คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #103 : FF7: WELCOME TO THE GOOD LIFE (REBIRTH EDITION)
อาจเรียกว่าเป็นโชคดีที่ไม่มีใครอยู่ที่สกายวิวฮอลล์บนชั้นห้าสิบเก้าของอาคารชินระในเวลาใกล้ล่วงเข้าวันใหม่ขณะนี้ หรือต่อให้จะมี ซากาโมโตะ เอริสุก็คงไม่อาจกดกลั้นความไม่พอใจที่ตีตื้นขึ้นมาได้ไหวอีกต่อไป หลังจากคำพูดที่ใกล้เคียงกับคำเทศนาอย่างน่าโมโหของชายคนรัก ทั้งที่ตอนแรกทุกอย่างก็ดูเหมือนจะดำเนินไปได้ด้วยดี เริ่มจากการที่เธอยกมือขึ้นโบกทักทายเขาซึ่งมาตามนัดหมายด้วยความกระตือรือร้น เฉกเช่นเดียวกับน้ำเสียงและรอยยิ้มกว้างที่แผ่กระจายอยู่เต็มใบหน้า ในตอนที่ลุกขึ้นจากโซฟาไปกึ่งดึงกึ่งลากท่อนแขนของเขาให้มาหยุดยืนดูทัศนียภาพของมหานครผ่านบานกระจกใสในยามค่ำคืน แบบที่เอริสุไม่เคยและไม่มีวันจะมองเห็นมันจากสลัมในเขต 7 ที่อาศัยอยู่มาทั้งชีวิตได้ ถ้าไม่ใช่เพราะคำปรามาสที่ทำให้ความอดทนตลอดสิบเก้าปีของเธอสิ้นสุดลง กระทั่งสามารถถีบตัวเองขึ้นมาทำงานในชินระคอมปะนีได้แล้วล่ะก็ ป่านนี้เธอก็ยังคงได้แต่แหงนคอมองดูเพลต พร้อมกับความฝันลมๆ แล้งๆ และคำเสียดเย้ยได้ไม่เว้นแต่ละวันของแม่กับพี่สาวขี้เมาหยำเปไปตลอดทั้งชาติ
เพราะอย่างนั้นเอริสุถึงได้จงเกลียดจงชังสลัมที่เติบโตมาเสียยิ่งกว่าอะไร เธอเกลียดกลิ่นอับๆ ในบ้านที่ทั้งคับแคบและสกปรก เกลียดคุณภาพชีวิตที่แสนต้อยต่ำ เกลียดการที่ต้องมองเห็นจานเหล็กขนาดใหญ่แทนท้องฟ้าหรือว่าดวงดาว เกลียดการต้องปากกัดตีนถีบทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารกระจอกๆ แลกทิปที่แทบจะไม่มี เพื่อเอามาประเคนให้ครอบครัวเฮงซวยที่คอยรีดไถ แน่นอนว่าถ้ามีหนทางที่ดีกว่า เธอก็ไม่ลังเลเลยที่จะไป
และบริษัทพลังงานไฟฟ้าที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศอย่างชินระคอมปะนีคือเป้าหมายที่เอริสุรู้ว่าจะช่วยให้หลุดพ้น ทันทีที่ได้เข้าบรรจุในแผนกพัฒนาเมือง เอริสุก็ทิ้งทุกอย่างในสลัมที่ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของสิ่งใดให้ถวิลหามาด้วยหัวใจที่ลิงโลด ไม่สนใจทั้งคำด่าทอสลับกับคำขอร้องอ้อนวอนของสองแม่ลูกให้พาขึ้นไปอยู่ข้างบนด้วยกันเลยแม้แต่น้อย
เอริสุไม่แคร์หรอกว่าคนอื่นในสลัมจะคิดกับเธออย่างไร ในเมื่อตอนที่เธอลำบากก็ไม่เห็นจะมีใครเคยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ นอกจากคำพูดพล่อยๆ ที่บอกให้อดทน อดทน และอดทน เสียจนเอริสุทึ่งใจที่ตัวเองสามารถอดทนกับคำว่า ‘อดทน’ มาตั้งเนิ่นนานขนาดนั้นได้
