คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #114 : Heart Hotel
1
ทาคาฮาชิ ชินโกะรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เมื่อได้รู้ว่าโปรแกรมประจำค่ำคืนนี้ของพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ที่ตั้งอยู่ในชั้นสามของคอร์เตเซีย — โรงแรมชั้นหนึ่งในนีโอโตเกียวจะฉายหนังคลาสสิกที่เก่าเกินกว่าร้อยปีอย่างเรื่อง ‘อัลฟ่าวิลล์’ ที่เธอไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อเรื่องด้วยซ้ำ ด้วยความที่มีหนังเข้าใหม่ในโรงภาพยนตร์แทบทุกเดือนไม่มีว่างเว้น และชินโกะก็เพลิดเพลินกับประสบการณ์ของภาพยนตร์เสมือน รวมถึงโปรเจกเตอร์ขนาดใหญ่ของภาพยนตร์ที่พลาดชมในโรงที่บ้าน จนทำให้รายชื่อหนังไซไฟ/นัวร์ของฝรั่งเศสอายุหลายร้อยปีเช่นนี้ตกหล่นไปจากสารบบ สำหรับหญิงสาวที่ใช้เวลาหลังเลิกงานและสุดสัปดาห์ไปกับภาพยนตร์จนเหมือนเป็นปัจจัยที่ห้ายิ่งกว่าเครื่องมือสื่อสารซึ่งเธอไม่ใคร่จะให้ความสำคัญมากนักแล้ว การที่หัวหน้าแผนกใจดีมอบของขวัญวันเกิดให้เธอเป็นการเข้าพักในโรงแรมหรูซึ่งเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์เช่นนี้ จึงถือเป็นโบนัสก่อนปลายปีที่เธอจะได้รับเสียอีก หลังดื่มด่ำกับสเต๊กปลารสเลิศจากห้องอาหารแล้ว เธอก็ลงลิฟต์แก้วไปยังโรงภาพยนตร์ที่ชั้นต่ำกว่าซึ่งมีผู้คนแค่เพียงบางตา และชินโกะก็แน่ใจว่าเมื่อถึงเวลาที่เธอเข้าไปนั่งเอนหลังพิงเบาะโซฟากำมะหยี่แล้วจะไม่ได้มีเพิ่มเติมมากไปกว่านี้สักเท่าไหร่ ในเมื่อการรับชมภาพยนตร์แบบดั้งเดิมไม่ใช่ทางเลือกความบันเทิงของผู้คนสมัยนี้ ยิ่งกับเหล่ามหาเศรษฐีในโรงแรมชั้นหนึ่งด้วยอีก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอใช้เวลาเที่ยวชมและอ่านประวัติของพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ตลอดช่วงค่ำของเมื่อวาน จากการที่เจ้าของโรงแรมเห็นคุณค่าของงานศิลปะในแขนงนี้และตกลงใจให้พวกเขาเช่าพื้นที่ทั้งชั้นโดยไม่แสวงผลกำไร ชินโกะคงจะรู้สึกตงิดใจไม่หาย
ถึงจะยังเหลือเวลาอีกกว่าครึ่งชั่วโมง แต่เธอก็เข้าไปจับจองที่นั่งแถวกลางในตำแหน่งที่ดีที่สุดแล้ว มีแพมเฟลตแจกฟรีที่หน้าโรงภาพยนตร์และเธอก็ไม่พลาดที่จะหยิบติดมือมาเป็นที่ระลึก ที่หน้ากลาง มีรูปภาพในท่วงท่าแปลกประหลาดของอันนา คารินาที่ยกมือขึ้นเกาะผนัง ให้ความรู้สึกพิลึกพิลั่นอย่างที่หนังฝั่งยุโรปมักจะทำให้เธอรู้สึก โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในประเภทสยองขวัญเสียด้วยซ้ำ หลังอ่านเรื่องย่อ ตัวละคร และประวัติผลงานอย่างคร่าวๆ ของผู้กำกับฌอง-ลุค โกดาร์ด นักทำหนังระดับแนวหน้าในกลุ่มเฟรนช์นิวเวฟ (เธอคิดว่าคลับคล้ายคลับคลากับคำคำนี้ เอาไว้หลังจากดูหนังจบแล้วเธอจะไปหาข้อมูลดูอีกที) และเตรียมขยับตัวนั่งเอนแผ่นหลังตามสบาย เป็นตอนนั้นเองที่คนข้างหลังจะเผลอกระแทกเก้าอี้ของเธอเต็มแรง เมื่อเขารีบเอ่ยขอโทษเธอจึงรีบหันไปบอกว่าไม่เป็นไรเฉกเช่นเดียวกัน ก็ให้เธอได้บังเอิญเห็นคู่ชายหญิงที่หล่อนกำลังเอียงใบหน้าเข้าหาเขาเล็กน้อยเพื่อพูดคุยอะไรสักอย่าง แล้วอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าประหลาดใจ นอกจากเรื่องที่ได้เห็นรองประธานบริษัทอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของตนในระยะใกล้ที่สุดตลอดระยะเวลาการทำงานเป็นลูกจ้างเกือบสี่ปีแล้ว เขายังควงคู่มากับคนที่เชื่อได้ว่าไม่มีใครจะคาดคิดถึง เพราะข่าวลือหนาหูว่ารองประธานกำลังคบหาดูใจกับดาราภาพยนตร์หน้าตาอ่อนหวาน อายุใกล้เคียงกัน ไม่ใช่ลูกสาวของสมาชิกวุฒิสภาหน้าตาเชิดรั้น และอายุอ่อนวัยกว่าแบบนั้น
