ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #86 : Drowning Fish ~Nobody Knows Your Face~ 「溺れる魚~誰も知らないあなたの顔~」

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.ย. 66


    Drowning Fish ~Nobody Knows Your Face~れる魚~誰も知らないあなたの顔~
    Inspiration: Travis Japan (Werewolf Tag!) Who is "IT"!? & Ju-on 呪怨」 (Film, 2002)
    Playlist: BAROQUE – FALLEN VENUS












    .

    ทั้งที่คิดว่าจะไม่แสดงอาการตื่นเต้นดีใจอย่างออกนอกหน้าให้ได้ถูกหัวเราะเยาะ แต่สุดท้าย คิริชิกิ เซไคก็ไม่อาจกดกลั้นรอยยิ้มกว้างๆ เอาไว้ได้ไหวอีกต่อไป ในตอนที่ก้าวเท้าลงจากรถบัสมาหยัดยืนอยู่หน้าทางเข้าไคเซย์ ฮาร์เบอร์ วิลเลจ อควาเรียมขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรโบโซของเมืองคาโมงาวะในจังหวัดจิบะ อันเป็นเป้าหมายการทัศนศึกษาของนักเรียนชั้นไฮสคูลปี 2-B แห่งโรงเรียนชิโมโฮชิประจำวันนี้ ขณะแหงนคอมองดูท้องฟ้าระยิบระยับที่เจิดจ้าจนต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นป้องบัง พลางสูดกลิ่นลมทะเลอันแสนสดชื่นจากมหาสมุทรแปซิฟิก และเปล่งเสียงหัวเราะสดใสไปกับเด็กหนุ่มตัวสูงชะลูดที่จะเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าเพื่อเป็นร่มเงาให้แทน เสียจนเธอสามารถทำเป็นมองเมินต่อใบหน้าของเพื่อนร่วมห้องที่เกลียดทั้งสองคนซึ่งกำลังแสดงสีหน้าเย้ยหยันให้ได้รู้สึก ขณะที่คนหนึ่งแสดงมันออกมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งในแบบที่ไม่สามารถแปลความหมายเป็นอื่นได้ อีกคนก็จะเพียงยกยิ้มที่มุมปาก — ถึงแค่เพียงชั่ววินาทีเดียว — ก่อนจะเดินเลยผ่านไป แต่อย่างกับว่าเธอจะดูไม่ออก ในเมื่อคนอย่างคิริชิกิ เซไคไม่เคยเข้าใจอะไรผิด

    ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทสึบากิฮาระ ไมระ อดีตเพื่อนรักในช่วงชั้นไฮสคูลปีหนึ่งที่เพิ่งย้ายมาจากโอซาก้า ทั้งที่เธอมอบความจริงใจให้มาตลอด แต่หล่อนก็บังอาจเล่นลับหลังด้วยการพยายามแย่งของที่เป็นของเธอไป หรืออุกิโช ฮิดากะ ลูกชายเจ้าของแหล่งทัศนศึกษาประจำวันนี้ ลงลึกกว่านั้นคือเพื่อนสนิทคนใหม่ของไมระหลังจากถูกเธอตัดสัมพันธ์ แต่เหตุผลตื้นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าตัวโดยตรงแค่นั้นไม่ได้ทำให้เธอเกลียดชังเขา เซไครู้มาตลอดว่าอุกิโชไม่ชอบหน้าเธอด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ถึงเจ้าตัวจะไม่เคยแสดงมันออกมาตรงๆ จนใครต่อใครพากันหาว่าเธอคิดไปเอง แต่ก็ช่างปะไร ในเมื่อเซไคเองก็ไม่ได้สนใจใคร่อยากรู้มากพอที่จะหาคำตอบกับคนที่ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับชีวิตเหมือนกัน

    ไม่เหมือนกับคนรักของเธออย่างมิจิเอดะ ชุนสุเกะ คนที่เธอต้องการรับรู้เรื่องราวทุกอย่าง มันจึงเป็นช่วงเวลาที่ราวกับฝันเป็นจริงเมื่อเขาตอบรับคำสารภาพ ด้วยฝ่ามือที่อบอุ่น ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน ด้วยความรักหมดทั้งหัวใจที่เซไคยินยอมมอบมันให้แก่ชายผู้เป็นที่รักเพียงคนเดียว

    แม้ว่าชุนสุเกะจะไม่ใช่ชายเพียงคนเดียวที่รักเธอหมดทั้งหัวใจก็ตาม

     

    อิวาซากิ ไทโชคือชื่อของชายอีกคนนั้น

    คนที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมห้องและเพื่อนสนิทของเซไคมาตลอดห้าปีตั้งแต่ตอนเข้าโรงเรียนมัธยมต้น เพื่อนสนิทที่แอบรักเธอมาโดยตลอดและเธอก็รู้โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก เพื่อนสนิทที่เธอไม่เคยรัก ไม่ได้รัก และไม่มีวันรักในแบบเดียวกับชุนสุเกะหรือคนรักคนไหนๆ ทั้งอย่างนั้นเซไคก็ไม่เต็มใจที่จะให้เขาแบ่งปันความรักที่มีให้เธอไปให้กับใครหรือให้ใครพยายามมาแย่งความรักนั้นแม้แค่เพียงเสี้ยวเศษไปจากเธอ เพราะเธอต้องการใครสักคนที่จะคอยอยู่เคียงข้างในยามที่เหงาหงอย เศร้าสร้อย หรืออาจแค่เบื่อหน่าย ใครสักคนที่รักเธอมากจนสามารถทุ่มเททำทุกอย่างให้ได้ไม่ว่าจะเรื่องเล็กใหญ่เพียงไหน ขอเพียงแค่เธอเอ่ยปาก

    และไทโชก็พิสูจน์แล้วว่าเขาทำ ทุกอย่างได้เพื่อเธอจริงๆ

     

     

    หลังจากการทัศนศึกษาที่ใกล้เคียงกับการเที่ยวเล่นไปจนถึงเดตมากกว่า อุกิโชก็นึกสนุกด้วยการชวนกลุ่มเพื่อนที่สนิทใจกว่าหลายสิบคนให้อยู่ต่อด้วยกันหลังอควาเรียมปิดเพื่อเล่นเกม วิ่งไล่จับปีศาจลับเหมือนที่เคยดูทางรายการวาไรตี้ และนั่นทำให้เซไคซึ่งจำต้องติดสอยห้อยตามอยู่กับชายคนรักอดไม่ได้ที่จะบ่นกระปอดกระแปด หากก็จะถูกกลบกลืนไปด้วยเสียงหัวเราะรวนร่าของเขาให้ได้ยิ่งไปกันใหญ่