แต่ใครที่ว่าไม่นับรวมถึงนาสุ ยูโตะ ชายคนรักอายุมากกว่าสองปีที่ยึดอาชีพเป็นทหารรับจ้างและพำนักอยู่ที่สลัมเขต 7 ซึ่งก็เป็นบ้านเกิดของเขามาได้กว่าหกเดือนแล้ว ในตอนที่เธอหลบไปนั่งร้องไห้คนเดียวในสุสานหลังเลิกงานเพราะปัญหาที่ถาโถมเข้าใส่ ก่อนกลับไปยังบ้านที่เธอยกให้เป็นแค่ที่ซุกหัวนอนเหมือนกับทุกวัน ไม่มีความหวาดกลัวต่อเรื่องผีสางที่พวกชาวบ้านต่างพากันร่ำลือให้หนาหูเลยแม้แต่น้อย
เอริสุไม่เคยเห็นหน้าชายผู้นี้มาก่อน ด้วยเพราะไม่ได้อยากทำความรู้จัก เธอเลยไม่สนใจว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ในตอนดึกดื่นค่อนคืนเหมือนกัน แต่เขาก็เพียงนั่งเอนหลังทอดสายตาอยู่เงียบๆ ไม่เคยเปิดปากทักทายหรือแม้แต่จะหันมองเธอที่จับจองม้านั่งตัวข้างๆ วันแล้ววันเล่า ก่อนระยะห่างจะขยับเคลื่อนใกล้จากสิ่งที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นความตั้งใจ เมื่ออารมณ์ของเอริสุปะทุขึ้นมาเพราะวันแย่ๆ แล้วพาลเสียจนตอกเส้นรองเท้าบู๊ตไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า กระแทกน้ำเสียงที่เจือจัดด้วยความหงุดหงิดไปว่า “ฉันไม่เชื่อในเรื่องความบังเอิญเกินกว่าหนึ่งครั้ง และฉันก็ไม่ชอบผู้ชายที่ขี้ขลาดด้วย!” ซึ่งจะตามมาด้วยรอยยิ้มกว้างของเขาที่ตอบรับว่า “ไม่คิดว่าคุณจะเป็นพวกหลงตัวเอง” ให้เอริสุโกรธจัดจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง บางทีอาจมีต้นเหตุมาจากเสียงหัวเราะน่าหมั่นไส้ที่ตามมาหลังจากนั้นด้วยว่า “และผมก็ไม่ได้ขี้ขลาดสักหน่อย” กับริมฝีปากที่ถูกช่วงชิงไปไม่ให้ทันได้ตั้งตัวแม้แต่การปิดเปลือกตาหลับ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร มันก็ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนแปลกหน้าเปลี่ยนแปลงไป
เอริสุใช้เวลาอันแสนสั้นราวกับความฝันทุกค่ำคืนกับยูโตะเพื่อหลบหนีความเป็นจริง จากม้านั่งในสุสานเปลี่ยนไปเป็นดาดฟ้าของห้องเช่าสองชั้นที่ก็ไม่ได้ดีเด่อะไรเมื่อสิ่งที่เห็นบนท้องฟ้าหาใช่ดวงดาวพราวระยับ หากเอริสุก็มีความสุขเมื่อได้อยู่กับเขา จุมพิตกับเขา และหายใจเอาอากาศอับๆ ของในห้องเช่าที่ทั้งร้อนและคับแคบจนเธออาจหลอมละลายรวมไปกับเขาในวินาทีที่เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ถ้าหากมันจะเป็นเช่นนั้นจริง เอริสุก็คิดว่าเธอเต็มใจที่จะตายไปกับเขา...แม้ในขุมนรกนี้