ชินโกะเป็นพวกสอดรู้ กระนั้นก็หาใช่เพื่อเอาไปป่าวประกาศต่อนอกจากคลายข้อสงสัยให้กับตัวเอง แต่เธอไม่อาจเสียมารยาทเพ่งจ้องพวกเขาเพื่อสังเกตหาจุดที่น่าสงสัยแม้เพียงน้อยมากไปกว่านี้ได้ เอาเป็นว่าถ้าความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นของจริง ชินโกะก็จะกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจว่าเธอเป็นคนแรกในบริษัทที่ได้รู้เห็นความสัมพันธ์นี้เอง
2
ภาพยนตร์ไม่เคยเป็นตัวเลือกแรกของความบันเทิงเริงใจสำหรับเคียวโมโตะ ไทกะ มากไปกว่าการดื่มด่ำกับความรู้สึกของชายผู้อยู่ ณ จุดสูงสุด บนอพาร์ตเมนต์ชั้นเจ็ดสิบที่เขาเป็นเจ้าของตลอดทั้งชั้น...รวมถึงทั้งอาคาร อาจกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มอมเมาตัวเอง หรือไม่ก็กับผู้หญิงสักคนที่ใช้เงินซื้อมาเพื่อให้เจ้าหล่อนช่วยมอมเมา แม้ข่าวลือที่ว่าเขากำลังคบหาดูใจกับดาราจอเงินชื่อดังจะกระฉ่อนไปทั่ว แต่ใครเลยที่จะล่วงรู้ว่าหล่อนก็จัดอยู่ในประเภทผู้หญิงที่เขาใช้เงินซื้อมาเหมือนกัน ถึงกระนั้นหล่อนก็เป็นผู้หญิงที่เขาชอบพอ หากก็ไม่ได้มากพอที่คำกระเง้ากระงอดจะทำให้เขาสนใจศิลปะแขนงนี้ขึ้นมาอยู่ดี นี่อาจเป็นหนึ่งในรอบเกือบยี่สิบปีเลยก็ว่าได้ที่เขาเข้ามานั่งอุดอู้อยู่ในโรงภาพยนตร์ พร้อมกับหนังคลาสสิกที่ไม่แม้แต่จะอยู่ในความคิดของชายผู้มองแต่อนาคต ถ้าไม่ใช่เพราะหญิงสาวคนข้างกายที่แสดงความตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อได้รู้ว่าโปรแกรมของพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ในค่ำคืนนี้คือหนังที่เธอรู้จักจากนวนิยายเก่าเก็บกว่าห้าสิบปี จริงอยู่ที่เธออาจไม่ได้รบเร้าเขาซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้ดูแล ระหว่างวุฒิสภาคนที่เขาให้ความเคารพต้องทิ้งบุตรสาวไว้แล้วบินไปต่างประเทศด้วยเรื่องเร่งด่วนก่อนกำหนด แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็มานั่งอยู่ที่นี่ เท้าแขนไขว่ห้างกับโซฟากำมะหยี่นุ่มหนาซึ่งก็ไม่เลวนัก พลางรับฟังน้ำเสียงเจื้อยแจ้วของเธอที่จะโน้มตัวเข้ามาหาเขาทุกครั้งเมื่อเริ่มต้นพูดอะไรบางอย่าง
“อัลฟ่าวิลล์คือชื่อของเลิฟโฮเต็ลในหนังสือเล่มนั้น” เธอบอกเล่ากลั้วเสียงขบขัน “เมืองอัลฟ่าวิลล์ในหนังคือเมืองที่ไม่อนุญาตให้มีความรักและความรู้สึก ก็เหมือนกับเลิฟโฮเต็ลที่ผู้คนเข้ามามีเซ็กซ์แบบไร้รัก ฉันครุ่นคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตก ทั้งที่มันมีชื่อว่าเลิฟโฮเต็ลแท้ๆ”
ห้องของเขาก็คงให้ความหมายใกล้เคียงกับมัน
“เมคเลิฟ”
“ฉันคิดว่าเซ็กซ์แบบไร้รักไม่ควรจะใช้คำว่าเมคเลิฟ”
“ฉันคิดว่ามันแทบไม่ได้แตกต่างอะไรกัน”
