ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Anima-City

    ลำดับตอนที่ #3 : ★ Final Fantasy VII: On the Way to a Smile "Episode: Shinra" 3 ★

    • อัปเดตล่าสุด 17 ส.ค. 63












    .

    “ซัง เรโน รู้ด อีลีน่า...” เช้าวันถัดมาหลังจากไลฟ์สตรีมทะลักทั่วมิดการ์ รูฟัสพูดกับพวกเขาทั้งสี่ “แผนของพวกนายคืออะไร?”

    “เอ่อ ผมจำไม่ได้ว่าถูกไล่ออก” เรโนว่า

    สามคนที่เหลือพยักหน้า ชัดเจนว่าคิดเห็นตรงกัน

    ดังนั้นรูฟัสจึงออกคำสั่งเทิร์กส์สองข้อ: กลับไปที่มิดการ์เพื่อประเมินสถานการณ์และรวบรวมพันธมิตร

    “จำไว้ให้ดี ไม่ใช่ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทจะเป็นมิตรด้วยในเวลานี้” เขาบอกทุกคน

    “รับทราบครับ แต่เราต้องการพันธมิตรไปเพื่ออะไร?”

    “สำหรับตอนนี้ก็ข้อมูล เท่าที่เราจะหาได้” เป็นเพราะซี่โครงที่หักหลายซี่และกระดูกเท้าที่แตก ไม่ต้องพูดถึงแผลฟกช้ำร้ายแรง เวลานี้รูฟัสถูกจำกัดให้อยู่แต่บนรถเข็น กระนั้นบรรยากาศของผู้มีอำนาจก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

    “ซัง”

    “ครับ”

    ฉันคิดว่านายอาจพร้อมเกษียณแล้ว”

    “ไม่เลยครับ ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ และมีแค่ชินระเท่านั้นที่ทำได้” ซังตอบกลับเรียบๆ

    รูฟัสดูพอใจ

    “งั้นก็ดีแล้ว นายจะไม่เบื่อแน่”

     

    หลังจากได้พักกินข้าวและนอนหลับเป็นเวลาสั้นๆ เทิร์กส์ก็กลับไปยังมิดการ์และแยกกันเป็นสองกลุ่ม ซังกับอีลีน่าจะออกรวบรวมข่าวสาร ขณะที่เรโนกับรู้ดตามหาพันธมิตร สหายเทิร์กคนอื่นๆ ซึ่งเคยอยู่ที่นี่เมื่อวานจากไปหมดแล้ว กระจัดกระจายกันไปทั่วโลก เพื่อส่งต่อข้อมูลไปที่คาล์มจากที่ซึ่งห่างไกลกว่ามิดการ์

     

    “แอวะแลนช์เคยบอกว่าชินระเป็นศัตรูของโลก” เรโนหวนคิดถึง

    “อ่าฮะ”

    “พวกนั้นอาจคิดถูกก็ได้”

    “ยังไง” รู้ดถาม

    “ก็ดูสิ

    เรโนพยักเพยิดไปที่เมือง ไลฟ์สตรีมช่วยโลกจากเมเทโอไว้ได้ก็จริง แต่ระหว่างขั้นตอนนั้น มันได้สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับมิดการ์ ในหลายๆ แง่ เมืองในตอนนี้เหมือนกับเมืองปราสาทของยุคเก่า ที่มีขึ้นเพื่อรับใช้ผู้ปกครองในป้อมปราการสูงลิ่วซึ่งก็คืออาคารชินระ ถึงอาจจะไม่ได้ราบคาบทั้งหมด มันก็ดูเกินกว่าจะซ่อมแซม มันอาจไม่ได้ร้ายแรงถึงตาย แต่ขณะเดียวกัน มันก็ยากที่จะจินตนาการให้กลับมามีชีวิต

    เมื่อผู้คนได้เข้าใจว่าบริษัทล้มเหลวในการช่วยพวกเขาจากหายนะ พวกเขาก็เริ่มต่อต้านชินระ พวกเขาต้องการบางคนให้ชี้นิ้วโทษใส่ และชื่อของบริษัทก็อยู่ตรงนั้น โดดเด่นเหนือกว่าทุกสิ่ง

    เรโนกับรู้ดมุ่งหน้าไปยังเซกเตอร์ศูนย์ แต่ไม่ได้ไปที่อาคารชินระ ความเสียหายเกิดขึ้นที่นี่มากเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่ขวางทางพวกเขาไว้กลับเป็นฝูงชนที่ส่งเสียงดังวุ่นวาย ทั้งการประกาศข่าวสารและขอความช่วยเหลือ

    “โอ้ นั่นน่าขำชะมัด” เรโนเย้ยเยาะขณะรับฟังบทสนทนา ผู้คนเรียกชินระว่าปิศาจแต่ขณะเดียวกันก็ยืนยันให้บริษัทแก้ไขทุกอย่าง

    “ฉันชักอยากจะตะโกนด่าซะแล้วสิ”

    “เอาเลย” รู้ดว่า “ฉันไม่ห้ามหรอก”

    “ไม่ล่ะ ต้องคิดถึงภาพพจน์บริษัท จริงไหม?”