ครั้งหนึ่ง เธอเคยบอกเล่าความฝันที่อยากจะไปจากสลัมให้เขาฟัง และยูโตะก็ไม่เห็นด้วยกับการที่เธอเลือกชินระคอมปะนีเป็นคำตอบ เขาให้สัญญาว่าจะทำงานเก็บเงินอีกสักปีแล้วพาเธอย้ายออกไปอยู่ที่เมืองอื่นแทน แต่ทหารรับจ้างอย่างเขาจะหาเงินถุงเงินถังกับงานเล็กๆ น้อยๆ ในสลัมมาจากไหน ต่อให้รวมกับเงินจากงานบริการของเธอที่ไม่ได้เจียดไปให้ใครด้วยก็ตาม อาจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เอริสุได้เข้าใจความรู้สึกของการได้มีใครสักคน อีกทั้งข้อความจริงที่ว่าเธอไม่ได้อยากไปจากมิดการ์ เธอแค่ต้องการขึ้นไปอยู่บนเพลตชั้นบน มองลงมายังสลัมที่แม่กับพี่สาวต้องอยู่อย่างอดสูไปตลอดชีวิตแล้วเหยียดยิ้มด้วยความสะใจต่างหาก ยูโตะไม่ได้พูดอะไรเมื่อรู้ว่าเธอแอบไปสอบสัมภาษณ์และได้เข้าทำงานที่ชินระคอมปะนีในที่สุด แต่เอริสุก็รู้ได้จากสีหน้าและท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกถึงเพียงเล็กน้อยว่าเขาไม่พอใจ
“สวยเนอะ”
ใบหน้าของยูโตะไม่ปรากฏอารมณ์ใด ขณะที่ใบหน้าของเอริสุนั้นเพ้อฝัน ดื่มด่ำกับแสงสีของแสงไฟสังเคราะห์นอกบานกระจกสูงลิบที่ไม่ว่าจะจับจ้องมองดูกี่ครั้งก็ไม่รู้เบื่อ
“ฉันอยากเห็นแสงไฟจากบนเพลตมาตลอดเลย”
“เธอเคยบอกฉันว่าอยากเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าที่ไม่มีเพลตมาบดบังต่างหาก”
แม้คำพูดโต้แย้ง — ที่เป็นความจริง — ของเขาจะไม่มีสิ่งใดที่ผิดแปลก แต่เอริสุก็จับความเฉยเมยทั้งบนใบหน้าและในน้ำเสียงได้ ก่อนที่เขาจะหันมา สบประสานดวงตาสีเข้มของเธอที่ยิ่งสั่นระริกไหว แน่ใจได้ว่ามันคือความโกรธหลังจากคำพูดของเขาที่ว่า “ขึ้นมาอยู่บนนี้แค่ไม่กี่เดือน เธอกลายเป็นคนของชินระเต็มตัวไปแล้วหรือไง?”
“หมายความว่ายังไง?”
“ดื่มด่ำไปเถอะเอริสุ อีกไม่นานโลกนี้อาจไม่มีแม้แต่แสงไฟสังเคราะห์สักดวงให้เธอได้เห็นด้วยซ้ำ”
พลันเปลี่ยนไปเป็นความขบขัน ขนาดทำให้เธอพ่นลมหายใจเย้ยเยาะ ก่อนยอกย้อนกลับไปด้วยประโยคที่แทบจะถอดแบบกันมาว่า “อยู่ข้างล่างโดยไม่มีฉันแค่ไม่กี่เดือน นายกลายเป็นคนของแอวะแลนช์เต็มตัวไปแล้วหรือไง?”
“อย่างกับเธอไม่รู้ว่าพวกชินระ...”
“เป็นพวกชั่วช้า เห็นแก่ตัว เพราะการใช้และตามหาแหล่งพลังงานอย่างสิ้นเปลือง โดยไม่สนใจว่าจะต้องทำลายอะไรไปมากเท่าไหร่ และสักวันหนึ่งโลกของเราก็จะตายเพราะเงื้อมมือของพวกนั้น” เธอโพล่งขัดจังหวะคำพูดของเขาไม่ต่างอะไรจากการท่องเรียงความ “ขอทีเถอะ อย่างกับว่าไฟฟ้าที่พวกนายใช้กันในสลัมไม่ได้มาจากที่นี่งั้นแหละ ไอ้เรื่องรักษ์โลกอยากปกป้องโลกงี่เง่าอะไรนั่น ฉันฟังพวกเพื่อนๆ ในแอวะแลนช์ของนายพล่ามจนเอียนจะแย่อยู่แล้ว ทำเป็นพูดอวดโอ่ ยึดมั่นในอุดมคติที่จอมปลอมสิ้นดี”
“เอริสุ...”