    ที่จริงแล้วเซไคไม่ได้ไม่พอใจกับการต้องมาเล่นเกมวิ่งไล่จับแบบนี้ เธอเป็นแฟนตัวยงของหนังสือเรื่อง ‘เรียล โอนิกกโกะ’ (เกมวิ่งไล่จับของจริง) และดูภาพยนตร์คนแสดงที่ดัดแปลงมาทุกเรื่อง นอกจากนั้นยังชอบเกมและการละเล่นจำพวก ‘ใครคือหมาป่ามาก ถึงแม้ว่าเซนส์ของตัวเองจะไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย เมื่อไหร่ที่เธอเป็นฝ่ายชาวบ้าน ก็มักจะจบลงด้วยการถูกโหวตออกเป็นคนต้นๆ หรือถ้าเมื่อไหร่ที่เธอเป็นหมาป่า คนอื่นก็มักจะสงสัยเธอที่ออกความเห็นเพียงน้อย ถึงเซไคจะคิดว่าตัวเองมีใบหน้านิ่งสนิทไม่แสดงอารมณ์เป็นเกราะป้องกันตัวอย่างดีแล้วก็ตาม หรือไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะใบหน้านิ่งสนิทจนดูไม่น่าไว้ใจเช่นนั้นต่างหาก

    แม้ว่าเด็กหนุ่มคนที่เธอเกลียดอย่างอุกิโชอาจกวนอารมณ์ที่เคยดีถึงก่อนหน้าให้ขุ่นมัวลงไปบ้าง แต่เหตุผลหลักที่สุดที่ทำให้เซไคไม่ชอบใจ หงุดหงิดใจ ไม่พอใจ คือการที่เธอต้องทนร่วมวงกับอดีตเพื่อนรัก ซึ่งเอาแต่ลอบมองเพื่อนสนิทของเธอทั้งที่แฟนตัวเองก็ยืนหัวโด่อยู่ข้างๆ!

    เซไครู้ว่าการที่ไมระตกลงคบหากับฟุคุโมโตะ ไทเซย์ ไม่ได้มาจากความรักเลยแม้แต่นิดเดียว นอกจากแค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือเขากับไทโชเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ชั้นประถม และการที่หล่อนยอมทุ่มเททำถึงขนาดนี้เพียงเพื่อที่จะได้อยู่เคียงข้างคนที่แอบรักก็เป็นอะไรที่น่าสมเพช

    เซไครู้ว่าไทเซย์ไม่ใช่คนโง่ถึงขนาดที่จะไม่เอะใจว่าคนรักของตัวเองอาจกำลังมีใจให้กับคนอื่น...ถึงเขาอาจจะไม่รู้ว่าคนอื่นที่ว่านั้นคือเพื่อนสนิทของตัวเอง ใช่ว่าเซไคจะไม่อยากเห็นความพินาศ ย่อยยับ และทุกข์ทรมานของไมระ เหมือนกับคำพูดที่หล่อนเคยตะโกนใส่หน้าเธอจนทำให้ความสัมพันธ์ต้องแตกหักอย่างที่ไม่มีวันจะกลับมาต่อติดว่า “สักวันหนึ่ง ฉันขอให้คนอย่างเธอต้องเจ็บปวดเพราะความรักยิ่งกว่าที่ไทโชหรือว่าฉันต้องรู้สึก!” จนฝ่ามือของเธอฟาดเข้าใส่แก้มขาวของหล่อนอย่างแรงจนขึ้นสีแดงเป็นปื้น สักวันหนึ่งของเซไคอาจอยู่ไกลมากเสียจนไม่มีวันมาถึง ขณะที่ไมระเองต่างหากที่ยังต้องทนเจ็บปวดในทุกๆ วัน ทั้งจากไทโชที่ชาตินี้ทั้งชาติเขาก็ไม่มีวันจะเหลียวแลมอง หรือจากความสัมพันธ์กับไทเซย์ที่เริ่มจะระหองระแหงขึ้นทุกวัน แต่ไมระก็ต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์อันเปราะบางเดียวที่เชื่อมโยงกับผู้ชายคนที่แอบรักไว้...ดีกว่าที่จะต้องสูญเสียมันไป เพราะอย่างนั้นเซไคถึงไม่เคยยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายในความสัมพันธ์ของอดีตเพื่อนรักที่ไม่ได้มีความหมายอะไรกับชีวิตของตนเองอีกแล้ว แต่การได้เห็นรอยยิ้มโง่ๆ ของหล่อนเป็นบางครั้งคราวมันก็น่ารำคาญใจ

    หรือรอยยิ้มกว้างทั้งจากดวงตาและริมฝีปากที่ไทโชซึ่งยืนหัวเราะท่าทีของเธอกับเพื่อนคนอื่นอยู่ไม่ไกลจะส่งมาให้ ทันทีที่ได้สบสายตากับเธอซึ่งตวัดมองตามไมระไป ก็ไม่ได้ช่วยทำให้เซไครู้สึกดีขึ้นเหมือนอย่างเคยเลยสักนิด

     

    เซไคยังคงกำเศษกระดาษที่เขียนว่า ‘ไม่ได้เป็นปีศาจ’ เอาไว้ในมืออย่างนั้น ขณะเดินแยกตัวมาที่หลังอาคารเพื่อหาที่ซ่อนจากใครก็ตามที่อาจเป็นปีศาจทั้งสองตน แน่นอนว่าคนขี้ระแวงอย่างเซไคไม่มีทางที่จะไว้ใจใครง่ายๆ ยิ่งโดยเฉพาะกับชุนสุเกะที่พอก้มลงไปอ่านเศษกระดาษของตัวเองแล้วก็จะหัวเราะดังลั่นออกมาชวนให้สงสัย ตะโกนบอกว่าขอให้โชคดีก่อนที่จะเดินแยกไปคนละเส้นทาง อย่างน้อยๆ เซไคก็คิดว่าตัวเองโชคดีแล้วเมื่อไม่ใช่ปีศาจวิ่งไล่จับในเกมวันนี้ เพราะไม่มีทางที่เพื่อนคนอื่นนอกเหนือจากไทโชจะเชื่อใจให้เธอตะล่อมเข้าใกล้โดยไม่ต้องวิ่งไล่จับอย่างไรก็ไม่ทัน

    ด้วยพลังกายที่มีเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับหัวสมอง การซ่อนตัวดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการวิ่งหนี แม้ว่าอควาเรียมจะเป็นโซนที่เธอชอบที่สุด หากสถานที่คับแคบกับตู้ปลาจำนวนมากที่กีดขวางเส้นทางแบบนั้นไม่ใช่ตัวเลือกแรกสำหรับคนที่มีจุดอ่อนคือความว่องไวและการหลบหลีก เช่นนั้นเธอจึงตัดสินใจว่าจะเลือกจุดยุทธศาสตร์เป็นพื้นที่โล่งกว้างให้เธอวิ่งหนีไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ ไม่ลืมที่จะสำรวจทางหนีทีไล่รอบด้านซึ่งเป็นเส้นทางเชื่อมต่อเข้าไปยังร้านค้าหรืออาคารต่างๆ ได้มากมาย

    จากนั้นก็เฝ้ารอ

     

     

    แปลก...

    คือความคิดแรกที่แล่นปราดเข้ามา ไม่ใช่แค่เพราะการที่เซไคเอาแต่เดินๆ นั่งๆ อยู่แถวที่ซ่อนเป็นเวลากว่าสิบนาทีเข้าไปแล้ว และสิ่งมีชีวิตเดียวที่เพิ่งจะย่างกรายผ่านเข้ามาในแววตาก็คืออุกิโช ฮิดากะ ที่เมื่อต่างฝ่ายต่างสบตากัน ก็จะพากันหยุดชะงักฝีเท้าของตนคล้ายกับการรักษาระยะห่างเพื่อดูเชิง ในตอนที่เธอเป็นฝ่ายเริ่มต้นตะโกนส่งเสียงไปก่อนว่า

    “นายเป็นปีศาจใช่ไหม?