เป็นอีกครั้งที่เธอเปล่งเสียงหัวเราะกังวานออกมา หากริมฝีปากคู่สีแดงก็ไม่ได้ขยับเป็นถ้อยอื่นใดต่อจากนั้น แล้วกลับไปนั่งเอนตัวในท่าตามสบาย ยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นดูด ทิ้งรอยลิปสติกสีแดงไว้บนหลอดโดยไม่มีทีท่าว่าจะเช็ด
3
งานของเขาเสร็จเร็วกว่าที่คิด หลังจากลูกค้ารายแรกและเขาคิดว่าจะเป็นรายเดียวประจำค่ำคืนเมาพับไปกับเหล้ารสแรงที่สาดลงคอไปไม่ได้หยุดหย่อน ขณะพล่ามพูดถึงสามีที่นอกใจไปกับโสเภณีรุ่นลูกด้วยคำผรุสวาทที่เผ็ดร้อนอย่างไม่บรรเทา จากที่หล่อนตั้งใจจะนอนกับโสเภณีรุ่นลูกเป็นการเอาคืนให้สาสมบ้าง น่าขันดีที่ฤทธิ์แอลกอฮอล์จะทำให้เขากลายเป็นเพียงผู้รับฟังโดยไม่จำเป็นต้องลงทุนลงแรงอะไรมากไปกว่าเออออตามหล่อนเท่านั้น ผู้หญิงวัยดึกก็อย่างนี้ พวกหล่อนไม่ได้ต้องการเรื่องบนเตียงมากไปกว่าการระบายเรื่องราวคับข้องในใจให้ใครสักคนออกมาดังๆ อย่างไรเจสซี่ก็ยังนึกขอบคุณหล่อน ทั้งสำหรับการพาเข้ามาเป็นแขกในโรงแรมชั้นหนึ่งที่ไม่เคยแม้แต่จะเฉียดกราย เหล้าหรูราคาแพงที่ไม่มีปัญญาจะจับจ่าย และเงินปึกหนึ่งที่เขาถือวิสาสะหยิบจากกระเป๋าถือของหล่อนในราคาที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม ถึงภายในนั้นจะมีมากพอให้เขาอยู่อย่างสบาย โดยไม่ต้องทำงานไปอีกหลายเดือนก็ตาม
ไหนๆ ก็อุตส่าห์ได้มาถึงโรงแรมชั้นหนึ่งทั้งที เขาจึงไม่มีความคิดว่าอยากจะรีบกลับไปอยู่ในห้องหับเก่าๆ ที่ลูกพี่ลูกน้องขี้ยามาขออาศัยอยู่ด้วย จำได้ว่าลีลู — ลูกค้าขาประจำคนสนิทเคยบอกว่าที่นี่มีพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ซึ่งมักฉายหนังเก่าอย่างน้อยที่สุดก็ห้าสิบปีเป็นอย่างต่ำ เจสซี่ชอบฟังเวลาหล่อนเล่าเรื่องราวบนแผ่นฟิล์มเหล่านั้นออกมา บางครั้งหล่อนก็จะขอให้เขาร่วมรักด้วยท่วงท่าที่แปลกประหลาดเหมือนกับในหนังอีโรติก (หล่อนชอบคำว่าซอฟต์คอร์มากกว่า แม้ที่ทำกับเขาจะเข้าขั้นฮาร์ดคอร์ก็ตาม) ที่ผ่านตามา บ่อยครั้งที่เขาอดคิดไม่ได้ว่าคนสมัยก่อนเป็นพวกวิปริตหรือนั่นจะเป็นแค่รสนิยมแผลงๆ ที่หล่อนนิยมแล้วสร้างเรื่องขึ้นมาเองกันแน่ เขาผิดหวังนิดหน่อยที่โปรแกรมในค่ำคืนนี้เป็นหนังไซไฟ/นัวร์ขาวดำซึ่งไม่ใช่อะไรพิสดารอย่างที่ลีลูมักจะคอยเอามาแบ่งปันและขอให้กระทำ แต่ไหนๆ ก็อุตส่าห์ได้มาเยือนถึงที่แล้ว เรื่องย่อของหนังที่พลิกดูจากแพมเฟลตซึ่งวางกลับลงที่เดิมก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไร เขาอาจจะเอาไปเล่าให้ลีลูฟังได้ ถึงจะไม่มีเรื่องเซ็กซ์พิกลพิการก็ตาม
เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เขาไม่ได้คาดคิด ในตอนที่เดินเข้าโรงภาพยนตร์ไปและได้มองเห็นหญิงสาวผมสีแดงยาวคนนั้นกำลังหันไปพูดคุยกับคู่รักชราที่นั่งข้างๆ ด้วยความกระตือรือร้น เจสซี่ไม่ได้ทั้งทักทายหรือชะงักฝีเท้าของตัวเอง เขาเดินขึ้นไปนั่งอยู่เหนือเธอสามแถวในตำแหน่งที่เยื้องไปทางขวา เพื่อให้มองเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างยามที่เธอจะแหงนเงยขึ้นไปบนจอได้
รอยยิ้มกว้างๆ ของเธอในเวลานี้ มากเกินกว่าที่เจสซี่จะจำจดได้
เพราะตลอดหกเดือนที่คบกันมา อดีตคนรักเก่าที่เลิกลากันไปกว่าหนึ่งปีไม่เคยเป็นอะไรในสายตาของเขา มากไปกว่า ‘ชินโกะผู้ไร้ความรู้สึก’