“อีกอย่างนะ ที่นายไปเข้ากับพวกแอวะแลนช์ก็เพราะนายอยากอยู่กับโซอะต่างหาก ใช่สิ เพื่อนสมัยเด็กคนสวยของนาย นางฟ้าของสลัมที่ใครๆ ก็รัก ไม่เหมือนกับฉันที่มันน่าสมเพชเลยสักนิด! รู้อะไรไหมยูโตะ ถ้านายอยากอยู่กับเธอหรืออยากช่วยเหลือโลกอยู่ที่สลัมมากขนาดนั้น งั้นเราก็เลิกกันไปเลยดีกว่า! เพราะฉันไม่สนใจหรอกว่าพวกชินระจะทำอะไรกับโลกหรือไอ้สลัมเส็งเคร็งนั่นที่ฉันหลุดพ้นมาได้สักที ในเมื่อมันไม่ใช่ปัญหาของฉัน! ตราบที่พวกชินระทำให้ชีวิตของฉันสุขสบายได้ ฉันก็ไม่แคร์อะไรทั้งนั้นแหละ!”
มีเพียงความเงียบงันระหว่างกันลอยอวลอยู่ในชั้นบรรยากาศ เอริสุไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว แต่เมื่อมันเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด ยูโตะก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นพูด
“เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่นเลยเอริสุ ทั้งเพื่อนของฉันหรือบริษัทของเธอ” เขาจงใจเน้นย้ำมันอย่างเชื่องช้าทว่าชัดเจน “แต่มันเกี่ยวกับเธอ เอริสุ แค่เธอ”
เรี่ยวแรงทั้งหมดของเอริสุคล้ายว่าจะเหือดหายไป ยิ่งหลังจากประโยคสุดท้ายผ่านใบหน้าและน้ำเสียงที่เย็นชาที่สุด ก่อนเสียงฝีก้าวจากรองเท้าบู๊ตหนาหนักจะค่อยๆ ไกลห่างออกไป ปล่อยให้ม่านน้ำตาของเธอทะลักทะลาย ได้แต่สะอื้นไห้จนตัวโยน
“ฉันเสียใจจริงๆ ที่เคยรักคนเห็นแก่ตัวอย่างเธอ”
คำพูดของเขายังคงวนเวียนอยู่ในหัวราวกับแผ่นเพลงที่ตกร่อง แม้เมื่อน้ำตาจะหยุดไหลลงไปแล้วหลังจากนั้นอีกเนิ่นนาน เอริสุทอดมองออกไปนอกบานกระจกสูงอย่างเลื่อนลอย ถึงแสงไฟระยับที่มาจากพลังงานสังเคราะห์จะกำลังสะท้อนพร่าอยู่ในแววตาก็ตามที
ได้...ถ้าเขารักสลัมงี่เง่านั่นนัก รักแอวะแลนช์มากกว่าเธอที่กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวแค่เพราะต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้นนัก เธอก็จะทำลายสิ่งที่เขารัก เหมือนที่เขาทำลายความรักของเธอให้ดู
เอริสุต้องใช้เวลาถึงสองสัปดาห์กว่าจะเจอชายชุดดำ — สมาชิกกลุ่มปฏิบัติการลับของชินระ หรือที่คนอื่นๆ รู้จักในนามเทิร์กส์ — ผ่านมาในที่สุด ถ้าเป็นเวลาปกติ เอริสุคงไม่มีทางที่จะกล้าเดินดุ่มเข้าไปหาชายตัวสูงใหญ่ที่ทั้งใบหน้าและทีท่ายังคงเรียบสนิทแม้ในยามที่ถูกเธอพุ่งเข้าจู่โจม แต่หลังผ่านไปกว่าสองสัปดาห์ที่เอริสุยังไม่อาจหยุดคิดถึงคำพูดในวันนั้นของอดีตคนรักที่ไม่ติดต่อมาหาเธออีกได้ ความโกรธแค้นที่สุมแน่นอยู่ในอกต่อทุกสิ่งที่โลกเบื้องล่างคงจะไม่มีวันจางหายไปถ้าไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง นั่นเองที่จะทำให้เธอหลงลืมความกลัวไปได้อย่างน่าอัศจรรย์
“ฉันอยากพบท่านประธานค่ะ” เอริสุเอ่ยเข้าเรื่องตรงๆ โดยไม่มีอ้อมค้อม ก่อนทางออกไปยังชั้นจอดรถใต้ดินเพื่อเตรียมตัวกลับบ้านในเวลาอีกไม่กี่นาทีก่อนเข้าวันใหม่เป็นปกติ หรืออาจต้องบอกว่าเพิ่งกลายมาเป็นปกติหลังจากที่เลิกรากับชายคนรัก จนทำให้เธอไม่อยากกลับไปฟุ้งซ่านอยู่ในอพาร์ตเมนต์คนเดียวแล้วนอนร้องห่มร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรต่างหาก
“มีธุระอะไรกับท่านประธาน?”