    เรียกเสียงหัวเราะขบขันจากเด็กหนุ่ม ก่อนที่เขาจะตะโกนกลับมาด้วยคำยอกย้อน หาใช่ตอบรับต่อคำถามง่ายๆ เพียงแค่ใช่หรือไม่ ระหว่างนั้น อุกิโชไม่ได้ขยับฝีก้าวในรองเท้าหนังของตัวเองเลยสักมิลลิเมตร แต่ไม่ใช่กับสีหน้าของเซไคที่กระตุกขึ้นมาอีกหลายหน่วย ด้วยความไม่พอใจที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนโดยไม่มีปิดบัง จากถ้อยสนทนาของเขาที่ก็ไม่ปิดบังเจตนาของตนเฉกเช่นเดียวกัน

    “เธออาจไม่ใช่ปีศาจในเกมนี้ก็จริงนะคิริชิกิ แต่เธอเป็นปีศาจจริงแท้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย”

    “ทำไม? ยัยไมระไปเป่าหูอะไรให้นายฟังหรือไง?” จนอดไม่ได้ที่เธอจะเยาะ

    “ฉันไม่จำเป็นต้องฟังคำพูดใครหรอก” ขณะที่เขาก็จะหยัน “ในเมื่อการกระทำของเธอมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว”

    และการที่เขายังคงต่อว่าเธออย่างไม่ยี่หระด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ผ่านสีหน้าและถ้อยคำที่เสียดเย้ยเหล่านั้น ก็จะยิ่งทำให้เซไครู้สึกขุ่นข้องเสียจนในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป

    “แค่เพราะนายชอบไมระไม่ได้แปลว่านายจะมีสิทธิ์มาด่าว่าฉันแบบนี้นะ อุกิโช!”

    “โธ่เอ๊ย คิริชิกิ มันไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะชอบหรือไม่ชอบไมระสักหน่อย” เขาไหวไหล่ สวนกลับไปด้วยความเวทนาเต็มที “แต่เป็นเพราะเรื่องที่เธอทำกับไทโชต่างหาก”

    ริมฝีปากของเซไคพะงาบขึ้น กระนั้นก็ยังไม่ทันอีกฝ่ายที่สานต่อคำพูดของตนเองโดยไม่สนใจที่จะรอฟังคำแก้ตัวชวนแสลงหูใดๆ ทั้งนั้นว่า “บอกตามตรงนะ จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้ชายดีๆ อย่างมันถึงได้จมปลักรักผู้หญิงเห็นแก่ตัวอย่างเธอมาได้ตั้งนานขนาดนี้ ขนาดคนนอกอย่างฉันยังดูออกว่าเธอไม่มีวี่แววว่าจะรักมันเลยสักนิดตลอดทั้งชาตินี้หรือชาติหน้า แต่มันก็ยังยอมทำทุกอย่างได้เพื่อเธอ ขนาดทำเรื่องนั้นลงไป”

    ใบหน้าที่ควรจะเป็นสีแดงก่ำของเซไคบัดนี้กลับกลายเป็นสีขาวซีดเหมือนกับกระดาษ เมื่ออุกิโชเน้นย้ำไปที่ คำคำนั้น เหมือนกับว่าเขารู้ ‘เรื่องนั้น’ เรื่องที่มีเพียงแค่เธอ ไทโช และผู้หญิงอีกคนบนโลก — ซึ่งไม่มีทางจะปริปากบอกใครได้อีก — ที่รู้

    เซไคเชื่อจนหมดหัวใจว่าไทโชจะเก็บมันเป็นความลับไปจวบจนวาระสุดท้ายอย่างที่ได้เคยให้คำมั่นสัญญากันไว้ เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ อีกนับร้อยพันในชีวิตที่ไทโชไม่เคยผิดคำสัญญากับเธอจนต้องกลืนเข็มพันเล่ม ทว่าท่าทีของอุกิโชในเวลานี้กำลังทำให้ความเชื่อมั่นสั่นคลอน เข่าของเธอคล้ายว่าจะทรุดลงไปจนต้องจับเก้าอี้พลาสติกเบื้องหน้าเอาไว้เป็นหลักยึด ให้อุกิโชได้ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน

    “อะไรกัน? ตกใจที่มีคนรู้เรื่องนั้นมากเลยเหรอคิริชิกิ?” ด้วยน้ำเสียงขบขันเสียเต็มประดา “แล้วจะเอายังไงต่อดีล่ะ? ในเมื่อเธอปิดปากฉันเหมือนไทโชไม่ได้ งั้นเธอจะจัดการฉันเหมือนที่จัดการริองด้วยไหม? หมายถึงไปขอร้องอ้อนวอนให้ไทโชเป็นคนจัดการอีกไง”

    และเด็กสาวคนที่ถูกกล่าวหาก็ไม่อาจเรียกเค้นสิ่งใดผ่านลำคอออกมาได้ แม้กระทั่งการกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงไปก็ยังเป็นเรื่องที่ยากเย็น ไม่มีวี่แววของการล้อเล่นในประโยคต่อจากนั้นของอุกิโชอีกแล้ว

    “เพราะอย่างนั้นมันถึงควรได้สิ่งตอบแทนจากการถูกหลอกใช้ให้ทำเรื่องโง่ๆ เพื่อเธอ เรื่องที่คนอย่างมันไม่ควรต้องได้เห็นหรือว่าทำตลอดชีวิตเลยด้วยซ้ำจนแทบจะกลายเป็นบ้า แต่มันก็ไม่เคยได้อะไรกลับคืนมา นอกจากคำพูดโกหกพกลม ให้ความหวังลมๆ แล้งๆ เหมือนที่เธอไม่เคยกระดากที่จะพ่นมันออกมา และยังต้องทนเห็นเธอคบควงกับผู้ชายอื่นไม่รู้ตั้งกี่คนมาตลอดห้าปี คิดงั้นไหม?”

    “ฉันไม่...”

    อีกครั้งที่อุกิโชไม่สนใจฟังเธอพล่ามพูดอะไรก็ตามให้จบประโยค จากความเกลียดชังที่มีต่อหญิงสาวคนที่เขาอ่านได้อย่างทะลุปรุโปร่งมานับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้พบหน้า ก่อนที่จะได้เห็นการกระทำอันน่าสมเพชที่เธอปฏิบัติต่อเพื่อนสนิทที่รักเธอสุดหัวใจ ทำกับมนุษย์คนหนึ่งไม่ต่างอะไรจากลูกไก่ในกำมือที่จะบีบให้ตายหรือจะคลายก็ไม่รอด อุกิโชเฝ้ารอคอยให้ช่วงเวลานี้มาถึงตั้งเนิ่นนานเท่าไหร่ ใครเลยจะเข้าใจความรู้สึกปรีดาอย่างถ่องแท้ที่ได้ไล่ต้อนผู้หญิงน่าขยะแขยงจนเห็นสีหน้าแบบนี้ได้

    “อ้อใช่ และฉันคือปีศาจตัวจริงอย่างที่เธอสงสัยนั่นแหละ หมายถึงในเกมนี้น่ะนะ” อุกิโชหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าตื่นๆ และจังหวะที่ถอยร่นไปของเธอ “แต่คนที่จะไล่จับเธอไม่ใช่ฉันหรอกคิริชิกิ เพราะฉันไม่ควรเป็นคนต้องทำ”

    “ค...ใคร...”