     

    ซังกับอีลีน่ามุ่งหน้าไปใต้เพลตยังวอลล์มาร์เก็ตในสลัมของเซกเตอร์หก บริเวณที่เทิร์กส์จะพบข้อมูลข่าวสารอันมีค่าเสมอ ถึงแม้ว่าคุณภาพจะไม่ได้ดีไปซะทั้งหมด เศษซากที่ร่วงหล่นจากโครงสร้างด้านบนทำให้เกิดความเสียหายจนทั่วละแวก แต่มันก็ไม่ได้ดูแตกต่างมากนัก อย่างไรที่นี่ก็คือสลัม

    ข้อแตกต่างมากที่สุดคือประชากร ซึ่งลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว  มีข่าวลือแพร่สะพัดว่าเมืองมิดการ์มีแนวโน้มจะพัง ทั้งคนที่ตื่นกลัวและอาจไม่ได้ตื่นกลัวนักต่างก็หลบหนีออกจากร่มเงาของเพลต

    ขณะเสาะสำรวจ ซังกับอีลีน่ายังได้ยินผู้คนพูดถึงชินระในแง่ลบ บางคนขว้างหินใส่ จากที่ไกลๆ เมื่อพวกเขาจดจำชุดสูทที่เป็นเอกลักษณ์ของเทิร์กส์ได้

    “แบบนี้จะทำให้งานเรายากขึ้น” อีลีน่าว่า “บางทีเราน่าจะเปลี่ยนไปแต่งชุดอื่นที่ไม่เตะตาเท่านี้”

     

    พวเขาเลือกชุดใหม่จากร้านแรกที่พบ ซังลงเอยอยู่ในเสื้อเชิ้ตลายดอกไม้ดอกใหญ่ซึ่งพวกที่ลาพักร้อนมักจะสวมกลับมาจากคอสต้า เดล โซล ขณะที่อีลีน่าเลือกชุดที่นุ่มลื่นและทันสมัย ครั้นปลอมตัวแล้ว พวกเขาก็เข้าไปในบาร์ที่ยังคงมีลูกค้าอยู่พอสมควร โต๊ะส่วนใหญ่เต็มหมด แต่พวกเขาเจอเก้าอี้ว่างในมุมหนึ่งแล้วจับตาดูรายรอบตัว ผู้ชายที่ใส่ชุดสีดำมาคนเดียว จับจองโต๊ะสำหรับสี่คน เรียกความสนใจจากซัง

    “ดูเหมือนว่าเขาจะสลบไปแล้วนะ” อีลีน่าว่า

    “คงงั้น...”

    “รุ่นพี่”

    “ว่าไง?”

    “เหตุผลที่ฉันอยู่กับเทิร์กส์ก็คือ แบบว่านอกจากความภาคภูมิใจและหน้าที่แล้ว ถึงมันจะสำคัญมากก็เถอะ แต่ที่จริงแล้ว เหตุผลหลักของฉันก็คือ เอ่อ...”

    ความรู้สึกที่อีลีน่ามีต่อผู้บังคับบัญชาไม่เคยเป็นความลับ แต่นั่นไม่ได้ทำให้การพูดบอกเขาตรงๆ เป็นเรื่องง่าย เธอหยุด อายเกินกว่าจะเอ่ย

    “ดีแล้ว พูดไปเรื่อยๆ” ซังสนับสนุน

    “หา?”

    “เราพยายามทำตัวให้เนียน มันจะดูไม่เป็นธรรมชาติถ้าเรานั่งกันเงียบๆ พูดเรื่อยเปื่อยแบบนั้นแหละดีแล้ว ขยับปากเธอไปเรื่อยๆ”

    “ค่ะ ได้... เอ่อ พูดเรื่อยเปื่อย” เธอถอนหายใจออกมาอย่างหดหู่ แต่เขาไม่ได้มองหน้าเธอ เขายังคงจดจ้องชายที่สลบไสล

    “มีบางอย่างผิดปกติ” ซังลุกขึ้น เดินไปหาชายที่หน้าจมลงบนโต๊ะ

    “คุณโอเคไหม?”