“เรื่องของแอวะแลนช์ค่ะ” เอริสุไม่ได้หลบสายตาคมปลาบคู่นั้น “และฉันอยากคุยกับท่านประธานโดยตรงเท่านั้น”
“รอตรงนี้”
เขาล้วงหยิบมือถือขึ้นจากกระเป๋าเสื้อสูท ก่อนผละจากไปไม่ไกลนักเพื่อสนทนากับเป้าหมายที่พนักงานระดับล่างอย่างเธออาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิต...หรือไม่ก็อาจไม่มีวันนั้นเลย...เพื่อขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่ท่านประธานจะเหลือบแลแค่เพียงปรายตาลงมา
แต่เอริสุไม่จำเป็นต้องรอนานขนาดนั้น เมื่อเขาจะหันมาพยักหน้า เอ่ยเพียงว่า “ตามฉันมา” แล้วกลับเข้าไปในตัวอาคารใหม่ ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรออกมาระหว่างโดยสารลิฟต์แก้วพร้อมกับคีย์การ์ดระดับสูงที่ทำให้พวกเธอขึ้นไปถึงชั้นหกสิบเก้าได้ในทันที
ทั้งที่เอริสุเคยเฝ้าฝันว่าอยากจะขึ้นมาเห็นกับตาตัวเองสักครั้งมาโดยตลอด ทว่าในยามนี้เธอกลับไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือว่าตื่นตาไปกับความหรูหราโอ่อ่าของห้องชุดผู้บริหารเลยแม้แต่น้อย ทางเดินที่ทอดยาวตลอดขั้นบันไดที่ปูด้วยพรมสีแดงคือช่วงเวลาที่ทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่น กระทั่งจะได้ขึ้นมายังส่วนออฟฟิศของประธานชินระคนปัจจุบันในที่สุด วินาทีที่ชายชุดดำพาเธอมาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทรงครึ่งวงกลมที่ผู้ถือครองตำแหน่งสูงสุดของบริษัทกำลังนั่งเท้าแขนพิงแผ่นหลังอยู่กับพนักเก้าอี้สูง เบื้องหน้าแผ่นเหล็กประดับสัญลักษณ์ของบริษัทพลังงานไฟฟ้าชินระนั้นก็ช่างดูน่าเกรงขาม ขับบารมีของเขาให้หญิงสาวตัวจ้อยยิ่งรู้สึกหดลีบลงไปอีก
และเมื่อชายชุดดำออกจากห้องไปตามคำสั่งผ่านใบหน้าที่พยักเพยิดแทนคำพูดแล้ว บัดนี้จึงเหลือแค่เพียงเอริสุกับท่านประธาน ราวกับภาพแทนของสาวกผู้ต้อยต่ำเบื้องหน้าบัลลังก์ของพระเป็นเจ้า
เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบลูกชายของท่านประธานอิวาซากิ เก็นโซ ที่เพิ่งจะเสียชีวิตไปแบบปุบปับเมื่อไม่กี่เดือนก่อน น้อยคนนักที่จะได้เคยพบเจอเขาแม้หลังจากขึ้นมารับตำแหน่งแล้ว หากอิวาซากิ ไทโชก็ดูเหมือนว่าจะถ่ายทอดทุกอย่างจากบิดามาอย่างเต็มเปี่ยม ทั้งรัศมีของความน่าพรั่นพรึง ใบหน้าที่มีความคล้ายคลึงกับบิดาในวัยหนุ่มจากภาพถ่ายในส่วนจัดแสดงที่เธอเคยเข้าไปเยี่ยมชม และความต้องการที่จะปกครองโลกทั้งใบให้อยู่ภายใต้อำนาจของชินระคอมปะนี พลันนั้นเองที่เอริสุรู้สึกได้ว่ามือที่กุมกันอยู่ข้างหน้าของเธอกำลังชื้นไปด้วยเหงื่อ
