คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #65 : Curtain Call ~名脇役/夏のハイドレンジア~ (เรื่องสอง 50% แล้วจ้้าาา โฮ่งๆ บ๊อกๆ)
“แต่นแต๊น! เมื่อวานโชคดีซื้อเค้กสตรอว์เบอร์รี่ร้านเปิดใหม่ที่ไปรอต่อคิวสองชั่วโมงมาทันจนได้ล่ะ! ลัคกี้!”
ความสนใจของนาสุ ยูโตะ ที่กำลังก้มหน้าก้มตาทบทวนบทเรียนอันเป็นกิจวัตรประจำวันก่อนคาบเรียนจะเริ่ม เปลี่ยนไปเป็นกล่องเค้กที่ถูกวางทับลงไป ตามมาด้วยน้ำเสียงเริงรื่นและใบหน้าเริงร่าของซากุไร มิเรย์ ที่หมุนเก้าอี้หน้าโต๊ะของเขาให้หันมาแล้วทิ้งตัวนั่งแหมะ ขณะที่ก็หยิบโยเกิร์ตกับป๊อกกี้สตรอว์เบอร์รี่จากถุงของร้านสะดวกซื้อมากินเป็นมื้อเช้าที่ไม่ถูกต้องสักเท่าใดนัก แต่อย่างกับใครจะไปว่าอะไร...หรือเธอที่เอาแต่ใจจะเชื่อฟังใครได้
“เมื่อวานนายไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัดเลยแวะเอาไปฝากที่บ้านไม่ได้ วันนี้ฉันก็เลยรีบตื่นมาโรงเรียนแต่เช้าเพื่อเอามาให้นายเลยนะ ขืนรอจนถึงตอนเที่ยงมีหวังได้ละลายหมดพอดี” เป็นความจริงจากคนที่มักจะมาทันกริ่งเข้าเรียนอย่างฉิวเฉียด หรือบางครั้งก็หมายถึงเฉียดๆ จะเลิกคาบโฮมรูมไม่ก็คาบเรียนแรกเลยต่างหาก กระนั้นก็เรียกเสียงหัวเราะจากนาสุที่รู้สึกดีใจวาบขึ้นมากับคำพูดเจื้อยแจ้วที่เจ้าตัวไม่ได้คิดอะไร ซ้ำยังกระวีกระวาดขนาดแกะกล่องเค้กให้เขาที่เก็บหนังสือลงไปในเก๊ะยังไม่ทันจะเรียบร้อยแทน
“ไม่เห็นต้องลำบากเลย”
“ถือว่าตอบแทนที่นาสุใจดีช่วยติวช่วยสอนการบ้านให้คนโง่อย่างฉันตลอดโดยไม่เคยปริปากบ่น” ว่าแล้วก็ยื่นส้อมพลาสติกไปให้เขาที่รับมาพร้อมคำขอบคุณ หากประโยคถัดมาจะทำให้มือของเขานิ่งค้างไปเฉกเช่นเดียวกับริมฝีปาก เพื่อที่อีกเสี้ยววินาทีต่อมาเขาจะได้เสแสร้งแกล้งตอบรับมันด้วยรอยยิ้มกว้างไปจนถึงดวงตาเหมือนอย่างที่เป็นมาตลอดเมื่อมิเรย์บอกว่า “และเพราะนาสุเป็นเพื่อนรักอันดับหนึ่งของฉันยังไงล่ะ”
ทำไมเธอถึงไม่เคยรู้ตัวเลย
ว่าเขาไม่ได้อยากเป็นแค่ ‘เพื่อน’ สักหน่อย
แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าเป็นมากกว่านั้นไม่ได้...