3
เธอคืนห้องโตเกียวสวีตที่พักกับพ่อไปทันทีที่แยกจากกันหน้าประตูโรงแรม แล้วเอ่ยบอกชายตัวสูงที่อยู่เคียงข้างในทุกขั้นตอนว่า “คงไม่เป็นการรบกวนถ้าฉันจะขอยึดห้องนอนสักห้องของคุณ” ด้วยเหตุนี้เอง คามิชิราอิชิ มาริ จึงได้มานั่งชมวิวอยู่บนชั้นสูงสุดในห้องเพรสสิเดนเชียลสวีตที่หรูหราที่สุดของโรงแรมคอร์เตเซีย มองดูเส้นขอบฟ้าและแสงสีสังเคราะห์จากอาคารน้อยใหญ่เบื้องล่างของนีโอโตเกียวยามค่ำคืนส่องสะท้อนอยู่ในแววตา พลางจิบเชอร์รี่โคล่ารัมค็อกเทลที่ชงเองด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ที่แทบจะเรียกว่าเจือจาง หลังออกจากโรงภาพยนตร์มาพร้อมกับความรู้สึกในแง่บวกเป็นอย่างมาก แม้เนื้อเสียงผนวกกับสำเนียงภาษาฝรั่งเศสของอัลฟ่า 60 จะทำให้ประสาทของเธอขมวดตึงไม่น้อย ภายในบริเวณกว้างขวางบัดนีัมีท่วงทำนองของทรอมโบนจากดนตรีแนวแจ๊ซที่ชื่อว่า ‘ไฟฟ์ สปอต อาฟเตอร์ ดาร์ก’ ของเคอร์ติส ฟูลเลอร์เล่นเป็นฉากหลัง มาริบอกว่านี่คือเพลงที่อยู่ในหนังสือเรื่อง ‘อาฟเตอร์ ดาร์ก’ จากนักเขียนมูราคามิ ฮารุกิ ซึ่งชักพาให้เธอได้รู้จักกับภาพยนตร์เรื่อง ‘อัลฟ่าวิลล์’ ขณะที่ทุกวันนี้แผ่นเสียงกลายเป็นของหายาก จนเธอไม่รู้จักแผ่นลองเพลย์อย่างที่ตัวละครพูดคุยกันอีกแล้ว เนื่องจากไทกะไม่มีแนวเพลงที่ชอบเป็นพิเศษ เขาจึงไม่เรื่องมากและตามใจเธอที่กล่าวขอบคุณในความเอาแต่ใจหลายต่อหลายครั้งด้วยรอยยิ้มกว้าง
“คืนนี้ฉันคึกคักมากเลยนะ” นี่คือประโยคแรกที่เธอพูดเมื่อหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาว ส่วนไทกะนั่งบนโซฟาตัวเดียวที่มุมหนึ่ง “เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่สามารถแสดงความคิดและความรู้สึกออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องมีใครมากำหนด”
ไทกะไม่ได้พูดออกมาดังๆ ว่าเธอก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วมิใช่หรอกหรือ?
“คุณเคยนึกอยากปกครองโลกด้วยการกำจัดความรู้สึกบ้างไหม?”
“ไม่ ฉันอยากปกครองโลกด้วยความกลัว” เขาแทบไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิด
“ความกลัวฉันรับได้นะ” ไหล่ของเธอขยับไหว “ตราบที่การแสดงความรู้สึกไม่ทำให้เราถูกประหาร มันก็ไม่ใช่นครระทม”
“แต่พ่อของเธอก็ไม่แน่”
คำพูดที่โยงใยไปถึงวุฒิสมาชิกคามิชิราอิชิไม่ได้ทำให้มาริเกิดความรู้สึกอื่นใดมากไปกว่าขบขัน เธอยังเสริมให้เสียอีกว่า “แม้กระทั่งลูกสาวของตัวเองก็จะไม่ใช่ข้อยกเว้น” ที่เรียกเสียงหัวเราะจากเขาได้เช่นกัน
จากนั้นทั้งสองก็ต่างจิบเครื่องดื่มในแก้วของตัวเองไปเงียบๆ อึดใจหนึ่งที่แสงเรืองรองส่องประกายในแววตาพร้อมกับห้วงความคิด แล้วเธอจึงเป็นฝ่ายเริ่มต้นสนทนาเหมือนกับทุกครั้งคราว
“คุณเคยตกหลุมรักใครไหม?”
“ตกหลุมรัก?” มาริแน่ใจว่าได้ยินเสียงหัวเราะหึในลำคอตามหลังมา “หมายความว่าอะไร?” แม้สีหน้าของเขาอาจไม่ได้แสดงท่าทีงุนงงเหมือนกับนาตาชา แต่ประโยคที่ถอดแบบมาจากซับไตเติลบนหน้าจอที่มาริจดจำได้อย่างแม่นยำ ก็เรียกเสียงหัวเราะรวนร่ากับอารมณ์ขันของชายหนุ่มหน้าตายขึ้นมาได้
“แล้วดาราหนังคนนั้นล่ะ?”
