คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #138 : Maboroshi no Hikari
強がりや欲張りが 無意味になりました
ความเข้มแข็งและความโลภไม่มีความหมายอีกแล้ว
あなたに愛されたあの日から
นับตั้งแต่วันที่คุณมอบความรักให้ฉัน
自由でもヨユウでも 一人じゃ虚しいわ
ไม่ว่าจะอิสระหรือเวลาที่เหลืออยู่ ล้วนไร้ค่าถ้าฉันต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ทันทีที่ร่างของเขาปรากฏไหววูบอยู่ตรงหางตา โอยาชิกิ อันนะก็จะรีบขยับตัวผละจากชายหนุ่มที่นั่งไขว่ห้างห่างกันเพียงแค่คืบบนโซฟาด้วยความเร็วรี่ ริมฝีปากของเขายังคงขยับพูดคุยถึงบทสนทนาก่อนหน้า แม้ว่าใบหน้าจะกำลังก้มง่วนอยู่กับการพิมพ์ข้อความบนเครื่องมือสื่อสาร ด้วยเหตุนั้นเอง เขาจึงไม่ทันได้มองเห็นต่อการกระทำที่ลุกลี้ลุกลนของคนข้างกาย กระทั่งถ้อยเสียงคุ้นเคยซึ่งเอ่ยทักทายด้วยความเริงรื่นผ่านเข้ามาในโสตประสาทให้ใบหน้าของเขาได้แหงนเงย ส่งรอยยิ้มและคำทักทายกลับคืนไปให้แก่เจสซี่ ลูอิส ที่เขารู้จักในฐานะเพื่อนร่วมงานประจำคลื่นวิทยุของเพื่อนสนิท ซึ่งเข้าบรรจุเป็นพนักงานประจำเกือบๆ เจ็ดเดือนได้แล้ว ระหว่างช่วงระยะเวลาเหล่านั้น ก็พอจะมีอยู่บ่อยครั้งที่ได้เคยไปนั่งดื่มด้วยกันบ้าง เขาดูท่าทางเป็นคนดี เข้าขากันก็ดี ไม่มีอะไรที่เลวร้าย นั่นจึงทำให้มัตสึดะ เก็นตะ พอจะจัดให้เจสซี่อยู่ในหมวดหมู่ของบุคคลที่เขาเรียกได้ว่าสนิทใจ
แต่นั่นอาจไม่ได้หมายรวมถึงอันนะที่กำลังนั่งทำตัวลีบ ยิ่งเมื่อเขาจงใจเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเธอเช่นนี้
“เจสซี่ พอดีเลย งั้นผมขอฝากอันนะทีนะครับ”
“เอ๊ะ! จะไปไหนเหรอ!” หญิงสาวเจ้าของชื่อละล่ำละลัก หันขวับไปจ้องเก็นตะที่พรวดพราดลุกขึ้นยืนพลางหย่อนมือถือเก็บกลับลงไปในกระเป๋ากางเกง
“ยูอะน่ะ”
ชื่อเพื่อนร่วมงานของเขาทำให้เธอเลือกปิดปากเงียบ ทั้งที่คิดว่าอยากจะอ้าปากพูดอะไรอีกสักอย่าง ทำได้เพียงทอดสายตามองตามแผ่นหลังของเก็นตะที่เดินเร็วๆ ออกไป ได้ยินเจสซี่ตกปากรับคำด้วยน้ำเสียงสดใสไปตามประสา และเขาเองก็หัวเราะร่วนไปด้วยเช่นกันก่อนชายอีกคนจะลับพ้นจากมุมวิสัย ทิ้งพวกเขาทั้งสองไว้ภายในห้องรับรองแขก เช่นเดียวกับเจสซี่ที่เขวี้ยงทิ้งหน้ากากเปื้อนรอยยิ้ม ก่อนฟาดมือลงบนใบหน้าขาวของหญิงสาวที่นั่งก้มหน้า มันไม่ได้สุดแรง แต่ก็มากพอที่จะทำให้หน้าหัน ด้วยไม่ทันได้ตั้งตัว เสี้ยวจังหวะนั้นฟันของเธอก็เผลอไปกัดกับริมฝีปากจนรู้สึกได้ถึงรสเลือดที่ไหลลงไปในโพรงปาก
“คิดว่าฉันจะไม่รู้เหรอ?”