    “รู้ไว้ซะว่าเธอไม่มีทางหนีความผิดที่ตัวเองก่อได้พ้น”

    อาทิตย์อัสดงที่ค่อยๆ ลับลาไปตรงเส้นขอบฟ้าสาดแสงสีส้มเรืองรองส่องสะท้อนลงมายังใบหน้าของเขา หากสิ่งที่เซไคมองเห็นด้วยตาหาใช่ใบหน้าอันงดงามที่ไม่ว่าเด็กสาวคนไหนก็ยินยอมพร้อมถวายหัวให้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยนึกชอบเขาในแง่นั้นเลยสักครั้งก็ตามแต่ ส่วนที่เงาตกกระทบไปโดนนั้นบิดเบี้ยว ผิดธรรมดา ราวกับใบหน้าสวมหน้ากากของอสุรกายที่หลุดมาจากนรกภูมิอันน่าหวาดหวั่นและพรั่นพรึง ไม่ต่างจากใบหน้าซีดขาวของเด็กสาวที่อัดแน่นไปด้วยความคั่งแค้นซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้จดจ้องมองเธอ เซไคไม่อาจให้คำนิยามของสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ณ ขณะนี้ได้ แต่มันก็จะทำให้เธอรีบเร่งฝีก้าวจากไป โดยไม่ยอมหันกลับไปหาอุกิโชที่มองตามแผ่นหลังของเธอจนเลือนลับหายไปจากสายตา

    ขณะนั้นเป็นเวลาสนธยา

     

     

    ถึงจะไม่มีใครวิ่งตามหลังมาแม้แต่เสียงฝีเท้าให้ได้ตระหนก เซไคก็ยังคงออกวิ่งไปจนสุดแรงเท่าที่ร่างกายจะพาไปไหว ถึงแม้ว่าแรงใจจะถดถอยลงไปจนแทบไม่เหลือหลอ กระทั่งมาถึงโซนอควาเรียมที่เซไคแน่ใจว่าต้องมีใครสักคนเลือกใช้ที่นี่เป็นที่ซ่อนตัว

    เธอไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าจะต้องพ่ายแพ้ในเกมสนุกๆ ที่ก็ใช่ว่าจะมีของรางวัลเป็นราคาค่างวดอะไรให้ สิ่งเดียวที่เธอต้องการในเวลานี้คือการได้พบหน้าเพื่อนร่วมห้องสักคน ใครก็ได้ที่ไม่ใช่ปีศาจตนนั้น...ใครก็ได้ที่ไม่ใช่อุกิโช ถึงต่อให้จะเป็นศัตรูคู่อาฆาตอย่างไมระ เซไคก็จะโผเข้าไปกอดหล่อนแน่นๆ เลยด้วยซ้ำ เพราะสิ่งเดียวที่เธอต้องการในตอนนั้นคือหลักประกันที่ช่วยให้อุ่นใจว่าไม่ได้กำลังหลงเข้ามาอยู่ในดินแดนสนธยาที่มีแค่เธอ อุกิโช และวิญญาณของเด็กสาวคนนั้นที่กลับมาหลอกหลอนในห้วงความคิดอย่างที่เธอเริ่มจะหวาดระแวงไปเอง

    “เซไค?”

    ด้วยน้ำเสียงที่เคยคุ้น ปลดปล่อยสิ่งที่หนักอึ้งอยู่ในหัวสมองกระทั่งเรี่ยวแรงทุกอย่างซึ่งจะพลันถูกแทนที่ด้วยความโหวงหวิว ให้เข่าที่ปวกเปียกเพราะการเคลื่อนไหวตลอดหลายนาทีของเธอทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นเข้าจริงๆ หากเซไคก็จะพรูลมหายใจที่ไม่มั่นคงเพราะเสียงหัวเราะออกมาด้วยความโล่งอก

    “ไทโช! ดีใจจังที่เจอ!

    ก่อนที่จะเอื้อมไปจับมือของเด็กหนุ่มที่ย่อตัวลงมานั่งคุกเข่าอยู่ในระดับเดียวกันกับเธอ กอบกุมไว้แล้วบีบประสานเข้ากับมันแน่นโดยไม่ยอมปล่อยจาก มือของเธอยังคงไม่หยุดสั่น เช่นเดียวกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่ไม่เคยมีเหตุผลมาจากคนตรงหน้า เซไคแค่ต้องรอคอย เมื่อรู้ว่าการอยู่กับไทโชจะช่วยทำให้เธอสงบได้เสมอ

    และขณะที่เธอคิดว่ากำลังจะถามถึงเรื่องนั้น ทันใดเขาก็จะดึงร่างของเธอเข้าไปกอดอย่างถือวิสาสะ ดวงตาของเธอเลิกกว้างขึ้นด้วยความตื่นตกใจ จากข้อความจริงที่ว่าไทโชไม่เคยทำเรื่องไร้มารยาทแบบนี้มาก่อน เขาจะไม่ทำอะไรก็ตามที่เธอไม่อนุญาต และการอยู่ใกล้ชิดกับเธอในระยะที่แทบไม่มีช่องว่างห่างกันเลยสักเสี้ยวมิลลิเมตร เป็นฝ่ายเริ่มต้นกระทำสิ่งที่ถือว่าเป็นการรุกไล่เข้าหาต่อให้เธอจะมีคนรักเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วหรือไม่ก็คือสิ่งที่เซไคไม่มีวันยอมอนุญาต หากเมื่อเธอคิดว่าจะขืนขัด ร่างกายก็กลับไม่ยอมขยับไปตามความคิด

    “จับได้แล้ว” แต่ไม่

    เสียงที่เอ่ยอยู่ข้างใบหูของเธอในเวลานี้แตกต่างจากไทโชที่เธอรู้จัก...หรือคิดว่ารู้จัก...มาตลอดห้าปี มันกลั้วไปกับเสียงหัวเราะขบขันที่ดูราวกับว่าเขากำลังพึงพอใจเป็นอย่างมาก จากชัยชนะของเกมการละเล่นเพียงแค่นี้น่ะหรือ? เซไคคิดว่าไม่ใช่ สัมผัสที่ลูบไล้กลุ่มผมยาวสีดำสนิทของเธอผ่านไปจนถึงต้นคอมีบางอย่างที่ผิดปกติ อิวาซากิ ไทโชคนที่เธอรู้จักย่อมไม่มีทางกล้าทำอะไรตามอำเภอใจแบบนี้ เพราะเขารู้ดีว่าเธอจะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และความโกรธขึ้งจนถึงขั้นหมางเมินแม้อาจเพียงแค่ไม่กี่วันก็เป็นเรื่องที่ยากเกินจะทานทน

    ร่างกายของเธอยังคงแข็งทื่อ มีเพียงริมฝีปากที่ขยับส่งคำพูดอันสั่นพร่าออกมาได้ว่า “น...นายเป็นปีศาจเหรอ?” อย่างที่เซไคเองก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้เป็นคำถามโง่ๆ แบบนี้

    เขาหัวเราะคล้ายเย้ยหยันต่ออะไรบางอย่างเมื่อทวนคำว่า ปีศาจ

    “ใช่ เพราะฉันไม่เหลือความเป็นคนตั้งแต่วันนั้นแล้ว” คำพูดและน้ำเสียงที่เยียบเย็นทำให้เลือดในกายของเซไคเย็นเฉียบ “ท...ไทโช...”