“หวังว่าเธอคงจะไม่ทำให้ฉันเสียเวลาเปล่า”
“ฉันรู้ว่าพวกแอวะแลนช์อยู่ที่ไหนค่ะ” และเอริสุก็นึกชื่นชมตัวเองที่บังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นได้
“แล้วฉันจะเชื่อใจเธอได้ยังไง?”
“คนรู้จักของฉันทำงานกับพวกเขาค่ะ”
“คนรู้จัก?” เขาทวนคำของเธอด้วยน้ำเสียงเย้ยเยาะ “ไหนบอกสิว่าเธอยอมหักหลังคนรู้จักได้เพื่ออะไร เงิน? ตำแหน่ง? หรือมากกว่านั้น?”
“ฉันไม่ต้องการอะไรที่ท่านประธานว่ามาทั้งนั้นค่ะ” หนนี้เธอตอบกลับไปด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่แน่วแน่ “ฉันแค่อยากจะเห็นมันถูกทำลายให้หมด ทั้งแอวะแลนช์กับไอ้สลัมชั้นต่ำนั่น”
เอริสุได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ ตามมาด้วยรอยยิ้มที่ถูกจุดขึ้นตรงมุมปาก หากไม่ว่าจะด้วยเจตนาเช่นไร ข้างในอกของเธอก็คล้ายกับว่าจะถูกกระชากให้จมดิ่งลงไปยังขุมนรกที่อาจไม่มีวันกลับขึ้นมาได้อีก ถึงจะกำลังอยู่บนชั้นสูงสุดของหอคอยเทียมฟ้า หากไม่ใช่เพื่อการตะเกียกตะกายขึ้นไปหาพระเจ้า เมื่อพระองค์กำลังหยัดยืนอยู่เบื้องหน้า ใช้มือข้างหนึ่งจับลำคอบอบบางเอาไว้ ทั้งที่ฝ่ามือของเขาไม่ได้สากด้านเพราะการจับอาวุธเหมือนอย่างที่อดีตคนรักของเธอเป็น แต่ทันทีที่ปลายนิ้วทั้งห้ากดลงไปในตอนที่เขาโน้มใบหน้าลงมา เอ่ยประโยคด้วยน้ำเสียงกระซิบหากดังก้องอยู่ข้างใบหูจากระยะประชิดที่ว่า
“ถ้าข้อมูลของเธอเป็นความจริง ฉันจะให้ทุกอย่างกับเธอ แต่ถ้าทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก ฉันจะพรากสิ่งเดียวเท่านั้นไปจากเธอ”
ตามด้วยริมฝีปากที่บดขยี้ลงมาอย่างรุนแรงมากจนเอริสุทั้งเจ็บและหายใจไม่ออก ทว่าเป็นตอนนั้นเองที่ความคิดของเธอกลับแจ่มชัดขึ้นมา เพียงแค่คิดว่ายูโตะจะกระทำสิ่งเดียวกันนี้ด้วยร่างกายแข็งแกร่งของเขาที่เธอเฝ้าหลงใหลมาตลอด ก็จะทำให้เธอสั่นสะท้านขึ้นมา
เอริสุยังคงยินยอมพร้อมตายไปกับยูโตะได้ในขุมนรก แต่ก่อนจะทำเช่นนั้น เธอจะให้เขาได้สัมผัสกับความรู้สึกของนรก เหมือนกับครั้งหนึ่งที่เธอเคยต้องเผชิญ
∞