อันนะสั่นศีรษะรัวแทนทดต่อคำตอบ ทั้งมือที่จับอยู่บนแก้มข้างที่ปวดแปลบของตนเอง ใบหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงแต่ก็พยายามที่จะฝืนกลั้นความอุ่นร้อนให้รื้นอยู่แค่ตรงขอบตา
“เธอก็รู้...” เขาทิ้งตัวลงข้างๆ แกะมือที่แตะใบหน้าของเธอออกขณะที่มือหนาของเขากุมข้างลำคอบอบบาง เมื่อกดประทับริมฝีปากลงไปด้วยความหนักหน่วง เช่นเดียวกับมือหนาที่ราวกับว่าจะบีบคอของเธอให้แหลกสลายลงไปพร้อมกันจนแทบจะหายใจไม่ออก
“ว่าฉันรักเธอ”
ตอนนั้นเองที่น้ำตาของเธอได้ไหลลงมา
I can feel you close to me
ฉันรู้สึกถึงเธอที่อยู่ชิดใกล้
あの場所に帰れなくなっても
ถึงเราจะกลับไปยังที่แห่งนั้นไม่ได้อีกแล้ว
今の気持ちだけはずっと永遠
ความรู้สึกในตอนนี้ของฉันก็จะคงอยู่นิรันดร์
เป็นอีกครั้งที่มัตสึมูระ โอริฮิเมะได้แต่ก้มหน้ารับฟังคำด่าทอของลูกค้าจากความผิดพลาดที่ไม่ได้มาจากตัวเองเลยด้วยซ้ำอย่างกล้ำกลืน อีกครั้งที่ต้องกดก้มศีรษะส่งคำขอโทษปะหลกๆ ฝืนกลั้นน้ำตาที่ทำท่าว่าจะรินไหลไปกับคำต่อว่าต่อขานจากผู้จัดการร้าน และอีกถ้อยคำปลอบโยนที่ไม่เคยจะช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้เลยจากเพื่อนร่วมงานคนเดียวที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเสมอมา
“ให้ฉันไปส่งนะ” ทั้งที่มีความหมายเป็นประโยคบอกเล่า แต่โอริฮิเมะก็ยังปัดปฏิเสธราวกับมันเป็นถ้อยคำถามด้วยความหนักแน่นว่า “ไม่ต้องหรอก ฉันกลับเองได้” ไม่ลืมที่จะกล่าวคำขอบคุณต่อความปรารถนาดีพร้อมรอยยิ้มบางที่แสร้งปั้นแต่งบนใบหน้า ก่อนจะเร่งเดินฝ่าฝูงชนบนท้องถนนของชิบุยะในยามค่ำคืนออกไป ด้วยความพยายามที่จะไม่หันหลังกลับและทำสิ่งใดก็ตามซึ่งหัวใจบอบช้ำเฝ้าปรารถนา มันไม่ใช่เรื่องของทิฐิหรือความรักฉันชู้สาวที่เขาหรือเธออาจใคร่ครวญถึงเลย หากเป็นเพียงแค่เส้นความสัมพันธ์ที่เธอกีดกั้นจากผู้คนเอาไว้ โดยไม่คิดที่จะก้าวข้ามมันไปหรือยินยอมให้ใครล่วงล้ำเข้ามาทั้งนั้น เพราะโอริฮิเมะรู้ดีว่ามันคือความขี้ขลาด เธอจึงไม่อาจร้องขอความเห็นแก่ตัวจากใคร ยิ่งเมื่อคนๆ นั้นจะเป็นเพียงแค่คนเดียว ในตอนนี้ บนโลกใบนี้ ที่ดีกับเธอมากที่สุดโดยไม่เคยนึกย่อท้อเลยแม้สักครั้งอย่างนากามูระ ไคโตะก็ตามแต่ และด้วยข้อเท็จจริงที่เธอรู้ดีอยู่แก่ใจเช่นนี้เอง ที่จะยิ่งทำให้ขอบตายิ่งร้อนผ่าว ขณะที่ข้างในอกก็ยิ่งปวดหนึบจนแทบจะทนไม่ไหว
เธอทำได้เพียงพร่ำคำขอโทษต่อเขาซ้ำๆ เมื่อออกวิ่งไปจนสุดฝีเท้า ไกลห่างจากความหวังดีที่เธอไม่อาจรับไว้ได้ของเขาไปให้สุดไกล