    ไม่มีคำตอบรับ ซังจับไหล่ของชายคนนั้น  หมายที่จะเขย่า  แต่มือของเขากลับพบสิ่งที่เหนอะหนะ เขารีบดึงออกและพบของเหนียวข้นสีดำบางอย่างบนฝ่ามือ

    เขามองดูอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น เขาไม่สังเกตเห็นมันมาก่อนเพราะเสื้อสีดำ แต่ลำตัวของชายผู้นี้เต็มไปด้วยเมือกสีเข้ม

    “เขาเป็นอะไรเหรอคะ?” อีลีน่าถาม เดินมาดู

    “เขาตายแล้ว”

     

    ในที่สุดเรโนกับรู้ดก็มาถึงล็อบบี้หลักของอาคารชินระ เรโนเขียนข้อความบนกระดานแจ้งข่าวขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงนั้น:

    ใครก็ตามที่อยากออกจากเพลต เดินไปตามทางรถไฟที่ไปสลัม รถไฟไม่วิ่งแล้ว และไม่มีแผนที่จะเปิดบริการใหม่ พวกนายจะต้องเดินไป ที่นี่ไม่มีเสบียงแล้ว บริษัทพลังงานไฟฟ้าชินระหยุดโดยไม่มีกำหนด

     

    บ้านสองชั้นในคาล์มมีห้องนั่งเล่นกับห้องกินข้าวอยู่ที่ชั้นแรกสุด เหมาะสำหรับการประชุม เช่นเดียวกับครัวเล็กและห้องน้ำ ชั้นสองมีห้องนอนสามห้อง และรูฟัสก็พักอยู่ที่ห้องหนึ่ง เพราะขาของเขาที่ยังเข้าเฝือกอยู่และลำตัวก็ถูกยึดไว้ด้วยสายรัดเพื่อป้องกันซี่โครง เขายังต้องใช้รถเข็นเพื่อเคลื่อนย้ายไปมารอบๆ แทบตลอดเวลา

    หน้าต่างมองเห็นวิวของตัวเมือง ผ่านช่องว่างเล็กๆ ระหว่างผ้าม่านที่ถูกแง้มไว้ เขามองเห็นท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คน ไลฟ์สตรีมสร้างความเสียหายในคาล์มด้วยเช่นกัน แต่อาคารไม่เสียหายและบ้านเรือนก็ยังสามารถอาศัยอยู่ได้ ผู้ลี้ภัยที่หลั่งไหลเข้ามาจากมิดการ์หยุดอยู่ที่นี่เพื่อมองหาที่หลบภัย

    รูฟัสประหลาดใจที่ได้เห็นจำนวนมหาศาลเหล่านั้น เท่าที่เขาจำได้ เขาไม่เคยอยู่ใกล้คนจำนวนมากขนาดนี้มาก่อนโดยไม่มีทหารหรือการคุ้มครอง มีผนังเพียงแผ่นเดียวที่แยกเขาจากความหวาดกลัวและสิ้นหวังที่ด้านนอก และนั่นคือความจริงที่เขาไม่พึงพอใจเอาเสียเลย มันไม่ใช่ผนังเสริมเหล็กแข็งแกร่งเหมือนที่อาคารชินระ เป็นแค่ไม้บางๆ กับปูนปลาสเตอร์เท่านั้น ชายที่แข็งแรงอาจพังมันเข้ามาหาเขาได้

    ซังเสนอให้จ้างหน่วยรักษาความปลอดภัย แต่เขาปฏิเสธ ตอนนี้เขาได้แต่ยิ้มอย่างบิดเบี้ยวเมื่อคิดถึงความภาคภูมิใจที่ไร้ประโยชน์

    เขาพิจารณาสถานการณ์ของตัวเอง อาคารชินระคือป้อมปราการที่สร้างขึ้นโดยตาแก่ นั่นทำให้มันคือสัญลักษณ์แทนพ่อเขา สำหรับลูกชายที่กลายเป็นผู้ใหญ่ เขาต้องออกจากใต้ร่มของพ่อ และทำในแบบของตัวเอง เอาตัวรอดด้วยมือของตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ต้องเป็น ตอนนี้ เวลานั้นมาถึงเขาแล้ว เขาไม่อยากทำหัวหดต่อหน้าสาธารณชน เขาพร้อมที่จะกระโจนออกไปเข้าร่วมวงและทำในสิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำ ซึ่งเขาเชื่อว่าคือการสร้างโลกขึ้นใหม่