ทุกครั้งที่ได้เห็นมิเรย์ซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าหยิบมือถือขึ้นมาอ่านข้อความเข้าแล้วพิมพ์ตอบกลับไประหว่างคาบเรียน จากนั้นก็เบือนใบหน้าเท้าคางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยรอยยิ้มกว้าง กับความคิดที่คงจะล่องลอยไปไกลถึงใครคนนั้นที่นาสุไม่เคยเห็นหน้าหรือได้ยินเรื่องราวจากปากของเธอมากไปกว่าชื่อ ‘เคนโตะ’ ในช่วงสองสามเดือนหลังมานี้ เท่ากับคำบอกเล่าจากเมียวเซย์ มิชิกะ เพื่อนผู้หญิงที่มิเรย์สนิทใจด้วยที่สุดในห้องเพราะเคยเรียนชั้นมัธยมต้นด้วยกันมา และเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องความรักของเธอกับหนุ่มมหา’ลัยรายนั้น ดูเหมือนว่าเหตุผลที่มิเรย์เลือกพูดเรื่องส่วนตัวกับมิชิกะ แม้ว่าตอนอยู่ในโรงเรียนหรือหลังเลิกเรียนเธอจะตัวติดกับเขามากกว่าอาจเป็นเพราะ “เรื่องความรักพูดกับผู้หญิงด้วยกันมันง่ายกว่านี่นะ” อย่างที่หล่อนเปรย
แค่จินตนาการว่าต้องทนรับฟังเรื่องของคนที่ตัวเองรักไปมีความรักกับผู้ชายคนอื่นก็ทำให้เขาเจ็บปวดมากพออยู่แล้ว แต่นาสุก็ยังอยากจะรู้ทุกความเป็นไปของเธอ
หรือไม่...ก็แค่เพราะเขาอยากเป็นคนสำคัญที่สุดที่เธอไว้ใจจะปรึกษาไม่ว่าเรื่องอะไร ทั้งอย่างนั้น นาสุก็ไม่กล้าพอที่จะพูดออกไป หรือก้าวก่ายการวางตำแหน่งว่าให้เขาเป็นได้แค่ไหนในชีวิตของเธอ
ตอนที่มิเรย์ออกไปโทรศัพท์อยู่นานสองนานกว่าจะกลับเข้ามาในร้านอาหารครอบครัวที่เพื่อนในห้องยกโขยงกันไปคุยเรื่องกิจกรรมหลังเลิกเรียนพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง และแก้มที่ขึ้นสีชมพูเพราะคำกระเซ้าเย้าแหย่ของมิชิกะจนเพื่อนคนอื่นที่เพิ่งจะรู้ว่าเธอมีแฟนก็พลอยผสมโรงตามไปด้วย ทั้งหมดนั้นทำให้นาสุนึกโกรธมิเรย์ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยด้วยซ้ำขึ้นมาเป็นครั้งแรกจนต้องขอตัวกลับบ้านก่อน แล้วรีบจ้ำอ้าวเดินออกไปโดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกของใคร
ในเมื่อสุดท้ายแล้วมันไม่มีทางเป็นไปได้ เขาก็ควรที่จะต้องเลิกคิดถึงความหวังลมๆ แล้งๆ ได้แล้วหรือเปล่า?
“ไม่ให้นาสุหนีกลับบ้านคนเดียวหรอก”
ทั้งอย่างนั้น ความคิดที่มัวหม่นของเขาก็ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างอย่างสดใสและชัดเจนอยู่เบื้องหน้า หลังรู้สึกถึงสัมผัสที่วางลงบนไหล่ให้เขาได้หยุดฝีเท้า แต่ไม่ทันได้หันขวับไปมองเมื่อเธอจะกระโจนขึ้นมา เพียงแค่ได้ยินน้ำเสียงที่ไพเราะที่สุดของเธอร้องเรียกชื่อของเขา เพียงแค่ได้มองเห็นใบหน้าที่งดงามที่สุดของเธออยู่ในแววตาของเขา นาสุก็รู้ว่าการตัดใจจากเธอต่างหากที่ไม่มีทางเป็นไปได้
“มีอะไรหรือเปล่า?”