และเมื่อทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะตัวหลังสุดยังรถบัสเที่ยวดึก ซึ่งขณะนี้มีเพียงแค่เธอเป็นผู้โดยสารท่ามกลางความอ้างว้างเงียบงัน เพื่อที่จะปลดปล่อยน้ำตาที่อดทนกักเก็บไว้ให้ไหลพรูลงมาอย่างสุดฝืนได้อีก เธอกัดริมฝีปากกดกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดรอด ทั้งร่างที่สั่นสะท้ายยามซบใบหน้าลงกับฝ่ามือเย็นชืดเช่นเดียวกับหัวใจที่เย็นชาต่อผู้คนรอบข้าง
ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปนับตั้งแต่วันนั้น...วันที่ทุกอย่างซึ่งโอริฮิเมะได้เคยขานเรียกมันว่าสรวงสวรรค์และความสุขจะพังทลายลงไปในชั่วพริบตา ทั้งยังกระชากจิตวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของเธอไปโดยไม่สนใจต่อคำอุทธรณ์และการร่ำร้องไห้จนแทบจะเป็นสายเลือดลงมาอยู่บนขุมนรกที่ลึกสุดหยั่ง ไม่ให้ทันได้ตระเตรียมใจ ในสิ่งที่โอริฮิเมะจะได้รับรู้ความจริงที่ปวดร้าวยิ่งกว่าว่าทั้งหมดมันก็แค่การประชดประชันโง่ๆ อันน่าสมเพชของพวกผู้ใหญ่เห็นแก่ตัวทั้งสองคน คนที่สองพี่น้องของบ้านมัตสึมูระต่างก็เรียกอย่างเต็มปากว่าพ่อและแม่
ที่ทั้งให้กำเนิด ก่อนจะทำลายทั้งสองชีวิตลงด้วยความเลือดเย็นอย่างที่สุด
แม้กระทั่งคำพูดล่ำลา พวกเขาสองพี่น้องก็ไม่มีโอกาสจะได้เอ่ย
ทุกความทรงจำต่ออดีตอันแสนสุขสันต์พากันพัดย้อนคืนกลับมา เหมือนดั่งเช่นในทุกคราวที่โอริฮิเมะจะปล่อยน้ำตาและร่ำร้องไห้ออกมาให้กับชีวิตไร้ค่าของตัวเองลำพัง ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ กระทั่งเธอรู้สึกได้ถึงแรงกดบนเบาะที่ยุบยวบลงไปและแรงสะกิดที่ไหล่เล็ก ก่อนผ้าเช็ดหน้าผืนบางจะถูกยื่นส่งมาให้โดยไร้คำพูดใดๆ ต่อจากนั้น ก็ทำให้หญิงสาวที่รีบยกมือขึ้นปาดป่ายคราบน้ำตาที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไปอย่างลวกๆ ต้องผงกหัวหงึก ยื่นมือสั่นเทาไปรับมันพร้อมถ้อยคำขอบคุณสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือที่แผ่วผิว หากเมื่อเขาย้อนกลับด้วยคำว่า “ไม่เป็นไรนะ” ตอนนั้นเองที่ราวกับห้วงเวลาของเธอได้หยุดนิ่งลง ในถ้อยเสียงที่ต่อให้เวลาจะผันผ่านไปแสนไกลเพียงไหน โอริฮิเมะก็ไม่มีวันที่จะลืมเลือนมันได้ลง
เธอค่อยๆ เงยใบหน้าและลูกนัยน์ตาที่ท่วมท้นไปด้วยหยาดน้ำใสขึ้นมองเจ้าของที่นั่งข้างกาย ซึ่งจะพลันชะงักงันไปเฉกเช่นกัน
น้ำตาของเธอไม่อาจหยุดไหล
“โอริฮิเมะ...”
แต่มันจะไม่เป็นไร
_______________
ความคิดเห็น