หากไทกะกลับเลือกโยนคำพูดกลับไป แทนที่จะเป็นคำตอบ
“เธอดูจะสนใจเรื่องราวความรักของฉันมาก”
“ใช่ เพราะฉันชอบคุณ” ไม่มีความม้านอายยามที่เธอจดนัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองดูใบหน้าหล่อเหลาของเขาเลยแม้แต่น้อย “จนได้ยินความเห็นเรื่องเซ็กซ์กับเมคเลิฟของคุณ”
“และเธอคิดว่าความเห็นของฉันมันผิด” ไทกะไม่ได้สนใจประโยคก่อนหน้าของเธอมากไปกว่าประโยคที่ตามมา
“ไม่มีถูกผิด มีแค่ไม่ถูกใจ” เธอพูด “อันที่จริงฉันไม่ได้ไม่ถูกใจนะ ฉันแน่ใจว่าคุณนอนกับฉันได้ถึงคุณจะไม่ได้ชอบฉันเหมือนอย่างที่ฉันชอบคุณ แต่การที่คุณแทบไม่เห็นข้อแตกต่างเลยมัน... จะว่ายังไงดี? เกินความคาดหมายไปหน่อยล่ะมั้ง”
“ทำไมผู้หญิงถึงได้ชอบคาดหวังนัก?”
“ไม่มีใครพูดว่าทำไมแล้ว แต่ทุกคนพูดว่าเพราะอะไร”
สีหน้าของเขาอยู่กึ่งกลางระหว่างความรำคาญและขบขัน แต่มาริรู้ว่ามันเอนเอียงไปทางข้อหลัง อาจเพราะสถานะของบิดา ไทกะจึงค่อนข้างจะโอนอ่อนกับเธอมากกว่าการแสดงความเพิกเฉยหรือเย้ยหยันอย่างที่ใครต่อใครล้วนแล้วแต่ได้รับมัน ที่สุดเขาก็ยอมหัวเราะออกมาจากคำพูดที่เธอเลียนแบบประโยคเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ในเรื่อง
“ฉันไม่เห็นความแตกต่างของสองคำนั้นเหมือนกัน”
“ข้อนี้ฉันไม่ปฏิเสธ” มาริยกมือเพิ่มคะแนนเสียงให้ความเห็นของเขา “และสำหรับคำตอบของคำถามก่อนหน้านั้น มันเกินความคาดหมายก็จริง แต่อันที่จริงก็ไม่ได้มีผลอะไรมากมายหรอก และฉันก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากคุณด้วย แต่พอออกจากโรงหนังมา จนกระทั่งมาอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้ ฉันก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าถ้าต้องมีเซ็กซ์แบบไร้รักกับคนที่ชอบมันคงเป็นอะไรที่เศร้าน่าดู และฉันก็ไม่ได้ชอบใครง่ายๆ ซะด้วยสิ”
“เธอคิดถึงแต่สิ่งที่คิดว่าจะเกิด”
“ไม่จริงเลย ฉันคิดถึงแต่ปัจจุบันต่างหาก” มาริท้วง
“ถ้าเธอคิดถึงแต่ปัจจุบัน จะสนใจสิ่งที่คิดว่าจะเกิดไปทำไม?”
“เพราะฉันจะคิดถึงอดีต”
ไทกะถอนหายใจออกมา วิสกี้ของเขายังไม่พร่องไปเท่ากับค็อกเทลติดก้นแก้วที่เธอกำลังเขย่าอยู่ในมือ น้ำแข็งกระทบขอบใสส่งเป็นเสียงกรุ๊งกริ๊งแค่ครู่สั้นๆ ก่อนที่เธอจะยกมันขึ้นดื่มจนหมด ครั้นแล้วก็ลุกขึ้น บอกขอตัวกลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง ยังไม่ล่วงผ่านวันใหม่ ฉะนั้นไทกะจึงแน่ใจว่าเธอคงจะไปนอนเอนหลัง อ่านนวนิยายแบบเป็นรูปเล่มที่พกติดกระเป๋ามาด้วยอยู่นาน จากนั้นจึงค่อยอาบน้ำแล้วเข้านอน นั่นเป็นหนึ่งในหลายร้อยพันเรื่องที่พ่อของเธอเล่าให้เขาฟัง ระหว่างช่วงเช้าในห้องอาหารซึ่งเธอยังนอนหลับอุตุอยู่จนไม่ได้ลงมาด้วย
นั่นไม่รวมถึงความแน่วแน่
“ฉันชอบคุณจริงๆ นะ” เธอเอ่ยขึ้นหลังหยุดจังหวะในตอนที่เดินเลยผ่านเขาไปวางแก้วเครื่องดื่มลงในอ่าง “แต่ถ้าฉันตกหลุมรักคุณขึ้นมาเมื่อไหร่ ฉันคงจะรู้สึกเหมือนถูกประหาร”
ไทกะไม่ได้หันกลับไปเพื่อที่จะรับรู้ถึงสีหน้า หรือว่าสายตาของเธอกำลังวางอยู่ที่ใด เพียงแต่หลังจากถ้อยประโยคที่ตามมา เสียงฝีเท้าของเธอก็จะค่อยๆ ไกลห่างออกไป เช่นเดียวกับเสียงบานประตูที่งับปิดลง อาจพร้อมกับหัวใจของเธอเอง