ขณะที่มองสบตากับคนที่ไม่เคยรับรู้อะไร นาสุก็นึกทรมานข้างในอกอย่างกับหัวใจถูกบีบรัด หากเขาก็ได้แต่เก็บสีหน้าแล้วตอบไปว่า “ไม่มีอะไรหรอก” ด้วยรอยยิ้มเหมือนกับทุกที
ทั้งที่เขาเลือกแล้วว่าจะเป็นฝ่ายที่ยอมเจ็บปวดเอง ขอแค่ได้อยู่เคียงข้าง เห็นเธอมีความสุขแบบนี้ในทุกๆ วันเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว แต่ทำไมเธอถึงต้องโกหกตัวเอง ทำไมเธอถึงยังยังเอาแต่ยิ้มหัวเราะอยู่ได้ ทำเหมือนกับว่า ‘ไม่มีอะไร’ เกิดขึ้น เมื่อความจริงแล้วไม่ใช่เลยสักนิด
“มิเรย์โดนบอกเลิกแล้วล่ะ ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันหรอกนะ แค่สุดท้ายแล้วไปด้วยกันไม่ได้ ก็ใช่ว่าจะทำใจได้หรอก แต่มิเรย์บอกว่าเพราะว่ารักมากถึงได้ยอมปล่อยให้เขาไปตามเส้นทางที่เลือก บ้าบอชะมัดเลยเนอะ สัปดาห์ก่อนโน้นที่มิเรย์ขาดเรียนตั้งแต่วันพุธนั่นไง เธออ้างว่าไม่สบายใช่ไหม แต่ความจริงแล้วเป็นเพราะร้องไห้จนตาบวมช้ำเลยต่างหากล่ะ ฉันเห็นแล้วยังอดสงสารไม่ได้เลย”
มิชิกะตอบคำถามของนาสุที่อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปกับการต้องทนเห็นท่าทีของเธอตลอดทั้งสัปดาห์จนตัดสินใจลุกขึ้นโทรศัพท์ไปหาในตอนดึกดื่น และเป็นคำพูดปิดท้ายของหล่อนนี่เองที่จะทำให้นาสุได้ตระหนัก
“นึกว่านายรู้อยู่แล้วซะอีก ในเมื่อนายเป็นเพื่อนสนิทของเธอแท้ๆ”
เพราะการแบ่งปันทั้งความสุขและความทุกข์ให้แก่กันคือหน้าที่ของเพื่อนสนิท แม้ว่าสำหรับนาสุแล้วจะหมายถึงการแบกรับทุกความเจ็บปวดทั้งของเธอและเขาเอาไว้เอง การต้องทนมองดูมิเรย์ฝืนทำตัวเป็นปกติต่อหน้าเขาทั้งที่ข้างในใจกำลังแตกสลายมากมายแค่ไหนจะยิ่งทำให้เขารู้สึกทรมาน
ในวินาทีที่เธอเงยหน้าขึ้นจากสมุดการบ้านมาสบประสายสายตากับเขาที่จดจ้องอยู่ก่อนแล้ว คำถามสมมติมากมายที่เคยวนเวียนอยู่ในความคิดของนาสุก็ถูกแทนที่ด้วยความเป็นจริงจากรอยยิ้มจอมปลอมนั่น
“ฉันทนไม่ไหวแล้วมิเรย์ พอสักที! เธอบอกว่าฉันเป็นเพื่อนรักอันดับหนึ่งของเธอ แล้วคนเป็นเพื่อนเค้าทำกันแบบนี้เหรอ!”
“นายหมายถึงเรื่องอะ...”
แต่นาสุก็ตะโกนแทรกขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ถามจนจบประโยค ด้วยความอัดอั้นตันใจที่ผสานรวมกันทั้งจากความโกรธ ความน้อยใจ และความไม่เข้าใจ
“ฉันรู้เรื่องของเธอจากมิชิกะ แต่ฉันกลับไม่เคยรู้อะไรจากปากของเธอเลยสักอย่าง! ฉันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนั้นที่เธอคบเป็นใคร มาจากไหน หรือว่าเธอเลิกกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ วันที่เธอต้องนอนร้องไห้เสียใจอยู่คนเดียว เธอก็รู้ว่าฉันไปอยู่ข้างเธอได้ ตอนที่เธอมีเรื่องทุกข์ใจอะไร ฉันก็อยากให้เธอระบายมันกับฉัน แสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ ไม่ใช่เอาแต่เสแสร้งแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเหมือนอย่างที่เธอทำอยู่นี้!”
แม้ว่าเด็กสาวจะเอาแต่นั่งนิ่งไม่ไหวติง แต่ดวงตาที่สั่นไหวตลอดเวลากับของเหลวที่เอ่อคลอก็ฟ้องว่าสิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้น...คือความจริง
“ฉันยังเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเธออยู่หรือเปล่า มิเรย์?”