ออฟฟิศของแผนกพัฒนาเมืองตลอดทั้งชั้นสามสิบมีอันต้องสั่นคลอน เมื่อในอีกแค่สองวันถัดจากค่ำคืนนั้นในออฟฟิศผู้บริหาร เอริสุก็จะได้รับเกียรติจากชายชุดดำที่มารับถึงโต๊ะทำงาน ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคนในแผนกรวมถึงตัวเธอเอง แล้วพาขึ้นไปยังลานจอดเฮลิคอปเตอร์ด้านนอกอาคารชั้นเจ็ดสิบที่ประธานหนุ่มคนปัจจุบันนั่งรออยู่ก่อนแล้ว พวกเขากำลังจะเริ่มแผนการระเบิดเสาค้ำเพื่อให้เพลตถล่มลงมายังสลัมในเขต 7 เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับเขต 6 มาก่อน ต่างกันที่เหตุการณ์ในอดีตนั้นคืออุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น หากปฏิบัติการณ์ ณ ปัจจุบันนี้คือความตั้งใจ
“เธอควรจะได้เห็นมันอย่างใกล้ชิดที่สุด”
และไทโชก็ให้เธอได้ ‘มากกว่านั้น’ — มากกว่าทุกอย่างที่เขามอบมันให้ในค่ำคืนนั้นอย่างที่ว่าไว้จริงๆ
มีความโกลาหลเกิดขึ้นระหว่างเหล่าทหารของชินระและผู้อยู่อาศัยในสลัมที่เอริสุพูดได้อย่างเต็มปากว่ารู้จักพวกเขาทั้งหมด ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกสงสาร หากมันก็แค่ความรู้สึกที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ก็เหมือนกับตอนที่พวกเขาให้ความเห็นใจเธอเพียงชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็ผ่านไป เพราะมันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ไม่มีทางที่พวกสลัมจะเอาชนะศึกนี้ได้ เธอหมายถึงทั้งในแง่ของกำลังคนและเทคโนโลยีจากแผนกพัฒนาอาวุธที่ทันสมัยกว่ามาก จนทำให้อาวุธปืนหรือระเบิดทำมือของพวกเขาเป็นเพียงแค่ของเด็กเล่น
ที่ชั้นบนสุดนั้นเองที่เธอจะได้เห็นเขา
เป็นชายหนุ่มผมแดงที่นั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับฮ. ซึ่งจะกระโดดลงไปพร้อมกระบองคู่ รับหน้าที่ป้อนข้อมูลกดปุ่มแยกเพลตออกจากกัน เธอเคยชอบการได้เห็นยูโตะกวัดแกว่งดาบและต่อสู้กับศัตรูด้วยความมุ่งมั่นแบบนี้เสมอ กระทั่งยามนี้มันยังคงเป็นความรื่นรมย์ ยิ่งกับคู่ประมือที่ทัดเทียมกันอย่างพวกชายชุดดำด้วยแล้ว ฉะนั้นการที่เขาจะเพลี่ยงพล้ำไปบ้างก็ไม่ใช่อะไรที่น่าอับอาย ในเมื่อจังหวะของชายร่างเล็กผู้นั้นรวดเร็วกว่ามาก และกำลังหนุนของเขาที่เธอจงเกลียดจงชังเป็นนักหนาอย่างพวกแอวะแลนช์ก็ตามขึ้นมาช้าเกินไป เฮลิคอปเตอร์ของพวกเธอที่บินวนอยู่รอบๆ ขับเข้าไปรับตัวลูกน้องที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บเล็กน้อยเช่นเดียวกับคู่ต่อสู้กลับมา หลังจากเสียงประกาศของคอมพิวเตอร์ที่แสนจะเสนาะหูว่า “เริ่มต้นแยกเพลต” ดังขึ้น ก็ไม่มีอะไรที่ยูโตะ แอวะแลนช์ หรือว่าคนจากสลัมในเขต 7 จะทำได้อีกแล้ว ความโกรธของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นพลังงานในตอนที่เปลี่ยนด้ามดาบให้เป็นปืน แล้วยกขึ้นเล็งเพื่อหมายทำลายทั้งคนรวมถึงอากาศยาน เพียงเพื่อที่จะระบายความคั่งแค้นแม้รู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่จะระคาย