    กริ่งประตูดัง ผ่านไปชั่วขณะก่อนกริ่งครั้งที่สองจะดัง รูฟัสเมินมัน แต่มันก็ยังคงดังต่อเนื่อง สามครั้ง ครั้งละสองกริ่ง

    นี่ไม่ใช่ลำดับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คนที่กดกริ่งไม่ใช่คนที่เขารู้จัก

    แล้วเขาก็ได้ยินเสียงคนพยายามเตะประตูเข้ามา อาจเป็นผู้ลี้ภัยที่สิ้นหวัง รูฟัสเข็นรถไปที่เตียงและหยิบปืนจากใต้หมอน เขาซ่อนปืนไว้ในชุดคนไข้ ผลักเก้าอี้ที่อยู่ริมหน้าต่างไปยังหน้าประตูห้องนอน ก่อนออกแรงพาตัวเองไปนั่งบนนั้นจากรถเข็นด้วยความยากลำบาก

    รูฟัสเสริมกำลังที่ประตูหน้าแล้ว ใครก็ตามที่พยายามพังเข้ามาดูเหมือนว่าจะถอดใจ จากนั้นรูฟัสก็ได้ยินเสียงพังหน้าต่าง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าย่ำอยู่ในบ้าน มากกว่าหนึ่งคน

    “ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการวันนี้เลย” เขาปลดเซฟตี้

     

    ในช่วงพลบค่ำ อีลีน่ากับซังกลับไปที่คาล์ม พูดคุยกันเรื่องอาการป่วยที่เห็นในสลัม เมื่อพวกเขาพูดกับชาวบ้าน พวกเขาได้รู้ว่ามีคนที่แสดงอาการแบบเดียวกันกับชายที่ตายในบาร์เป็นจำนวนมาก

    “มันเกิดอะไรขึ้น ตอนที่ฉันไม่อยู่กันแน่?” ซังว่า

    “ฉันก็ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นอะไร มันเกิดขึ้นไวมาก” อีลีน่าพูด

    ซังสงสัยว่าอาการป่วย หรือพิษ หรืออะไรก็ตาม คงเพิ่งเริ่มถล่มมิดการ์ในวันนี้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ย่อมต้องรู้เรื่องแล้ว มันบังเอิญเกินไปหรือเปล่าที่อาการป่วยปรากฏขึ้นหลังจากไลฟ์สตรีมระเบิด? ไลฟ์สตรีมส่งผลกระทบกับคนเหมือนที่ทำลายเมืองอย่างนั้นหรือ?

    “ฉันแค่หวังว่านี่จะไม่ทำให้คนตื่นตระหนกกันเกินไป” เขาให้ความเห็น

    “ฉันว่ามันสายไปแล้ว” อีลีน่าพูดถึงเหตุการณ์ที่ได้เป็นพยานเมื่อลูกค้าคนอื่นรู้ว่ามีคนตายในบาร์ แรกสุด พวกเขาเข้ามามุงใกล้ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก จากนั้นก็แตกฮือด้วยความตื่นตระหนก รีบวิ่งไปยังทางออกเมื่อมีคนตะโกนว่ามันอาจเป็นโรคติดต่อ

     

    เรโนกับรู้ดมาถึงคาล์มก่อน พวกเขาอยากขึ้นฮ. หรืออย่างน้อยก็รถยนต์ แต่ไม่มีใครรู้ว่าน้ำมันจะเหลือพอให้ใช้อีกนานเท่าไหร่ สำหรับตอนนี้ อย่างน้อยนั่นก็คือของปันส่วนอย่างเคร่งครัด

    “พรุ่งนี้ลองดูที่เซกเตอร์ห้า” รู้ดพูด

    “บ้านพักบริษัทเหรอ? เราน่าจะเจออะไรใหม่ๆ ถ้านายคิดว่าคนของชินระยังอยู่กันล่างนั่นน่ะนะ”

    “ฉันหมายถึงคลัง เราอาจจะหาเสบียงได้ รถ กระสุน อาวุธหนัก”

    “อาวุธ เข้าท่า ฉันรู้สึกว่าเราคงต้องการเพียบเลย”

    เมื่อคิดถึงผู้รอดชีวิตที่ทุกข์ทรมานของมิดการ์และความขุ่นเคืองใจที่เดือดพล่านในตัวพวกเขาแล้ว เรโนก็ถอนหายใจออกมา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×