“ฉันขอโทษ” คือประโยคแรกหลังจากความเงียบงันระหว่างกันอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งพร้อมกับหยดน้ำตาที่ร่วงหล่นลงมาเมื่อเธอก้มใบหน้าขาวที่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำลงไป “ฉันแค่กลัว...ว่าเรื่องของเขาจะมาแทรกกลางเรื่องของเรา เพราะฉันอยากให้เรายังเป็นเหมือนเดิมตอนที่อยู่ด้วยกัน”
“ด้วยการหลอกตัวเองว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยการหลอกฉันว่าเธอสุขสบายดี เหมือนกับเธอคิดว่าฉันที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเธอจะดูไม่ออก แบบนั้นน่ะเหรอที่เธอต้องการ?”
มิเรย์ได้แต่ก้มหน้าสั่นศีรษะ เอาแต่สะอึกสะอื้นพร่ำคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมา ความอ่อนแอราวกับนกปีกหักจนน่าสงสารของเธอทำให้เขายิ่งทรมานและอีกไม่ช้าอาจเป็นหัวใจของเขาที่แหลกสลายเสียเอง ถ้าหากว่ามันจะเป็นเช่นนั้นนาสุก็ไม่คิดหักห้ามตัวเองอีกต่อไป เขาลุกขึ้นไปโอบกอดร่างของเธอที่ไม่ยอมหยุดสั่นเทาแม้เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเขา เธอที่เป็นคนเปิดเผยแต่กลับปิดบังความเจ็บปวดกับเพื่อนสนิท เธอที่เป็นคนฉลาดแต่กลับตัดสินใจได้อย่างโง่เง่าเมื่อเป็นเรื่องของเพื่อนสนิท ความใจดีที่คิดไปเองแค่ฝ่ายเดียวของเธอนั่นแหละที่เป็นเรื่องเห็นแก่ตัวที่สุด ในเมื่อเธอทำได้แล้วทำไมเขาจะทำบ้างไม่ได้ ไม่ใช่เพราะร่างกายหรือสมอง แต่เป็นหัวใจต่างหากที่ผลักดันให้เขาทำเรื่องเห็นแก่ตัวลงไป...อย่างการจูบเธอ
_______________
_______________
กว่าที่อุกิโช ฮิดากะ จะทำความสะอาดห้องเรียนด้วยตัวคนเดียวจนเสร็จเพราะคู่ทำเวรขอตัวกลับไปฉลองวันเกิดกับคนรักก่อนก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือฝนที่กระหน่ำลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยและอาจทำให้เขาต้องติดแหง็กอยู่ที่นี่ หรือไม่ก็กลับบ้านไปด้วยสภาพม่อล่อกม่อแล่กกับของแถมคือไข้หวัด (ถึงเขาจะแน่ใจว่าตัวเองแข็งแรงพอแต่ใครจะไปรู้ล่ะ) หากไม่ว่าจะทางไหนก็ดูไม่ใช่ตัวเลือกที่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย ขณะที่กำลังชั่งข้อดีข้อเสียอยู่ในหัวระหว่างเดินลงจากตึกเรียนมานั้นเอง สายตาที่ทอดเลยไปของอุกิโชก็ได้มองเห็นเพื่อนนักเรียนยืนแหงนหน้ามองดูท้องฟ้ามืดครึ้มที่ถูกบดบังอยู่ตรงระเบียงทางเดิน
อุกิโชย่อมต้องจดจำเด็กสาวเจ้าของผมสีทองสว่างเจิดจ้ารับกับใบหน้าขาวที่แต้มแต่งได้เป็นอย่างดีว่าคือเมียวเซย์ มิชิกะ แม้จะเรียนอยู่ห้องเดียวกัน นั่งถัดจากกันแค่เยื้องๆ มาหนึ่งที่นั่ง เคยคุยกันเรื่องเพลงไม่ก็หนังที่สนใจตรงกันบ้างบางที หรือเขาจะคิดว่าเธอก็น่ารักดีอยู่บ่อยครั้ง ทั้งอย่างนั้น วงโคจรของอุกิโชที่อยู่กับกลุ่มเพื่อนผู้ชายเฮฮาบ้าบอของตัวเองหรือมิชิกะที่สนิทกับกลุ่มเพื่อนสายดนตรีมากกว่าก็แทบไม่ได้มาบรรจบ