“จนกว่าคุณจะรู้สึกผูกพันกับใคร ตอนนี้หัวใจของคุณคงเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในอัลฟ่าวิลล์ เว้นแต่ด้วยเจตจำนงของคุณเอง”
2
ชินโกะยังคงพูดคุยกับคู่รักสูงวัยที่นั่งข้างเธออย่างคุณและคุณนายคิมูระหลังออกจากโรงภาพยนตร์อีกสักระยะ ตั้งแต่ความเห็นที่ไม่ตรงกันของพวกเขา แน่นอนว่าชินโกะย่อมเลือกอยู่ฝั่งของคุณคิมูระที่ไม่ได้นิยมชมชอบหนังเรื่องนี้มากนัก หากก็ไม่ปฏิเสธว่ามันคือผลงานคลาสสิกที่ควรค่าต่อการชื่นชม ทั้งด้านเนื้อหา งานภาพ บทสนทนา ฉากในยุคไซไฟที่แม้จะผ่านไปหลายร้อยปีก็ยังคงดูสดใหม่ หรือการเสียดสีระบบการเมืองและวิทยาศาสตร์ ที่เธอไม่ค่อยเข้าใจเรื่องยากๆ จำพวกนั้นนัก กระทั่งเรื่องราวความสัมพันธ์ของนายคอชั่นและนาตาชาก็ยังไม่ตรงตามจริตของเธอเช่นกัน ความกักขฬะของนายคอชั่นนั้นเหลือรับ ไม่ต้องพูดถึงความเพ้อฝันของนาตาชาเลย แต่ชินโกะก็รู้ว่าจะเอาตรรกะของคนที่เข้าใจความรู้สึกทุกอย่างได้โดยไม่ต้องถูกประหารไปตัดสินพวกเขาก็คงไม่ยุติธรรมสักเท่าไหร่ ไปจนถึงคำกล่าวชื่นชมใบหน้าหวานซึ้ง แพขนตางอนยาว เข้ากับนัยน์ตากลมโตซึ่งขับความโดดเด่นบนจอภาพยนตร์ขนาดมหึมาของนางเอกสาว อันนา คารินา ที่ทั้งสามคนต่างก็เห็นพ้องต้องกันโดยไม่มีใครคัดค้าน เว้นก็แต่ในตอนที่คุณนายคิมูระพูดว่าถ้าผมของเธอเป็นสีเข้มคงจะมีหน้าตาหยดย้อยเหมือนกับหล่อนไม่เบา ให้ชินโกะต้องรีบยกมือโบกปัดเป็นการใหญ่กับถ้อยคำที่เกินจริงไปมากเลยทีเดียว
เธอไม่ได้ขึ้นลิฟต์กลับห้องไปกับพวกเขาด้วยเมื่อรู้สึกว่าอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา หลังจากทำธุระเสร็จแล้ว ออกมาล้างมือ ขยับองศาใบหน้า มองดูตัวเองในกระจก ชินโกะก็อดไม่ได้ที่จะพรูลมหายใจ
ครั้งหนึ่งผมของเธอก็เคยเคลียบ่าและเป็นสีน้ำตาลเข้ม แต่ในตอนนั้นก็ยังไม่มีอะไรเทียบเคียงกับใบหน้าของดาราสาวฝรั่งเศสชื่อก้องได้เลย ไม่แน่ว่าสิ่งเดียวที่เธอเคยมีเหมือนหล่อน — นาตาชา ฟอน บรอน — อาจจะเป็นชายกักขฬะที่ทำให้หล่อนตกหลุมรักเป็นครั้งแรกล่ะกระมัง
จนชินโกะคิดว่าเธออาจจะฟุ้งซ่านจนตาฝาดไปเอง ที่ได้เห็นชายกักขฬะของเธอยืนกอดอกอยู่ริมทางเดินที่ร้างไร้ผู้คนเช่นนี้
“ไง”
แต่น้ำเสียงนั้นเป็นของจริง
เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายไม่ว่าจะในความเป็นจริงหรือแม้แต่ความคิดอันฟุ้งซ่าน กระทั่งตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าทำไมคำพูดที่หลุดรอดออกจากริมฝีปากถึงเป็น “ไปคุยกันที่ห้องฉันไหม?” ทั้งที่เวลาสี่เกือบห้าทุ่มนี้ยังมีพื้นที่สาธารณะอย่างบาร์หรือห้องอาหารเปิดทำการอยู่ อีกทั้งห้องดีลักซ์ที่ได้รับอภินันทนาการจากหัวหน้าก็ไม่ได้มีห้องนั่งเล่นแยกเป็นสัดส่วน นอกจากบริเวณพักผ่อนและนั่งทำงานริมบานกระจกกว้างที่มองเห็นวิวของตัวเมืองในยามค่ำคืนได้ แต่เธอก็มาอยู่นี่ กอดเข่าดื่มน้ำอัดลมบนเตียงคนละฝั่ง จดจ้องมองจอโทรทัศน์ขนาดหกสิบนิ้วที่กำลังฉายซีรีส์แนวสืบสวน หากเรื่องราวของคู่รักที่มีฝ่ายหนึ่งถูกจับตัวไปทรมาน ก่อนจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรมนั้นสะเทือนใจจนร่างกายของเธอสั่นเทา ถึงจะพยายามปรกบังใบหน้าด้วยเส้นผมเรือนหนา และกัดหลอดเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นอย่างสุดความสามารถแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดจะรอดพ้นวิสัยเฉียบแหลม แม้เพียงปรายหางตาไปยังคนข้างกายได้
