงพวกเขาสองคนพี่น้องจากเหตุการณ์เฮอร์ริเคนแคทรีนาซึ่งพัดพาเอาทุกสิ่งอย่างในชีวิตไปจนหมด ทั้งบ้าน ครอบครัว หรือเงินทองของติดตัวจนต้องดักจี้ปล้น ทำร้ายร่างกายนักท่องเที่ยว เพียงเพื่อประทังชีวิตให้รอดพ้นจากความหวังในการเริ่มต้นใหม่ที่นิวออร์ลีนส์ตั้งแต่เมื่อเก้าปีก่อนซึ่งได้ดับสูญลงไปพร้อมกับพายุที่โหมกระหน่ำในวันนั้น กระทั่งวันที่โซฟีได้ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือสองพี่น้อง อาจเป็นเพราะความสงสารหรือไม่ก็ความเห็นใจ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใด ทั้งไคโตะและอุสะก็ไม่เคยลืมเลือนบุญคุณของโซฟีที่ได้มอบโอกาสและสิ่งสำคัญที่สุดที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ ร่วมกับพี่น้องชาวฝรั่งเศสในบาร์รุสโซแห่งนี้เลย
เพียงเพื่อให้พวกเขาได้เผชิญกับการสูญเสียผู้ให้ชีวิตอีกครั้งหนึ่งในอีกสิบเดือนต่อมา
อุสะทนรับการสูญเสียคนใกล้ชิดอีกครั้งแทบไม่ไหวจนเกือบจะเรียกได้ว่าเสียสติ ใช้เวลาหมดไปกับการกรีดร้อง ร่ำไห้ และทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง จนแม้แต่คนเป็นพี่ชายก็ไม่รู้ว่าควรต้องทำอะไรหรือรับมือกับมันเช่นไร ไคโตะทำอะไรกับมันไม่ได้เลย
เป็นตอนนั้นเองที่อุสะได้พบเขา
เหมือนกับที่ไทโชก็ได้พบเธอ
“ไม่เจ็บใช่ไหม?”
“ไม่รู้เหรอว่าไทโชของอุสะเป็นซูเปอร์แมน แผลแค่นี้ไม่เห็นจะรู้สึก” พูดแล้วก็หัวเราะร่าให้เธอได้ย่นจมูกใส่ด้วยความหมั่นไส้ นึกอยากกดปลายนิ้วลงไปที่แผลแรงๆ เสียให้เข็ด แต่อุสะก็แค่ยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง ถอดเอาเสื้อคลุมตัวหนาวางพาดกับขอบเก้าอี้ข้างเตียง ก่อนต้องหลุดร้องออกมาเมื่อถูกสวมกอดจากทางด้านหลังไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับริมฝีปากที่ลากไล้อ้อยอิ่งอยู่แถวลำคอ
“ขอบคุณนะอุสะ” ไทโชกอดกระชับร่างในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น “ขอบคุณมากที่อยู่กับฉัน”
คนที่ฉุดดึงอุสะออกมาจากฝันร้ายที่มืดมิด คือเด็กหนุ่มที่ใช้ชีวิตอยู่กับความมืดมิดและเฝ้ารอคอยแสงสว่างในชีวิตนับตั้งแต่สูญเสียพ่อกับแม่ไปด้วยน้ำมือของโจรปล้นชิงทรัพย์ระหว่างการพำนักอยู่ที่นิวออร์ลีนส์ในวันครบรอบแต่งงานปีที่ยี่สิบ จัตุรัสที่ครึกครื้นไปด้วยท่วงทำนองแนวแจ๊ซอย่างที่พ่อกับแม่ชอบแล้วส่งต่อมาให้ลูกชายคนเดียว ผู้คนที่ต่างก็ร้องรำทำเพลงสนุกสนานเคล้าแอลกอฮอล์กันตลอดทั้งค่ำคืน ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสฟังดูคุ้นหูแต่ไม่แปร่งหูสำหรับไทโชที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก เป็นสถานที่เหล่านี้เองหรือที่พวกท่านได้พบรัก จับมือเดินด้วยกันอย่างมีความสุข แม้จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
“สักวันลูกต้องมากับเราให้ได้จริงๆ นะจ๊ะ”
เมื่อหวนนึกถึงถ้อยคำนั้น ไทโชก็ก้มหน้าซุกลงกับฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเอง รำพึงรำพันว่า “ผมคิดถึงพ่อกับแม่นะครับ” แล้วเริ่มต้นร้องไห้ออกมา
“ฉันก็คิดถึงพ่อกับแม่” ด้วยภาษาบ้านเกิดที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน ไทโชหันใบหน้าไปอีกทาง เช็ดน้ำตากับแขนเสื้อตัวยาวลวกๆ ก่อนหันไปหาเด็กสาวผมยาวที่นั่งคอตรง ทอดสายตาไปยังแม่น้ำมิสซิสซิปปีที่สะท้อนแสงไฟเบื้องหน้าอยู่อีกมุมหนึ่งของม้านั่งยาว
เหมือนกับที่เธอก็หันมาสบประสานสายตากับเขา นัยน์ตาวาววับเหนือขอบตาดำคล้ำที่บวมปูดจากการร่ำร้องไห้อย่างหนักคู่นั้นของเธอเกือบจะเรียกได้ว่าประหลาดใจ เพราะริมฝีปากสีซีดที่คล้ายว่าจะเอ่ยอะไรสักอย่างได้หุบกลับลงไป ท่ามกลางความเงียบงันที่ก่อร่างขึ้นโอบล้อมรอบกาย ไม่ว่าจะเรียกความรู้สึกชั่วเสี้ยววินาทีนั้นว่าสิ่งใด หากมีอย่างหนึ่งที่ไทโชแน่ใจ
และอุสะก็แน่ใจ
“ฉันต่างหากที่ควรเป็นคนพูดคำนั้น”
ร่างของเธอถูกผลักกลับลงไปบนที่นอนอีกครั้ง เพื่อให้ไทโชกดประทับริมฝีปากลงไปอย่างแนบแน่น ไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็ไม่เคยเบื่อการได้จุมพิตเธอ สัมผัสเธอ หรือรักเธอ
มันไม่ใช่แค่สิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบ
แต่ในที่สุดพวกเขาก็ได้เจอกับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อันมืดมิดเสียที
_______________
ความคิดเห็น