    “แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะเซไค” ก่อนที่เขาจะผละจาก มือทั้งสองข้างเปลี่ยนมาจับท่อนแขนของเธอเอาไว้ แม้รอยยิ้มที่เธอเคยคุ้นจะยังคงประดับอยู่บนใบหน้า แต่เขาก็ไม่ใช่อิวาซากิ ไทโชคนที่เซไคคุ้นเคยอีกต่อไป หากเป็นใครอื่นที่หยิบหน้ากากของอิวาซากิ ไทโชขึ้นมาสวมใส่

    “เพราะฉันดีใจที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้”

    “ฉ...ฉันไม่เข้าใจ...”

    “ตั้งแต่วินาทีที่เธอขอให้ฉันทำเรื่องนั้นลงไป ฉันถึงได้เข้าใจว่าไม่มีใครบนโลกใบนี้จะปกป้องเธอและรักเธอได้มากเท่ากับฉันอีกแล้ว”

    เนื้อตัวของเธอสั่นระริกเช่นเดียวกับนัยน์ตาที่วูบไหว

    “โมริทานิยังตามมาหลอกหลอนฉันแม้กระทั่งในความฝัน และฉันรู้ว่าเธอเองก็ต้องเจอกับวิญญาณของโมริทานิเหมือนกัน แต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ตราบที่เธอไม่อนุญาต...” สัมผัสที่แตะผ่านชุดสูทเลื่อนขึ้นมาเป็นเนื้อหนังยามประคองข้างแก้มหนึ่งไว้ ทั้งที่เครื่องปรับอากาศยังคงทำงานไม่ต่างจากอุณหภูมิในร่างกายของเธอ หากจุดที่เขาแตะสัมผัสลงไปกลับร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “จนเมื่ออุกิโชบอกว่าถ้าฉันเป็นปีศาจแล้วไล่จับเธอได้ ฉันก็จะได้อยู่ในโลกนี้กับเธอ โลกที่จะมีแค่เราสองคน โลกที่จะไม่มีโมริทานิหรือภูติผีปีศาจตนใดมาทำร้ายเธอได้อีก”

    “น...นายพูดเรื่องบ้าอะไรอยู่กันแน่ ไทไช?ที่เซไคไม่อาจหยุดเนื้อตัวไม่ให้สั่นเมื่อจ้องสบตากับคนแปลกหน้าที่กำลังพูดจาเพ้อเจ้อฟังไม่เข้าใจพวกนั้น “น...นี่นายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง?

    “เธอเป็นคนทำให้ฉันเป็นแบบนี้เอง เซไค”

     

    愛したい 怖いくらい あなたに巡る欲望を

    ฉันอยากรักเธอ ความปรารถนาที่จะได้อยู่เคียงข้างเธอนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน

    殺したいくらい 甘い接吻 哭くリビドー

    จูบที่แสนหวาน ความต้องการที่ร่ำร้องออกมา จนอยากจะฆ่าซะให้ตาย

     

    “ท...ไทโช...ช่วยด้วย...ช่วยฉันด้วย...”

    คำตอบของข้อสงสัยต่อเสียงร่ำร้องไห้อย่างคนตื่นตระหนกผ่านสายโทรศัพท์ที่ไทโชได้รับในตอนที่เพิ่งจะเดินพ้นออกจากสถานีเพื่อกลับบ้านหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมของชมรมวอลเลย์บอลที่เขาอยู่ซ้อมจนถึงดึกดื่นเป็นกิจวัตร จะพลันปรากฏขึ้นในแววตาทันทีที่ไทโชวิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปในบ้านร้างที่อยู่สุดหัวมุมถนน นอกจากเด็กสาวที่กำลังนั่งคุดคู้ตัวสั่นอยู่หน้าประตูทางเข้า ก่อนโผเผพาร่างที่สั่นเทาของตัวเองเข้ามาหา เพื่อโอบกอดเขาไว้เหมือนอย่างทุกครั้งคราวที่เซไคต้องการให้เขาทำบางอย่าง...และบางอย่างในตอนนี้ก็อาจจะเป็นร่างของเด็กสาวผมสีแดงสดที่ดัดเป็นลอนยาวเหมือนกันกับเธอ ภายใต้เมคอัพและเครื่องประดับเหมือนกันกับเธอ ในชุดเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนเดียวกันกับเธอ คนที่กำลังนอนพังพาบหันใบหน้าขาวซีดเหมือนกระดาษมายังพวกเขาจากตรงชานบันได ในท่วงท่าที่บิดเบี้ยวไม่ต่างจากตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่ร่วงหล่น

    ทว่า มนุษย์คนนั้นมีชื่อว่าโมริทานิ ริอง คนที่เป็นเพื่อนร่วมห้องเดียวกันกับเขาและเซไคมาตั้งแต่ขึ้นชั้นไฮสคูล คนที่ได้นั่งข้างเขาในเทอมนี้และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าชอบเขา ถึงอย่างนั้นไทโชก็ไม่ได้พยายามหนีหน้าหรือว่าตีตัวออกหากเมื่อหล่อนเองก็ไม่ได้รุกเร้าอะไรมากไปกว่านั้น แต่การที่ไม่ว่าใครในห้องก็ดูออกว่าโมริทานิชอบเขา ก็ย่อมแน่นอนที่เซไคซึ่งคอยสังเกตคนอื่นอยู่เสมอแม้ด้วยแง่มุมที่ไม่ค่อยน่าประทับใจนักจะต้องดูออก

    เซไคไม่คบหากับเด็กผู้หญิงคนไหนก็ตามที่แสดงท่าทีว่ามีใจให้เขา และการที่เธอตัดความสัมพันธ์กับเพื่อนรักอย่างไมระถึงทั้งสองฝ่ายจะไม่เคยปริปากบอกเหตุผล ก็ทำให้คนที่ไม่ได้หลงตัวเองอย่างไทโชจะรับรู้ได้ว่าเขาคือเหตุผลนั้น เซไคไม่เคยระแวงสงสัยว่าเขาจะมีใจให้กับใคร เมื่อรู้ดีว่าเธอเป็น โลกทั้งใบให้กับเขาคนเดียวมาตลอดนับตั้งแต่แรกทักทายและได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่ไทโชคิดอยากจะถอดใจกับความรักที่ไม่มีทางสมหวัง เซไคก็จะจับมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ พร่ำพูดว่าเขาเป็นคนสำคัญมากแค่ไหนแม้จะไม่ได้อยู่ในฐานะคนรักเหมือนอย่างใครๆ และจบลงด้วยอ้อมกอดที่ชืดชาไร้ความหมายแบบเดิมๆ ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น ริมฝีปากของเธอไม่เคยเฉียดกรายมายังส่วนใดในร่างกายของเขาอย่างที่เคยนึกเฝ้าฝัน ทั้งอย่างนั้นเธอก็ทำให้ไทโชยอมละทิ้งเหตุผลทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้คนส่วนน้อยที่รู้ว่าเขาคิดกับเธอเช่นไรจะตราหน้าว่าเขาโง่งมงายแค่ไหนก็ตาม