แต่ทันทีที่ยูโตะได้สบประสานสายตากับเธอซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับประธานชินระคนปัจจุบัน ห้วงเวลาก็คล้ายกับว่าจะหยุดนิ่งไป
แล้วเอริสุก็มอบสิ่งที่ยูโตะเคยบอกว่ามันจะยังคงงดงามแม้ทุกสิ่งจะพังทลายอีกกี่ร้อยพันครั้งก็ตามให้กับเขา
นั่นคือรอยยิ้ม
ภาพของเสาที่ค่อยๆ ระเบิดส่งลูกไฟให้พวยพุ่งกับกลุ่มควันที่ฟุ้งกระจาย ปล่อยโครงสร้างเหล็กขนาดยักษ์ร่วงหล่นลงไปเบื้องล่าง ทะเลเพลิงสีส้มสุกใสส่องสะท้อนในแววตาของเธอ ที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านซึ่งเธอเรียกขานมันว่านรก บัดนี้ได้กลายเป็นนรกของจริงเพียงชั่วข้ามคืน...นรกที่เธอเต็มใจร่วมเป็นหนึ่งในผู้ก่อ
เอริสุรู้ว่ายูโตะจะต้องรอดไปได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง พร้อมกับความโกรธแค้นและเกลียดชังอย่างเท่าทวี ทั้งต่อชินระคอมปะนี และต่อตัวเธอเองที่พรากสิ่งสำคัญไปมากกว่าบ้านที่เขาอาจเรียกขานมันว่าสรวงสวรรค์ หลังจากนี้เขาจะต้องหาทางกลับมาสะสางพร้อมกับพวกของแอวะแลนช์ที่ยังเหลืออยู่ แต่สำหรับยูโตะ มันจะไม่มีทั้งคำว่าแพ้หรือชนะ ถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจของเขาจนม่านน้ำตาทะลักทลายบีบให้เธอมาจนถึงจุดนี้ แต่น่าแปลกที่เมื่อคิดว่าเขาอาจจะใช้ริมฝีปากคู่เดียวกันนั้นทำร้ายร่างกายของเธอเพื่อตอบแทนต่อการกระทำอันชั่วร้ายนี้ให้สาสม เธอก็แทบทนรอคอยช่วงเวลานั้นเอาไว้ไม่ไหวเสียจนอยากกระโจนลงไปหาเขา ณ วินาทีนั้น
ดวงตาของเธอจับจ้องมองดูภาพความล่มสลายราวกับวันโลกาวินาศที่เบื้องล่าง เนื้อตัวของเธอสั่นระริกซึ่งหาได้มาจากความหวาดกลัวหรือสำนึกเสียใจในสิ่งที่เกิด เอริสุคิดว่าตัวเองอาจจะสูญเสียจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ไปแล้วจริงๆ ก็ได้ เมื่อสิ่งที่เธอกำลังรู้สึกคือความปีติ
นรกของเธอกำลังมอดไหม้ และอีกไม่ช้ามันจะเลือนลับหายไปแม้แต่ในความทรงจำของเธอตลอดกาล
เสียงหัวเราะในลำคอของไทโชและรอยยิ้มที่ผุดพรายขึ้นแสดงถึงความพึงพอใจไม่ได้ต่างกัน เขาไม่คิดเลยว่าหญิงสาวท่าทางใสซื่อที่มาจากสลัมจะกล้าขอให้ทำลายล้างหมดทั้งชุมชน แค่เพราะความโกรธแค้นที่มีต่อคนๆ เดียว และมองดูภาพหายนะนั้นด้วยความสุขสันต์
เธอมีคุณสมบัติของการเป็นคน...ผู้หญิง...ของชินระอย่างครบถ้วน
_______________
ความคิดเห็น