ทว่าบัดนี้ ใบหน้าที่จะประดับไปด้วยรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอไม่ว่าเมื่อไหร่กลับกำลังหมองหม่น ฝีก้าวของเขาหยุดชะงัก ได้แต่นิ่งงันมองดูท่าทีของเธออยู่อย่างนั้นราวกับถูกตอกตรึง ก่อนที่อุกิโชจะได้เข้าใจว่าสิ่งที่เธอทำก็คือการฝืนกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา
และเมื่อประกายเจิดจ้ารินไหลลงมาตามแก้มของเธอที่พยายามยกมือขึ้นเช็ด สุดท้ายร่างที่เริ่มไหวสะอื้นก็ตัดสินใจวิ่งฝ่าสายฝนออกไป อาจเพื่อปกปิดร่องรอยของน้ำตาหรือไม่ก็ร่ำร้องไห้ไปกับมัน อย่างปุบปับจนอุกิโชไม่ทันแม้แต่จะได้อ้าปากร้องเรียกชื่อหรือมองหาร่ม...ที่เขาก็ไม่ได้พกมา
ฤดูร้อนที่เมืองกลายเป็นสายฝนในยามเย็นย่ำของชั้นไฮสคูลปีที่สาม อุกิโชได้ ‘ตกหลุมรัก’ มิชิกะเป็นครั้งแรก
เสียงตะโกนเริงร่าของเธอในอีกสองวันต่อมาขณะป้องปากร้องเรียกชื่อเพื่อนสนิทแล้วทิ้งตัวนั่งลงไปบนเก้าอี้ตัวข้างๆ อิวาซากิ ไทโช ซึ่งถามว่าเธอหายไข้ดีแล้วเหรอ ตามมาด้วยเรื่องแผ่นซีดีรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่แลกกันฟัง ทุกอย่างยังคงเป็นปกติเฉกเช่นเดิม ราวกับเหตุการณ์ของเย็นวันวานนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง แต่การที่หัวใจของเขาจะเต้นผิดจังหวะแค่เพียงได้มองดูใบหน้าที่อาบรอยยิ้มตลอดเวลาของเธอพร้อมกับความอุ่นซ่านที่แล่นวาบเข้ามา ก็ทำให้อุกิโชแน่ใจว่าทุกอย่างหาใช่ความฝันที่มัวพร่าดั่งสายฝนที่ซัดสาด เหมือนกับความชัดเจนในแววตาของมิชิกะตอนที่ซาโต้ โชริ เพื่อนในกลุ่มอีกคนของเธอบอกลาเด็กสาวต่างห้องหน้าประตูที่ถูกเปิดอ้าไว้แล้วเดินมานั่งประจำที่ข้างหลังไทโช รอยยิ้มของเธอกระตุกแค่เพียงวูบเดียวเท่านั้นก็กลับมาเป็นปกติขณะทักทายกลับไป และเล่าเรื่องอาการป่วยไข้ที่อีกฝ่ายถามไถ่ด้วยน้ำเสียงติดตลกเพื่อกลบเกลื่อน
อุกิโชไม่รู้เลยว่ามิชิกะตกหลุมรักโชริอยู่ หรือเรื่องนั้นเกิดขึ้นเป็นเวลานานแค่ไหนแล้ว ไม่ใช่เพียงเพราะเขาไม่เคยสนใจใคร่อยากรู้เรื่องของเธอในแง่นั้น หากการที่แม้แต่เพื่อนในกลุ่มของเธอยังดูไม่ออก — และอุกิโชหมายถึงโชริที่เป็นคนละเอียดอ่อน — ก็แปลว่าเธอปกปิดความลับของตัวเองได้อย่างแนบเนียนมาก จนไม่มีใครในโลกที่น่าจะรู้เรื่องนั้นอีก
ระหว่างเขากับมิชิกะก็เหมือนกับเข็มนาฬิกาที่ยังคงไม่มาบรรจบ แต่แค่ได้มองเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบิกบานเหมือนกับวันฟ้าใสอย่างที่เป็นอยู่นี้ก็ดีมากแล้ว
_______________
ความคิดเห็น