    เซไคไม่เคยให้ค่าหรือว่าสนใจต่อเรื่องราวใดๆ ของโมริทานิ กระทั่งหล่อนปรากฏตัวขึ้นที่โรงเรียนเมื่อสองวันก่อนด้วยสีผม ทรงผม เมคอัพ หรือกระทั่งเครื่องประดับแบรนด์เดียวกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับถอดแบบไม่ต่างจากฝาแฝด...ที่ลูกสาวคนเดียวอย่างเซไคไม่เคยต้องการจะมี และในเมื่อเธอไม่ใช่ไอดอลคนดัง เช่นนั้นแล้วเด็กสาวคนธรรมดาก็คงไม่มีทางนึกชอบใจที่มีใครสักคนพยายามลอกเลียนแบบตัวเองแทบทุกกระเบียด อีกทั้งการที่หล่อนยอมทุ่มเทมากถึงขนาดนั้นด้วยเหตุผลแค่เพียงเพื่อให้ไทโชหันมองสักนิดก็จะยิ่งทำให้เซไครู้สึกรำคาญใจ

    “ม...โมริทานินัดฉันมาคุยที่นี่” เซไคเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักพร้อมกับน้ำตาที่พร่างพรูลงมาเป็นครั้งแรก “เธอบอกว่าอยากจะคุยเรื่องนาย บอกว่าถ้าฉันกล้ามาหาที่นี่คนเดียวจะคิดเรื่องเลิกเลียนแบบฉันดูก็ได้ ฉันรู้ว่ามันฟังดูแปลกตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็คิดว่าอยากจะคุยกันให้รู้เรื่องถึงได้ยอมมา แต่ตอนที่เดินอยู่บนชั้นสอง จู่ๆ โมริทานิก็จะหันมาตะคอกใส่ฉัน บอกว่าถ้าไม่มีฉันอยู่สักคนนายอาจจะหันมองเธอบ้างก็ได้ แล้ว...แล้วโมริทานิก็พยายามจะผลักฉันตกจากบันได! แต่โชคดีที่ฉันยันกำแพงเอาไว้ได้เลยกลายเป็นโมริทานิที่ร่วงลงมาเอง ไทโช! เชื่อฉันนะ! ฉันไม่ได้เป็นคนผลักโมริทานิลงมาจริงๆ นะ!”

    เมื่อนั้นไทโชจึงมองเลยผ่านไหล่ของเซไคไปยังเด็กสาวอีกคน แม้จะอย่างเบาบาง เขาก็แน่ใจว่าได้เห็นนัยน์ตาของหล่อนกะพริบปริบ พร้อมกับริมฝีปากที่เผยอขึ้นอาจเพียงเสี้ยวมิลลิเมตร

    “ม...โมริทานิยังไม่ตายนี่! งั้นฉันจะโทร.เรียกตำรวจ...”

    “ไม่ได้นะ!” เสียงของเซไคแผดดังในตอนที่รีบร้อนผละจากอ้อมแขน เปลี่ยนมาใช้มือทั้งสองข้างกำแขนเสื้อเชิ้ตตัวยาวของเขาเอาไว้แน่น “ไทโช นายคิดจริงๆ เหรอว่าโมริทานิจะรอดไปได้ในสภาพนั้น อีกอย่างนะ ถึงฉันจะไม่ใช่คนลงมือทำ แต่ถ้าพ่อแม่รู้ว่าฉันก่อเรื่องถึงขั้นที่ตำรวจเข้ามาเอี่ยวแล้วล่ะก็ ฉันต้องถูกย้ายไปอยู่ที่อื่นแน่ๆ! นายจะยอมแยกจากฉันได้จริงเหรอไทโช?มือที่จับกับเขาเอาไว้ในตอนนี้ทั้งชื้นไปด้วยเหงื่อ และยังสั่นเทาอย่างมากจนเขาต้องยกมือของตัวเองขึ้นมากุมมันเพื่อช่วยบรรเทา ไทโชรู้ดีเลยว่าเธอกำลังพยายามทำอะไร มันก็เหมือนทุกครั้งคราวที่เธอจะอ้อนวอนขอให้เขาทำ...บางอย่าง

    “ฆ่าโมริทานิแล้วเอาศพเธอไปซ่อนในป่ากันเถอะ นายก็รู้ว่าที่นั่นมีแต่คนไปฆ่าตัวตาย กว่าจะมีใครเข้าไปเจอ ศพของโมริทานิก็คงเน่าเปื่อยไปแล้ว”

    “เรื่องแบบนั้น...”

    “ขอร้องล่ะนะไทโช! ฉันไว้ใจแค่นายคนเดียว! มีแค่นายคนเดียวที่ทำเพื่อฉันได้! ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไม่ยอมแยกจากนายนะ!

    มันก็เป็นแค่น้ำตาจอมปลอมและคำพูดโป้ปดอ้อนวอนที่ล่อหลอกให้เขาตายใจ ใช่ว่าไทโชจะไม่รู้ แต่เขาก็ยินยอมพร้อมทำทุกอย่างได้เพื่อเธอถึงต่อให้จะหมายถึงการไปยังสุดขุมนรกก็ตาม และเขาอาจกำลังก้าวย่างไปยังที่นั่นจริงในตอนที่เอาเส้นเชือกมารัดคอโมริทานิเพื่อให้แน่ใจถึงวาระสุดท้ายของหล่อน...วาระสุดท้ายที่ถูกพรากไปด้วยฝีมือของชายที่หล่อนรักหมดทั้งใจ

    หล่อนพยายามรวบรวมคำพูดสุดท้ายในชีวิตที่กำลังจะเลือนลับดับไปออกมาอย่างแผ่วผิว

    “ฉัน...ไม่...ยก...โทษ...ให้...” หากชัดแจ้งวนเวียนอยู่ในโสตสดับ

    เส้นเชือกร่วงหลุดจากมือที่จะพลันไร้เรี่ยวแรงของเขา โมริทานิทันได้เห็นสีหน้าของไทโชแสดงความหวาดกลัวออกมาจนถึงก้นบึ้งอย่างที่ไม่มีใครเคยได้พานพบปรากฏอยู่ในแววตา ถ้าไม่ใช่เพราะใครอีกคนที่เอาแต่นั่งตัวสั่นงันงก ยกมือขึ้นปิดหูด้วยไม่ต้องการจะรับรู้อะไรอยู่อีกห้องหนึ่งนั้นแล้ว ผู้ชายแสนดีที่หล่อนรักก็คงไม่ต้องมาทำบาปมหันต์แบบนี้ ไม่ใช่ความโกรธเกลียดที่โมริทานิไม่มีวันจะรู้สึกกับไทโช แต่เป็นคิริชิกิ เซไค ผู้หญิงชั่วช้าน่ารังเกียจที่หล่อนจะลากเอาความเคียดแค้นที่มีต่อมันลงหลุมไปด้วย