มันช่วยไม่ได้ที่ความรู้สึกขุ่นมัวตั้งแต่เดินเข้าไปในโรงภาพยนตร์จะตีปะทุขึ้นมา
ขณะที่ผู้คนในอัลฟ่าวิลล์ไม่สามารถแสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาได้แม้แต่การคร่ำครวญ ผู้คนสามารถปลดปล่อยทุกอารมณ์ได้อย่างสุดขีดในดินแดนที่มีชื่อว่านีโอโตเกียว ไม่มีใครจะถูกตัดสินว่าแปลกแยกเหมือนนายคอชั่นจนโดนคอมพิวเตอร์จับไปสอบสวนว่าเห็นควรประหารดีหรือไม่ หากลองย้อนคิดในทางกลับกัน นาตาชาที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งความรัก ก็อาจไม่ได้ต่างอะไรจากชินโกะเมื่อครั้งยังเป็นคนรักของเขา
มันไม่ได้เป็นมาตั้งแต่แรกเริ่ม เธออาจไม่ได้แสดงออกมากมายเหมือนกับหญิงสาวทุกคนในวัยไล่เลี่ยกันที่เขาเคยรู้จัก กระนั้นก็ไม่ได้เจื่อนจางจนคำว่า 'ไร้ความรู้สึก' ผ่านเลยเข้ามาตอกย้ำอยู่บ่อยครั้ง จากความชอบได้แปรเปลี่ยนไปเป็นความน่าเบื่อหน่าย กระทั่งในตอนที่ถูกบอกเลิก เธอที่เคยพร่ำบอกว่ารักนักหนาก็ยังไม่มีน้ำตาให้กับเขา เหมือนฉากการแสดงของคู่รักบนจอสี่เหลี่ยมที่ไม่มีอยู่จริงด้วยซ้ำ
“ไม่ยักรู้ว่าเธอก็ร้องไห้เป็น” น้ำเสียงของเขาเสียดเย้ยโดยไม่มีการปิดบัง
เธอกระแอมเบาๆ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าตัวเองอย่างลวกๆ เอ่ยกลั้วหัวเราะไปกับเสียงที่สั่นเทาเล็กน้อย “ที่นี่ไม่ได้มีข้อห้ามอะไรสักหน่อย จริงไหม?” แล้วรีบลุกพรวดไปเปิดตู้เย็นหยิบเอาน้ำอัดลมมาอีกกระป๋อง หากคราวนี้กลับเลี้ยวไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาวริมหน้าต่าง แทนที่จะเป็นเตียงนอนขนาดกว้างขวางดังเดิม
เรียกเสียงหัวเราะในลำคอของชายหนุ่ม
“แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่?” เป็นชินโกะที่เริ่มต้น
“ทำงาน”
ชินโกะขานรับเบาๆ ในลำคอ แม้จะดูดน้ำอัดลมรสหวานผ่านหลอดไปก็กลับรู้ถึงแต่ก้อนสะอื้นรสขมขื่นที่จุกอยู่ เธอรู้อยู่แล้วว่าเจสซี่ทำงานอะไร ไม่ว่าจะก่อนคบกันหรือหลังคบกัน และเธอก็ไม่เคยเป็นหนึ่งในลูกค้าของเขา นอกจากเป็นลูกค้าที่บาร์ถูกๆ นอกเขตนีโอโตเกียวชั้นในซึ่งเธอเลือกเป็นที่พักผ่อนหลังเลิกงาน เพื่อจะได้หนีห่างจากชายหนุ่มต่างแผนกที่มาตามตื๊ออยู่ได้ คงเพราะความหงุดหงิดจากนายนั่น ผนวกกับเรื่องงานและเตกีล่าป๊อปเปอร์แก้วที่สาม เธอถึงได้โพล่งความในใจที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่แรกพบหน้าออกไปให้เขาที่นั่งถัดจากเธอบนเก้าอี้ทรงสูงหน้าเคาน์เตอร์จนหมดเปลือก และการที่เขาซึ่งย่อมต้องรู้จักผู้หญิงนับไม่ถ้วนที่ทั้งสวยกว่า รวยกว่า หรือเหนือกว่าไม่ว่าจะด้านไหนๆ ตกลงตอบรับผู้หญิงธรรมดาอย่างเธอก็เป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการ คงเพราะอย่างนั้นถึงได้รู้สึกไม่แน่ใจ ราวกับกำลังใช้ชีวิตอยู่ในฟองสบู่สีรุ้งที่จะสลายหายวับไปเมื่อกะพริบตา
ความจริงก็คือเธอไม่ได้ ‘ไร้ความรู้สึก’ หากแค่มีมากเกินไปจนหวาดกลัวที่จะแสดงมันออกมาต่างหาก
“ตอนนั้น” คำพูดของเธอแผ่วผิวเพราะใบหน้าที่กดก้มลงไป หลังคนบนเตียงกดปิดจอโทรทัศน์ บัดนี้จึงหลงเหลือเพียงเสียงของความเงียบงัน “ถ้าฉันร้องไห้อ้อนวอนขอไม่ให้คุณไป คุณจะยังเลิกกับฉันอยู่หรือเปล่า?”