    แต่ไทโชไม่อาจล่วงรู้ถึง

    แม้ว่าพวกเขาที่ต่างมอบคำสัญญาว่าจะปกปิดเรื่องราวอันน่าสยองขวัญนี้ไว้เป็นความลับจะพยายามทำตัวให้เป็นปกติหลังจากเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น แต่เมื่อไหร่ที่ได้ยินชื่อของโมริทานิ ริอง เพื่อนร่วมห้องที่หายสาบสูญไปโดยไม่มีใครล่วงรู้ต้นสายปลายเหตุ หรือว่าจะได้พบร่างไร้วิญญาณซึ่งเขายืมรถกระบะของลุงเพื่อขนศพไปฝังในป่ากับเซไค ไทโชก็จะรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าโมริทานิมาปรากฏตัวต่อหน้าจริงๆ หรือเป็นแค่ความรู้สึกไปเอง ทั้งยามที่อยู่ลำพังหรือกระทั่งในความฝันที่ดำมืด เขากลัวใบหน้าไม่ว่าจะยามปกติหรือยามที่ลมหายใจถูกปลิดปลงของหล่อนมากเสียจนยามค่ำคืนที่มีแค่เพียงตัวเองเหมือนจะทำให้กลายเป็นบ้า ไทโชต้องยอมทำเรื่องบ้าๆ อย่างการหลับนอนเคียงข้างกับใครสักคนเพื่อให้ได้รู้สึกถึงเลือดเนื้อในทุกค่ำคืน และการคิดว่าเซไคอาจต้องประสบพบเจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน โดยที่เขาไม่อาจไปอยู่เคียงข้างเธอเพื่อช่วยอะไรได้...หรือคนที่ทำมันได้ก็ไม่ใช่เขา ก็จะทำให้ไทโชกลายเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ ถึงต่อให้เธอจะไม่เคยพูดถึงโมริทานิหรือแสดงความหวาดกลัวใดๆ ออกมาเหมือนอย่างที่เขารู้สึกเลยก็ตามแต่

    จวบกระทั่งวันที่ไทโชไม่อาจทนรับความหวาดกลัวและผิดบาปเช่นนี้ได้อีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องยุติมันเสียที บางทีเขาอาจจะพาเซไคขึ้นมาบนชั้นดาดฟ้าด้วยกัน จับมือโอบกอดเธอไว้แน่นๆ แล้วจูบเธอเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ถึงต่อให้จะถูกเกลียดเข้ากระดูกดำก็ช่างปะไร ในเมื่อเรื่องพรรค์นั้นไม่ได้มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้วไม่ใช่หรือไง

    “นายพยายามได้ดีมากแล้วไทโช”

    เงาที่พาดผ่านใบหน้ายามเขาแหงนเงยมองทำให้อุกิโช ฮิดากะแตกต่างจากเพื่อนร่วมห้องคนที่เขารู้จักมาตลอดห้าปี อาจเป็นเพราะมันคือยามสนธยา หรือไม่ก็เป็นเพราะเขาเหนื่อยล้ากับทุกอย่างเต็มทีจนไม่นึกเคลือบแคลงสงสัยในคำพูดที่ไม่มีใครควรล่วงรู้ถึง

    “ฉันจะมอบชีวิตใหม่ให้นาย โลกที่นายจะได้หลุดพ้นจากริอง โลกที่นายจะได้อยู่กับคิริชิกิอย่างที่ต้องการตลอดไป” และเพราะอย่างนั้นเขาถึงได้ตอบตกลง

     

    “ไม่ว่ายังไงเธอก็จะไม่ยอมแยกจากฉันไม่ใช่เหรอเซไค?

    คำพูดที่ครั้งหนึ่งเธอเคยใช้เพื่อผูกมัดเขาไว้ บัดนี้กลับย้อนมาเล่นงานเธออย่างแน่นหนา เช่นเดียวกับอ้อมกอดที่บีบรัดราวกับจะหลอมรวมเข้าไปถึงเลือดเนื้อและกระดูกข้างใต้นั้น ที่อีกไม่ช้ามันอาจจะป่นปี้เป็นผุยผง

    “พอได้แล้วไทโช! พอสักที!” เซไคกรีดเสียงร้อง ดิ้นรนขืนขัดให้หลุดพ้น แต่ก็เป็นความพยายามที่สูญเปล่า “คนเดียวที่ฉันรักก็คือชุนสุเกะ! ไม่ใช่นาย! ฉันไม่ได้รักนาย! ไม่เคยรักนาย! ต่อให้ทั้งโลกจะเหลือแค่เราสองคนฉันก็ไม่มีวันรักนาย!”

    “แค่ฉันรักเธอก็พอแล้ว”

    ลมหายใจอุ่นๆ ที่รดรินอยู่หลังคอ เปลี่ยนเป็นสัมผัสที่ประทับบนผิวหนังด้วยความปรารถนาทั้งหมดที่มีของเขาจนกลายเป็นร้อนเร่า พลันนั้นกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายของเธอก็หยุดการทำงานไม่ต่างจากคนเป็นอัมพาต ขณะที่จุมพิตเหล่านั้นขยับผ่านจากเนื้อหนังมาถึงริมฝีปากเย็นเยียบที่สั่นเทาของเธอ กดแนบลงไป บดขยี้มันอย่างรุนแรงมากจนเธอรู้สึกได้แต่เพียงความเจ็บ

    เซไคเหมือนจะหายใจไม่ออก

     

    突き刺された罪と罰と欲望

    บาป บทลงโทษ และความปรารถนาที่ถูกทิ่มแทง

    感じてたい地獄の底で

    ฉันอยากจะรู้สึกถึงมันในขุมนรก

    狂わされた私はもう戻れない

    ฉันที่บ้าคลั่งไม่อาจกลับไปเป็นแบบเดิมได้อีกแล้ว

    あなたに溶けて無くなるのよ

    หลอมละลายไปกับเธอ

    地獄に堕ちていくの

    ร่วงหล่นลงไปยังขุมนรก

    Fallen Venus

    เทพีผู้สิ้นสูญ

     











    2023年09月09日
    _______________
    ★ เมื่อวานเห็นหน้าไทโชเยอะมากกก...กอไก่แสนล้านตัว แล้วอารมณ์ดีมีความสุข ถึงจะเจอข่าวบริษัทยกเลิกสัญญากับทาเลนต์ค่ายมากมาย (ฮ่าๆๆ บชนอาซาฮีกูก็โดนเว้ยพวก) อีพวกคอมเมนต์ซ้ำเติม ทำเหมือนสู่รู้นักหนามากมาย สนับสนุนเด็กต่อก็โดนด่าว่าสลิ่มค่ายทันที (ทั้งที่พวกกูก็ด่าค่ายเช้าเย็นนะ) แต่พวกกูต้องแคร์เหี้ยอะไรเอ่ย :p / และเพราะว่าเมื่อวานกูเห็นรูปอุมิตัดผมใหม่ กลับมาเป็นคนเดิมแล้วกูจะเป็นลม มึงก็เหี้ยมากไปเจอคลิปจากละครเก็นตะแล้วเสือกกดดูมาบอกกูว่าหล่อมาก ให้เราอยู่ดูความหล่อแป๊ปหนึ่งแล้วรีบเฝดตัวออกมา เราต้องไม่มุ้ปอรเป็นวงกลม เพราะไอ้ที่แก้ตัวในบล็อกและเรื่องของมน.จังยังค้างๆ คาๆ อยู่ในใจกู มันคนละกรณีกับคนซชที่กูอภัยให้แล้ว (แต่ก็เลิกเมนไปเลย) เพราะเรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันคนละเรื่องกันจ้า
    ★ เรื่องนี้คือเรื่องสุดท้ายที่จะแปลงจากอุมิ (มั้งนะ อย่างน้อยๆ ก็สำหรับตอนนี้) ถึงเรื่องจะเกิดเพราะคลิปไล่จับในอควาเรียมของทราวิสแล้วไงวะ ที่จริงบชนก็ไปเล่นไล่จับที่สวนเนาะ แต่ลองคิดภาพในหัวแล้วไม่เวิร์กว่ะ บรรยากาศไม่ได้ มันต้องอควาเรียมยามเย็นนี่แหละ จะได้เข้ากับชื่อเรื่องด้วย ปลาจมๆ (ไหนวะปลา) ที่เลือกใช้ชื่อนี้เพราะเรื่องเกิดในอควาเรียม ส่วนชื่อตอนได้มาจากไซโคพาส 0105 เพราะคนที่รู้โฉมหน้าความชั่วของเซไคมีแค่อุกิไทไงล่ะ >_< อย่างที่เคยบอกว่าในหัวที่คิดไว้คือโรงเรียนเอกชนไม่ก็นานาชาติ ส่วนใหญ่ก็คนรวยๆ ฟีลเลยแบบจะย้อมสีผม โน่นนี่นั่น ทำอะไรก็ทำได้หมดจ้า
    ★ รู้ป่ะว่าตอนแรกกูเลือกแปลงผู้ชายทุกคนให้เป็นเพื่อนซี้ไทโชหมดเลย ยกเว้นอุกิที่ต้องเป็นอุกิ บทไทเสตอนแรกจะเป็นใครได้นอกจากยูปี้นิ แต่หลายวันก่อนกูเอามาอ่านใหม่แล้วว่าบ่ว่ะ ทำไมไม่รู้ เลยเปลี่ยนชื่อเป็นไทเส สาบานว่าก่อนที่จะไปจัดราจิราด้วยกันอีก ก็นี่แหละ เซนส์เรามันก็แฮงเกิ๊น จุดใต้ตำตอแท้ๆ 55555 คงจำได้ที่กูเคยบอกว่าเวอร์ชั่นเดิมจะมีพล็อตของคู่อุกิไมระด้วย ได้มาจากฝันกู...ที่กูบ่าได้จดไว้ ตอนนี้ลืมหมดละแม่งเอ๊ย 55555 มีแค่ท่อนต้นที่กูแต่งไปว่าอาจถึงเวลาที่ไมระจะบอกเลิกไทเสสักที เพราะอะไรไม่รู้ แต่กูก็จำได้เลาๆ ว่าจะได้วิ่งหนี ส่วนอุกิคือพระเจ้าจริง ที่ในฝันกูยังจำได้อยู่เลยว่าเป็น...โฮคุโตะ ป๊าดว่ะ! เหมือนว่าอุกิจะตั้งใจแย่งไมระมาด้วยนะ อ้าว พระเจ้าทำไมทำงี้วะ แต่ตอนนั้นกูขำจริง แต่งบทเก็นตะให้แต่อะไรดีๆ ทั้งนั้นทั้งที่กูบ่นเค้าให้มึงฟังเช้าเย็น ตอนแรกมึงไม่อะไรมากจนมาเจอกูซุยเช้าเย็น ก่อนจุดจบวงนี้สำหรับเราคือโกทูแอลเอ บาปกำจริงๆ ตัวเรา / ฮ่าๆ ตอนนั้นกูเขียนว่านี่คือหนึ่งในฟิคที่ดีที่สุดและรักที่สุด ซึ่งก็ยังยืนยันว่าใช่จ้า กูนี่แหละแต่งแนวสยองแบบญี่ปุ่นได้จริง ดีจริง เสียแต่ว่ากูคนนั้นได้ตายไปแล้วเต้าอั้น >_< 
    ★ เอาจริงโรงเรียนนานาชาติที่กูคิดไว้ก็ฟีลเดอะกรัดจ์สองอยู่นะ ฮ่าๆๆ ไปอ่านทอล์คเดิมมาดิมทีเรื่องนี้มีชื่อตอนว่าไคดัน ใช้ตัวคาตะ เพราะกูไปเจอหนังเรื่องไคดันที่แปลว่าเรื่องผี ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรจนฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เฮ้ย! มันพ้องเสียงกับคำว่าไคดันที่แปลว่าบันได! บันไดที่โมริทานิ - ผี - ในเรื่องนี้ตกลงไป! ที่จริงก็เสียดายที่ชื่อนี้ไม่ได้ไปต่อ แต่มันดีมากจนต้องเอามาเล่าให้ฟัง ส่วนแรงบันดาลใจจากจูออนคือฉากบ้านที่มีบันไดโค้งๆ วนๆ ตกลงไปก็คอหักตายแน่นอน หรือถึงไม่ตายกูก็จะให้ตายเองนั่นแหละ แต่เซไคไม่ใช่คนผลักจริงๆ มันแค่หยุมหัวทะเลาะกันแล้วริองก็ตกลงไปตายเองเว้ย! ส่วนฉากเอาศพไปทิ้งในป่าก็ได้มาจากพล็อตญี่ปุ่นแสนล้านแปดเรื่อง (ฮ่าๆๆ จำได้เลยช่วงนั้นมึงก็แต่งเรื่องโมริ พระนางฆ่าแล้วช่วยกันปกปิดเหมือนกันเปี๊ยบจนนึกว่าก๊อปกัน อีผี ว่าบาป ช่วงนั้นกูดูลองของเดอะซีรีส์รอบสองแล้วพบว่าพล็อตเหมือนแดนกับลิลินเลย 55555) ส่วนผีริองที่ไทโชเห็นนั่นไม่มีจริง ไปเกิดนานแล้ว ความเคียดแค้นอะไรก็ไม่มีหรอก กูสับขาหลอกน่ะ เพราะถ้าผีริองยังอยู่จะยอมปล่อยให้สองคนนี้ได้อยู่ด้วยกันไหมล่ะ คิด! เรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ คืออุกิแค่อยากช่วยไทโชให้ได้สมหวังและลงโทษเซไคแค่นั้น จริงๆ จะมีท่อนนึงที่อุกิพูดว่า “การต้องอยู่กับคนที่ไม่ได้รักไปตลอดกาลก็สาสมกับสิ่งที่เธอทำดีแล้วนี่” แต่สุดท้ายก็หาที่ลงไม่ได้เลยต้องตัดทิ้งไปด้วยประการฉะนี้จ้าา
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×