“คิดถึงอดีตไปก็เท่านั้น”
แล้วความทรงจำถึงอดีตระหว่างเธอกับเขาก็พากันไหลหลั่งเข้ามา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันก็เป็นความทรงจำถึงชายผู้ยังคงเป็นที่รักซึ่งชินโกะไม่มีวันที่จะลบเลือน ยิ่งคิด มือที่วางไว้เหนือเข่าทั้งสองข้างก็ยิ่งกำเข้าหากันแน่น เช่นเดียวกับริมฝีปากล่างที่เธอไม่ได้เม้มมัน แต่ใช้ฟันกดลงไปเต็มแรงเพื่อให้ได้สำเหนียก กระนั้นเธอก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บที่กายมากเท่าที่ใจ ในเมื่อพวกเขากลายเป็นแค่อดีต ชินโกะก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอะไรอีก ในที่สุด ทำนบน้ำตาที่กักเก็บไว้มาเนิ่นนานก็ทะลักล้น ไหล่เล็กๆ ของเธอสั่นสะท้าน พร้อมกับเสียงร่ำไห้ที่กรีดครวญออกมาอย่างไม่อาจห้าม เรียกเอาความเกลียดชังที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจของเขานับแต่วินาทีแรกที่ได้พบเธออีกครั้งให้หวนคืน เขาเกลียดที่ได้เห็นเธอสนทนากับคนอื่นด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มกว้างๆ แตกต่างจากตอนที่อยู่กับเขา เขาเกลียดที่ได้เห็นว่าผมสีน้ำตาลที่เคยเคลียบ่าเปลี่ยนไปเป็นสีแดงยาวเหมือนกับเขา เหนือกว่าความเกลียดชังคือความไม่เข้าใจการกระทำที่ย้อนแย้งของอดีตคนรักเลยแม้แต่น้อย ทำไมตอนที่ยังอยู่ด้วยกันเธอถึงไม่แสดงความรู้สึกเหมือนกับตอนที่เลิกรา? แล้วทำไมตอนที่เลิกรากันไปตั้งกว่าหนึ่งปีเธอถึงได้ยังแสดงออกว่ารักเขาตั้งมากมายขนาดนั้น? เขาเกลียดเธอที่หลงตาบอดรักคนอย่างเขาอยู่ได้ และเขาก็เกลียดตัวเองที่รู้สึกดีเมื่อได้เห็นเธอร้องไห้ออกมา
เพราะรู้ดีถึงคำตอบของคำถามข้อนั้นมาโดยตลอด เขาถึงได้ลุกขึ้นไปนั่งลงตรงหน้าเธอ วางมือทั้งสองข้างทาบทับลงไปบนหลังมือที่สั่นเทาของเธอซึ่งจะค่อยๆ ขยับใบหน้าอันแดงก่ำและเปรอะไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมอง บัดนี้ ชายกักขฬะได้มอบความอ่อนโยนให้แก่หญิงผู้ไร้ความรู้สึกที่ตอบรับมันด้วยความท่วมท้นเป็นครั้งแรกในชีวิต ชินโกะไม่คิดกดเก็บสิ่งที่เธอไม่เคยแสดงออกมาด้วยหัวใจทั้งหมดอีกต่อไป เมื่อตกลงใจแล้วว่าจะคิดถึงแต่ปัจจุบัน ครั้นสัมผัสแผ่วเบาที่ภายนอกได้เริ่มต้นเปลี่ยนเป็นรุกล้ำเหมือนอย่างเจสซี่ที่ชินโกะจดจำได้ พลันนั้นร่างของเธอก็จะถูกผลักลงไปแนบแผ่นหลังกับเบาะโซฟาทั้งที่ริมฝีปากยังคงบดเบียด ความรู้สึกที่เหมือนจะหายใจไม่ออกไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรย แต่ชินโกะก็ไม่มีความคิดจะผลักท่อนแขนที่ใช้เป็นหลักยึดออกไป
ถึงริมฝีปากจะขยับกว้างขึ้นเพราะอารมณ์ฟุ้งฝันไปตามรอยยิ้มบนใบหน้าสดสวยของหล่อน ชินโกะก็ยังคิดอยู่ดีว่าประโยคสุดท้ายที่นาตาชาเอ่ยในตอนจบช่างเป็นอะไรที่เพ้อพก หาก ณ เวลานี้ ในอ้อมแขนของชายผู้นี้ โดยไม่จำเป็นต้องพยายามใคร่ครวญ ชินโกะก็เข้าใจว่าไม่มีคำพูดใดที่เหมาะสมมากไปกว่าคำคำนั้นอีกแล้ว
“ฉันรักคุณ”
1
“แต่ไม่มีผู้ใดมีชีวิตอยู่ในอดีต และไม่มีผู้ใดจะอยู่ต่อไปในอนาคต ปัจจุบันคือรูปแบบของชีวิตทั้งปวง”
— อัลฟ่า 60
_______________
ความคิดเห็น